วันจันทร์, ธันวาคม 31, 2561

สรรพากรส่งท้ายปีเก่าให้เจ้าสัว ยกเว้นภาษี 'ประชารัฐ'



เห็นว่าโอกาสขึ้นปีใหม่นี่รัฐบาล คสช.กำลังจะแถลงผลงานในรอบสี่ปี ที่อ้างว่าอลังการสองเรื่องด้วยกัน คือระงับยับยั้งการคอรัปชั่นและขยับขยายสวัสดิการแห่งรัฐ แถมราคาคุยว่าผลงานสุดยอดเหนือกว่ารัฐบาลใดๆ ที่ผ่านมา

เรื่องคอรัปชั่นนั้นได้ผลแค่ไหน สิ่งที่ทำเป็นการกำจัดราคินในหมู่พวกพ้องตนเองทั้งนั้น คดีนาฬิกาหรูยี่สิบกว่าเรือน ยืมเพื่อนและเอาไปคืนแล้วของ บิ๊กป้อมรองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ก็เห็นๆ กันอยู่ว่ากระสุนไปลงที่ลิ่วล้อใน ปปช. ๕ คน เสียงข้างมากกำลังถูก ศรีสุวรรณ จรรยา ตั้งโต๊ะล่ารายชื่อ ๒ หมื่นยื่นถอดถอน

คำตัดสินให้ยกคำร้องเพราะหาไม่พบหลักฐานถูกเพจดังเจ้าเก่ายันเอาซึ่งหน้า ว่านาฬิกาที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อ้างว่ายืมมาจากนายปัฐวาทซึ่งเสียชีวิตไปแล้วนั้น ซื้อมาตอนไหน ในเมื่อเป็นรุ่นที่ออกวางจำหน่ายหลังจากเพื่อนที่ให้ยืมคนนั้นตายไปแล้ว
 
ส่วนเรื่องสวัสดิการแห่งรัฐก็เช่นกัน ยิ่งกว่าตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ในเมื่อเงินงบประมาณที่ คสช. เอามาทุ่มทั้งสิ้นกว่าสองแสนล้าน มันมลายหายไปเฉยๆ ตลอดสี่ปีไม่มีอาการกระเพื่อมในความกินอยู่ที่ดีขึ้นของประชากร แต่ความอูฟูไปอยู่ที่พวกเจ้าสัวที่สนับสนุน คสช.ทั้งนั้น

ล่าสุด รายการ คสช. (เอาเงินของประชาชนไป) อุ้มค่อมเจ้าสัวประชารัฐ มาจากลิ่วล้อฝ่ายสรรพากร เมื่ออธิบดีประกาศงดเก็บภาษีแก่ผู้ประกอบการในโครงการประชารัฐ โดย “ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับรายจ่าย ที่ได้จ่ายเพื่อดำเนินโครงการภายใต้โครงการ สานพลังประชารัฐ

หนักเข้าไปอีกด้วยการยกเว้นภาษีย้อนหลังไปถึงวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๑ แม้นจะมีระเบียบการต่างๆ นานา เช่นว่าต้องมีคำรับรองจากหน่วยงานประชารัฐของ คสช. แห่งใดแห่งหนึ่งในกรรมการขับเคลื่อนประเทศ ๑๒ แห่ง หรือว่าต้องมีใบเสร็จยืนยันว่าห้างหรือธุรกิจได้ทำการอุทิศบริจาคแก่โครงการ


สำนักข่าวอิศรารวบรวมรายการ แจกแถมของ คสช. ที่ผ่านมาเอาไว้ให้ดูกันก่อนสิ้นปี ว่าเป็นการโปรยทานด้วยเงินงบประมาณที่ควักจากคลังล้วนๆ ๒๐๓,๗๓๙ ล้านบาท (อิศราเรียก เฮลิค้อปเตอร์มันนี่ย์)

ในจำนวนนั้นเป็นการแจกสดๆ “ทันใจไปถึงมือผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการฯ โดยที่ผู้รับไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากไปยืนกดเงินหน้าตู้เอทีเอ็ม หรือนำไปใช้ซื้อสินค้าในร้านธงฟ้าประชารัฐ” จำนวน ๕๗,๖๐๒ ล้านบาท

ส่วนที่แจกชาวนาแบบองค์ลงตรงหน้าตักนั่นราว ๖๑,๘๑๐ ล้านบาท ชาวสวนยาง ๑๘,๐๗๑ ล้านบาท และชาวสวนปาล์มก็พลอยฟ้าพลอยฝนด้วย ๓,๓๗๕ ล้านบาท กับที่ให้แก่เกษตกรพืชไร่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นยาสูบ ข้าวโพด อ้อย ประมาณ ๑๗,๗๓๕ ล้านบาท

รวมทั้งที่แจกคนทั่วไป คนชรา คนยากจน และคนของกรู (ข้าราชการทหาร พลเรือน ตุลาการ และข้าราชการ คสช.) ไม่ต่ำกว่า ๖๐,๘๕๘ ล้านบาท แต่แล้วแทนที่ชาวบ้านจะลืมตาอ้าปาก กลับกลายเป็นว่าเจ้าสัวรวยเอาๆ

ดังที่อิศราว่า มีความเหลื่อมล้ำระหว่าง “คนรวย ๑๐% แรก และคนจน ๑๐% สุดท้าย ห่างกัน ๑๙.๒๙ เท่า” จึงถามกันตรึมว่า “เม็ดเงินที่ครม.ประยุทธ์แจกไปนั้น แท้จริงแล้วใครได้ประโยชน์

เพราะสุดท้ายแล้วเม็ดส่วนใหญ่จะไหลไปกองที่กลุ่มทุนค้าปลีกขนาดใหญ่ ธุรกิจอาหาร ธุรกิจค้าปุ๋ย และค้ายาฆ่าแมลง ซึ่งมีเจ้าของผูกขาดอยู่แค่ไม่กี่ตระกูลเท่านั้น”


เรื่องของเรื่องถ้ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ประชาชนส่วนใหญ่ยังเฉยแบบว่า กูจะดูใจมันละก็ ก๊วน คสช.+เจ้าสัว จะได้อูฟูกันต่อไป ท่ามกลางความแร้นแค้นของประชากร

ขำขันยามเช้า ทวิตน้องตั๊น... "จะตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนในทุกภาคส่วน ในปีหน้าเมื่อการเมืองเข้มข้นขึ้น.." (ปิดถนนอีกสิคะ) 5555



Isolationist, nationalist, and inhumane — these are just a few of the words used to describe American foreign policy under Trump's 'America First' doctrine in 2018. Check out this video




https://www.youtube.com/watch?v=8d0vqtUK-i8

U.S. Foreign Policy 2018: Year in Review | NowThis World

NowThis World
Published on Dec 30, 2018

American foreign policy in 2018 has been called a lot of things (Isolated, Independent, Intolerant, and Inhumane).

As President Donald Trump’s second year in office comes to a close, how exactly has he translated his promise of putting 'America First' rhetoric into actionable foreign policy? And what exactly has it meant for the United State’s influence and standing around the world today? 

Trump’s 2nd year in office has been incredibly consequential on the world stage. He’s done things like forming new diplomatic relationships with dictators and authoritarian leaders, isolated the U.S. from some of its historically strongest allies, and some, like South Korean President Moon Jae-in, even credit him with improving North and South Korea’s relationship. 

In this video we’re going to recap some of 2018’s standout moments in U.S. Foreign policy. 

On April 6th, former Trump Administration attorney general Jeff Sessions announced the Justice Department’s new 'Zero-Tolerance' policy. The policy resulted in the separation of families who migrated to the U.S. Since it began at least 3,000 children, many of whom were toddlers and babies, have been separated from their parents or caregivers. 

Then there was, the Iran Nuclear Deal. On May 8th, Trump withdrew from the landmark agreement, officially called the Joint Comprehensive Plan of Action. 

On May 14th of this year — the administration made an unprecedented, and controversial move, when it relocated its Israeli embassy to the disputed city of Jerusalem, one of the issues at the very core of the Israeli-Palestinian conflict. 

Then there was North Korea. On June 12th — President Trump met face-to-face with North Korean dictator Kim Jong Un. This marked the first time a U.S. president met with a North Korean head of state. 

And can’t forget tariffs on China. On July 6th — the U.S. launched a trade war with China. 

The Trump administration followed through on previous threats and imposed tariffs on $34 billion worth of Chinese products.

5 ปีบนเส้นทางการเมืองสายนกหวีด เผด็จการเกิดติดใจเก้าอี้ที่ปล้นมาแบบไม่อยากปล่อย ปี62 น่าจะเป็นการแข่งขันที่ชี้ชะตาคนไทยทั้งชาติอีกครั้ง..




https://www.facebook.com/100010033899030/videos/807408782936911/

...


https://www.facebook.com/100010033899030/videos/805382209806235/


อนุสาวรีย์ปราบกบฏ ถูก อุ้ ม ฆ่ า !! นาฬิกา ก็หน้าด้าน !! ส.ส. สุนัย จุลพงศธร Dec 29,2018




อนุสาวรีย์ปราบกบฏ ถูก อุ้ ม ฆ่ า !! นาฬิกา ก็หน้าด้าน !! ส.ส. สุนัย จุลพงศธร Dec 29,2018

HaunT89s
Published on Dec 29, 2018

เอ-นก สติฟั่นเฟือนไปแล้ว ไม่ได้แค่หลงหลักการ แต่หลงตัวเอง..ว่าเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์




เอ-นก ไม่ได้แค่หลงหลักการ
แต่หลงตัวเอง..ว่าเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์
สติฟั่นเฟือนไปแล้ว
หรือไม่ก็..Neurological disorders
เกิดความผิดปกติของระบบประสาท
ส่งผลต่อสมองและระบบประสาทส่วนกลาง
พูดเกินสมอง..ฮา

แด่...อ.สุรชัย แซ่ด่าน และสหาย - เพียงคำ ประดับความ





การหายไป
ของ "สุรชัย แซ่ด่าน"
ในฤดูหนาวอันแสนสั้น
ของปีหนึ่ง
ปีที่กระแสลม
ยังอึงคะนึง
การเลือกตั้งกำลังจะมาถึง
อีกไม่นาน

ปีที่สองฝั่งน้ำ
ระส่ำระสาย
ชนชั้นใหม่
ป่าวประกาศความอาจหาญ
แต่นาฬิกา
ยังย้อนเวลาสู่วันวาน
เส้นแบ่งฤดูกาล
ยังเลี้ยวลด

ฝนหลงฤดู
เดินทางมา
พร้อมการจากลา
ของอนุสาวรีย์ปราบกบฏ
เราตื่นมา
สวัสดีอนาคต
แต่เพียงชั่วแดดหมด
อนาคตไม่ใช่ของเรา

อิฐหินหรือเลือดเนื้อ
ที่เธอเชื่อมั่น
คนหรือปูนปั้น
ในปณิธานสีขาว
ลูกของประชาชน
บนรถไฟขบวนยาว
แกแลกซีเก้าเก้าเก้า
ฝันว่าเราจะเท่ากัน

ยังคงเป็นวันพรุ่งนี้
ที่ไม่มีทางมาถึง
ให้หวนคำนึง
ถึงอาจารย์สุรชัยของฉัน
เขามาจากอดีต
หรืออนาคตกาล
เดินทางจากปัจจุบัน
สู่เขตงานลับแลใด

แด่...อ.สุรชัย แซ่ด่าน และสหาย

เพียงคำ ประดับความ
30 ธันวาคม 2561

เครดิตภาพ: kapook.com


ที่มา FB

Ma Nongmawor


ของขวัญปีใหม่ที่อยากได้ ฝ่ายประชาธิปไตยชนะเลือกตั้ง เอา คสช. ออกไป





ของขวัญปีใหม่ที่อยากได้
เอา คสช. ออกไป
ฝ่ายประชาธิปไตยชนะเลือกตั้ง
ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนส่วนข้างมากดีขึ้น
ประเทศมีสิทธิเสรีภาพเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง


Sinsawat Yodbangtoey

จักรภพ เพ็ญแข อวยพรปีใหม่ + แสดงความในใจถึงพี่น้องผู้ร่วมต่อสู้เพื่อความเป็นเสรี ในสิ่งที่ได้เรียนรู้ และสิ่งที่ตั้งใจจะทำต่อไป





จักรภพ เพ็ญแข อวยพรปีใหม่ พ.ศ.2562

กราบเรียน พี่น้องผู้ร่วมต่อสู้เพื่อความเป็นเสรีที่เคารพทุกท่านครับ

นับเป็นเวลา 10 ปีเต็มที่ผมลี้ภัยการเมืองออกนอกราชอาณาจักรไทย หลังจากที่ได้รับใช้สังคมในบทบาทต่างๆ มาตลอดทั้งชีวิต และตั้งใจจะทำต่อไปอีกมาก สิบปีอาจถือว่าเป็นเวลานานในชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง แต่ผมได้ใช้เวลาสิบปีนี้อย่างคุ้มค่าด้วยการศึกษารัฐชาติแห่งหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า ไทย ศึกษาอย่างชุ่มโชก ศึกษาด้วยการตัวเองเข้าแลก และในที่สุดก็ได้บรรลุความเข้าใจในระดับที่มีประโยชน์ อาจไม่ได้บรรลุถึงความเข้าใจถึงขั้นวิเศษ แต่พอที่ปุถุชนคนหนึ่งจะทำความเข้าใจในสิ่งแวดล้อมของตัวเองและคิดเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมต่อไปได้

ในวาระเปลี่ยนปีศักราช ผมจึงขออนุญาตจากมวลมหาประชาชน แสดงความในใจไว้สักครั้งหนึ่ง ในสิ่งที่ได้เรียนรู้และสิ่งที่ตั้งใจจะทำต่อไปจากสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้น:

1. ปัญหาในระดับโครงสร้างของรัฐไทยเลวร้ายลง สิ่งที่ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ของไทยเรียกออกมาโค่นล้มอำนาจประชาชนภายใต้สัญลักษณ์ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ในราว พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา ได้กลายเป็นปีศาจที่มีขนาดใหญ่โตคับบ้านคับเมือง ที่ทำแต่ความชั่วร้ายในทุกมิติ ต่อบ้านเมืองและต่อประชาชนตลอดมา การเปลี่ยนตัวคนไม่มีอะไรดีขึ้น ยกเว้นช่วยเสริมฝันกลางวันของคนบางคนที่ไร้อุดมการณ์และไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์ไทย คนไทยทั้งชาติยังคงเป็นเพียงผู้อาศัยที่คอยให้เจ้าของบ้านขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว โดยไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ ทั้งที่ตัวเองเป็นเรี่ยวแรงและสร้างทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศไทยนี้ขึ้นมา ผมสรุปง่ายๆ ว่า นี่คือสภาพการณ์ที่ไม่ควรยอมรับกันอีกต่อไป ปีใหม่นี้ควรจะเป็นปีกู้ความเป็นมนุษย์ของเรากลับคืนมา ถึงจะใช้เวลามากขนาดไหนก็ต้องเริ่ม

2. เครื่องมือของระบอบอำนาจเดิมไม่มีประสิทธิภาพพอจะช่วยประเทศไทยได้อีกต่อไป ผมหมายถึง กองทัพไทย ระบบราชการพลเรือน กระบวนการยุติธรรม สมาคมนักธุรกิจ ระบบการศึกษา คณะสงฆ์ และประชาคมสื่อมวลชน ต่างถูกสร้างและใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองที่แคบและเพื่อตัวบุคคล ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของบ้านเมือง เรื่องนี้หนักหนาหน่อย เพราะต้องเริ่มคิดถึงการสร้างใหม่ หรืออย่างน้อยก็ต้องเลือกส่วนที่เน่าเสียออกไป

3. การครอบงำสังคมไทยมีความเข้มข้นและเกือบสมบูรณ์ ตั้งแต่การเลี้ยงดูลูก การศึกษา และการสื่อสารทางสังคม จึงไม่อาจหวังให้คนส่วนใหญ่กล้าร่วมตรงๆ ในการต่อสู้ได้ ระบบความคิดและความกลัวยังเป็นอุปสรรคขัดขวางอยู่มาก อย่าคิดว่าคนส่วนใหญ่ยอมรับอำนาจในทางชั่ว แต่ต้องเห็นใจว่าเขาไม่สามารถรับมือกับอำนาจของคนชั่วได้ และเราต้องคิดให้อำนาจเขามากขึ้นเป็นลำดับ

4. ขบวนเสรีประชาธิปไตย ขาดการนำทางอุดมการณ์ ขาดการจัดตั้ง ขาดความเป็นสากล และถูกทำลายจากภายใน ผมได้อยู่ในที่เกิดเหตุในหลายครั้งที่เกิดจุดผกผันในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และได้เห็นความเล็ก ความแคบ ความเห็นแก่ตัว และความไร้ทิศทางทางความคิดของภาวะผู้นำกับตาตัวเอง จนได้ความรู้มาก ผมได้เปลี่ยนความเหนื่อยหน่ายมาเป็นพลังงานชุดต่อไปในการต่อสู้ เราต้องสู้และพัฒนากระบวนการต่อสู้จากปัญหาเดิมๆ เพราะไม่มีใครจะต่อสู้เพื่อมวลชนและประชาชนยกเว้นตัวเรา

5. โลกกำลังเปลี่ยนแปลงมาในทางที่เราปรารถนามากขึ้น อำนาจเริ่มเปลี่ยนจากสถาบันและองค์กรมาสู่ปัจเจกบุคคลหรือคนแต่ละคนมากขึ้น ผู้มีอำนาจในบางตำแหน่งจะกลายเป็น เจว็ด คือผู้นำที่ไม่มีความหมาย เป็นหุ่นกระบอกให้เขาเชิด และเป็นหัวหลักหัวตอของประเทศชาติ แต่เจว็ดเหล่านี้ก็จะใช้อำนาจที่มีน้อยลงทุกวัน ฟาดฟันฝ่ายตรงข้ามด้วยอัตตาและผลประโยชน์ทางการเมือง โดยความช่วยเหลือของระบบราชการชั่วและระบบทุนนิยมสามานย์ที่ร่วมกันรวยขึ้นมา เราต้องรู้จักหลบทางหมาบ้าตลอดปีหน้านี้

ผมตั้งใจจะไม่ลงลึกไปกว่านี้ในวันนี้ ทั้งที่มีอะไรอยู่ในใจอีกมากมาย เพราะผมหวังให้ท่านร่วมคิดด้วย ประชาชนไทยที่ไม่ได้พิการทางสมองและจิตใจยังมีอีกมาก คนที่ใช้โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คในทางบวก เกินครึ่งของประเทศและโลก ถมทับคนที่รู้จักแต่ทำลายคนอื่นได้อย่างสบายจนจมดิน เราจึงจะฉลองการเปลี่ยนปีพุทธศักราชนี้อย่างทีมเดียวกัน เลือกตั้งหรือไม่เลือกตั้ง ผมไม่มีแผนจะกลับบ้านในเวลานี้ จนกว่าเราจะเห็นพัฒนาการอย่างมีสาระสำคัญค่อยมาคิดกันอีกที ผมร่วมเกมเลือกตั้งกับเขานิดหน่อยเพราะว่าอยากได้ข้อมูลและประสบการณ์เท่านั้นเอง ใครที่นึกว่าเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้วบ้านเมืองของเราจะดีขึ้น คงต้องย้อนกลับไปเรียนประวัติศาสตร์ไทยในระดับปฐม ก.กา กันใหม่

นี่ล่ะครับ คำอวยพรปีใหม่จากผมถึงท่าน อาจไม่มีคำหวานมากมาย แต่มาจากใจครับ

ถึงเหตุควรยินดีมีไม่มาก
แต่ขอฝากปีข้ามด้วยความหวัง
บุญกุศลไทยผองยังรองรัง
อาจยังตั้งสติได้อย่างไทยเดิม

อาจเลือกตั้งในระบอบกรอบแบบเก่า
อาจรู้เท่าทันขนาดอำนาจเสริม
อาจเบื่อหน่ายในชีวิตคิดอย่างเดิม
อาจได้เติมสากลในคนไทย

ถึงเราเดินย่ำเท้าจนเก่าคร่ำ
แต่วันหนึ่งจะนำสู่ปีใหม่
ไทยคิดช้าเดินช้าว่ากันไป
แต่เมื่อไหร่เริ่มนับไม่กลับคืน!

สวัสดีปีใหม่ พ.ศ. 2562 ครับ

จักรภพ เพ็ญแข
นอกราชอาณาจักรไทย
31 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ที่มา FB

Sa-nguan Khumrungroj

วันอาทิตย์, ธันวาคม 30, 2561

ยังรอคอยการกลับมาของ อ.สุรชัย... มาช่วยกันติดแฮซแท็ก #คืนสุรชัย_แซ่ด่าน #คืนสหายกาสะลอง #คืนสหายภูชนะ กันดีไหม ?





16วัน ของการหายตัวไปของ อาจารย์ สุรชัย แซ่ด่าน และผู้ติดตามอีก2คน


Yada Maneeratakul
Yesterday

Aew Ratchanee สงสารจารย์จังเลยนี่ขนาดแกเปนคนระวังตัวมากแต่ก็ไม่รอด จนป่านนี้จะให้เข้าใจว่ายังยุ่เปนได้ยากมาก

Aew Ratchanee ทั้งโกตี๋ ดีเจซุนโฮ และใครอีกหลายคน หายสาปสูน

ooo




วันที่ 17 ของการหายตัวไปของอาจารย์สุรชัย แซ่ด่าน กับสหายกาสะลองและสหายภูชนะ

เพราะเหตุใดพวกเราจึงให้น้ำหนักการหายตัวของสุรชัย แซ่ด่านเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2561 ไปในทางการถูกอุ้มหายโดยทางการทหารหรือตำรวจไทย

นั่นก็เพราะว่า นอกจากการได้รับการเตือนให้รีบหลบ เพราะประยุทธ์จะเดินทางไปประเทศนั้น และทุกครั้งที่ทหารระดับสูงของไทยจะไป ก็ไปพร้อมกับทีมล่าตัวผู้ลี้ภัย 112 ที่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่

ทั้งเพื่อนและภรรยาขาดการติดต่อกับทีมสุรชัย นับตั้งแต่วันนั้น

สภาพบ้านอาจารย์สุรชัย ที่ทีมค้นหาเข้าไปพบนั้น ประตูบ้านไม่ได้ล๊อค และบ้านอยู่ในสภาพที่น่าเป็นห่วงมาก ดังภาพที่นำมาประกอบ คือ

- สภาพห้องมีการรื้อคน (ตามคำบอกเล่าของคนสนิท อาจารย์เป็นคนดูแลบ้านช่อง เป็นระเบียบเรียบร้อย)
- หมวกดาวแดง ที่อาจารย์ไม่เคยถอดเวลาออกนอกบ้านยังอยู่ครบ
- เสื้อตัวโปรดยังแขวนอยู่
- กระเป่าฉุกเฉินยามต้องหนี (ที่ผู้ลี้ภัยที่นั่นจะมีการเตรียมกันไว้เสมอ ซึ่งก็คือเอกสารและของใช้สำคัญ) ยังอยู่ในบ้าน
- ยาและอุปกรณ์ตรวจเช็คด้านสุขภาพยังอยู่
- รถยนต์ยังจอดอยู่

สิ่งที่หายไปคือ ตัวอาจารย์สุรชัย และสหายที่อยู่ในบริเวณบ้านเดียวกัน 2 คน พร้อมกับเงินและปืน
และนี่เป็นการหายไปเป็นกลุ่มที่ 3 รวมกันก็ 5 คนเข้าไปแล้วภายในระยะเวลา 2 ปี

คนที่จัดรายการร่วมกับอาจารย์ยืนยันว่า อาจารย์ไม่เคยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าเวลาจะไปไหน โดยเฉพาะถ้าจะต้องหยุดจัดรายการ ไม่ว่าจะกระทันหันอย่างไรก็ตาม

ครับ นี่คือ สาเหตุที่พวกเราเป็นห่วงชีวิตและความปลอดภัยของอาจารย์สุรชัย และสหายทั้งสอง และเป็นห่วงความปลอดภัยของพี่น้องที่เหลืออยู่ทุกคนในระดับสูงสุดกว่าช่วงใดนับตั้งแต่พวกเขาลี้ภัยการเมือง

ถ้าพี่น้องที่รักและนับถืออาจารย์สุรชัยยังคงมี
ก็ช่วยกันตามหาสุรชัย แซ่ด่าน สหายกาสะลองและสหายภูชนะ กันเถอะนะ

อย่าหลงเชื่อข่าวปล่อยว่า "อาจารย์สบายดี"
ตราบใดที่ยังไม่ได้เห็นตัวอาจารย์
ก็ไม่มีทางมั่นใจว่าอาจารย์ปลอดภัย

อย่าปล่อยให้เวลาเนิ่นนานไป
ซึ่งจะยิ่งทำให้การตามร่องรอยก็จะยากขึ้น

พวกเราขอร่วมเรียกร้องให้มีเร่งติดตามหาตัวสุรชัย แซ๋ด่านและสหาย
มาช่วยกันติดแฮซแท็ก #คืนสุรชัย_แซ่ด่าน #คืนสหายกาสะลอง #คืนสหายภูชนะ กันดีไหม


Junya Yimprasert


แด่ อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ หลักสี่ งุบงิบย้าย ที่ถูกลืม





แด่อนุสาวรีย์ที่ถูกลืม
เช้านี้ (28 ธ.ค.) อนุสาวรีย์หลักสี่ หายไปแล้ว...

(1) เมื่อวานนี้ มีข่าวเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง
ว่าด้วยการ “ย้าย” อนุสาวรีย์หลักสี่
ออกจากที่ตั้งเดิม ไปไว้ที่ “หนองบอน” ที่อยู่ห่างออกไป 40 กิโลเมตร เพื่อก่อสร้างรถไฟฟ้า
ซึ่งก็น่าประหลาดใจมาก เพราะแทบไม่มีใครรู้ล่วงหน้า
จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีใครแถลงเหตุผลที่ต้องย้ายอย่างเป็นทางการ
ผมเอง ตั้งแต่จำความได้ ก็เห็นอนุสาวรีย์หลักสี่แล้ว เพราะย้ายมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 2534
และจากห้องนอนผม มองลงไปก็เห็นอนุสาวรีย์นี้ ตั้งตระหง่านตั้งแต่เด็ก
คุณปู่ผม มักจะบ่นเสมอว่า ทางการเวนคืนที่ไปทำอนุสาวรีย์หลักสี่ ทั้งที่ที่ของคุณทวด (นายณรงค์ เล็บนาค) ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านผมปัจจุบัน ควรจะมีอาณาบริเวณมากกว่านี้...

(2) อันที่จริง อนุสาวรีย์หลักสี่ หรือชื่อเต็มๆว่า อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ มีความเป็นมาที่น่าสนใจ
ปี 2476 หลังคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครองได้เพียง 1 ปี
ฝ่าย “ระบอบเก่า” นำโดยพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช พระญาติของในหลวง รัชกาลที่ 7 และอดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม นำกำลังจากอีสาน มายึดอำนาจพวกคณะราษฎร
ซึ่งขณะนั้น พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกฯ และเพิ่งทำรัฐประหารนายกฯคนแรก อย่างพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ที่แปรพักตร์ ไปอยู่กับพวก “ระบอบเก่า” ได้ไม่นาน
ส่วนหนึ่งเพราะไม่พอใจ “เค้าโครงเศรษฐกิจฯ” ของปรีดี พนมยงค์ ด้วยเห็นว่าเป็นแบบ “คอมมิวนิสต์” เกินไป
เวลานั้น ฝ่ายพระองค์เจ้าบวรเดช รวมพวกเจ้านายที่มีอำนาจเดิม มาตั้งเป็นกลุ่มก้อน ชื่อ “คณะกู้บ้านกู้เมือง”
เรียกร้องให้คณะราษฎร ซึ่งเป็นพวก “ระบอบใหม่” คืนอำนาจให้พระมหากษัตริย์
เมื่อเรียกร้องไม่สำเร็จ ก็รวมตัวกันก่อกบฏ โดยมีทั้งปืนใหญ่ เครื่องบิน และกำลังทหาร ครบถ้วน
น่าจะเป็นการยึดอำนาจ ครั้งที่อลังการที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
สมรภูมิใหญ่ที่สุด และสมรภูมิสุดท้าย คือที่ “ทุ่งบางเขน” ที่อนุสาวรีย์แห่งนี้ตั้งอยู่
แต่ผลลัพธ์ก็คือ “ฝ่ายเจ้า” แพ้ พระองค์เจ้าบวรเดช ต้องหนีออกนอกประเทศ
และความพ่ายแพ้ของระบอบเก่าในกบฏบวรเดช ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ ในหลวงรัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติ ในอีก 2 ปีถัดมา
น่าเสียดายที่เรื่องกบฏบวรเดช ถูกกล่าวถึงในแบบเรียนประวัติศาสตร์น้อยมาก..

(3) ฝ่ายรัฐบาล ตัดสินใจสร้างอนุสาวรีย์ เพื่อรำลึกถึง 17 ทหาร-ตำรวจ ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ไว้ที่ทุ่งบางเขน เมื่อปี 2479
แน่นอน นี่คือสถาปัตยกรรมแบบ “คณะราษฎร” ที่ชัดเจน คือไม่ได้บูชาบุคคลใดเป็นพิเศษ แต่กล่าวถึงเรื่องของชาติ ประชาชนในชาติ
และมีรัฐธรรมนูญสีทองอยู่สูงสุด
หลังจากนั้น อีกเพียง 5 ปี สถาปัตยกรรมคณะราษฎรอีกชิ้นก็ถือกำเนิดใกล้เคียงกับอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ
คณะรัฐมนตรีของจอมพลป.พิบูลสงคราม มีมติให้สร้างวัด ใกล้ๆ กับอนุสาวรีย์ เพื่อเป็นอนุสรณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย
หากมีรัฐธรรมนูญ มีชาติ แล้ว ก็ต้องมีสัญลักษณ์ว่าด้วยศาสนา
ปี 2485 วัดพระศรีมหาธาตุ ก็ถือกำเนิดขึ้นกลางทุ่งบางเขน
หลังจากนั้น พอคณะราษฎรตาย ก็มีการนำอัฐิ ของคณะราษฎร ไปบรรจุไว้ในผนังด้านในเจดีย์
ทำให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีใครปฏิเสธ ความเป็นวัดของคณะราษฎรได้ เพราะอัฐิยังอยู่ครบ!
ขณะเดียวกัน หากใครผ่านมาทุ่งบางเขน ที่นี่ก็นับเป็น “ประชาธิปไตย complex”
เพราะต้องเจอทั้งวัดพระศรีฯ ที่รำลึกถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
และเจออนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ที่รำลึกถึงเหตุการณ์ “ปราบกบฏ” อยู่คู่กันมาตลอด 76 ปี

(4) เป็นที่รู้กันว่าการจราจรบริเวณนี้ค่อนข้างสาหัส หลังจากเมืองขยายมาทางทิศเหนือ มีหมู่บ้านจำนวนมากขึ้นใหม่บริเวณรามอินทรา สายไหม และแจ้งวัฒนะ
วงเวียนบางเขน ถูกเปลี่ยนเป็นสี่แยกอยู่ระยะหนึ่ง และกลับมาเป็นวงเวียนใหม่อีกรอบ
ราวๆ ปี 2543-2544 กรมทางหลวงขุดอุโมงค์ลอดอนุสาวรีย์
ปี 2553 ก็สร้างสะพานข้ามแยก จากแจ้งวัฒนะ ไปรามอินทรา อนุสาวรีย์ถูกเขยิบไปข้างๆ เพื่อหลีกให้สะพานข้ามแยก
กลายเป็นอนุสาวรีย์เดียว ที่มีสะพานข้ามให้รถวิ่งกันขวักไขว่อยู่ด้านบน
ที่น่าสงสารไปกว่านั้นคือ จากที่อยู่ตรงกลาง เด่นเป็นสง่า พอโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวเริ่มขึ้น เมื่อปี 2559
อนุสาวรีย์ก็โดนขุดย้ายไปอยู่ริมๆ เสียเลย
เหตุเพราะสถานีรถไฟฟ้า จะอยู่ตรงกลางแทน เนื่องจากสำนักงานเขตบางเขน ไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่สร้างสถานีรถไฟฟ้า
และแม้สถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียว ทั้งตัวชานชาลา และชั้นขายตั๋ว จะเสร็จเกือบทั้งหมดแล้ว
อยู่ดีๆ ก็มีข่าวว่า จะย้ายตัวอนุสาวรีย์ออกจากพื้นที่ ไปไว้ที่อื่น
ไม่มีการแถลงอย่างเป็นทางการว่า เพราะเหตุใดต้องย้ายอนุสาวรีย์
ไม่มีข่าวว่าจะย้ายไปนานแค่ไหน หรือจะย้ายออกไปถาวร
บทจะย้ายก็สร้างคอกมากั้นล้อมรอบไว้ แล้วเอารถยกออกไปเลย

(5) “ระบอบเก่าและระบอบใหม่นี้จะต้องรบกันไปอีกนานจนกว่าระบอบใดจะชนะ และผมขอยืนยันว่า ในชั่วชีวิตเรา บางทีลูกเราด้วยจะต้องรบกันไปอีกและแย่งกันระหว่างระบอบเก่ากับระบอบใหม่นี้”
จอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี เคยพูดไว้เมื่อปี 2483 หรือ 4 ปี หลังอนุสาวรีย์นี้สร้างเสร็จ
ใจผมภาวนาให้เป็นเพียงการย้ายชั่วคราว เพื่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพูเท่านั้น
ไม่ควรจะเป็นเรื่องการเมือง หรือเรื่องการทำลายความสำคัญของคณะราษฎร
เหมือนที่อาคารบางหลัง หรือหมุดคณะราษฎร หายไปก่อนหน้านี้
แม้ใครจะมองคณะราษฎรว่าดีหรือเลว แต่ในแง่หนึ่ง อนุสาวรีย์แห่งนี้คือโบราณสถาน
และเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครไปลบล้างได้ ไม่ว่าอนุสาวรีย์จะอยู่ที่นี่หรือไม่อยู่
และไม่ว่าที่สุดแล้ว “ระบอบเก่า” หรือ “ระบอบใหม่” จะเป็นผู้ชนะ

//////

— at อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ หลักสี่.


Supachat Lebnak

...





โพลล์ข่าวเวิร์คพอยท์: 97% เห็นว่า ป.ป.ช. คลายความน่าเชื่อถือไปแล้ว หลังผลคดีนาฬิกา พล.อ.ประวิตร (ยุบเถอะคับ!)





ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 97% ตอบว่า ป.ป.ช. ได้คลายความน่าเชื่อถือไปแล้ว ต่อคำถามจากทีมข่าวเวิร์คพอยท์ว่า “คุณคิดว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นองค์กรที่น่าเชื่อถืออยู่หรือไม่?” โดยอีก 3% ตอบว่ายังเชื่อมั่นอยู่ จากการตอบคำถามทั้งสิ้น 17,900 ครั้ง





โดยบางส่วนของความเห็นยอดนิยมได้มีการเสนอว่า
“น่าจะมีคำถามอีกข้อ นะครับว่า ..A.เห็นควรคงไว้ B.ยุบทิ้งเสียไร้ประโยชน์”
“ไม่ใช่คลายความเชื่อถือ..มันไม่เคยมีด้วยซ้ำกะไอ้ความเชื่อถือเชื่อมั่นจากองค์กรนี้”
” ยุบเถอะคับ! ตรวจทุกหน่วยงานแต่ไม่ใช่ คสช.”

โดยโพลล์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่ ป.ป.ช. แถลงสรุปกรณีนาฬิกาหรูที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สวมใส่ทั้ง 22 เรือน ยืมมาจากเพื่อนที่ชื่อ ปัฐวาท สุขศรีวงศ์ ที่เสียชีวิตไปแล้วจริง


เกมจับคู่ให้เหมาะสม… มีของรางวัล (#นาฬิกายืมเพื่อน ) ฟรี 1 เรือน



Curfew®‏ @CurfewBeagle
เอาจริงๆแล้ว เราก้อไม่กล้าจ้างมันมาเป็นรปภ.น๊ะ เรากลัวมันจะแว๊งมาปล้นบ้านเราอ่ะ #โจรปล้นประชาธิปไตย

มติ ป.ป.ช. เรื่องนาฬิกา น่าอับอาย - "...จากการตรวจสอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยตลอดแล้ว พบว่า มติ ป.ป.ช. ดังกล่าวมีปัญหาใหญ่ 3 ประการ..."





มติ ป.ป.ช. เรื่องนาฬิกา ที่น่าอับอาย





29 ธันวาคม 2561
โดย อานนท์ มาเม้า คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
สำนักข่าวอิศรา


สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2561 ที่ผ่านมา คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 3 ตัดสินว่า ไม่มีมูลที่จะดำเนินการกับพลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ

ผมได้อ่านเอกสารข่าวสำนักงาน ป.ป.ช. และติดตามข้อมูลจากสื่อมวลชน ตลอดจากการตรวจสอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยตลอดแล้ว พบว่า มติ ป.ป.ช. ดังกล่าวมีปัญหาใหญ่ 3 ประการ ได้แก่ 1. ปัญหาการไม่ตั้งประเด็นชี้มูลให้ถูกต้อง 2. ปัญหาการอ้างหลักกฎหมายทรัพย์สินที่ผิดอย่างร้ายแรง และ 3. ปัญหาการกล่าวอ้างเรื่องที่ไม่เป็นประเด็น

1. ปัญหาการไม่ตั้งประเด็นชี้มูลให้ถูกต้อง

หากว่ากันอย่างตรงไปตรงมา กรณีนี้คือการพิจารณาว่าพลเอกประวิตรจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จหรือไม่ ซึ่งตรงนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็รู้อยู่ ถึงขนาดตัดสินดังปรากฏในท่อนท้ายการแถลงข่าวว่า “ไม่มีมูลเพียงพอ” ว่าพลเอกประวิตรมีพฤติการณ์ดังกล่าว

แต่ทว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ตั้งประเด็นและวินิจฉัยตามประเด็นดังกล่าวเลย หากแต่พร่ำพรรณนาในข้อเท็จจริงว่า พลเอกประวิตรยืมนาฬิกาจากเพื่อนจริงหรือไม่ แล้วก็สรุปว่ายืมจริง เมื่อสรุปว่ายืมจริง ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของพลเอกประวิตร จากนั้นก็ลงท้ายตัดสินว่า ไม่มีมูลเพียงพอว่าจงใจยื่นบัญชีฯ เท็จ

นั่นแสดงให้เห็นถึงการไม่ตั้งประเด็นให้ถูกต้อง

เมื่อหลักกฎหมายที่เป็นประเด็นต้องชี้มูลมีอยู่ว่า พลเอกประวิตรจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จหรือไม่ เพราะฉะนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องมีหน้าที่กำหนดประเด็นในข้อกล่าวหาเรื่องนาฬิกาไปตามลำดับ ดังนี้ว่า (1) นาฬิกาที่อยู่ในการครอบครองของพลเอกประวิตรเป็นสิ่งที่ต้องระบุในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินหรือไม่

ถ้านาฬิกาใช่สิ่งที่พลเอกประวิตรมีหน้าที่ต้องแสดงในบัญชี ดังนั้น ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อไป คือ (2) พลเอกประวิตรจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จหรือไม่

แต่เราก็ไม่พบว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตั้งประเด็นตามลำดับในหลักกฎหมายเลย

สำหรับประเด็นแรกที่ว่า นาฬิกาที่อยู่ในการครอบครองของพลเอกประวิตรเป็นสิ่งที่ต้องระบุในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินหรือไม่ นั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก้าวข้ามประเด็นนี้ แล้วไปวินิจฉัยว่า เมื่อยืมก็ไม่มีมูล ซึ่งผมเห็นว่าเป็นการชี้มูลที่ตื้นเขินมาก

เพราะแม้คณะกรรมการ ป.ป.ช. “เชื่อว่าพลเอกประวิตรยืมจริง” ก็ยังไม่ทำให้พลเอกประวิตรพ้นหน้าที่ที่จะต้องระบุนาฬิกาดังกล่าวในบัญชี กล่าวคือ นาฬิกาในกรณีนี้ แม้ “ยืม” มา ก็ยังคงเป็น “สิ่งที่ต้องแสดงในบัญชี”

ที่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ต้องแสดง “ทรัพย์สิน” และ “หนี้สิน” และนาฬิกาที่แม้ยืมมา ก็ยังคงเป็น “ทรัพย์สิน” ของพลเอกประวิตร และ “หนี้สิน” ของพลเอกประวิตรไปพร้อมกัน

ในมุมของการที่นาฬิกาซึ่งยืมมาเป็น “ทรัพย์สิน” นั้น อธิบายในทางกฎหมายได้ดังนี้ว่า ทรัพย์สินมีนิยามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 138 ซึ่ง “สิทธิครอบครอง” จัดอยู่ในนิยามของการเป็นทรัพย์สินด้วย ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงการเป็น “ทรัพย์สินของพลเอกประวิตร” จึงไม่ใช่แค่สิ่งที่เป็น “กรรมสิทธิ์” ของพลเอกประวิตรเท่านั้น หากแต่ยังรวมถึงสิทธิอื่น ๆ ที่มีสถานะเป็นทรัพย์สินด้วย ซึ่งรวมทั้ง “สิทธิครอบครอง”

เมื่อนาฬิกาอยู่ในการครอบครองของพลเอกประวิตรจากการที่ยืมมา พลเอกประวิตรจึงมีสิทธิครอบครองในนาฬิกาซึ่งถือเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของพลเอกประวิตร ที่ต้องระบุในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินด้วยโดยไม่อาจปฏิเสธได้

เพราะฉะนั้น ต่อให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เชื่อว่า นาฬิกาไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของพลเอกประวิตร แต่ก็หนี้ไม่พ้นในฐานะเป็นสิทธิครอบครองซึ่งก็ยังเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งที่ยังอยู่กับพลเอกประวิตร

หรือหากจะมองในมุมเรื่อง “หนี้สิน” ก็ยังไม่หลุดอีก เนื่องจากแม้คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะเชื่อว่า พลเอกประวิตรยืมนาฬิกาจากเพื่อนมาจริง แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็คงจะลืมไปเสียแล้วว่า นาฬิกาดังกล่าวเป็นสิ่งที่เป็น “หนี้สิน” ของพลเอกประวิตรอยู่เสมอ เพราะ “การยืม” ทำให้เกิด “หนี้สิน” โดยเป็นหนี้สินของผู้ยืมซึ่งเป็นหนี้ดังปรากฏอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ หนี้ที่บุคคลซึ่งเป็นผู้ยืมต้องคืนทรัพย์สินนั้นแก่ผู้ให้ยืม

ด้วยเหตุดังกล่าว นาฬิกาที่ยืมมาจึงเป็น “หนี้สิน” ด้วยอยู่ในตัว อันเป็น “สิ่งที่ต้องแสดงในบัญชี”

ทั้งหมดดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ตั้งประเด็นไว้เลยสักนิด ได้แต่พร่ำพรรณาหมกมุ่นอยู่กับการเป็นของยืมเพื่อน แล้วก็พาออกทะเล ไปลงมติสรุปประเด็นโดยไม่ได้ตั้งประเด็นอย่างที่พึงต้องกระทำ

จากที่ได้อธิบายมา สรุปว่า แท้จริงแล้วนาฬิกาที่ยืมมาเป็นสิ่งที่ต้องแสดงในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าไม่แสดง ย่อมเป็นการไม่ยื่นบัญชีฯ ที่ถูกต้อง ซึ่งย่อมต้องพิจารณาในประเด็นถัดไปว่า พลเอกประวิตรจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จหรือไม่

ต่อประเด็นนี้ ผมเห็นว่า พลเอกประวิตรใช้นาฬิกาดังกล่าวอยู่ในความเป็นจริงทั้งเป็นของมีมูลค่าสูงมากสะดุดตาสะดุดใจ จะไม่รู้ว่ามีสิ่งดังกล่าวเป็นทรัพย์สินและหนี้สินที่ต้องแสดงได้อย่างไร

หากจะอ้างว่าลืม ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยโดยสำนึกแบบมาตรฐานวิญญูชนหรือคนทั่วไปที่มีเหตุมีผล

แต่อย่างไรก็ตาม เราไม่พบว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้จัดเรียงประเด็นตามลำดับดังที่กล่าวมาทั้งหมดแต่อย่างใดเลย ซึ่งทำให้หลักกฎหมายที่เป็นประเด็นต้องชี้มูล ถูกละเลยไป

2. ปัญหาการอ้างหลักกฎหมายทรัพย์สินที่ผิดอย่างร้ายแรง

ความตอนหนึ่ง คณะกรรมการ ป.ป.ช. อธิบายว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1369 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ที่ยึดถือทรัพย์สินนั้นไว้เป็นการยึดถือเพื่อตน แล้วคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็รวบรัดว่า จึงต้องด้วยบทสันนิษฐานว่าเพื่อนพลเอกประวิตรเป็นเจ้าของนาฬิกา

ผมในฐานะผู้สอนกฎหมายทรัพย์สิน นอกจากกฎหมาย ป.ป.ช. อ่านความตอนนี้แล้ว ก็ถึงกับหดหู่ใจมาก เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องความรู้พื้นฐานทางกฎหมายทรัพย์สิน

ต่อให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ต้องรู้ทฤษฎีเรื่องสิทธิครอบครอง (possession) กับเรื่องกรรมสิทธิ์ (ownership) เพียงแค่อ่านหนังสือในตัวบทออก ก็ไม่ควรเลยเถิดว่ามาตรา 1369 ให้สันนิษฐานว่าเป็นเจ้าของ เพราะตัวบทใช้คำว่า “ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลนั้นยึดถือเพื่อตน” ไม่ได้บัญญัติว่า “ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นเจ้าของหรือเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์”

ขอเรียนให้ความรู้ว่า มาตรา 1369 ดังกล่าวให้สันนิษฐานว่ามี “เจตนา”ยึดถือเพื่อตน เพื่อประกอบกับการ “ยืดถือ” อันทำให้ครบองค์ประกอบของการมี “สิทธิครอบครอง” ทั้งนี้ เพราะในทางทฤษฎี สิทธิครอบครองต้องมีครบ 2 องค์ประกอบดังกล่าว โดยในทางทฤษฎีเรียกองค์ประกอบเป็นภาษาละตินว่า corpus (ยึดถือ) กับ animus (เจตนายึดถือเพื่อตน) แต่หลักกฎหมายนี้ไม่ได้ให้สันนิษฐานว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แต่ประการใด เป็นคนละเรื่องกันเลย หากคณะกรรมการ ป.ป.ช. เหลือบดูหัวหมวดของมาตรา 1369 สักนิดก็จะเห็นว่าเป็นหมวดว่าด้วยสิทธิครอบครอง ไม่ใช่หมวดว่าด้วยกรรมสิทธิ์นอกจากการเข้าใจผิดในหลักกฎหมายดังกล่าวอย่างร้ายแรงแล้ว การปรับข้อเท็จจริงกับตัวบทมาตรา 1369 ก็มีปัญหา ข้อเท็จจริงตามข่าว นาฬิกาอยู่ในการยึดถือของพลเอกประวิตร เพราะฉะนั้น พลเอกประวิตรต่างหากที่จะถูกปรับเข้าตัวบทมาตรา 1369 ว่าเมื่อยึดถือจึงถูกสันนิษฐานว่ามีเจตนายึดถือเพื่อตน แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กลับปรับบทประหนึ่งว่าเพื่อนพลเอกประวิตรเป็นผู้ยึดถือแต่เพียงคนเดียว จึงปรับผลทางกฎหมายในมาตราดังกล่าว (แบบผิด ๆ ไปให้สันนิษฐานเป็นเจ้าของ) โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. เหมือนหลับตาไม่เห็นว่าพลเอกประวิตรยืดถือใส่ออกงานต่าง ๆ อยู่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่เพื่อนพลเอกประวิตรตาย คนตายจะยึดถือทรัพย์สินแล้วถูกปรับเข้าตัวบทมาตราดังกล่าวได้อย่างไร นี่เป็นการปรับบทของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ดูแล้วสับสนอย่างยิ่ง

จากที่เห็น ผมเชื่อว่า นักศึกษาปริญญาตรีที่คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ น่าจะมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับมาตรา 1369 ดังกล่าว ดีกว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.

3. ปัญหาการกล่าวอ้างเรื่องที่ไม่เป็นประเด็น

ตอนท้ายของมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีประโยคแพลมขึ้นมาว่า เพื่อนพลเอกประวิตรไม่เกี่ยวข้องกับกระทรวงกลาโหม ซึ่งไม่ได้เป็นข้อความที่เกี่ยวกับประเด็นในการชี้มูลแต่อย่างใดเลย ที่ประชาชนอยากรู้คือ พลเอกประวิตรจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จหรือไม่ และนี่ต่างหากคือประเด็นที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องตั้งหลักให้มั่นในการทำหน้าที่ ไม่ใช่เลี้ยวออกไปกล่าวถึงเรื่องอื่น ประชาชนไม่ได้อยากรู้ว่าเพื่อนพลเอกประวิตรผุดผ่องหรือไม่

ผมคิดว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องไปเรียนรู้เรื่องจับประเด็นเสียใหม่

เหตุที่ผมจั่วหัวว่า มติ ป.ป.ช. นี้ น่าอับอาย เพราะกรรมการ ป.ป.ช. เสียงข้างมาก 5 คน ที่มีชื่อว่า นายปรีชา เลิศกมลมาศ นายณรงค์ รัฐอมฤต นายวิทยา อาคมพิทักษ์ นายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร และ พล.อ.บุณยวัจน์ เครือหงส์ ทำให้เกิดมติที่มีปัญหาใหญ่ 3 เรื่องดังที่กล่าวมา

ปัญหาใหญ่ทั้ง 3 สะท้อนศักยภาพในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะชื่อว่า “องค์กรอิสระ” เพราะทำให้เห็นว่า

1. ไม่มีศักยภาพในการตั้งประเด็นชี้มูลให้ถูกต้อง ซึ่งจะนำไปสู่การไต่สวนข้อเท็จจริงและปรับบทกฎหมายที่ถูกต้องกับเรื่องที่ต้องชี้มูลด้วย จึงทำให้ยากที่จะฝากความหวังในการทำหน้าที่ และทำให้ประชาชนอาจไม่เชื่อว่าการป้องกันและปราบปรามการทุจริตจะสำเร็จผลได้อย่างถูกต้องเป็นธรรมได้ภายใต้การทำงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดนี้

2. ไม่มีแม้กระทั่งความรู้พื้นฐานทางกฎหมายในเรื่องที่ตนพยายามแสดงให้ปรากฏ เป็นเรื่องที่น่าอดสูในภูมิความรู้ที่มี

3. ไม่มีความสามารถที่จะอยู่ในประเด็นที่เป็นหัวใจของเรื่อง แต่กล่าวนอกเรื่องนอกราว ทั้งที่การจับประเด็นเป็นเรื่องพื้นฐานที่คนทำงานเกี่ยวกับกฎหมายต้องมีโดยปฏิเสธไม่ได้ การไร้ศักยภาพซึ่งสะท้อนให้เห็นจากมติ ป.ป.ช. ครั้งนี้ ทำให้รู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ทั้งเสียดายภาษีอากรจากประชาชนทั้งหลายที่ต้องเสียไปเป็นเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทน เสียดายที่ประเทศเรามีรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ป.ป.ช. ที่ถูกร่างอย่างเข้มข้นและโฆษณาสาธยายในคุณสมบัติเสียเหลือเกิน แต่ก็มาตกม้าตายที่คนใช้กฎหมายที่มีอำนาจกฎหมายอยู่ในมือ

เมื่อวาน นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ออกมาพูดหลังมีการวิพากษ์วิจารณ์มติดังกล่าวว่า เวลาจะพิสูจน์การทำงาน ป.ป.ช.

ผมอยากถามว่า พิสูจน์อะไร

เอาเข้าจริงระยะเวลาในการตรวจสอบเรื่องนาฬิกาที่เสียไปพร้อมกับทรัพยากรของรัฐในระหว่างการตรวจสอบ ทั้งผลมติที่ชี้มูลมา ย่อมพิสูจน์แล้วในสายตาประชาชน มองไปยังอนาคตเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของพวกท่าน เกรงว่าอยู่ไปก็เป็นภาระและหายนะ ที่ทำลายความหวังของคนในชาติมากไปกว่านี้ ถ้าคิดเฉพาะ ณ ปัจจุบัน สำหรับในสายตาของผม พิสูจน์แล้วว่า น่าอับอาย

ooo

.




นักกิจกรรมต้านเผด็จการจัดงานรณรงค์ ปลุกประชาชนร่วมต่อต้านการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ โดยชูคำขวัญหนุนการเลือกตั้ง 'เข้าคูหา ฆ่าเผด็จการ' สกัดวงจรต่อท่ออำนาจ




https://www.facebook.com/VoiceOnlineTH/videos/515969285568009/'


กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย หรือ DRG ร่วมกับกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย จัดกิจกรรม "รวมพลคนเช็คบิลเผด็จการ" ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา แยกคอกวัว ซึ่งมีประชาชนเข้าร่วมกว่า 150 คน

ภายในงานมีการมีระดมทุนกองผ้าป่า "รวมพลคนเช็คบิลเผด็จการ" , การทอล์คโชว์จากผู้ได้รับผลกระทบจากคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) การแสดงดนตรีจากวงสามัญชนและกลุ่มศิลปิน Rap Against Dictatorship หรือ RAD เจ้าของบทเพลง 'ประเทศกูมี'




กำจัด ม.44

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้เข้าผู้ร่วมงานเขียนข้อความว่า "จะเช็คบิลเผด็จการอย่างไร" พร้อมให้ลงทะเบียนเพื่อจับสลาก เนื่องในวาระส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ด้วย และยังมีโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือไอลอว์ ตั้งโต๊ะระดมรายชื่อประชาชนเพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกคำสั่ง คสช.ด้วย

ด้าน น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว ตัวแทนกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย (DRG) ได้กล่าวในงานว่า การลบล้างผลพวงรัฐประหาร และมรดก คสช. จะต้องดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนขึ้นมาใหม่ โดยเน้นให้มีความร่วมมือมีส่วนร่วมโดยประชาชน เป็นรัฐธรรมนูญที่ยึดโยงกับประชาชนเพื่อสะท้อนเจตนารมณ์และความต้องการของประชาชนให้มากที่สุด





ขณะเดียวกันต้องนำกฎหมาย คำสั่ง นโยบาย หรือพันธะผูกพันใด ๆ ที่ออกโดย คสช. มาทบทวน พิจารณาใหม่ หรือยกเลิกนิรโทษกรรมนักโทษทางการเมือง คืนความยุติธรรมให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของ คสช. เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งพาผู้ที่ลี้ภัยทางการเมืองกลับบ้าน

ทั้งนี้ ต้องดำเนินคดีกับ คสช. และองคาพยพ พร้อมกับตรวจสอบการทุจริต และดำเนินคดีกับ คสช. อาทิ นาฬิกาหรู, โกงราชภักดิ์, ทริปฮาวาย รวมถึงดำเนินคดีกับ คสช. ในข้อหากบฏ และละเมิดสิทธิมนุษยชน ตรวจสอบการเลือกตั้ง และเปิดกลโกงที่ คสช. วางไว้เพื่อให้ตนเองชนะการเลือกตั้ง พร้อมเรียกร้องให้เช็คบิล คสช. ในวันที่ 24 กุมภา เข้าคูหา ฆ่าเผด็จการ ร่วมกันแสดงจุดยืนต่อต้านเผด็จการ รวมไปถึงการประณามพรรคการเมืองที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของ คสช.


ที่มา Voice TV


ชาวเน็ตอัด "วันชัย สอนศิริ" ตรรกะวิบัติ มาเขียน รธน.วิบัติ - "ก็เพราะตรรกะที่มันผิดเพี้ยนไปจากชาวโลกของมุงนี่แหละ ที่ทำให้ทุกอย่างในปท.นี้ มันบิดเบี้ยว ไปหมด จะเดินไปข้างหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ล้ม"




Thanawut Chitcharoen ก็เพราะตรรกะที่มันผิดเพี้ยนไปจากชาวโลกของ
มุงนี่แหละ ที่ทำให้ทุกอย่างในปท.นี้ มันบิดเบี้ยว
ไปหมด จะเดินไปข้างหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ล้ม
มุงยังจะมีหน้าออกมาพูดอย่างภาคภูมิใจได้อีกนิ
ดักดานแท้. ..

Cpachurn Chitchuechun คนตรรกะวิบัติ ได้มาเขียน รธน.ที่วิบัติ ส่งผลให้ ประเทศชาติบ้านเมืองวิบัติ

อ่านความเห็นเพิ่มเติมได้ที่...

https://www.facebook.com/matichonweekly/videos/2191493154424034/


วันเสาร์, ธันวาคม 29, 2561

โอกาสฝ่ายประชาธิปไตยจะชนะเลือกตั้งถล่มทลาย 'มี' นะ ต้องดูที่ 'Thailand Poll'

ต่อการที่ ปปช. ป้องประวิตรแห่งชาติ (sure) ทำให้องค์กรต้านทุจริต-ต้านคอรัปชั่น ที่อาจเคยต้านแค่คนๆ เดียว เดี่ยวนี้ออกมาร้องกันระงม

ไม่ว่าจะเป็น ต่อตระกูล ยมนาค หรือว่า มานะ นิมิตรมงคล คนหนึ่งประกาศไม่ร่วมงานด้วย อีกคนตั้งสี่คำถาม ถึงมาตรฐาน ป้องคอรัปชั่นยุค คสช.
 
ย้อนไปถึงกรณีที่ เรื่องเล่าเช้านี้ เปิดข่าว “อดีตผู้บริหารโรงไฟฟ้าญี่ปุ่นขึ้นศาล ยอมรับติดสินบน (เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงคมนาคม) ไทย ๑๑ ล้านบาท...แลกกับการอำนวยความสะดวกในการขนเครื่องจักรขึ้นท่าเรือที่จะนำไปใช้ในการก่อสร้าง...โรงไฟฟ้าขนอม

ทำให้เป็นที่ทายทักกันหนักว่า การสืบทอดอำนาจของ คสช. ผ่านทางพรรคพลังประชารัฐ ชักจะเป๋จนต้องหาเหตุเลื่อนเลือกตั้งไปอีกหน่อย อย่างน้อยๆ ๑ เดือน เมื่อ กกต. อีกองค์กรอิสระลิ่วล้อที่อูฟูจากการขึ้นเงินเดือนโดย คสช. โอดว่าจะพิมพ์บัตรเลือกตั้งไม่ทัน
 
ทว่าแหล่งข่าวของ Sanook! News เปิดโปงว่า การจัดเตรียมและคัดเลือกผู้สมัครในระบบเขต รวมทั้งในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคใหม่ใหญ่โตพรรคหนึ่ง “ยังคงมีความไม่ลงตัว...โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวบุคคลที่พรรคเล็งที่จะทาบทามหรือดึงตัวให้มาร่วมทำงานกับพรรค”

นัยว่าเป็นเรื่องขัดข้องทางเทคนิค การดูด“หลายคนยังไม่สะเด็ดน้ำ ยังตกลงกันในรายละเอียดไม่เสร็จสิ้น อีกทั้งเริ่มมีกระแสข่าวลือแพร่สะพัดออกมาว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อาจจะเป็นผู้ตัดสินใจเลื่อนการเลือกตั้งออกไป”


Dhiravath Suantan @ARMdhiravath นักข่าวการเมืองช่อง ๓ ตั้งข้อสังเกตุไว้น่าคิด “พลังประชารัฐส่อล่ม” จากปมการก่อตั้งพรรคไม่ต้องตามทั้งระเบียบ กกต. และ พรป.พรรคการเมือง ว่า “หรือนี่คือปัญหาที่จะทำให้เลือกตั้งต้องเลื่อน”
 
ประเด็นมั่วซั่วของพลังประชารัฐเกิดจาก ตัวหัวหน้าและผู้บริหารอีกสองคนที่ยังเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลประยุทธ์ เพิ่งทำการสมัครเป็นสมาชิกพรรค ทั้งๆ ที่ “ระเบียบ กกต.กำหนดชัดตั้งพรรค หัวหน้าต้องมาจากผู้ก่อตั้ง ๕๐๐ คน โดยผู้ก่อตั้งถือเป็นสมาชิกพรรคโดยอัตโนมัติ

คำถามคือหัวหน้าอุตตมเป็น ๑ ใน ๕๐๐ ผู้ก่อตั้งหรือไม่ ถ้าใช่ทำไมต้องไปสมัครสมาชิกภายหลัง? แล้วเหตุใด กกต.ถึงรับจดจัดตั้งเป็นพรรคการเมือง” คำตอบตามความจริงมีอยู่ แต่คำตอบให้พ้นผิดอาจต้องใช้เวลาแบบดียวกับคดีนาฬิกาหรูของพี่ใหญ่

ข้อเท็จจริงก็คือตัวตั้งตัวตีพรรคพลังประชารัฐ เป็น สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กับพวก สามมิตรแม้นว่า อุตตม สาวนายน สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ และกอบศักดิ์ ภูตระกูล รวมทั้งสุวิทย์ เมษินทรีย์ เตรียมตัว หรือ เตี๊ยม กันไว้แล้วว่าจะเข้าร่วมงาน แต่ช่วงนั้นคงยังไม่พร้อม เปิดตัว กันก็ได้

จะเป็นด้วยความมักง่ายหรือถือดีว่ามีอำนาจล้นหลาม เหมือนที่ สมศักดิ์ เทพสุทิน เอาไปคุยโตว่าเขาเขียนรัฐธรรมนูญรอไว้เอื้อเฟื้อ พวกเรา ก็ตาม มันทำให้ชักจะยุ่งตายห่ขณะนี้ เมื่อคนที่น่าจะ กันเองหันมาชี้หน้า ตบข้อมือกันขรม

ไทกร พลสุวรรณ อดีตแกนนำกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณ อีกคนหนึ่งละที่ นำลงข้อมูลแท้บนเฟชบุ๊คเรื่อง โต๊ะจีน ๓ ล้านจัดเลี้ยงระดมทุนของพรรคพลังประชารัฐว่า “เหมือนปล้นกลางแดด” เพราะกำลังมีการพยายาม ตบแต่งบัญชีรายชื่อผู้บริจาคให้ดูดี “ถูกต้องตามกฎหมาย”

เขาเตือนแกมขู่ว่า “ท่านใดไม่ได้บริจาคจริงแล้วยอมให้เอาชื่อตนเองไปใส่ ท่านก็จะมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด นอกจากความผิดตามกฎหมายพรรคการเมืองและรัฐธรรมนูญแล้ว ท่านยังจะมีความผิดอาญาพ่วงเข้าไปอีก”

รวมไปถึงตัวพรรคพลังฯ นั้นเอง “เมื่อ กกต. ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องนี้ จุดจบคือยุบพรรค ตัดสิทธิ์ทางการเมือง และติดคุก

และหาก กกต.ยังโอ้เอ้วิหารรายอยู่ กกต. ก็จะโดนคดี ๑๕๗ (ละเว้นปฏิบัติหน้าที่) พ่วงเข้าไปอีก จะหาว่าไม่เตือน เพราะมีคนจองกฐินไว้เพียบ” เหมือนอย่าง ปปช.ก็โดน จองไปแล้ว


หลักใหญ่ใจความที่อาจกลายเป็นวิบากกรรมของรัฐบาลใหม่ คสช. ภายใต้ประยุทธ์อีกครั้ง ก็คือปัญหาของ โพลทั้งที่ ม.รังสิต ของ อาทิตย์ อุไรรัตน์ และสุริยะใส กตะศิลา (and such) อุตส่าห์ออกมาตีปลาหน้าไซ

“ผลสำรวจครั้งที่ ๕ ระบุว่า คะแนนนิยมที่ประชาชนต้องการบุคคลมาเป็นนายกรัฐมนตรีภายหลังการเลือกตั้ง ยังเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีคะแนนิยมอันดับ ๑ คือ ๒๖.๐๔%

แต่กลับถูก สังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ตำแหน่ง pollster ผู้อำนวยการจัดทำโพลตั้งข้อสงสัยเพราะ “ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากบุคคลจำนวนหนึ่งว่าไม่เป็นกลางเพราะไม่น่าเชื่อว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้รับคะแนนนิยมเป็นอันดับหนึ่ง”

เขาจึงประกาศ “ยุติการทำรังสิตโพลล์นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หากในอนาคตผมจะทำการสำรวจโพลจะถือว่ามิได้เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยรังสิตแต่ประการใดทั้งสิ้น” เอาละสิ ยุ่งไหมล่ะ ยังไม่พอ นิด้าโพลออกมาย้ำเข้าอีก

“พรรคการเมืองที่จะสามารถให้ของขวัญปีใหม่ ๒๕๖๒ ตามที่ประชาชนต้องการได้ (๑๐ อันดับแรก) พบว่า อันดับ ๑ ร้อยละ ๒๗.๗๑ ระบุว่าเป็นพรรคเพื่อไทย”


ร้ายกว่านั้นถึงขั้น ตายห่โดน ‘Thailand Poll’ ซ้ำ ดั้มพลอยเข้าด้วย โดยเขาสำรวจเป็นตัวเลขลงรายละเอียดเรื่องจะเลือกพรรคไหนให้มาเป็นรัฐบาลชุดต่อไป

เพื่อไทยมาวินได้ ๓๗.๗๒ % คิดเป็นจำนวน ส.ส. พึงได้ ๑๘๙ คน ตามติดด้วยพรรคอนาคตใหม่ ๒๖.๔๕% เท่ากับจำนวน ส.ส. ๑๓๒ ที่นั่ง แค่นั้นไม่พอ ที่สามดันเป็นเสรีรวมไทยของเสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวส ได้ ๑๓.๘๗% คำนวณที่นั่งได้ ๖๙


มีคนตาดี หัวไว (สงสัยเก่งคณิตศาสตร์แบบ น้องไป๊ป์) รวมคะแนนที่นั่งพึงได้ของสามอันดับแรกที่ไม่บังเอิญเป็น ฝ่ายประชาธิปไตยเท่ากับ ๓๙๐ ที่นั่ง เกินจำนวนต้องการ (๓๗๖) สำหรับตั้งรัฐบาลกันเองตัดหน้าพรรคลิ่วล้อ คสช. ได้สบาย

ข้อสำคัญถ้าเป็นไปได้อย่างนี้ ยังมีพรรคฝ่ายขับไล่เผด็จการ ไม่เอา คสช. ปลาซิวปลาสร้อยอีกสองสามพรรค พอทำให้เป็นชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตยอย่าง ‘Landslide’ ถล่มทลายเกิน ๔๐๐ ได้เลย

'ประยุทธ์' ย้ำ 'อยากให้คิดถึงคุณประโยชน์ของทหารบ้าง' จวกคนบิดเบือน... ใครบิดเบือน?




'ประยุทธ์' จวกคนบิดเบือน ย้ำ 'อยากให้คิดถึงคุณประโยชน์ของทหารบ้าง'

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวระหว่าง มอบรางวัล โล่ประกาศเกียรติคุณสุดยอดวัฒนธรรมสร้างสรรค์แห่งปี พ.ศ. 2561 ว่าวันนี้ผ่านไป 4 ปี บ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อย นับว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ประเทศชาติเดินหน้าได้ วันนี้ต้องสงบเรียบร้อย หากไม่สงบเรียบร้อยก็ไม่สามารถเดินหน้าได้ ดังนั้นความมั่นคง จึงต้องมาก่อนเสมอ ฉะนั้นวันนี้อย่าให้ใครมาบิดเบือนหากวันนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่แล้วใครจะทำ น้ำท่วม ฝนตก หน้าแล้งใครจะช่วย กระทรวงมีคนพอหรือไม่

"สิ่งต่างๆเหล่านี้ยังมีคนนำไปบืดเบือน เหมือนวันนี้หน้าที่ของคนไทยทุกต้องเป็นทหาร การเกณฑ์ทหารวันนี้ไม่ได้เกณฑ์ทั้งหมด มีคนสมัครมาเยอะแยะไปหมด บางพื้นที่บางเขตสมัครเต็มไปหมด ก็มีระยะ เป็นทหาร 6 เดือนบ้าง 1 ปีบ้าง หรือ 2 ปีบ้างตามคุณวุฒิ ที่เหลือจับใบดำ ใบแดง ก็ต้องเป็น 2 ปี ก็แค่นั้น" นายกฯ กล่าว

ขณะเดียวกันต้องจัดสถานที่ มีค่ายทหารให้อยู่ เพื่อเรียกได้ทุกเวลา 24 ชั่วโมง ถือต้องมีรถ มีเรือ ไม่ใช่เอาไว้ทำอย่างอื่น ตนจึงอยากให้คิดถึงคุณประโยชน์ของทหารบ้าง เพราะฉะนั้นใครที่มีความคิดต่างจากนี้ไปจากนี้ ตนก็คงไปบังคับไม่ได้ วันนี้ถ้าคนไทยไม่รู้จักหน้าที่ของตนเอง รู้จักแต่ สิทธิ เสรีภาพ ไม่เครพกฎหมาย นั้นคือไม่ใช่ประชาธิปไตย อย่างแท้จริง วันนี้ตนทำงานด้วยกฏหมาย ระมัดระวังอย่างเต็มที่ที่สุด ถึงแม้ว่าจะมีคนกล่าวอ้างต่างๆนานา ไปหากเราทำถูกกฎหมายตน ก็ไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น

ที่มา : https://voicetv.co.th/read/fCrJ3oPes

...

ใครบิดเบือน?
ว่าแต่ประชาชน..ไม่เคารพกฎหมาย
พวกที่ไม่รู้จักหน้าที่ของตนเอง..ก็ทหารนั่นแหละ
...
ทหารของอารยะประเทศเขาเป็น"สุภาพบุรุษ"กันไปแล้ว
แต่ทหารบ้านเรา-บางคน
ความคิดยังเป็น"นักรบ" ที่หาศัตรูไม่เจอ
ปวงชน..ก็ซวยซ้ำซาก
..
จะปฏิรูปประเทศ...
ถ้า รร.ทหารไม่สอนกันให้ถูกวิถี ก็ยังจะมีการยึดอำนาจปวงชน
อวดเก่ง..ไปแก้ปัญหาด้วยสติปัญญาอันจำกัดของตัวเอง
และมาลำเลิกบุญคุณกับปวงชน..แบบนี้


พงษ์ศักดิ์ เกษมพันธ์ shared a post.

ก่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ๆ มักจะมีเหตุการณ์ให้คนโกรธแค้นกันมาก จนเป็นฉันทามติร่วมของสังคม กรณีนาฬิกาก็เช่นกัน





ก่อนการเปลี่ยนแปลงคร้้งใหญ่ ๆ
มักจะมีเหตุการณ์ให้คนโกรธแค้นกันมาก จนเป็นฉันทามติร่วมของสังคม
กรณีนาฬิกาก็เช่นกัน
.
หลังจากนี้ ปปช. ไม่มีความชอบธรรมที่จะตัดสินคดีนักการเมืองแล้ว
เพราะตัดสินอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อ
.
พรรคการเมืองที่มีจุดยืนต่อต้านอำนาจเผด็จการ ไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญ 2560 ต้องการฉีกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
ต้องขอบคุณคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ตัดสินช่วยประวิตร วงษ์สุวรรณ ในคดี แหวนแม่ นาฬิกาเพื่อน (ที่ตายไปแล้ว)
เพราะหลังจากนี้ ปปช. ก็หมดความชอบธรรมในการเป็นเครื่องมือของ คณะรัฐประหารในการขัดขวางการฉีกรัฐ
ธรรมนูญ 2560 และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี อีกต่อไป
.
ประชาธิปัตย์ ต่ำ 100 พลังประชารัฐ ต่ำ 50
มากที่สุด 2 พรรครวมกันคือ 150
คิดเป็น 30 % ของที่นั่งในสภาผู้แทนเท่านั้น
ผลออกมาเช่นนี้ ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนา ภูมิใจไทย ไม่ไปหนุนประยุทธ์ จันทร์โอชาให้โง่หรอก
อุตส่าหาเสียงเกือบตายเลือกนายกให้ไปถูกคว่ำในสภา
รัฐบาลหลังเลือกตั้งคือ ลอยแพ ประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ



Thanapol Eawsakul

บรรยากาศ #หักนกหวีด_ฉีกร่างสาปแช่งลุงกำนวย ของอดีตแกนนำกปปส.ชลบุรี ทำพิธีถอนคำสาบาน




#หักนกหวีด_ฉีกร่างสาปแช่งลุงกำนวย

13:29 ณ ศาลหลักเมือง
ปนิธิ แสนปราชญ์(陳俊勇) อดีต แกนนำกปปส.ชลบุรี ถือฤกษ์วันนี้ 28 ธันวาคม วันคล้ายวันปราบดาภิเษกสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช นำกลุ่มอดีต กปปส. ที่เรียกว่า "กลุ่มนกหวีดหัก-ตระบัดสัตย์" ทำพิธีถอนคำสาบาน ที่เคยสาบานกัน"สุเทพ เทือกสุบรรณ"อดีตเลขาธิการ กปปส.ต่อหน้าพระแก้วมรกต วัดพระแก้ว
โดย"สัจจะอธิษฐาน"ต่อหน้าสิ่งศักดิสิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนั้น ได้ระบุว่า ในเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ในปี 2556 จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง โดยเปิดทางให้ทหารเข้ามายึดอำนาจการปกครองบ้านเมือง เพื่อให้เกิดความชอบธรรม แต่เวลาผ่านไป2ปี ก็เริ่มรู้แล้วว่า นายสุเทพกับรัฐบาล คสช หลอกลวง
"เวลาผ่านมาร่วม 5 ปี นับเป็นเวรกรรมของประเทศ ประชาชนทุกข์ยากลำบากทั้งแผ่นดิน ภายใต้การบริหารของรัฐบาลเผด็จการทหาร วันนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า เราประชาชนผู้ร่วมต่อสู้ถูกหลอก ทั้งๆที่เข้าร่วมการต่อสู้ด้วยจิตใจบริสุทธิ์ "
ดังนั้น บรรดาอดีต กปปส จึงขอถอนคำสาบานที่เคยกล่าวร่วมกับสุเทพ เทือกสุบรรณ และประกาศตัดขาดกับ อดีตเลขาธิการ กปปส.นำทหารเข้ามายึดอำนาจ
พร้อมทั้งสาปแช่งสุเทพ เทือกสุบรรณ ตลอดจนแกนนำ กปปส ที่ยังไม่สำนึกยอมรับผิดต่อพี่น้องมวลมหาประชาชน จงพบกับความวิบัติ พินาศย่อยยับในเร็ววัน !!

พร้อมกันนี้
ปนิธิยังทำพิธีกรีดเลือดนิ้วมือกรวดน้ำ เพื่ออุทิศกุศลแก่ผู้ชุมนุมที่เสียชีวิต พร้อมทั้งฉีกรูป สุเทพ เทือกสุเทพ ออกเป็น 9 ท่อน

(ภาพ:สงวน คุ้มรุ่งโรจน์)




มติชนออนไลน์ (27 ธค.) โพสต์ข่าว อนุสาวรีย์ปราบกบฏ จะถูกย้ายไปไว้ที่ศูนย์ก่อสร้าง กทม.ย่านหนองบอน อย่างถาวร โดยจะเริ่มดำเนินเคลื่อนย้ายคืนวันที่ 27 ธ.ค.นี้ ด้วยรถบรรทุกขนาดใหญ่





ย้ายคืนนี้! อนุสาวรีย์ปราบกบฏ หลังสักการะเงียบๆ เหตุปรับปรุงพื้นที่รับรถไฟฟ้า


27 ธันวาคม 2561
มติชนออนไลน์


เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม เวปไซต์ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่าหลังจากเมื่อวันที่ 3 พ.ย.2559 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้สักการะและดำเนินการย้ายอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญหรืออนุสาวรีย์ปราบกบฏบวรเดช 2476 ตั้งอยู่กลางบริเวณวงเวียนหลักสี่ ย่านบางเขน กทม. ไปไว้ทางทิศเหนือ 45 องศา ฝั่งถนนพหลโยธินขาออกมุ่งหน้าสะพานใหม่เพื่อไม่ให้กระทบโครงสร้างสถานีวัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร บางเขน ซึ่งเป็น 1 ในสถานีของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต

ล่าสุด มีรายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อคืนวันที่ 23 ธ.ค.2561 ที่ผ่านมากรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ทำพิธีสักการะแบบเงียบๆ เพื่อจะดำเนินการย้ายอนุสาวรีย์แห่งนี้ไปไว้ที่ศูนย์ก่อสร้าง กทม.ย่านหนองบอน อย่างถาวร โดยจะเริ่มดำเนินเคลื่อนย้ายคืนวันที่ 27 ธ.ค.นี้ ด้วยรถบรรทุกขนาดใหญ่





สำหรับ “อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ” ที่ผ่านมามีการเรียกชื่อต่างกันไป เช่น อนุสาวรีย์ปราบกบฎ อนุสาวรีย์ 17 ทหารและตำรวจ อนุสาวรีย์หลักสี่ เป็นต้น ก่อสร้างเสร็จและทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 15 ต.ค.2479 ตั้งอยู่ ณ วงเวียนหลักสี่ จุดตัดระหว่างถนนพหลโยธินกับถนนแจ้งวัฒนะและถนนรามอินทรา

ถูกสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองการปราบ “กบฎบวรเดช” โดยมีการบรรจุอัฐิทหารและตำรวจที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ภายในรวม 17 นาย

ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีการปรับปรุงพื้นที่บริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญอยู่หลายครั้ง โดยกรมทางหลวง เพื่อลดปัญหาการจราจรโดยรอบไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงภูมิทัศน์เป็นสี่แยก ขุดอุโมงค์ลอดอนุสาวรีย์ ก่อสร้างสะพานลอยเชื่อมต่อการเดินทางถนนแจ้งวัฒนะและถนนรามอินทรา ล่าสุดโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต

ooo

28/12/61

เมื่อคืนกลางดึก
รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน (รฟม.)
ได้ดำเนินการย้าย
อนุเสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ
(อนุเสาวรีย์ปราบกบฏ) หลักสี่
ไปไว้ที่ ศูนย์ก่อสร้าง กทม.
ย่านหนองบอนเป็นการถาวร
:
ระหว่างการขนย้าย
มีทหารนอกเครื่องแบบยืนเฝ้า
แทบทุกจุด ใครถ่ายรูปจะถูก
ขอตรวจบัตรประชาชนทุกคน
:
น้อง 2 คน ตั้มกับกานต์
ไปถ่ายรูป + ไลพ์สด ถูกจับ
ไปลงบันทึกประจำวันที่โรงพัก
และยึดโทรศัพท์มือถือ
-----

อนุเสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ
ก่อสร้างและทำพิธีเปิด
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2479

เพื่อเป็นอนุสรณ์และ #บรรจุอัฐิ
ทหารและตำรวจ 17 นาย
ที่เสียชีวิตในการปราบกบฏ
นำโดย
พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดช
ที่ก่อกบฏเพื่อยึดอำนาจคืนจาก
คณะราษฏร
---
หมุดคณะราษฏร
ก็ได้ถูกถอดถอน สาบสูญจนบัดนี้
ต่อไปอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย
กลางถนนราชดำเนินคงถูกทุบทิ้ง
-----
โยกย้าย.. รื้อ.. ถอน ประวัติศาสตร์
ทำทุกอย่างเพื่อให้ลืม..ลบ เลือน
แต่.......
ประวัติศาสตร์ของคณะราษฏรนั้น
เป็นเรื่องจริง ได้เกิดขึ้นจริง
-----