วันเสาร์, กันยายน 01, 2561

‘สองมาตรฐาน’ อย่างจ่านิวต้องจับเข้าไว้ ‘เขียนเสือให้วัวกลัว’ แบบน้องแบมต้องเชิดชูบูชา ‘เขียนบัวให้ลิงหลับ’


ถึงอย่างไรต้องดีใจกับ น้องแบมเมื่อรองนายกฯ รักษาคำพูดของรัฐบาล คสช. ปูนบำเหน็ดด้วยการบรรจุงานราชการ โดยไม่ต้องสอบผ่าน กพ. ก็ได้แต่หวังว่าจะมีคนเอาอย่างกันเยอะ ตรวจสอบกันให้ถ้วนทั่ว ทั้งรัฐบาลนี้รัฐบาลหน้า

รวมทั้งต่อกรณีที่ นักปรัชญาชายขอบ แนะ “ฝากให้ช่วยตรวจสอบการโกงอำนาจประชาชนด้วยนะครับ” ผศ.สุรพศ ทวีศักดิ์ แนะ

น้องแบม หรือ น.ส.ปณิดา ยศปัญญา นี้เพิ่งเป็นบัณฑิตหมาดๆ หลังจากโด่งดังยิ่งกว่าพลุ ขณะฝึกงานโครงการสงเคราะห์ผู้ยากไร้และผู้ป่วยโรคเอดส์ พบข้อมูลถูกหมกว่ามีการทุจริตยักยอกเงินของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง แล้วนำมาเปิดเป็นเรื่องใหญ่มาก

จากนั้นได้มี ผู้ใหญ่ ของรัฐบาล คสช. ออกปากว่าเรียนจบเมื่อไรจะฝากงานให้ได้เข้าบรรจุทันที แต่เวลาผ่านไปกว่า ๔ เดือนแล้วยังไม่เห็นวี่แววจะได้ทำงาน จึงโวยผ่านสื่อสังคมจนคราวนี้ได้ผล แตะสายตาทั่นรองนายกฯ

นายวิษณุ เครืองาม สั่งคนของตนติดต่อประสาน ผ่านไปเพียงสองสามวัน โป๊ะเชะ “คณะทำงานของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี โทรศัพท์เข้ามาสอบถามเรื่องงานว่าอยากทำงานอะไร ถ้า พม.ไม่มีตำแหน่ง จะทำงานราชการส่วนอื่นได้หรือไม่”

ราชการส่วนอื่นที่ว่า คือสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เขต ๔ขอนแก่น ที่ทำให้น้องแบมชื่นมื่นมาก ที่ได้บรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนโดยไม่ต้องสอบผ่าน กพ.

 

เรื่องอย่างนี้ คสช.เขาถนัด สองมาตรฐานอย่างจ่านิวต้องจับเข้าไว้ เขียนเสือให้วัวกลัวแบบน้องแบมต้องเชิดชูบูชา เขียนบัวให้ลิงหลับจนหลายคนสงสัย เรื่อง ดินหาย จากการก่อสร้างอุโมงก์รัชดา ถ้ามีตัวคนปูด ไม่รู้เขาหรือเธอจะโดน เสือ หรือได้ บัว

เรื่องนี้สำนักข่าวไทยรายงานเมื่อ ๒๙ สิงหา ว่ามีการ “สืบสวนสอบสวนหาที่มาที่ไปว่าแท้จริงแล้ว ดิน ในแนวการก่อสร้างอุโมงค์รัชโยธิน ที่ต้องตกเป็นของ กทม. ได้หายไปอยู่ในพื้นที่เอกชนจริงตามที่เป็นข่าว และผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นบุคคลมีสีจริงหรือไม่”

ต่อมา ๓๐ สิงหา “นายจิระเดช กรุณกฤตกุล รองผู้อำนวยการสำนักการโยธา ยอมรับว่า หลายโครงการก่อสร้างในกรุงเทพมหานคร ดินหายลักษณะคล้ายอุโมงค์รัชโยธิน แต่ทางกรุงเทพมหานคร ไม่มีเจ้าหน้าที่มากพอที่จะตรวจสอบ”


จึงชวนให้หวนกลับไปดูการตรวจสอบเรื่องจำนำข้าว ที่ว่ามีความเสียหายทั้งสิ้น ๕ แสน ๓ หมื่นล้านบาท แต่วานนี้ ๓๐ ส.ค. กรมการค้าต่างประเทศ แถลง ปิดตำนาน ของการระบายข้าวสารในสต็อกจากโกดังต่างๆ ทั่วประเทศ ๑,๘๐๐ แห่ง ที่ตกค้างมาตั้งแต่เมื่อครั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี

ว่านับแต่ปี ๕๗ ภายใต้รัฐบาลคณะยึดอำนาจเป็นต้นมา ได้มีการระบายข้าวตกค้างโกดังออกไปจากการประมูล ๓๒ ครั้ง เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๑๖.๙๑ ล้านตัน ได้เงินมา ๑๔๖,๐๐๐ ล้านบาท ทำให้
 
ภารกิจในการระบายข้าวรัฐบาลของกรมฯ ที่ใช้เวลามานานประมาณ ๔ ปี ถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว เพราะไม่มีข้าวแล้ว ยกเว้นกรณีที่เกิดปัญหา เช่น ผู้ชนะประมูลไม่มารับข้าว หรือขนข้าวออกจากโกดัง” นางมนัสนิตย์ จิรวัฒน์ รองอธิบดีฯ ชี้แจง


ภารกิจเสร็จสิ้น แต่เรื่องยังไม่จบ เมื่อมีคนตั้งข้อสังเกตุว่า “ค่าเสียหายที่เอาประกอบการพิจารณาคดีจำนวน ๕๓๐,๐๐๐ ล้านก็จะไม่ใช่ข้อมูลที่ถูกต้องอีกต่อไป” เป็นเครื่องยืนยันข้อกังขาของฝ่ายสนับสนุน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ว่าเป็นการประเมินค่าเสียหายแบบ ล่าแม่มด

Thuethan Prasobchoke เขียนคอมเม้นต์เอาไว้ ว่าตัวเลขมูลค่าระบายข้าวค้างสต็อกเกือบแสนห้าหมื่นนั้น “ตัวเลขนี้ก็จะไปลดค่าเสียหายที่ศาลเอาไปประกอบการพิจารณาคดีลงจาก ๕๓๐,๐๐๐ ล้านบาท เหลือแค่ ๓๘๔,๐๐๐ ล้านบาท”

และอาจมีผลไปถึงตัวเลขการยึดทรัพย์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่กำลังมีเสียงเรียกร้องให้คืนกลับแก่เธอ ในเมื่อศาลได้ตัดสินยกฟ้องกระทงนั้นไปแล้ว แต่มาปักชนักเกี่ยวหลังเอาไว้ในคดีขายข้าวจีทูจี ที่ตัดสินจำคุกนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ไป ๔๒ ปี