วันอาทิตย์, พฤษภาคม 31, 2563

สองพรรคร่วม ปชป.-ภท.เล่น ‘ลูกไม้’ กระตุกหนวดหัวหน้า ขณะที่คณะ 'ก้าวหน้า' เดินต่อกัดติดกองทัพ


ข้ามช้อตไปบ่ายสองวันนี้ (๓๑ พ.ค.) ในการประชุมสภา พรก.การเงิน ๓ ฉบับผ่านฉลุยแน่ แม้นว่าจะ “ส่อเค้าบานปลาย” อย่างที่ มติชน ว่าก็เถอะ เพราะเสียงเต็มของฝ่าย ไม่เก่งเศรษฐกิจนำอยู่ขาดลอยกว่า ๖๐ คน และไม่มีทางที่สองพรรคร่วมจะแตกแถวทั้งหมด

ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยน่าจะเล่น ลูกไม้กระตุกหนวดหัวหน้าใหญ่ให้สำนึก ว่านี่อยู่ใน วิถีการเมือง ละนะ ต้องเจี๊ยวจ๊าวกันธรรมดา ไม่ใช่สยบสงบเสงี่ยมเหมือนตอนรัฐบาลที่แล้ว ซ้ายหันขวาหันตามทั่นผู้นำเสมอไป

ถึงแม้จะยังทำตัวเป็นคุณพ่องรู้ดี สอนสั่ง “อย่าเอาไอ้นี่ไปพันไอ้นั่น พันกันไปพันกันมา มันพันได้ทั้งวัน พูดไปอภิปรายไปทั้งวันมันก็ไม่จบ” ฝ่ายค้านเขาไม่ฟังอยู่แล้วกับวาทกรรมจำอวด คราวนี้พวกพรรคร่วมเองเอาบ้าง เป็นสมาชิกสภาก็ต้องพูด จะให้อมสากทั้งวันได้ไง

สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรค ปชป.ต้องการอภิปรายให้ถึงแก่นเรื่องงบฯ ฟื้นฟู ๔ แสนล้านในคณะกรรมาธิการ เพราะไม่ไว้ใจ “อาจไม่ตรงเป้าหมายและเกิดความไม่โปร่งใส หากรัฐบาลให้ตั้ง กมธ.วิสามัญฯ” ก็จะลดการตรวจสอบนอกสภาได้บ้าง

ตัวอย่างมีเห็นๆ จากที่ คณะก้าวหน้า กัดติดกองทัพ “ตรวจสอบสวัสดิการเชิงพาณิชย์” อีกครั้งหลังจากพ้น ๖ เดือนตาม สัญญาสุภาพบุรุษที่ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และปิยบุตร แสงกนกกุล เคยไปนั่งจับคางตัวเองคุยกับ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เมื่อต้นกันยา ๖๒

มาวันนี้ ๘ เดือนนับแต่การนัดพบ และ ๒ เดือนให้หลัง แดงหย่าย นั่งบนภูดู ตลก.รัฐธรรมนูญเถือเนื้ออนาคตใหม่ยุ่ยยับเหลือแต่ผังผืดที่ยังเหนียวพอยึดยั้ง ฟูมฟักองคาพยพให้ฟื้นกลับมาแกร่งกล้าใหม่ ธนาธรได้ออกล่าหาใบเสร็จมายัน

ไปตีกอล์ฟที่สวนสนประดิพัทธ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เก็บใบเสร็จและใบกำกับภาษีมาแสกนพบว่ายังเป็นของ ทบ.อยู่ ไม่มีโรงแรมดุสิตธานีบริหารตามคำสัตย์ ผบ. “พร้อมทั้งตรวจสอบสโมสรฟุตบอล อาร์มี ยูไนเต็ด ที่มี พล.อ.อภิรัชต์ เป็นประธาน...

พบว่ามีการตั้งเอกชนเข้าดำเนินการ” ไม่ได้มีการ ‘ยุบสโมสร’ ไปแล้วดังที่เคยเป็นข่าว “สถานะยังกำกวม เพราะทีมอยู่ในการดูแลของกรมสวัสดิการ ทบ. แต่บริษัทเป็นเอกชนมีผู้ถือหุ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ในกองทัพ” เท่ากับยัง พาณิชย์กลาโหม อยู่ดี
 
ย้อนไปที่เรื่อง กมธ.เงินกู้ ภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส. อ่างทองพรรคภูมิใจไทยอีกราย “ขอใช้เอกสิทธิ์ร่วมกับ ส.ส.กว่า ๒๐ คน จากหลายพรรคการเมือง...เสนอญัตติตั้ง กมธ.วิสามัญติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายเงินจากการกู้เงินตาม พ.ร.ก.”

อ้าง “เป็นหน้าที่ของ ส.ส.ที่จะตรวจสอบร่วมกับรัฐบาลเพื่อให้การใช้งบประมาณเป็นไปตามวัตถุประสงค์” และเห็นว่า “กลไกของรัฐสภาเป็นช่องทางที่ดีที่สุดในการตรวจสอบ” คนทั่วไปอาจร้องเฮ้ย อะไรกันเนี่ย ปชป.กับ ภท. หักดิบ พปชร.โจ่งแจ้งเชียวหรือ

ถึงอย่างนั้นไม่มีทางที่ทั้ง ปชป.และ ภท.จะกล้างัดข้อกับประยุทธ์และทีม คสช.-ประชารัฐ อาจปล่อยให้พวกเรียกร้องตั้งกรรมาฯ โหวตสวนได้ไม่กี่คน ผลก็ยังไม่อาจยั้งแผนกู้เงินได้อยู่ดี ที่พวกนี้ทำการงูเห่าเฉพาะกิจได้ แค่สะกิดให้รู้ กรูกัดได้นะอย่าเหลิง

อีกด้าน วิปฝ่ายค้านสุทิน คลังแสง แบะท่าไว้แล้ว “ถ้านายกฯ รับเงื่อนไขฝ่ายค้านตั้งคณะกรรมาฯ ตรวจสอบเงินกู้ พวกเราก็อาจโหวตเห็นด้วยกับ พ.ร.ก.เงินกู้ก็ได้” อันเป็นชั้นเชิงต่อรอง กำขี้ดีกว่ากำตด ในเมื่อเห็นแล้วว่าอย่างไรเสียประยุทธ์ดึงดันไปได้

ผลที่ได้ของฝ่ายค้านอันแท้จริงในการนี้อยู่ที่ เสียงอภิปรายอันอึงคนึงในสภาตลอดไม่กี่วันที่ผ่านมา ได้เปิดแผลเน่าเฟะของรัฐบาล คสช.๒ ซึ่งอ้างด้วยปากขยับยุกยิกของประยุทธ์ว่า ถึงไม่มีน้ำยาก็ยังมีน้ำใสใจจริงนั้นไม่ต้องฟื้นฟู เพราะเกินเยียวยา

ไม่ว่าเสียงข้างมากของรัฐบาลจะแถไถว่า “มีหน่วยงานราชการที่น่าเชื่อถือพิจารณาและกลั่นกรอง” เงินที่จะกู้มาอยู่แล้ว “ไม่จำเป็นต้องตั้ง กมธ.วิสามัญฯ ขึ้นมาทำงานซ้ำซ้อน เสียเวลา รวมทั้งเสียงบประมาณของแผ่นดิน”

มันก็เป็นข้ออ้างย้อนแย้งกับสิ่งที่รัฐบาลทำมาแล้ว ดังการต่ออายุบังคับใช้ พรก.ฉุกเฉิน ทั้งที่สถานการณ์โควิดคลี่คลายอย่างมาก ซึ่งกฎหมายปกติครอบพออยู่แล้ว ศบค.ยังทุรังใช้อำนาจฉุกเฉิน เพื่อให้ไม่ลักลั่นเป็น ๗๗ อย่าง ก็ยังฟังไม่ขึ้น

พอถึงเรื่องกู้เงินมาถลุงตั้งเป็นล้านล้าน จะไม่ยอมให้ใครส่องดูได้ แล้วจะมาบอกว่ามี สศช. (กรรมการพัฒนาเศรษฐกิจฯ) สำนักหนี้สาธารณะ ก.คลัง และกรรมการนโยบายระดับจังหวัด (ก.น.จ.) รับภาระหน้าที่อยู่แล้ว ไม่ต้องมีองค์กรกลางรวมศูนย์แบบ กมธ.กำกับแทน

แบบนี้ไม่เรียกว่า เอาแต่ได้ จะแดรกท่าเดียว แล้วเรียกอะไร

BBC เล่นข่าวน่าสนใจ... ทิศทาง ของกลุ่ม CARE ที่กำลังจะพัฒนาเป็นพรรคการเมือง ทักษิณอยู่ตรงไหน ในความเคลื่อนไหวของกลุ่ม...




ไม่รู้ว่าใครให้ข่าวกับ BBC ไทยแต่น่าสนใจมาก เกี่ยวกับทิศทาง ของกลุ่ม CARE ที่จะพัฒนาเป็นพรรคการเมืองใหม่อีกพรรคหนึ่งในอนาคต
ปล พรรคนี้จะลงท้องถิ่นด้วย แน่นอนก็คงจะหมายถึง ผู้ว่ากทม.
.......
บทเรียนเก่า แผนงานใหม่
บทเรียน ประสบการณ์ และนวัตกรรมการเมืองที่เกิดขึ้นในอดีต ถูกทบทวนอย่างจริงจัง ก่อนเป็นแนวทางขับเคลื่อนวาระของกลุ่มเบื้องต้น อาทิ
ไม่ทำการเมืองเก่าที่ใช้ข้อมูล "ตัดแปะจากข่าว" แต่เอา "บิ๊กดาต้า" หรือระบบประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์มาเป็นฐานข้อมูล
ไม่เป็น "พรรคหรือกลุ่มอีเวนต์" ที่จุดพลุ สร้างกระแสในโลกออกไลน์ สร้างเทรนด์ทางทวิตเตอร์แค่ชั่วข้ามคืนแล้วหายไป แต่ต้องการให้เกิดปฏิบัติการทางการเมืองอย่างจริงจัง
ตอบสนองความฝันและความหวังของคนรุ่นใหม่บางส่วนที่เห็นว่าพรรคที่มีอยู่ในระบบปัจจุบันไม่ใช่ทางเลือกของพวกเขา
สำหรับญัตติสาธารณะที่กลุ่ม CARE เตรียมนำเสนอต่อสังคมอยู่ภายใต้หัวข้อ "ประเทศไทยหลังโควิด-19" ซึ่งแบ่งการทำงานออกเป็น 3 ระยะ
....
ทักษิณอยู่ตรงไหน ในความเคลื่อนไหวของอดีตขุนพลในนามกลุ่ม CARE ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19
https://www.bbc.com/thai/thailand-52857894?at_campaign=64&at_custom4=1FF6E802-A23E-11EA-BCF9-B10C3A982C1E&at_medium=custom7&at_custom1=%5Bpost+type%5D&at_custom2=facebook_page&at_custom3=BBC+Thai&fbclid=IwAR1rlLZ5PRb00bZD6rM0dcuI9ifBZl7vVhFlzrVdTnC3SDp5UPDcLV6luJ0

ย้อนฟังเต็มๆ "มิ่งขวัญ" ตีแผ่การบริหารล้มเหลว ทีมเศรษฐกิจห่วยแตก ฉายภาพก่อนวิกฤติ จนมาถึงความห่วงการทุจริตที่อาจจะเกิดขึ้นได้



...




ข่าว"การบินไทย" ป่วยหนัก ในสื่อนอก - Thai Airways: pandemic delivers final blow to mismanaged carrier



BANGKOK -- These days, Bangkok's normally bustling main international airport feels like a museum dedicated to displaying Boeing and Airbus jets owned by Thai Airways International, with the national flag carrier's fleet largely grounded as the novel coronavirus pandemic paralyzes global air travel.

The mixed collection of Boeing 747-400s, Airbus A330s, Boeing 787-9s and Airbus A380s sitting silently on the tarmac or inside hangars at Suvarnabhumi Airport might appeal to aviation enthusiasts and photographers looking for a rare and dramatic shot. But the inertness of the fleet highlights not just the impact of COVID-19 but the airline's decades of financial inefficiency.

"Thai Airways troubles started in the 1990s when it decided to diversify and buy every type of plane that was being manufactured," said an airline industry insider in Thailand. Different models have different specs using different engines, the person told the Nikkei Asian Review, forcing the airline to train an army of engineers to keep the General Electric and Rolls-Royce engines flightworthy, inflating maintenance costs.

The inefficiency manifest at Suvarnabhumi is just one part of a history of mismanagement, corruption, and political interference that has now plunged the airline into overhaul proceedings. The kingdom's Bankruptcy Court on Wednesday accepted a petition from Thai, as the airline is commonly known, for rehabilitation under the court's supervision, with the first hearing scheduled for August.

A source in the Prime Minister's Office said that the coronavirus is what exposed Thai's underlying corporate culture and financial weaknesses. But for aviation analysts, the airline becoming the first national flag carrier in the world to go through legal rehabilitation was no surprise. The pandemic was simply the last straw that ultimately broke its wings.

CreditRiskMonitor, a New York-based credit research company, on March 11 named Thai along with Virgin Australia Holdings, Sweden-based SAS and Malaysia's AirAsia X as airlines with a risk of bankruptcy 10 to 50 times greater than the average public company. Of those, Virgin Australia entered voluntary administration -- equivalent to Chapter 11 bankruptcy in the U.S. -- ahead of Thai.


To read more click at the link:
...
ซ้ำเติมปัญหา “ปตท.” ที่สั่งปิดเครติดน้ำมันไปก่อนหน้า



ทำไมสิบเอกทหารบกผู้นี้ต้องออกมาเปิดโปงการทุจริตในกองทัพบก จนต้องหมดอนาคต ทั้งถูกกล่าวหาว่าหนีราชการ แต่ความจริงคือ หนีตาย




ทำไมสิบเอกทหารบกผู้นี้ต้องออกมาเปิดโปงการทุจริตในกองทัพบก จนต้องหมดอนาคต ถูกปลดออกจากราชการ และอาจต้องติดคุกทหาร เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าหนีราชการ ทั้งๆที่ความจริงคือการหนีตาย เพราะออกมาแฉว่าผู้บังคับบัญชาทุจริต

สาเหตุที่เขาจำเป็นต้องออกมาแฉเรื่องดังกล่าว เนื่องจากเขาถูกนายทหารที่ทุจริตเอาชื่อของเขาไปใช้เบิกเงินเบี้ยเลี้ยงโดยทุจริต พวกมันทำมานานหลายปี จนเขาทนถูกบังคับให้เอาชื่อไปใช้ไม่ได้อีกต่อไป ในปี 2560 เขาจึงเข้าไปพบผู้บังคับบัญชาที่ร่วมการทุจริต ขอร้องให้หยุดเอาชื่อของเขาไปใช้หาประโยชน์โดยมิชอบ แทนที่ทหารเหล่านั้นจะหยุดเอาชื่อของเขาไปใช้เบิกเงิน พวกมันกลับมารุมกลั่นแกล้งเขาต่างๆนานา เขาก็พยายามร้องเรียนตามสายงานบังคับบัญชาแล้ว แต่ไม่ได้ผล ผู้บังคับบัญชาไม่ได้ใส่ใจที่จะตรวจสอบการทุจริตดังกล่าว แต่กลับมาด่า ว่าเขากำลังทำลายชื่อเสียงของกองทัพ (ความจริงทหารที่ทำลายชื่อเสียงของกองทัพมันคือทหารที่ทุจริตไม่ใช่ทหารที่ออกมาแฉ) และพยายามสั่งขังเขาเพื่อจะปิดปาก และยังพูดในทำนองข่มขู่ให้กลัวว่าอาจจะต้องตายในคุก เขาจึงต้องไปยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. และนายวีระ เลขาธิการ คปต. เพื่อให้ช่วยเหลือ และต้องหนีออกจากกรมสรรพาวุธทหารบก ตั้งแต่วันที่ 17 มี.ค.2563 เพื่อความปลอดภัยในชีวิต

หากเขาทราบมาก่อนว่า มีเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน(คปต.) ที่สามารถทำหน้าที่เปิดโปงเรื่องทุจริตแทนเขาได้ทั้งหมด โดยที่เขาเพียงนำข้อมูลและความจริงทั้งมาให้ คปต. ช่วยดำเนินการแทน เขาก็ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตทั้งชีวิต มาแลกกับนายทหารบางคนที่ทุจริต

ต้องถือว่ากรณีนี้เป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่ง ที่ต้องบันทึกเอาไว้ว่า ทหารยศสิบเอกผู้หนึ่งต้องถูกปลดออกจากราชการ และต้องติดคุกทหารเพราะหนีตาย จากการออกมาแฉเรื่องทุจริตในกองทัพบก

#การปฏิรูปกองทัพบกเขาทำกันอย่างนี้เอง

https://www.matichon.co.th/politics/news_2208365
...



***ผมหนีตายอยู่ จะกลับไปได้อย่างไร?***

วีระ เผย หมู่อาร์ม พร้อมสู้ แม้ต้องหมดอนาคตราชการ

เมื่อวันที่ 30 พ.ค. กรณี ส.อ.ณรงค์ชัย อินทรกวี หรือ หมู่อาร์ม เสมียนงบประมาณแผนกโครงการและงบประมาณกองแผน โครงการศูนย์ซ่อมสร้างสิ่งอุปกรณ์ กรมสรรพวุธทหารบก ร้องเรียนปัญหาทุจริตเบี้ยเลี้ยงภายในกรมสรรพวุธทหารบก ต่อมามีความกังวลว่าจะถูกขู่ฆ่า คุกคามเอาชีวิต จากนั้น มีรายงานด้วยว่าหมู่อาร์ม ได้กระทำผิดวินัยทหารร้ายแรง คือ หนีทหาร ทางต้นสังกัดจะตั้งคณะกรรมสอบสวน หากขาดราชการเกิน 15 วัน ในวันที่ 16 ถือว่า หนีราชทหาร ในเวลาปกติ และขณะนี้ หมู่อาร์ม ไม่ได้กลับไปปฏิบัติงานในหน่วย เกิน 16 วันแล้ว จากนั้นต้นสังกัดจะตั้งกรรมการสอบสวน และจะส่งเรื่องไปยังศาลทหาร เพื่อพิจารณาออกหมายจับ ตามประมวลกฎหมายอาญาทหาร ฐานหนีราชการในเวลาปกติ หากเกิน 15 วัน มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ควบคู่ไปกับ การดำเนินการความผิดทางวินัยร้ายแรง ที่จะต้องตั้งกรรมการสอบสวน ดำเนินการ ปลด ถอดยศ และจะประกาศในราชกิจจาต่อไป

ผู้สื่อข่าวสอบถามไปยัง นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น ที่เป็นผู้ที่นำ ส.อ.ณรงค์ชัย ไปร้องเรียน ประธานกรรมาธิการป.ป.ช. สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ส.อ.ณรงค์ชัย ไม่ได้ไปปฎิบัติงานจริง โดยขณะนี้ กำลังอยู่ระหว่างการหลบหนี สำหรับกรณีที่ผู้บังคับบัญชา จะยื่นศาลทหารออกหมายจับ ฐานหนีทหารนั้น ก็เป็นเรื่องที่ต้องว่าไปตามกระบวนการ เพราะถือเป็นเรื่องที่ดีด้วย ส.อ.ณรงค์ชัย จะได้ไปชี้แจงต่อศาลทหาร เหตุที่เขาต้องหนีคือเขาหนีตาย เขาไม่สามารถกลับไปทำงานได้ เพราะเขากังวลความปลอดภัย โดยเขาเพิ่งเข้าให้การกับจเรทหาร ตนก็เข้าไปร่วมรับฟังด้วย ขอให้รอผลสอบจากจเรทหารก่อนน่าจะดีกว่า

สำหรับคลิปแอบถ่าย คล้ายเป็นการสั่งสอนหมู่อาร์มนั้น ที่จริงเขาบอกผมเองว่าเกิดขึ้นนานแล้ว เป็นการที่ผู้บังคับบัญชาแอบอัดคลิปในห้องทำงานของผู้บังคับบัญชา ขณะเรียกให้ไปขอขมา โดยคลิปดังกล่าวถูกนำมาเผยแพร่ในห้องประชุมกรรมาธิการทหาร เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และเป็นการตัดต่อ เอาแต่ส่วนดูเหมือนสั่งสอนมาเผยแพร่อย่างเดียว ในส่วนที่หมู่อาร์มพูดถึงการทุจริตไม่เอามาออก ขณะนี้มีการพูดเหมือนหมู่อาร์มเป็นคนแอบถ่าย ปล่อยคลิป คำถามคือห้องนั้นมันห้องนายพล นายร้อย นายพัน ยังไม่เข้า นายสิบจะไปตั้งกล้องแอบถ่ายได้ยังไง

โดยเหตุการณ์ในคลิปเกิดขึ้นมานานแล้ว ขณะนี้หมู่อาร์มอยู่ระหว่างการหลบหนี เพราะไปยื่นร้อง ป.ป.ช.ให้มีการคุ้มครองพยาน ก็ยังไม่ได้รับการพิจารณา วันที่หนีออกจากที่พักทหารก็ไม่ได้เอาอะไรออกมาเลย เขาน่าสงสารมาก ไม่มีเงินใช้ ทุกวันนี้ผมก็ช่วยดูแลเขาอยู่ ต้องช่วยกันเรี่ยไรเงินให้เขา เมื่อเรื่องราวความทุกข์ใจของเขา เปิดเผยสู่สังคมเขาก็พอใจ เขาบอกผมเอง เขาหนีตายอยู่ จะให้กลับไปทำงานได้อย่างไร แต่เขาจะสู้ ต่อให้ไม่ได้กลับไปเป็นทหาร หมดอนาคต เขาก็ยินดี หรือสุดท้ายจะต้องติดคุกทหาร เขาก็ยินดี จะได้รู้กันไปว่าสังคมมันเป็นอย่างไร นายวีระกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุด มีรายงานข่าวเปิดเผยว่า พล.อ.อภิรัชต์ คมสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) สั่งตั้งคณะกรรมการโดยมี นายทหารระดับพลเอก เป็นประธาน สอบสวน กรณี ส.อ.ณรงค์ชัย อินทรกวี หรือ หมู่อาร์ม เสมียนงบประมาณแผนกโครงการและงบประมาณกองแผน โครงการศูนย์ซ่อมสร้างสิ่งอุปกรณ์ กรมสรรพวุธทหารบก ร้องเรียนถูกผู้บังคับบัญชา ข่มขู่ คุกคามเอาชีวิต อันเนื่องมาจากออกมาเปิดเผยปัญหาทุจริตเบี้ยเลี้ยงภายในกรมสรรพวุธทหารบก

โดยทางคณะกรรมการ ได้พิจารณาตรวจสอบเรียบร้อยแล้วใน 2 ประเด็น คือ ประเด็นการทุจริต เบี้ยเลี้ยงภายในกรมสรรพวุธทหารบก พบว่ามีมูล จึงทำเรื่องเสนอให้ พล.อ.อภิรัชต์ ลงนาม ส่งให้ คณะกรรมการปราบปรามการทุจริจแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในเร็ววันนี้ ส่วน การข่มขู่ คุกคามเอาชีวิต ไม่มีมูล โดย พล.อ.อภิรัชต์ ได้ระบุว่า “กำลังพลคนไหน ทุจริต ประพฤติมิชอบ ทำผิดวินัยทหาร ไม่เลี้ยงไว้”

https://www.matichon.co.th/politics/news_2208365


ทำไมคนแฉทุจริตของกองทัพมักมีชะตากรรมที่ไม่ดี ?!? "โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา" ฝากคำถาม 5 ข้อ ถึง ผบ.ทบ. กรณี "หมู่อาร์ม"




ขอตั้งคำถามถึงท่าน ผบ.ทบ. ดังนี้ค่ะ

ตามข่าว คณะกรรมการสอบสวนที่ท่านตั้งขึ้นโดยมีเจ้ากรมจเรทหารบกเป็นประธาน พบว่าการทุจริตที่หมู่อาร์มได้หอบเอกสารออกมาร้องปปช. และกมธ.ปปช. กมธ.สิทธิมนุษยชนฯ หลังร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินและทบ.มาก่อนนั้น “มีมูล”

แต่กองทัพกำลังจะดำเนินการจับกุม “หมู่อาร์ม” เพื่อดำเนินคดีข้อหา “หนีราชการทหาร” ทั้งที่การหนีออกจากหน่วยมายื่นหลักฐานต่อปปช. ในวันที่ 17 มีนาคมนั้น มีมูลเหตุที่เกี่ยวเนื่องกับความพยายามเปิดโปงการทุจริตและการถูกกลั่นแกล้งที่เกิดมาก่อนหน้านั้นอย่างแยกกันไม่ได้ ขอถามว่า

1. การที่ทหารชั้นผู้น้อยออกมาเปิดเผยการทุจริต ถือเป็นคุณกับกองทัพ และต้องใช้ความกล้าหาญที่จะเผชิญสารพัดความเสี่ยง ใช่หรือไม่?

2. ในฐานะ ผบ.ทบ. หากทหารชั้นผู้น้อยไม่ออกมาเปิดเผย ท่านจะมีทางทราบถึงการทุจริตในหน่วยงานต่างๆอย่างไร ในเมื่อสายด่วนที่ท่านเปิดขึ้นนั้น หมู่อาร์มแจ้งว่าได้โทรไปร้องเรียนหลายครั้งแล้ว ท่านกลับไม่ได้รับรู้ด้วยตนเอง ไม่เหมือนที่เคยบอกกับประชาชน

3. ท่านคิดว่าการที่หมู่อาร์มเคยต้องเข้าไป “ขอขมา” และถูกผู้บังคับบัญชาตำหนิว่าทำให้หน่วยเสื่อมเสียด้วยการไปร้องเรียนในช่องทางต่างๆแบบพลเรือนนั้น จะมีผลอย่างไรต่อการตรวจสอบการทุจริตในอนาคต คำพูดจากนายทหารชั้นนายพลที่ว่า “ครั้งนี้เอ็งอาจจะรอด แต่ครั้งหน้าเอ็งไม่รอดแน่ถ้าเอ็งทำอีก” และ “ผมให้โอกาสคุณแค่ครั้งเดียวและผมไม่พอใจมากก็เพราะคุณทำลายหน่วยจริงๆ” ก่อนจะถึงวันลงโทษจำขังข้อหาใช้กิริยาวาจาไม่เหมาะสมต่อผู้บังคับบัญชานั้น คืออะไร?

4. ท่านต้องการให้นายทหารชั้นผู้น้อยทั้งหลายที่ได้รับรู้และถูกขอให้ร่วมมือกระทำการการทุจริต มีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร เมื่อเห็นทัศนคติวิธีการปฏิบัติของกองทัพต่อหมู่อาร์มในวันนี้

ท่านต้องการทหารที่กล้ายืนขึ้นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ หรือทหารที่ก้มหัวยอมร่วมมือกับการทุจริตตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา?

5. สุดท้าย ท่านต้องการให้ประชาชนคิดเห็นอย่างไร เกี่ยวกับการปฏิรูปกองทัพตามที่ท่านได้ให้สัญญาผ่านสื่อไว้เมื่อกว่าสามเดือนก่อน?

นอกจากจะไม่ให้ความคุ้มครองพยานแต่แรกที่ทราบเรื่อง กองทัพยังจะเล่นงานทหารที่ออกมาเปิดโปงการทุจริต ทั้งที่การกระทำที่ถูกเรียกว่าหนีราชการในครั้งนี้ ประเทศชาติได้ประโยชน์ยิ่งกว่าการทำหน้าที่เสมียนงบประมาณที่เขาทำมาตลอดหลายปี

ในช่วงเวลากว่าสองเดือนที่ผ่านมา ประชาชนได้ร่วมกันสมทบทุนในภาวะยากลำบาก เพื่อช่วยเหลือหมู่อาร์มให้ดำรงชีวิตต่อไปได้จนกว่าจะสิ้นสุดกระบวนการตรวจสอบ อยากถามว่าในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ท่านในฐานะผบ.ทบ.ได้ทำอะไรบ้างนอกจากความพยายามดิสเครดิตทหารยศนายสิบอย่าง ส.อ.ณรงค์ชัย อินทรกวี ผ่านการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน?

เราไม่ได้จะหมดความไว้วางใจกองทัพจากเหตุการณ์ทุจริตในหน่วยที่กระทำโดยคนไม่กี่คน แต่วิธีที่ท่านปฏิบัติกับบุคคลที่เอาเรื่องนี้มาเปิดเผย จะบอกทุกอย่างเกี่ยวกับกองทัพเอง

หากไม่ต้องการให้คำตอบกับประชาชน ก็ขอให้ท่านได้ให้คำตอบกับตัวเองค่ะ

Bow Nuttaa Mahattana
—————————-

- ข่าวความคืบหน้าการสอบสวนและเตรียมออกหมายจับ https://www.facebook.com/127655640595124/posts/3572789766081677/?d=n
- คลิปเสียงระหว่างการขอขมาที่ทางหน่วยแอบอัดไว้และปล่อยออกมาหลังหมู่อาร์มเข้าให้การกมธ.กฎหมายเรื่องการถูกละเมิด https://www.matichon.co.th/politics/news_2205651

กรณี “ประวิตรยืมใช้คงรูป” ได้เวลากำจัด “ปรสิต” ได้เวลาจัดการ “ระบอบคณาธิปไตยกินคน”





[ กรณี “ประวิตรยืมใช้คงรูป” เปิดช่องให้ “ซุก” ทรัพย์สินได้ง่ายขึ้น ]

กรณีสำนักงาน ป.ป.ช. ทำหนังสือ “ด่วนที่สุด” ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 แจ้งว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณากรณี พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ ยืมนาฬิกาหรูจากนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ นั้น เป็นการ “ยืมใช้คงรูป” และไม่ได้เป็น “หนี้สิน” ที่ต้องแสดงในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินนั้น ทำให้ พล.อ.ประวิตรรอดพ้นจากการถูกตรวจสอบ (อีกเช่นเคย) และทำให้สังคมตั้งคำถามถึงมาตรฐานการทำงานขององค์กรอิสระในประเทศไทย โดยเฉพาะบรรดาคนที่ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระทั้งหลายในเวลานี้ ต่างก็มีจุดเชื่อมโยงที่มาไปถึงคณะรัฐประหาร คสช.

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่รัายแรงกว่านั้น ซึ่งไม่ทราบว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้เล็งเห็นถึงบ้างหรือไม่ นั่นคือแนวทางการวินิจฉัยกรณี “ประวิตรยืมใช้คงรูป” นี้ส่งผลพวงทำลายระบบการตรวจสอบทรัพย์สินนักการเมืองและข้าราชการ ทำลายระบบบังคับให้นักการเมืองและข้าราชการระดับสูงต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินไปหมดสิ้น

ต่อไป นักการเมืองและข้าราชการระดับสูงคนใดที่ต้องการ “ซุก” ทรัพย์สิน ก็สามารถ “ยืม” มุข “ยืมใช้คงรูปแบบประวิตร” มาใช้ได้

ทรัพย์สินราคาแพงๆ จำพวกเครื่องประดับ แหวน สร้อยทอง นาฬิกา รถสปอร์ต ฯลฯ ไม่จำเป็นต้องถูกแจ้งในบัญชีอีกต่อไป ขอเพียงหาเพื่อนเศรษฐีสักคนมาแสดงตนเป็นเจ้าของ แล้วอธิบายว่าเครื่องประดับ รถ ข้าวของแพงๆ ที่ใช้อยู่ยืมเขามาทั้งนั้น

ในอดีต นักการเมืองและข้าราชการระดับสูงพยายามหลีกเลี่ยงการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินโดยใช้วิธีเอาชื่อคนอื่นมาใส่ความเป็นเจ้าของ คนใช้บ้าง คนขับรถบ้าง คนสนิทบ้าง

แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็เพียรพยายามตรวจสอบ จนทำให้นักการเมืองและข้าราชการไม่อาจใช้ช่องทางเหล่านี้ได้ง่ายนัก

มาวันนี้ ผลพวงของการพิจารณาของ ป.ป.ช. กรณี “ประวิตรยืมใช้คงรูป” กลับทำให้นักการเมืองและข้าราชการมี “ช่องทาง” ใหม่ในการซุกทรัพย์สิน

เพื่อเซฟ “กล่องดวงใจ” ของระบอบ คสช. เราต้องแลกกับระบบการตรวจสอบการทุจริตที่พยายามสร้างกันมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2540 อย่างนั้นหรือ?

ตั้งแต่คนกลุ่มนี้ครองอำนาจด้วยรัฐประหารและสืบทอดอำนาจมาจนถึงวันนี้ประเทศไทยสูญเสียทรัพยากร งบประมาณ ระบบรัฐธรรมนูญ ระบบกฎหมาย ระบบตรวจสอบ ความยุติธรรม สิทธิมนุษยชน ไปมหาศาล เพื่อเอาไปค้ำบัลลังก์ของพวกเขา

พอกันที ประเทศไทยเสียให้พวกเขามากเกินพอแล้ว

อย่าปล่อยให้คนเหล่านี้สูบกินพวกเราต่อไปอีกเลย

พจนานุกรม ให้ความหมายคำว่า “ปรสิต” ไว้ว่า สิ่งมีชีวิตที่อาศัยผู้อื่นหรือเซลล์ชนิดอื่นเป็นที่พักอาศัยและแหล่งอาหาร บางครั้งทำร้ายสิ่งมีชีวิตหรือเซล์ที่พวกมันใช้ประโยชน์นั้นจนเจ็บป่วยหรือเสียชีวิต

ได้เวลากำจัด “ปรสิต”

ได้เวลาจัดการ “ระบอบคณาธิปไตยกินคน”


อ่านแล้วอึ้ง จุดแข็ง - จุดอ่อน ของประเทศไทย




อ่านแล้วอึ้งเลย เพราะตรงประเด็นมาก

โปรดวิเคราะห์และสังเคราะห์
เป็นข้อๆอาจจะมีส่วนช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ตำ่สูง ในประเทศไทยได้ **ขอมอบให้ 20 มหาเศรษฐีไทยเอาไปคิดและรับผิดชอบด้วย***

#ท่านทูตประเทศแถบสแกนดิเนเวีย,
นอร์เวย์, สวีเดน, ฟินแลนด์,เดนมาร์ก
วิเคราะห์ให้ฟังว่า
จุดแข็ง - จุดอ่อน ของประเทศไทย
และบทสรุปที่น่าคิด

**จุดแข็งของประเทศไทย **

ประเทศไทยตั้งอยู่ในพื้นที่ๆดีที่สุดในทุกๆ ด้าน คือ

1.ที่ตั้ง: จะว่าอยู่ใจกลางโลกก็ว่าได้ เพราะรอบข้างมีแต่ประเทศที่มีประชากรมาก เช่น อินเดีย 1,200 ล้านคน จีน 1,400 ล้านคน ญี่ปุ่น 100 ล้าน อินโดนีเซีย 400 ล้านคน ฟิลิปินส์ เวียดนาม เกาหลี ล้วนแต่ 100 ล้านคน
ซึ่งหมายถึงตลาดการค้า ตลาดอาหารและยาสมุนไพร ที่ใหญ่มหาศาลยิ่ง

2.มีสภาพพื้นที่เป็นแหลมยื่นลงไปในทะเลระหว่างสองมหาสมุทร คือมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก เป็นทั้งแหล่งอาหาร ออกเรือหาปลาได้ถึงสองมหาสมุทร ทั้งจะติดต่อค้าขายกับทุกประเทศก็สะดวกยิ่งนัก

3.บนผืนแผ่นดินก็อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธ์ุธัญญาหาร มีทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย มีป่าไม้ แหล่งน้ำ กุ้งหอย ปู ปลา ทั้งในน้ำจืดและในทะเล ทุกพื้นที่ในป่า ในบ้าน ในสวน เต็มไปด้วยพืชอาหาร และพืชสมุนไพรมากมายเหลือเกิน เป็นทั้งครัว และคลังยาสมุนไพรของโลกไปพร้อมกันได้เลยทีเดียว

4.ใต้ผืนดินก็มีแร่ธาตุนานาชนิด มีแหล่งน้ำมันดิบและแก๊สธรรมชาติ มากมายมหาศาลยิ่งนัก มากกว่าประเทศกลุ่มโอเป็กหลายประเทศเสียด้วยซ้ำไป

5.เรามีภูมิปัญญาในการใช้สมุนไพรที่สืบทอดจากบรรพชนมากมายเหลือเกิน ที่สามารถนำมาวิจัยพัฒนาต่อยอดให้มีประสิทธิภาพเป็นยาสมุนไพรที่มีมาตรฐานในการรักษาโรคได้ไม่แพ้ยาเคมีจากต่างประเทศ สามารถส่งเป็นสินค้าออกไปขายทั่วโลกได้ สร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ เสริมความมั่นคงของชาติได้อย่างดี

6.เรามีธรรมชาติที่สวยงาม มีหาดทรายยาวสองฝั่งทะเล มีน้ำตก มีถ้ำ เพิงผา ป่าไม้ ภูเขา อ่าว แหลม ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดีมากมาย

7.ตั้งอยู่ในเขตร้อนที่แดดจัด สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ใช้อย่างไม่ต้องกลัวหมด มีลมบก ลมทะเล ที่สามารถแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ไม่รู้สิ้น

8.ตั้งอยู่ในเขตที่ไม่เสี่ยงต่อภัยธรรมชาติที่รุนแรง ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว ไม่มีภูเขาไฟที่คุกรุ่น ไม่มีลมพายุที่รุนแรง เช่น ทอนาโด หรือใต้ฝุ่น

9.เท่านั้นยังไม่พอ เรายังมีพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่มีคำสอนที่สมบูรณ์ ที่เป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุดอีกด้วย

10.เรามีคนไทยที่จิตใจดี ยิ้มแย้ม มีน้ำใจ มีความฉลาด เรียนรู้เร็ว สามารถพัฒนาได้ง่าย

👉ด้วยจุดแข็งทั้ง 10 ข้อ ดังที่กล่าวมา ดินแดนไทยถือเป็นดินแดนสวรรค์บนดินก็ว่าได้ ใครก็ตามที่ได้เกิดในประเทศนี้ ถือได้ว่าโชคดีไม่ต่างจากได้เกิดบนสววรค์

👉คนไทยส่วนใหญ่ควรจะมีความสุขที่สุดในโลก มีสุขภาพดี ไม่เจ็บไขได้ป่วย มีฐานะมั่งคั่ง รำรวย กันถ้วนหน้า

⚠️แต่ในความเป็นจริง กลับตรงกันข้าม

❌จุดอ่อน ของประเทศไทย

❎มีคนไทยเพียงไม่กี่ตระกูล ที่เป็น
🎠1.ขุนทหาร
🚔2.ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
🎭3.นักการเมืองใหญ่
💰4.นายทุนระดับชาติเท่านั้นที่ร่ำรวย ที่เสพสุขอยู่บนกองทุกข์ของประชาชน อย่างล้นเหลือ ราวกับเทพยดาเดินดินก็ไม่ปาน

😢แต่คนส่วนใหญ่กลับตกอยู่ในขุมนรกของความยากจน ที่นับวันพวกเขายิ่งจน ยิ่งเป็นหนี้พอกพูนรุนแรง

🌳ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลาย ป่าไม้กลายเป็นป่าเสื่อมโทรม พื้นที่ทำเกษตรในแม่น้ำลำธาร เต็มไปด้วยสารพิษทางการเกษตรตกค้าง สัตว์น้ำลดลงแทบไม่เหลือเนื่องจากสารพิษปนเปื้อนในน้ำทำให้การขยายพันธ์ุสัตว์น้ำลดลงมาก ส่งผลให้แหล่งอาหารตามธรรมชาติของคนไทยลดลงอย่างน่าใจหาย คนต้องซื้ออาหารจากตลาดในราคาแพง แทบทั้งหมด

🏥มีคนเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งมากอันดับ 1 ของโลก เนื่องจากรับสารเคมีที่ปนเปื้อนในพืชผัก ในอาหารและน้ำเข้าสู่ร่างกายทุกวัน เป็นเวลานาน นอกจากนี้ยังมีโรคไต โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิต โรคอ้วน ฯลฯ เนื่องจากขาดสภาพแวดล้อมและการดำเนินชีวิตที่เหมาะสม จนคนป่วยล้นทุกโรงพยาบาล ทำให้คนไทยจำนวนมากทุกขเวทนาจากการเจ็บไข้ได้ป่วย

⚰ทั้งไม่ปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สิน คนชั่วไม่เกรงกลัวกฏหมาย มียาเสพติด มีอาชญากรรมเต็มบ้านเต็มเมือง คนธรรมดาอยู่ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัย

💲การทุจริตคอรัปชั่นยิ่งเพิ่มทวีทุกระดับ ยักษ์ใหญ่โกงใหญ่ ยักษ์เล็กโกงเล็กๆ โกงตามที่มีแรงจะโกง บ้านเมืองเข้าสู่ยุค "มือใครยาว สาวได้ สาวเอา" อย่างแท้จริง

คือ ชนชั้นนำของไทย ตั้งแต่ปี 2500 ได้ใช้หลัก "รัฐศาสตร์มาร" ในการปกครองบ้านเมือง คือ การปกครองประเทศแบบ ฉ้อฉล หลอกลวง "คดในข้อ งอในกระดูก" "มุ่งทำให้ประชาชนอ่อนแอ" ทำให้ประชาชนตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ "โง่-เลว-จน-เจ็บ" เพื่อให้ปกครองอย่างเอารัด เอาเปรียบ คดโกง ได้สะดวกง่ายดาย

**ข้อคิดที่น่าวิเคราะห์ ของสังคมไทย **

ปัญหาความเหลื่อมล้ำในทุกๆ ด้าน, ปัญหาความยากจน, หนี้สิน, แม้แต่ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บ แม้จะดูว่าเกิดตามธรรมชาติ
แต่แท้จริงปัญหาพวกนี้ ล้วนแล้วแต่เติบโต และขยายใหญ่ ลุกลาม ทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากโครงสร้างการปกครองที่ชั่วร้าย ที่รวบอำนาจไว้ที่คนไม่กี่คน ไม่มีระบบถ่วงดุลอำนาจที่ดีพอ ทำให้ผู้ปกครอง ทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้ ผู้ปกครองกลายเป็นตัวขัดขวางการแก้ไขปัญหาทุกปัญหา เร่งให้มีปัญหา และปัญหาขยายใหญ่ขึ้นมากขึ้น ทั้งสิ้น

↗️วิธีการทำให้ประชาชน "โง่"
โดย จัดการที่หลักสูตรการศึกษา ทำให้เด็กไม่รักการอ่าน ไม่ชอบการคิดหาเหตุผล ไม่สอนปรัชญาประชาธิปไตย ไม่สอนประวัติศาตร์ วีรชนที่เป็นสามัญชน ไม่สอนให้รู้จักการเอาตัวรอดในระบบทุนนิยม ไม่สอนให้รู้จักการรวมตัวกันต่อสู้ปัญหาเศรษฐกิจในรูปกลุ่ม หรือสหกรณ์ ฯลฯ

↙️วิธีการทำให้ประชาชน "เลว" เรื่องนี้เน้นที่ปัญญาชน คนชั้นกลาง โดยจัดการที่การศึกษา
⬅️จะไม่ฝึกการมีวินัย
⬅️ไม่ปลูกฝังความรู้ทางศาสนาอย่างจริงจัง เพื่อให้คนไม่คิดพัฒนาจิตใจตนเอง เพื่อความเป็นมนุษย์
⬅️ไม่ปลูกฝังจิตสำนึกรักชาติให้ปัญญาชน-กีดกันการแสดงออกทางการเมืองของนักศึกษาปัญญาชน เพื่อทำให้ปัญญาชนเห็นแก่ตัวให้มากที่สุด
⬅️เพื่อให้ปัญญาชนคนรุ่นใหม่คิดแต่ประโยชน์ส่วนตน ตัวใครตัวมัน ไม่เห็นใจคนยากคนจน ไร้จิตสำนึกความเป็นมนุษย์ที่จะต้องเอื้อเฟื่อเผื่อแผ่ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ที่ด้อยกว่า

🚸ทำได้ดังนี้ ทางก็สะดวก ไม่มีใครขัดขวางการทุจริต การทำลายชาติของชนชั้นบน

⛔แย่ถึงขนาดว่า ถ้าใครพูดถึงการเมือง พูดถึงปัญหาชาติบ้านเมือง ชนชั้นกลางส่วนหนึ่งก็พากันต่อต้าน ไม่ให้พูด ซึ่งเท่ากับ "ปกป้องการคอรัปชั่น ปกป้องคนทำลายชาติกันเลยทีเดียว แล้วจะไม่ให้ประเทศนี้ แย่ที่สุดในโลก ได้อย่างไร ?

🚷วิธีการทำให้ประชาชน "จน" แค่ออกกฎหมายกีดกัน สร้างความเหลื่อมล้ำในการประกอบอาชีพ เช่น กฎหมายการเงินการธนาคาร การผลิตสุรา และอื่นๆ ที่ไม่เท่าเทียม ออกนโยบายส่งเสริมด้านอุตสาหกรรม
🚫เลิกการสนับสนุนด้านเกษตร งดเงินสนับสนุนวิทยาลัยเกษตรในต่างจังหวัด กลับไปสนับสนุนวิทยาลัยการกีฬาแทนซึ่งไม่ได้พัฒนาอาชีพอะไร ไม่สนับสนุนการวิจัยข้าว ยาง อ้อย พืชสวน ฯลฯ
⬇️ปล่อยให้มีการบุกรุกทำลายป่าไม้ แหล่งน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งอาหาร และสมุนไพร
↘️สนับสนุนปุ๋ย เคมีฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลงเพื่อทำลายสัตว์น้ำในธรรมชาติ ทำลายดิน ทำให้น้ำปนเปื้อนสารพิษ
✔แค่นี้ เกษตรกรก็ล้าหลัง แข่งขันไม่ได้ ตกเป็นเบี้ยล่างนายทุนยา ปุ๋ย พันธ์ุพืช-สัตว์ เครื่องจักรกกลการเกษตร ฯลฯ
✔แค่นี้เกษตรกร ก็ต้องทิ้งลูก เมีย ไร่ นา ไปหางานทำ เป็นกรรมกรในกรุงเทพฯ
✔การอ้างส่งเสริมอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว จงใจละเลยการเกษตร ซึ่งเป็นอาชีพของคนส่วนใหญ่ นั้น ชั่วร้ายเกินที่จะกล่าว
❌อย่าลืมว่าคนสามัญชน 66 ล้านคนของไทย ไม่มีใครมีศักยภาพพอที่จะครอบครองเทคโนโลยีสูง หรือเป็นเจ้าของสถานที่ท่องเที่ยว เป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงได้ อย่างดีก็เป็นได้แต่ลูกจ้าง เป็นทาสนายทุน ประชาชนจะมีรายได้สูง ตามที่โม้ว่าเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จะเป็นไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างไร

✖วิธีการทำให้ประชาชน "เจ็บ" ⚰แค่เว้นภาษีนำเข้ายาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า เพียงอ้างว่า เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้ซื้อของเหล่านี้ได้ถูกทั้งที่จริงถ้านำธรรมชาติมาคิดเป็นต้นทุนแล้ว มันจะแพงแสนแพงก็ตาม

นอกจากจะทำให้นายทุนยาพิษรวยจนสะดือปลิ้นแล้ว ยาเหล่านี้ยังไปปนเปื้อนในดิน น้ำ อากาศ นอกจากทำให้ปลา สัตว์น้ำในธรรมชาติแทบสูญพันธุ์แล้ว ยังทำให้คนไทยทุกคนได้รับยาเหล่านี้ผ่านอาหาร สัมผัสโดยตรง ทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง โรคต่างๆ สารพัด ทำให้ธุรกิจค้าความตายเหล่านี้เติบโตสูบเงินคนไทยไปไม่ต่ำกว่าปีละ เก้าแสนล้านบาททีเดียว

🎭หลายคนอาจไม่ทราบว่า สารพิษ เคมีเกษตรนั้นปลอดภาษีมูลค่าเพิ่ม
↗️แต่ จุลินทรีย์ชีวภาพกำจัดแมลงที่ปลอดภัย และคนไทยทำได้เอง กลับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (นี่คือความคดในข้อฯ ของกฎหมายที่ออกโดยคนชั้นสูง ครับ)
🚫เพื่อกีดกันด้านการค้า และเพื่อชะลอเทคโลโลยีอินทรีย์ที่ปลอดภัยและผลิตได้เองอย่างชะงัดนัก

🔜บทสรุป สั้นๆ <<🔚

ปัจจุบัน ประเทศนี้แย่ที่สุดเพราะ

1.ชนชั้นนำไทย ที่พยายามทำลายไทย เพื่อประโยชน์ของตนและโคตรตระกูลตนฝ่ายเดียว

2.ชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง ที่ไร้ความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง เห็นแก่ความสุขสงบของตน มองการต่อต้านความอยุติธรรมของการปกครอง เป็นความวุ่นวาย และพากันต่อต้านการต่อสู้ของประชาชน!!!
🔜รอวันล่มสลาย!!!

Cr:Line KWM

ปล.ถึงเวลาที่ประชาชน หรือพวกเราต้องออกมาทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญบุคคลมีหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(1) พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

(2) ป้องกันประเทศ พิทักษ์รักษาเกียรติภูมิผลประโยชน์ของชาติและสาธารณสมบัติของแผ่นดิน รวมทั้งให้ความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
ใครมีข้อเสนอแนะอย่างไรเชิญนะครับ


" I can't breathe" What would Malcolm X have to say about police brutality and justice today?



วันเสาร์, พฤษภาคม 30, 2563

เพิ่งได้ยิน “ยืมใช้คงรูป” สำนวน ‘ปกป้องผู้บังคับบัญชา’ (ปปช.) นั่นแล้ว


ปปช.นี่เขาคงเส้นคงวาดีจัง คนของใครย่อมรับใช้ผู้มีพระคุณไม่แชเชือน คิดได้แล้วนาฬิกายืมเพื่อนเนี่ย “เป็นการยืมใช้คงรูป แม้เป็นหนี้ แต่มิใช่หนี้สินตามที่คณะกรรมการฯ กำหนดให้ต้องแสดงในบัญชี” ฉะนี้คดีที่ฟ้องพี่ป้อม หลุดโลด

หลายคนบอกเพิ่งเคยได้ยินว่ามีการ “ยืมใช้คงรูป” ด้วยเหรอ นี่ไง ปปช.บอกแล้ว ใช้เป็นมาตรฐานใหม่ ให้ยืมใช้แล้วยังคงรูปก็โอเคร จะเป็นแหวนเพชร บ้าน แม้กระทั่งธนบัตร เพราะถ้ายังจำนวนเดิม คงรูปเดิมไม่ย่อยสลาย ก็น่าจะได้ทั้งนั้นนะ

ข้อสำคัญขอให้บอกว่ายืมมาเท่านั้น เสียท่า ปปช.ไม่ได้ลงรายละเอียดด้วยว่าคนที่จะใช้แต่คำพูดอ้างว่ายืมนั้นต้องระดับ ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือตาสีตาสาก็ได้ ในเมื่อกรณีนี้ฟังแต่คำพูดอดีตรองหัวหน้า คสช.นายเก่าของประธาน ปปช.พอแล้ว

แม้เมื่อมีการตรวจแหล่งที่มาของนาฬิกา ๒๒ เรือนที่นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เพื่อนสนิท พล.อ.ประวิตรจากโรงเรียนเซ็นคาเบรียล ไม่ปรากฏหลักฐานการนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ด้วยเหตุที่นายปัฐวาทผู้นี้เป็นมหาเศรษฐีชอบสะสมนาฬิการาคาแพง

จึงเชื่อได้ว่าได้ให้ พล.อ.ประวิตรยืมด้วยความสนิทสนม เพราะเพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มศิษย์เก่าเซ็นคาเบรียลก็มีที่นายปัฐวาทให้ยืมนาฬิกาสวมใส่เหมือนกันบางคน แม้นไม่สามารถตรวจได้ว่านาฬิกาที่ พล.อ.ประวิตรบอกคืนหมดแล้วยังมีอยู่ไหม เพราะเจ้าของเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม

อันนั้นไม่แน่ใจว่า ปปช.ใช้เหตุผลใดวินิจฉัยตามมาตรฐานใหม่เรื่องการ คงรูปซึ่งปุถุชนอย่างเราๆ ย่อมเข้าใจว่าหมายถึงการมีตัวตนอยู่ของนาฬิกาเหล่านั้น เอาเป็นว่า ปปช.เชื่อทุกถ้อยคำที่ พล.อ.ประวิตรอ้างก็แล้วกัน

จะว่าเพราะ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจเป็นวัวเคยขาของ พล.อ.ประวิตรก็ไม่ได้นะ ในเมื่อประธานได้ขอถอนตัวจากการพิจารณาคดีนี้ไปแล้ว และมติ ปปช.ที่เหลือออกมา ๕ ต่อ ๓ ข้างมากขาดลอยอยู่แล้ว แสดงว่าส่วนใหญ่เชื่อว่า “คืนหมดแล้ว” ดังอ้าง

ส่วนการตัดสินว่าการยืมของแพงๆ มาใช้แล้วคืนเจ้าของ (อาจสึกหรอบ้างแต่ยังคงรูปมั้ง) ไม่ต้องแจ้งในบัญชีทรัพย์สิน โดยดูที่ฐานะของผู้ให้ยืม “มากกว่าประเด็นใครเป็นผู้ใช้งานหรือครอบครองในทรัพย์สินนั้น” ดังอิศรานิวส์สันนิษฐาน

ปปช.ให้เหตุผลว่า “ตามคำอธิบายการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินท้ายแบบบัญชีรายการหนี้สินล้วนหมายถึงหนี้สินที่เป็นเงินตราเท่านั้น มิใช่เป็นการยืมใช้สอยได้เปล่าและมีการคืนทรัพย์สินให้แก่ผู้ให้ยืม”
 
นั่นจะทำให้นักกฎหมายทั่วๆ ไปร้องฮ้อ ยอมรับเป็นมาตรฐานใหม่หรือไม่ มันก็หลังเย็นเสียแล้ว ดังที่อิศราเปรียบเทียบกับคดีรถโฟล์คในบ้านของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาตัดสินว่าผิด

เพราะ “ดูพฤติการณ์ในการซื้อ การครอบครอง รวมถึงการใช้รถยนต์ด้วย ซึ่งรถยนต์คันดังกล่าวแม้มีชื่อนายเอนก (จงเสถียร เจ้าของบริษัทเอ็มเอ็มพี) เป็นเจ้าของทะเบียนรถยนต์ แต่ในทางปฏิบัติ...เมียนายสุพจน์เป็นผู้ครอบครองและใช้งาน”

จะว่า ปปช.ไม่ยักใช้หลักการผู้ครอบครองของให้ยืมมาพิจารณาแบบศาลอาญานักการเมือง เพราะ พล.อ.ประวิตรใช้เอง (ไม่มีเมีย) แล้วเมียนายสุพจน์ก็ยังเอารถไปให้พระเทพปฏิภาณกวีใช้ ในกิจการเกี่ยวกับเด็กและศาสนาด้วย เลยทำให้กล้อมแกล้มไปได้


แต่ข้อน่าสังเกตุอย่างยิ่งว่า คดีนาฬิกาหรู ๒๒ เรือนที่ พล.อ.ประวิตรใช้และครอบครองในลักษณะทางนามธรรมเช่นเดียวกับที่ภรรยาของอดีตปลัดคมนาคมใช้กับรถโฟล์ค ทำไม ปปช.พิจารณานาฬิกาหรูเป็น หนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน

เพื่อที่จะวินิจฉัยว่าคืนแล้ว (ตามจำเลยอ้าง) จึงไม่เป็นหนี้ งั้นหรือ ทั้งที่แท้จริงนาฬิกาเหล่านั้นก็คือทรัพย์สินที่เจ้าของให้มาใช้และครอบครองโดยเสน่หา ต่อไปภายหน้าคงต้องจารึกว่า ปปช.ยุคนี้ก็คือ กระบวนการ ปกป้องผู้บังคับบัญชานั่นแล้ว

"เสียวตูด"




ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
ถ้าใครติดตามการให้สัมภาษณ์-แสดงความเห็นของดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ นักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานหนัก-ต่อเนื่องมากที่สุดคนหนึ่งของประเทศนี้
ก็คงจะรู้สึกคล้ายๆ กันกับผมว่า"เสียวตูด"
ไม่ใช่เสียวอะไรพรรค์นั้น
แต่เป็นความเสียวที่เกิดจากความประหวั่นพรั่นพรึง ว่านี่เรากำลังนั่งทับ"ระเบิดเวลา"ลูกใหญ่เอาไว้
...
ดร.ศุภวุฒิท่านบอกว่า ชนวนของระเบิดเวลาลูกนี้ตั้งเอาไว้ที่ประมาณ 150 วัน
คือจะระเบิดเมื่อกำหนดเวลาในการ"พักชำระหนี้"ระหว่างสถาบันการเงินและลูกค้าทั้งหลายสิ้นสุดลงในราวต้นเดือนตุลาคม
เพราะการพักชำระหนี้ที่ว่านี้ ไม่ได้เป็นการ"ยก"เงินต้นหรือดอกเบี้ยให้ผู้กู้
เป็นเพียงแค่การ"พัก"เอาไว้ชั่วคราว
แล้วจะมาเริ่มให้ชำระใหม่เมื่อครบหกเดือน(หลังจากเริ่มมาตั้งแต่ประมาณต้นเดือนเมษายน)
ถึงตอนนี้ภาระหนี้ที่ลูกค้าจะต้องจ่ายแบงก์ คือ 6 เท่าของปกติ เพราะมีดอกเบี้ยถมทับกันมา
ถามว่าบริษัทห้างร้านส่วนใหญ่ที่เป็นหนี้ โดยเฉพาะบรรดาผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางหรือเอสเอ็มอี ทั้งหลาย
จะมีปัญญาจ่ายหนี้ให้สถาบันการเงินหรือไม่
ถ้าการ"เปิดพื้นที่"ในสังคม ยังดำเนินไปอย่างลักปิดลักเปิด
และยังไม่มีทิศทาง-นโยบายชัดเจน ว่าจะหา"เงินใหม่"ที่ไหนเข้ามาจุนเจือ-เยียวยา-ต่ออายุกิจการ แทนที่รายได้จากการส่งออก-การท่องเที่ยว และการบริโภคในประเทศที่หดหายไป
...
ถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้น
สถาบันการเงินจะยอมให้"เอ็นพีแอล"พุ่งขึ้นมหาศาล จนกระทั่งต้องเพิ่มทุนใหม่(ซึ่งอาจจะหาเงิน-คนมาลงทุนไม่ได้)หรือไม่
หรือจะเลือกฟ้องร้องลูกค้า เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟลามมาถึงตัว
แล้วลูกค้าจะทำยังไง-ถ้าไม่มีปัญญาจ่ายหนี้คืน
จะยืดต่อไปได้หรือไม่
แบงก์ชาติจะยอมไหม
จะเสี่ยงกับมาตรฐานของธนาคารกลางระหว่างประเทศที่เขากำหนดไว้ไหม
ถ้าไม่ให้ยืดหนี้ต่อไป(ในขณะที่ยังไม่เห็นทางว่ารายใหม่จะเข้ามาอย่างไร)
กิจการจะเจ๊งคาตาไหม
จะมีการปลดคน หรือคนต้องตกงานกันอย่างมโหฬารไหม
ถ้านี่ไม่ใช่ระเบิดเวลาแล้วจะเป็นอะไร
...
ถามว่าใครสามารถถอดชนวนระเบิดนี้ในเวลา 150 วันได้บ้าง
หนึ่งก็คือแบงก์ชาติอย่างที่ว่า
จะตากหน้าไปเจรจากับโลกว่า บ้านนี้เมืองนี้ยังแย่เต็มที
ขอผ่อนผันมาตรฐาน-กฎเกณฑ์ไปยาวๆ
เสี่ยงกับที่เขาจะลดระดับความน่าเชื่อถือของประเทศ
หรือจะไม่ทำอะไร
หรือจะมีทางออกที่สามแบบไหน
ตรงนี้ยังไม่ชัด
อีกหนึ่งคือรัฐบาล ที่ต้องทำให้เกิดภาพชัดเจน ว่า"การฟื้นตัว"ทางเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร
จะสร้าง"บรรยากาศ"ให้ธุรกิจกลับฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร
จะ"เพิ่มรายได้-กำลังซื้อ"ให้คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้กลับคืนมาได้อย่างไร
นี่ก็ยังไม่เห็นเหมือนกัน
และรู้สึกว่าจะยากกว่าทางแรกด้วย
ถ้าพิจารณาจาก"ทัศนคติ"ของผู้มีส่วนในการกำหนดนโยบายหรือทิศทางของประเทศในปัจจุบัน
...
เรามีหมอที่ขยันขู่ให้ทุกคนหดหัวเป็นเต่าอยู่ในบ้าน
อดตายอยู่ในกระดองไม่เป็นไร
แต่อย่าออกมาตายด้วยโควิด-19 ให้เสียสถิติ
โดยไม่ได้บอกว่า"ทางสายกลาง" ทางแห่งความสมดุลที่จะรอดทั้งจากโรคระบาด และไม่ล้มหายตายจากไปเพราะพิษเศรษฐกิจ ควรจะอยู่ตรงไหน
เรามีผู้นำประเทศที่เห็นประชาชนเป็นพวก"ด้อยค่า-ด้อยปัญญา" ดีแต่แบมือขอรับความช่วยเหลือ
การ"สงเคราะห์"ของรัฐบาบลจึงเป็น"บุญคุณ"เหลือหลาย
ไม่ใช่"หน้าที่" ที่เขาจะต้องทำในฐานะคนอาสา(เอ๊ะ หรือไม่ได้อาสา แต่ยึดอำนาจมาดื้อๆ)มาเป็นรัฐบาล
...
ลองพิจารณาจากคำแถลงในสภาเมื่อวานนี้ดูแล้วกันครับ
"ถ้าท่านโทษแต่รัฐบาล รัฐบาลไม่สามารถไปล้วงถึงบ้านได้ ท่านต้องรู้จักหน้าที่ หน้าที่ของท่านคือไปลงทะเบียน ไปแก้ไขทะเบียนให้ถูกต้อง"
รัฐบาลต้องบริหารราชการตามกฎหมาย หากประชาชนต้องการให้รัฐบาลจ่ายเงินให้เร็ว ก็ต้องรู้จักหน้าที่และสิทธิของตัวเองด้วยการไปแก้ไขข้อมูลการลงทะเบียนให้ถูกต้อง
เงินเยียวยาเป็นเงินสำหรับการดำรงชีพ ส่วนที่หลายคนบอกว่าเป็นหนี้นั้น ก็ต้องไป "แก้ไขปรับเปลี่ยนพัฒนาตัวเอง" โดยรัฐบาลเป็นเพียงผู้สนับสนุน
"นี่เป็นเงินดำรงชีพ 3 เดือน แต่ไม่สามารถเอาเงินจำนวนนี้ไปผ่อนมอเตอร์ไซค์ ผ่อนรถได้หรอกครับ"
...
ฟังแล้วมีหวังในชีวิตเพิ่มขึ้น หรือยิ่งหดหู่ลง
ไม่ต้องแจ้งมาก็ได้นะครับ
เข้าใจตรงกันอยู่แล้ว

Thakoon Boonparn

https://www.facebook.com/thakoon.boonparn/posts/10214348011728730

ฉายาใหม่ประยุทธ์... นักกู้แห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา... สมดี...





Tarot to youuuu @TarotYouuuu
·10h
มันบอกว่าเข้ามาเป็นนายกเพื่อกู้ชาติ ไม่นึกว่ามันจะหมายถึงเข้ามากู้เงินให้คนไทยใช้หนี้ทั้งชาติ....


เรื่องของกษัตริย์สเปน กับการปกป้องสถาบันฯ จากเรื่องอื้อฉาว...



In Spain, in Spain
Cr:Kasian Tejapira
......
กระเป๋าเดินทางยัดธนบัตรเต็มในสวิตเซอร์แลนด์และมูลนิธิลับ ๆ ล่อ ๆ ในปานามา:
เรื่องราวอื้อฉาวของอดีตกษัตริย์ ฮวน คาร์ลอส ซึ่งทำให้สเปนปั่นป่วนวุ่นวาย
อดีตกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส (สละราชสมบัติเมื่อมิถุนายน ค.ศ. ๒๐๑๔) ในวัย ๘๒ ปี ผู้ขึ้นชื่อว่าเจ้าชู้และหรูหราเจ้าสำราญ อยู่ตรงใจกลางของกรณีอื้อฉาวทางการเงินที่ใหญ่โตมโหระทึกเสียจนกระทั่งมันคุกคามอนาคตของสถาบันกษัตริย์ปัจจุบันในสเปน




In Spain... in Spain
Cr.Kasian Tejapira เรื่องของกษัตริย์สเปน กับพระบิดา และราชสมบัติมหาศาลในสวิส
......
หลังการเปิดโปงว่าพระราชบิดาอดีตกษัตริย์สเปน ฮวน คาร์ลอส
มีทรัพย์สมบัติซุกซ่อนไว้ในสวิตเซอร์แลนด์
กษัตริย์เฟลิเปที่หกแห่งสเปน
ก็ทรงประกาศสละทิ้งไม่เกี่ยวข้องด้วยกับมรดกใด ๆ ในอนาคตจากพระราชบิดา
อีกทั้งยังทรงเรียกเงินเบี้ยหวัดที่ทางราชการให้กับพระราชบิดาปีละ ๑๙๕,๐๐๐ ยูโรคืนด้วย
เหตุผลที่กดดันพระองค์ให้ทรงปลีกห่างจากเรื่องอื้อฉาวดังกล่าว
ก็เพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์แห่งสเปนเอาไว้
(ข่าวเกี่ยวโยงเมื่อเดือนมีนาคมศกนี้ จากนสพ.เลอมงด์)

อยากกลับบ้าน ราคาที่ต้องจ่าย... เปิดปม เก็บดีเอ็นเอชาวไทยที่ต้องการเดินทางกลับประเทศ - Sarinee Achavanuntakul - เก็บ DNA ช่วยป้องกันโควิดยังไง ???




https://program.thaipbs.or.th/PerdPom/episodes/69586

เปิดปม เก็บดีเอ็นเอชาวไทยที่ต้องการเดินทางกลับประเทศ

มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเห็นว่า การจัดเก็บดีเอ็นเอจากประชาชนในขั้นตอนการเดินทางเข้าประเทศของประชาชนไทยไม่มีความจำเป็นและขัดกับกฎหมาย ด้วยเหตุผลดังนี้

1) บุคคลทุกคนมีสิทธิในชีวิต เนื้อตัว ร่างกาย และสิทธิในความเป็นส่วนตัวที่รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอของตน ที่บุคคลอื่นใดหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่อาจล่วงละเมิดได้ การจัดเก็บดีเอ็นเอของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง โดยที่ประชาชนจำยอมหรือไม่สมัครใจ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและละเมิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ไม่มีอำนาจที่จะทำได้ ไม่ว่าจะโดยการอ้างตัวบทกฎหมายกฎหมาย เหตุผลหรือในสถานการณ์ใดๆทั้งสิ้น โดยเฉพาะการอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการเดินเข้าประเทศไทย

2) การจัดเก็บดีเอ็นจากประชาชน เจ้าหน้าที่จะทำได้เฉพาะกรณีที่ประชาชนตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา โดยผู้ต้องหายินยอมและเป็นไปตามเงื่อนไขในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131/1 โดยจะเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนเท่านั้น เพื่อพิสูจน์การกระทำความผิดของผู้ต้องหา บุคคลทั่วไปที่เป็นผู้บริสุทธิ์มิใช่ผู้ต้องหาในคดีอาญาย่อมมีสิทธิที่ปฏิเสธไม่ให้เจ้าหน้าที่จัดเก็บดีเอ็นเอของตนได้

3) การจัดเก็บดีเอ็นเอจากประชาชนที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงดำเนินการอยู่ในจังหวัดชายแดนใต้ แม้จะมีการให้ลงชื่อในเอกสารให้คำยินยอมก็จริง แต่การที่เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการจัดเก็บดีเอ็นเอจากประชาชนโดยที่ไม่ได้ให้ข้อมูลต่อประชาชนเกี่ยวกับการจัดเก็บดีเอ็นเออย่างเพียงพอว่า เก็บไปเพื่ออะไร ใครเป็นผู้เก็บ ใครเก็บรักษา เก็บรักษาอย่างไร ใครบ้างที่มีอำนาจเข้าถึงข้อมูลดีเอ็นเอ เพื่อวัตถุประสงค์ใด อย่างไร และจะตรวจสอบความเป็นธรรมและโปร่งใสอย่างไร ใครเป็นผู้ตรวจสอบเป็นต้น รวมทั้งต้องอธิบายถึงสิทธิที่ประชาชนจะปฏิเสธการเก็บดีเอ็นเอได้โดยไม่มีความผิดใดๆ (informed consent) เพื่อให้ประชาชนสามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระว่าจะให้ความยินยอมหรือไม่ ทางมูลนิธิฯ เห็นว่าการกระทำในลักษณะดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน




...

อุปสรรค..อยากกลับบ้าน : เปิดปม (25 พ.ค. 63)



Streamed live on May 25, 2020

ThaiPBS

คาดการณ์ว่าคนไทยในมาเลเซียอาจมีมากถึง 200,000 คน แต่ในสถานการณ์โควิด-19 รัฐบาลกลับอนุญาตให้พวกเขากลับเข้าประเทศได้เพียงวันละ 350 คน (ล่าสุดวันที่ 22 พ.ค. 63 เพิ่มเป็น 400 คน) ทำให้คนไทยตกค้างอยู่ที่นั่นเป็นจำนวนมาก บางคนจำใจต้องกลับประเทศผ่านช่องทางธรรมชาติ ซึ่งก็ต้องกลายเป็นผู้กระทำผิดข้อหาลักลอบเข้าเมือง พวกเขาจะทำอย่างไร..เมื่อการกลับบ้านของเเรงงานไทยในมาเลเซียไม่ใช่เรื่องง่าย และมีราคาที่ต้องจ่าย

ติดตามชมในรายการเปิดปม วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563 เวลา 21.30 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมย้อนหลังได้ทาง http://www.thaipbs.or.th/PerdPom

กลุ่ม #ขอคืนไม่ใช่ขอทาน เดินเท้าเรียกร้องรัฐจ่ายเงินสะสมชราภาพ







ผู้ประกันตนเดินเท้าเรียกร้องรัฐจ่ายเงินสะสมชราภาพ

วันที่ 29 พฤษภาคม 2563 กลุ่มผู้ประกันตนประกันสังคมที่เคลื่อนไหวในนามกลุ่ม #ขอคืนไม่ใช่ขอทาน นัดหมายยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านทางศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของรัฐบาล ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล เบื้องต้นทางกลุ่มผู้จัดนัดหมายเข้ายื่นหนังสือเวลา 9.09 น. แต่เมื่อถึงเวลานัดหมายกลับยังไม่พบบุคคลใดที่หน้าสำนักงานประกันสังคม ต่อมาเมื่อประสานงานทางโทรศัพท์กับหนึ่งในผู้ร่วมจัดกิจกรรมจึงได้รับแจ้งว่าทางกลุ่มมีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการบางประการ

ในเวลาประมาณ 9.30 น. ทางกลุ่มจึงเดินทางมาถึงบริเวณทำเนียบรัฐบาล และทำกิจกรรมเดินเท้าผ่านหน้าทำเนียบรัฐบาล วนไปหน้าองค์การสหประชาชาติก่อนจะย้อนกลับมายื่นหนังสือที่อาคารสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) การทำกิจกรรมดำเนินไปอย่างเรียบร้อยโดยมีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบไม่ต่ำกว่า 10 คน มาคอยถ่ายภาพ วิดีโอ และอำนวยความสะดวกขณะข้ามถนนระหว่างการเคลื่อนขบวน อย่างไรก็ตามหลังกิจกรรมเสร็จสิ้นลงอย่างเรียบร้อย ผู้ประสานงานจัดกิจกรรมนี้ก็ให้ข้อมูลว่าก่อนที่จะมาวันนี้ตัวเขาไปประสานงานกับ สน.ดุสิตแต่ก็ได้รับคำตอบว่าจัดกิจกรรมแสดงออกไม่ได้ และหากมาจัดกิจกรรมก็จะถูกดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งเป็นเหตุผลที่กิจกรรมในวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการเล็กน้อย

ตั้งแต่เวลาก่อน 9.00 น. บรรยากาศที่หน้าทำเนียบรัฐบาล และศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของรัฐบาลซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามทำเนียบรัฐบาลค่อนข้างเงียบเหงาไม่ปรากฎว่ามีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบหรือสื่อมวลชนมาทำข่าวแต่อย่างใด

ในเวลา 9.10 น. เมื่อเจ้าหน้าที่ไอลอว์ที่ไปสังเกตการณ์การทำกิจกรรมติดต่อไปยังผู้ประสานงานกิจกรรมนี้ก็ได้รับแจ้งว่าทางกลุ่มมีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการบางประการ จะเริ่มกิจกรรมในเวลาประมาณ 9.19 น. แทนเวลานัดหมายเดิม และเปลี่ยนจุดนัดพบเป็นที่ลานอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับทำเนียบรัฐบาลเพื่อทำพิธีสักการะขอพรให้กิจกรรมในวันนี้ลุล่วงไปได้ด้วยดี

ในเวลาประมาณ 9.30 น. ผู้ร่วมกิจกรรม 17 คน เดินทางมาถึงที่อนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรฯ เพื่อทำพิธีสักการะ ระหว่างนั้นมีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบหนึ่งนายเข้ามาพูดคุยกับนายสัตวแพทย์ บูรณ์ อารยพล ซึ่งเป็นผู้ประสานงานกิจกรรมนี้เกี่ยวกับเส้นทางการเดิน และรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมทั้งหมดที่จะทำโดยที่ลานอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรฯ มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบนายนี้นายเดียวที่มาประสานงาน และถ่ายภาพ

ในเวลาประมาณ 9.40 น. ผู้ร่วมกิจกรรมเดินข้ามถนนไปชูป้ายที่หน้าทำเนียบรัฐบาลซึ่งจุดนี้มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบราวสิบนายเดินมาถ่ายภาพ และวิดีโอแต่ไม่ได้มีการแทรกแซงการทำกิจกรรม หรือห้ามการชูป้าย จากนั้นผู้ร่วมกิจกรรมจึงเดินผ่านทำเนียบรัฐบาลไปวนที่หน้าที่ทำการองค์การสหประชาชาติเพื่อถ่ายภาพ และวนกลับมาที่ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของรัฐบาลเพื่อยื่นข้อเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรีให้แก้ พ.ร.บ.ประกันสังคมใน 3 ประเด็นหลักได้แก่

1. ในกรณีเกิดวิกฤตการณ์หรือเกิดโรคระบาดร้ายแรงตามประกาศของรัฐบาล ให้ผู้ประกันตนสามารถเบิกเงินกองทุนชราภาพ 30 - 50% ของเงินที่มีอยู่มาใช้ได้
2. ให้แก้กฎหมายให้ผู้ประกันตนสามารถเลือกได้ว่าจะรับเงินสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพเป็นรายเดือนหรือเป็นเงินก้อน
3. ขอให้ผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 24 งวด หรือมีอายุ 45 ปีขึ้นไป เมื่อสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตนให้สามารถขอรับเงินชราภาพคืนภายในเวลา 90 วันไม่ต้องรออายุครบ 55 ปี

การยื่นหนังสือเป็นไปอย่างเรียบร้อย กิจกรรมทั้งหมดยุติในเวลาประมาณ 10.30 น. โดยตลอดการทำกิจกรรมกลุ่มผู้จัด และเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบได้เน้นย้ำกับกลุ่มผู้ชุมนุมเรื่องการรักษาระยะห่างตลอดเวลา และกลุ่มผู้ชุมนุมใส่หน้ากากอนามัยตลอดการทำกิจกรรมดังกล่าว

หลังกิจกรรมแล้วเสร็จ "บูรณ์" ซึ่งเป็นผู้ประสานงานกิจกรรมให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้าที่จะมาในวันนี้ ประมาณวันที่ 20 ต้นๆ แต่จะเป็นวันใดจำไม่ได้แน่ชัด บูรณ์ประสานกับทางศูนย์รับเรื่องร้องเรียนฯ และประสานกับเจ้าหน้าที่สันติบาลนายหนึ่งที่ดูแลพื้นที่บริเวณประตูทำเนียบรัฐบาลว่าจะมีผู้ประกันตนที่ได้รับความเดือดร้อนมายื่นหนังสือ เจ้าหน้าที่ก็บอกว่ายินดีให้มายื่นหนังสือแต่ควรไปแจ้งเรื่องกับทาง สน.ดุสิต และสน.นางเลิ้ง ซึ่งดูแลพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลด้วย เขาจึงไปติดต่อที่สน.ดุสิต เมื่อเจ้าหน้าที่ที่รับเรื่องทราบว่าเขาเป็นใคร และทราบวัตถุประสงค์การมาของเขาก็ไปตามนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มา ซึ่งนายตำรวจที่มาก็ตอบว่าไม่อนุญาต และหากบูรณ์หรือประชาชนคนใดเข้ามาทำกิจกรรมในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ก็จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย บูรณ์จึงตัดสินใจปรับรูปแบบกิจกรรม ไม่ประชาสัมพันธ์กิจกรรมในวงกว้างและใช้วิธีนัดหมายเป็นการส่วนตัวกับผู้เข้าร่วม และนัดหมายเพื่อแต่งตัวสวมโสร่งที่สถานีรถไฟฟ้าราชเทวีจากนั้นจึงนั่งรถโดยสารสาธารณะมาที่อนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรแทน

บูรณ์ระบุด้วยว่าในวันที่ 23 พฤษภาคม เขาขีจักรยานเซอเวย์เส้นทาง และได้ขี่จักรยานนำป้ายกระดาษไปถ่ายกับแลนด์มาร์กสำคัญในเกาะรัตนโกสินทร์ปรากฎว่ามีเจ้าหน้าที่สำรวจนายหนึ่งมาคอยขี่จักรยานยนตร์ติดตามและเมื่อเขาหยุดถ่ายภาพที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบกเจ้าหน้าที่ทหารรักษาการณ์ก็มาสั่งห้ามถ่ายภาพและจะขอลบรูป บูรณ์จึงถามตำรวจที่มาติดตามเขาว่าเจ้าหน้าที่ทหารคนดังกล่าวมีอำนาจสั่งให้เขาลบรูปได้หรือไม่ ซึ่งตำรวจก็ปฏิเสธว่าไม่มี เขาจึงไม่ได้ลบภาพ













อ.สมศักดิ์ เจียม เปิดตัวเลขกลมๆ... งบประมาณค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเครื่องบินพระที่นั่ง และ การก่อสร้างปรับปรุงอาคารในเขตพระราชฐาน...




งบประมาณค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเครื่องบินพระที่นั่ง และ การก่อสร้างปรับปรุงอาคารในเขตพระราชฐาน
การก่อสร้างและปรับปรุงอาคารในเขตพระราชทาน
- ในปี 63 เฉพาะจากงบกรมโยธาฯ กระทรวงมหาดไทย รายการ "โครงการสนับสนุนกิจกรรมพิเศษหลวง" ได้รับงบประมาณ 2,378 ล้านบาท
- ยอดรายจ่ายสะสมตั้งแต่ปี 53 คือ 13,739 ล้านบาท (โดยปี 53 เป็นปีแรกที่เริ่มมีการตั้งงบประมาณรายการนี้)
ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง
- ในปี 63 เฉพาะจากงบสำนักเลขาธิการนายกฯ โดยไม่รวมค่าเครื่องบิน ค่าก่อสร้างโรงเก็บเครื่องบิน ฯลฯ ได้รับงบประมาณทั้งสิ้น 1,586 ล้านบาท
- ยอดค่าใช้จ่ายสะสมตั้งแต่ปี 53 คือ 11,965 ล้านบาท
.............
คัดจาก "มิตรสหายท่านหนึ่ง"
...



เพจ KonthaiUK เฉลย ผู้ที่ปั่นจักรยานกับในหลวง คือ "อรอนงค์ สิริวชิรภักดิ์" หนึ่งใน20ผู้โชคดีประจำวัน




ภาพจาก FB

KonthaiUk

https://www.facebook.com/konthaiuk.protect.democracy/photos/a.1280211188680654/3047347855300303/?type=3&theater
...



ข่าวล่าสุด — หนังสือพิมพ์บิลด์ของเยอรมนี ได้รายงานว่า แคททารีน่า ชุลเซ่ นักการเมืองพรรคกรีน ผู้ได้เรียกร้องคำแถลงอย่างเป็นทางการจากรัฐสภาของบาวาเรีย ว่าทำไม กษัตริย์วชิราลงกรณ์ ถึงได้รับการปฏิบัติพิเศษในระหว่างวิกฤตโควิด-19 และคาดว่าจะได้รับคำตอบหลังกลางเดือนมิถุนายน
ในขณะเดียวกัน มากาเรเต้ เบาเส้ ตัวแทนพรรคกรีน ผู้เป็นสมาชิกสหพันธรัฐสภาในกรุงเบอร์ลิน ก็ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับวชิราลงกรณ์ โดยกล่าวว่า “พระราชามาพักที่เมืองการ์มิช พร้อมด้วยขบวนบริวารขนาดมหึมา ในช่วงเวลาที่การบินทุกอย่างหยุดชะงักไปหมด และไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้ามาด้วย ฉันมีข้อกังขาว่า ทำไมกฎพวกนั้นไม่ได้ถูกนำมาใช้กับเขา? ถ้าเขามาพักที่บ้านเราเป็นการส่วนตัว กฎอะไรที่ใช้กับคนอื่น ก็ต้องมีผลบังคับกับเขาด้วย
วันหยุดพักร้อนของวชิราลงกรณ์ ที่ดำเนินมากว่า 13 ปี ดูท่าจะเริ่มสร้างปัญหาทางการเมืองหนักขึ้นทุกวัน


คลิปหลุดแฉ วงการทหาร ห้ามถาม ห้ามตรวจสอบ ห้ามร้องเรียน ถ้าทำไม่ได้ก็ลาออกไป เพราะความยุติธรรมไม่มีอยู่ในกองทัพ




คลิปหลุดแฉ วงการทหาร ห้ามถาม ห้ามตรวจสอบ ห้ามร้องเรียน ถ้าทำไม่ได้ก็ลาออกไป เพราะความยุติธรรมไม่มีอยู่ในกองทัพ

จากกรณี ทหารยศ "สิบเอก" ออกมาแฉขบวนการโกงเงินหลวงในกองทัพ จนถูกขู่ฆ่า-คุกคามอย่างหนัก จนต้องไปร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการการยุติธรรม เเละสิทธิมนุษยชน หลังจากนั้นถูก นายพลทหารยศ ‘พลตรี’ เรียกไปอบรม จนมีคลิปหลุดออกมา

“จำไว้เลยนะทหารเรา อย่าเอาความคิดแบบพลเรือนมาใช้ โดยเฉพาะเรื่องการร้องเรียน (เมื่อพบการทุจริต) เพราะมันจะย้อนเข้าหัวตัวคุณเอง คุณอยากจบชั้นยศอยู่แค่นี้ไปตลอดชีวิตเหรอ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นต้องเก็บเอาไว้ร้องเรียนในค่ายทหาร คุณอย่าเอาไปร้องเรียนสื่อมวลชนหรือร้องเรียนสภา เพราะถือว่าผิดวินัย ห้ามสงสัย ห้ามเถียงผู้บังคับบัญชาด้วย ทุกพื้นที่ต้องมีระเบียบเดียวกันหมด ไม่มีข้อยกเว้น” นายพลกล่าวระหว่างข่มขู่ทหารชั้นผู้น้อย

“เรื่องที่เอ็งเอาไปแฉ ครั้งนี้เอ็งอาจจะรอด แต่ครั้งหน้าเอ็งไม่รอดแน่ ถ้าเอ็งทำอีก เขาไม่มียกโทษให้แน่นอน อยากอยู่ในอาชีพนี้ ก็ต้องไปปรับปรุงตัว ผมเชื่อผมรับราชการมากว่า 30 ปี เป็นธรรมหมด ผมยังไม่เคยเห็นที่ไม่เป็นธรรมเลย อย่างคนเป็นผู้บังคับบัญชา เขาโตมาจนป่านนี้ เขาได้รับการอบรมสั่งสอนกันมาเยอะ กว่าจะเรียนชั้นนายร้อย ชั้นนายพัน นายสิบต่างๆมากมาย อย่าไปสงสัยเยอะ แต่ถ้าคิดว่าอยู่ไม่ได้ ก็ลาออกไป” นายพลพูดข่มขู่ทิ้งท้าย

พรก.เงินกู้โควิด 1 ล้านล้านบาท ก็ออกแนวใช้วินัยทหาร คือตรวจสอบไม่ได้ สมกับเป็นอดีตผู้นำกองทัพไทย

>>>ดูคลิปที่ : https://www.khaosod.co.th/politics/news_4212880
...

ว่อนคลิป "หมู่อาร์ม-ผู้บังคับบัญชา" ปมร้องทุจริต "ครั้งนี้เอ็งอาจจะรอด แต่ครั้งหน้า" : Matichon TV



May 28, 2020

matichon tv

ว่อนคลิปเสียง “หมู่อาร์ม"ส.อ.ณรงค์ชัย อินทรกวี กับ ผบ. ศูนย์ซ่อมสร้างฯ” กรณีร้องเรียนกล่าวหามีการทุจริตในกรมสรรพาวุธทหารบก ครั้งนี้เอ็งอาจจะรอด แต่ครั้งหน้าเอ็งไม่รอดแน่


วันศุกร์, พฤษภาคม 29, 2563

คลิป พล.ต.สั่งสอน ‘หมู่อาร์ม’ แสดงว่าประเทศไทยยังเป็นกึ่งรัฐทหาร และขาดแคลนหลักการสิทธิมนุษยชน


ทำเป็นดุดันและกลั่นกล้าด้วยเสียงดัง ทั้งที่บุคคลิกปกติไม่ให้ ทั่วๆ ไปมักหลุกหลิกและลุกลน แต่นี่เป็นการแก้ผ้าเอาหน้ารอด แค่สร้างภาพกลางสภา “ทุกคนเสียภาษีเหมือนกันหมด...พวกท่านเป็นหนี้ผมเองก็เป็นหนี้ด้วย”

ประยุทธ์แถกเรื่อง พรบ.การเงินสามฉบับที่จะก่อหนี้เพิ่มให้แก่ประเทศอีก ๑.๙ ล้านล้านบาท ไม่ว่าจะมาในรูปแบบเงินกู้ต้องจ่ายดอกเบี้ย หรือเงินอุ้มสถาบันการเงิน แล้วยังโบ้ยบ้ายโทษคนโน้นคนนี้ เป็นความเคยชินไม่เคยยอมรับผิด

แถ “ตัวเลขหนี้สาธารณะที่ปรากฎขึ้นมานั้น เกิดมาหลายรัฐบาลก่อนหน้านี้” รัฐบาลที่แล้วนั่นแหละตัวดี ถลุงเสียไม่มี จาก ๔๐% มาสู่ ๔๑ เดี๋ยวนี้ ๕๐ ฝีมือคุณเฮียทั้งนั้น แม้ผู้ว่าแบ๊งค์ชาติแจงโครงการซ้อฟโลนว่าไม่ใช่เงินกู้ แค่ ๕ แสนล้านบาทก็หนี้ทางอ้อม

วิรไท สันติประภพ บอกสภาว่า “ธปท.ปล่อยเงินออกไปให้สถาบันการเงิน เมื่อครบ ๒ ปีสถาบันการเงินก็จะนำเงินที่มีการกู้จาก ธปท. กลับมาคืน ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นภาระภาษีให้กับประชาชนต่อไปในอนาคต” แต่ก็เป็นสองปีที่เงินก้อนนี้ไร้ค่า
 
ที่เหลือนอกนั้นอีกล้านล้านครึ่งนั่นภาระบนหลังประชาชนโดยตรง ส่วนที่ประยุทธ์อ้างต่างชาติชื่นชม ก็คงเรื่องที่โควิด-๑๙ ไม่แพร่ขยายมากมายในไทย มันเป็นผลของการตื่นรู้และมีน้ำอดน้ำทนของประชาชน ปฏิบัติตนเพื่อการป้องกันอย่างเคร่งครัด

แน่นอนว่ารัฐบาลย่อมรับความชอบไปตามฟอร์ม แต่ระหว่างการดำเนินมาตรการสกัดกั้นแพร่เชื้อ มีเรื่องผิดผีผิดไข้มากมายที่รัฐบาลไม่รู้เท่าทัน บางอย่างเจ้าเล่ห์เพทุบายด้วยเป้าหมายทางการเมือง เช่นการต่ออายุ พรก.ฉุกเฉิน อ้างเพื่อไม่ให้เกิดการอลหม่าน

ทั้งที่จริงๆ แล้วกฎหมายต่างๆ ที่มีอยู่สามารถนำมาใช้กำกับไม่ให้เกิดการสับสนได้หลายสถาน มันเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องบริหารจัดการกฎหมายเหล่านั้นให้เกิดประสิทธิภาพ โดยยึดถือการละเว้นก้าวล้ำสิทธิเสรีภาพของประชาชนก่อนอื่นใด

หากแต่รัฐบาลของประยุทธ์ จันทร์โอชา ชุดนี้ที่สืบเนื่องกรรมวิธีปกครองจากรัฐบาลของคณะยึดอำนาจ คสช. มาครึ่งใบ ยังเต็มไปด้วยแนวคิดและทางปฏิบัติอย่าง เผด็จการ เกือบเต็มใบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายโดยไม่เกิดการงอกเงย หรือการอธิบายเหตุด้วยความเท็จ

ตัวอย่างสดๆ ร้อนๆ ที่แสดงว่าประเทศไทยยังเป็นกึ่งรัฐทหาร และขาดแคลนหลักการสิทธิมนุษยชนสากล ปรากฏเมื่อคณะกรรมาธิการยุติธรรมฯ สภาผู้แทนต้องเชิญ ผบ.ทบ.ไปชี้แจงกรณีสิบเอกนายหนึ่งร้องเรียน ว่าถูกผู้บังคับบัญชาข่มขู่ คุกคามเอาชีวิต

เนื่องจาก ส.อ.ณรงค์ชัย อินทรกวี เสมียนงบประมาณในกรมสรรพาวุธทหารบกเปิดเผยว่าเกิดการทุจริตยักยอก “เบี้ยเลี้ยงการเดินทางของทหารในศูนย์ซ่อมสร้าง...และค่าใช้จ่ายในโครงการอบรมต่อต้านยาเสพติด ที่ตนได้มีส่วนรู้เห็น”

ไม่เพียงกองทัพบกตั้งแง่ว่าเรื่องร้องเรียนของทหารผู้น้อยยศแค่นายสิบ ทำไมต้องถึงกับให้ ผบ.ทบ.ไปชี้แจง ยังปรากฏว่า พล.ต.อภิชาติ อาจสันเทียะ ผู้บังคับบัญชาของ ‘หมู่อาร์ม’ ผู้ร้องเรียนสั่งสอนลูกน้องถึงทางปฏิบัติซึ่งละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างสิ้นเชิง

“ครั้งนี้เอ็งอาจจะรอด แต่ครั้งหน้าเอ็งไม่รอดแน่ ถ้าเอ็งทำอีก เขาไม่มียกโทษกันให้บ่อย เขาให้โอกาสคนครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งต่อไปไม่ต้องพูดถึง...ถ้าเอ็งอยากจะเจริญก้าวหน้า อยากอยู่ในอาชีพนี้ ก็ต้องไปปรับปรุงตัว ศึกษาเรื่องระเบียบวินัยทหาร”

ระเบียบวินัยที่ว่าก็คือ “การที่เราจะเถียงผู้บังคับบัญชา ทหารไม่ยอม...ถ้ามีความรู้สึกว่าผมไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็เขียนรายงานขึ้นมา...เขียนรายงานนี่แหละ มันก็ชนะ ถ้าถูกจริงนะ แต่ถ้าไม่ถูกโทษสองเท่า จำไว้เลยนะทหารเรา

...เพราะฉะนั้นทำอะไรให้คิด คิดให้หนัก อย่าเอาความคิดแบบพลเรือน ร้องเรียนนั่นนี่ไม่เกิดประโยชน์ มันจะย้อนเข้าหาตัวเอง...ถ้าคิดว่าอยู่ไม่ได้ ไม่ชอบชีวิตแบบนี้ก็ลาออกไป...นักเรียนเตรียมทหาร (นตท.) รุ่นเดียวกับผมนี่ ลาออกไปเกือบครึ่งแล้วนะ”

ผู้บังคับบัญชายังเปรียบเทียบระเบียบทางทหารว่าเป็นกฎหมายเหมือนกันกับ ข้างนอก“จะบอกว่าผมทำผิดแล้วผมไม่รู้กฎหมาย ไม่เกี่ยวคุณอ้างไม่ได้ คุณต้องศึกษาต้องเรียนรู้...นี่หละบอกไว้ เตือนไว้ถ้าอยากมีความก้าวหน้าในอนาคต ปรับตัวซะ”


ในความเหมือนกับกฎหมายข้างนอกที่ผู้พันอ้าง มันมีความต่างอย่างสุดโต่งปรากฏอยู่ เพราะว่า ระเบียบของกองทัพ นั้นห้ามปูดความมิดีมิร้ายภายในให้ภายนอกรู้ แต่ว่า กฎหมายบ้านเมือง (อันเป็นสากล) ย่อมอ้าแขนรับ ‘whistle blowing’ อยู่เสมอ

ไม่เช่นนั้นสาธารณชนจะรู้แจ้งถึงความชั่วร้ายภายในเครือข่ายอำนาจกดขี่ได้อย่างไร แต่ประเทศไทยระกำที่การ เป่านกหวีดกลับเคยถูกเครือข่ายอำนาจฉกไปเป็นเครื่องมือยึดครองเสียฉิบ

วิดีโอหาชมยากจาก Bild ในหลวงวชิราลงกรณ์ทรงขี่จักรยาน บนถนนวิวสวยงาม สะอาด ไร้ฝุ่น




Anne Alisa Grace เหมือนเดิม มีรถ"นำขวบนก่อน" 3คัน
แต่ไม่ปิดถนน
ถนนที่นี่ดูดีสะอาด ไร้ฝุ่น
แต่ฝุ่นที่เมืองไทยเพียบ มีรกอยู่ทุกที่

Virawong Mupawitra ทรงเป็นแบบอย่างในด้านการดูแลสุขภาพ



Tassikar Khonkhom นอกเหนือสิ่งอื่นใดคือ....วิวสวยโครตๆ

ที่มา FB

Somsak Jeamteerasakul

เงินหมดประเทศแล้ว... ขอกู้เงิน 1 ล้านล้าน ด้วยเอกสารเพียง 7 ใบ และไม่ให้ตรวจสอบ มีที่ไหนยอม ?!?




กู้เงิน 1 ล้านล้าน ไม่ให้ประชาชนตรวจสอบ พบเอกสารขอกู้มีแค่ 7 หน้า ‘ประยุทธ์’ ยอมรับเงินหมดประเทศแล้ว

ในรัฐสภาซึ่งถ่ายทอดไปทั่วประเทศ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศชัด จะไม่ยอมให้มีการตั้งคณะกรรมการภาคประชาชน หรือ คณะกรรมาธิการตรวจสอบเรื่องเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ออกแนว ‘กู้มาโกง’ เพราะ รัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ซึ่งมีการคัดเลือกกันเอง ตรวจสอบกันเอง แม้จะมีตัวแทนจากภาคธุรกิจ แต่ก็คงลงท้ายเหมือนกับซูเปอร์บอร์ดการบินไทย ที่เป็นร่างทรงนักการเมืองเข้าไปรุมทึ้งโกงกินผลประโยชน์กันสามฝ่าย ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์-พลังประชารัฐ

“ร่างพรก.เงินกู้มาโกง มีเอกสารเพียง 7 หน้าคิดเป็นหน้าละ 1.4 แสนล้านบาท มี 148 บรรทัด บรรทัดละ 6800 ล้านบาท มี 10375 ตัวอักษร เดียวคิดเป็นเงินละ 96 ล้านบาท” วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล

มีเงินกู้ที่ไหนในโลก มาขอกู้แล้วส่งเอกสารมา 7 แผ่น สะท้อนถึงจุดประสงค์ที่ชัดเจนว่าจะทำอะไรกัน เป็นวิธีโกงกินกันแบบหน้าด้านและตรวจสอบไม่ได้ คำว่าเราไม่ทิ้งกันแต่แท้จริง คือ พวกเราไม่ทิ้งกันพวกมันให้ทิ้งไป ใครชนะไม่รู้แต่ตอนนี้ประชาชนเป็นผู้พ่ายแพ้ และกำลังจะมีผู้พ่ายแพ้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆภายใต้ผู้นำประยุทธ์

พอรัฐบาลจมอยู่กับปัญหาเฉพาะหน้าจนแก้ไม่ไหวก็ต้องขู่ประชาชนและใช้อำนาจพระราชกำหนดฉุกเฉินไปเรื่อยๆ พิมพ์เอกสารเอสี่ใส่ชื่อพล.อ.ประยุทธ์ ประชาชนฟ้องร้องไม่ได้ เป็นการแก้ปัญหาแบบอันธพาลคุมซอย ดังนั้น การกู้เงินไม่ใช่ปัญหาแต่อยู่ที่วิธีคิด หากรัฐบาลทำอย่างนี้จะทำให้ความเหลื่อมล้ำบานปลาย

>>ประยุทธ์ ยอมรับ เงินหมดประเทศแล้ว

“รัฐบาลมีความจำเป็นเร่งด่วนต้องใช้เงินเร่งด่วนประมาณ 1 ล้านล้านบาท เป็นกรณีฉุกเฉิน และเป็นทางเลือกสุดท้ายรัฐบาลในการกู้เงิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเงินงบประมาณไม่พอแล้ว รองบ(เงินภาษี)ถึงปีหน้าไม่ได้” ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวรายงานในรัฐสภา

“การกู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ไม่ถือว่าขัดต่อระเบียบวินัยการเงินการคลังที่กำหนดกรอบสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีไว้ที่ ไม่เกินร้อยละ 60 การกู้ครั้งนี้จะมีสัดส่วนร้อยละ 59.96 ยังไม่ถือว่าเลยกรอบที่กำหนดไว้”

>>>ไทยเจ๊งหนักสุดในอาเซียน

Bloomberg รายงานตัวเลขเศรษฐกิจไทยปี 2563 คาดว่าติดลบ 6.62% เลวร้ายสุดในอาเซียน รัฐบาล ประยุทธ์ ใช้งบมากสุดตั้งแต่ก่อตั้งประเทศไทย คือ 21 ล้านล้านบาท แต่เป็นยุคที่มีคนจนมากที่สุด
...
...

ความคิดเห็นต่อการประชุมสภาผู้แทนราษฏรเพื่อพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) 3ฉบับ ดำเนินมาเป็นวันที่2 แล้ว สะท้อนความจริงพื้นฐาน 4 ประการ 

1 รัฐไทย รัฐบาลประยุทธ์ ไม่มีเงิน หนี้สินจะล้นพ้นตัว กำลังล้มละลาย แล้ว 

2 การต่อสู้ต่อต้านโคโรนาไวรัส ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ยิ่งใช้มาตรการล็อกดาวน์ ทำให้เศรษฐกิจถดถอย ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ยิ่งต้องใช้เงินมากขึ้นทวีคูณ ประเทศต่างๆ ต้องกู้เงิน แต่ประเทศประชาธิปไตยจะเสนอแผนและขออนุมัติกู้เงินจากสภาฯก่อนมาเป็นระยะๆ มิใชใช้วิธีออกพ.ร.ก. รวบหัวรวบหางบังคับรัฐสภาอนุมัติในคราวเดียว ดังที่รัฐบาลประยุทธ์ ทำอนู่ในเวลานี้ 

3 เนื่องจากรัฐธรรมนูญบังคับให้รัฐบาลหรือฝ่าบริหารต้องขออนุมัติจากสภาผู้แทนราษฏร รัฐบาลจึงต้องเสนอต่อสภาผู้แทนฯ และจำต้องนั่งรับฟังความคิดเห็นโดยเฉพาะส.ส. พรรคฝ่ายค้านอภิปรายวิพากษ์วิจารณ์ เสนอความคิดเห็น และใช้อำนาจซึ่งมีอยู่น้อยนิด อนุมัติ หรือไม่อนุมัติ พ.ร.ก. แม้สุดท้าย ก็ต้องแพ้ตามสภาพที่เป็นฝ่ายเสียงข้างน้อย แต่ก็ขอให้แสดงบทบาทอย่างเต็มที่ มีประสิทธิภาพ 

4 พ.ร.ก.กู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาท ดังกล่าว คงจะช่วยต่ออายุรัฐบาลเผด็จอำนาจประยุทธ์-ประวิตร ไประยะหนึ่ง ซึ่งเป็นแนวโน้มสถานการณ์การเมืองหลังโควิด19 ประการหนึ่ง ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยต้องติดตาม ตาวจสอบการใช้เงินกู้ การชำระหนี้ เพราะจะมาจากภาษึของประชาชนและเงินในอนาคตของลูกหลานไทยทุกคน
พรรคฝ่ายค้านจะต้องไม่อนุมัติพ.ร.ก.กู้เงิน ทั้ง 3 ฉบับ

Jaran Ditapichai