วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 30, 2565

ธรรมนัสเอาอีก “ผมไม่ต้องการมานั่งด่าใคร” รัฐมนตรีหลายคนโดนไม่ไว้วางใจ นายกฯ รับผิดชอบ ประยุทธ์ ‘ตีอก’ พูดบ้าง “เราทะเลาะกันไม่ได้อีกแล้ว”

ประยุทธ์ไป ตีอก พูดที่เชียงใหม่ “นี่ผมไม่ได้ว่าใครนะ” ไม่รักไม่ว่า “สัญญาต้องเป็นสัญญาว่าจะจับมือกันไป ต้องนั่งรถคันเดียวกันไป จะเป็นจะตายก็ต้องช่วยกันเข็น ให้มันวิ่งดีกว่า”

แถมบอก “อนาคตของประเทศไทยใครจะนำก็ว่าไป แต่มันต้องต่อเนื่อง” ตายห่สิวะฮะ ต่อเนื่องจากไอ้แปดปีที่ผ่านมา แล้วจะเหลือมะเขือที่ไหน สั่งสอนเสียด้วย “เลิกกันสักทีเถอะ ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นจะไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่า”

ชาวบ้านเขาสูญเสียมาตั้งหลายปีแล้ว พอทำท่าจะเริ่มดีจากตัวอย่างกรุงเทพฯ สร้างเอ็ฟเฟ็คลูกโซ่ โดมิโน่ไปทั่วประเทศ ก็เอาเชียว “ไม่ใช่ว่าไอ้นั่นก็ไม่ดีไอ้นี่ก็ไม่ใช่” รีบตีกันความเปลี่ยนแปลง ที่ประชาชนได้เห็นแสงรำไรว่ากำลังจะมา

จะว่าไป ไอ้การทวงสัญญาให้เดินเคียงข้างกันไป คงมีสัญญานว่าการอยู่ต่อยาวๆ ชักไม่แน่นอนเสียแล้วมัง เห็นทางพรรคปลาซิวปลาสร้อย และพวกที่แยกจากพลังประชารัฐไปรวมหัวกับ  มาเวอริคธรรมนัส พรหมเผ่า ยังยืนกรานไม่ตามใบสั่ง

ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ รองนายกฯ และรัฐมนตรีอีกหลายคน ของฝ่ายค้านที่จะมาถึงในเดือนกรกฎานี้ นอกจากแกนนำ เช่น พิเชษฐ์ สถิรชวาล ประกาศเอาไว้แล้วจะไม่เข้าใครออกใคร ดูที่หลักฐานการประพฤติรัฐมนตรีแต่ละคนเท่านั้น

เมื่อวานนี้เอง หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย ส.ส.พะเยาเอาอีก บอกพวกพรรคตนทำการบ้านมาแน่นจน “ดูแล้วน่าเป็นห่วง...รัฐมนตรีหลายคน...บางท่านจะตอบโต้อย่างไรก็ลำบาก เพราะเรื่องทุจริต การบริหารบกพร่องจนประเทศเสียหาย”

ดังนั้นธรรมนัสและลูกพรรค “ตัดสินใจไปแล้ว” เพราะเหตุผล (และ) หลักฐานที่เห็น “หลายอย่างในการทุจริตของรัฐบาล หากพรรคเรายังไปสนับสนุนรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตเหล่านี้ สมัยหน้าประชาชนเขาจะไม่เลือกเรา”

จากท่าทางของธรรมนัสเวลานี้ รัฐมนตรีหลายคนที่ขึ้นเขียง ใครรอดมาได้ก็คงสะบักสะบอมพอประมาณละ และถ้ากลุ่มธรรมนัสและพิเชษฐ์ผนึกกำลังกันได้แน่นเหนียวจริงๆ ก็หนักอยู่สำหรับฝ่ายรัฐบาล ในเมื่อเสียงสองกลุ่มรวมกันถึง ๓๐

ถึงอย่างนั้นจากคำให้สัมภาษณ์ของธรรมนัส ยังมีกั๊กเอาไว้สองคน คือ ประวิตร วงษ์สุวรรณ และประยุทธ์ จันทร์โอชา กรณีประวิตรนั่นธรรมนัสอ้างว่าเป็นแค่หัวหน้าพรรค พปชร. ไม่ได้นั่งกระทรวงไหนเลย จะเอาอะไรมาอภิปราย

“เอาเรื่องเก่ามาพูด ตนไม่เห็นด้วย เพราะโดนอภิปรายมาทุกสมัยแล้ว” อีกทั้งเรื่อทุจริตในกรมทรัพยากรน้ำ ที่ ส.ส.มหาสารคามพรรคเพื่อไทยยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ แม้ประวิตรจะใส่ใจเรื่องน้ำเป็นพิเศษ ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวง

ส่วนกรณีประยุทธ์ ธรรมนัสว่ายังไม่เห็นสาระของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ในฐานะที่ประยุทธ์เป็นหัวหน้ารัฐบาล “หากรัฐมนตรีหลายรายโดนสอย หรือเสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย แม้นายกฯ จะยังอยู่ในหน้าที่ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบ”

พอนักข่าวถาม เซ้าซี้ ซักไซร้ เรื่องถ้ารัฐมนตรีหลายคนโดนโหวตไม่ไว้วางใจ แล้วนายกฯ “ควรพิจารณาตัวเองเลยใช่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า หากเป็นตนถ้าได้ที่โหล่อย่างนั้นก็คงจะไป” เขาว่าผลงานเยอะแยะไม่สำคัญเท่า ประชาชนได้ประโยชน์หรือเปล่า

“ผมไม่ต้องการมานั่งด่าใคร แต่มันเป็นเสียงที่ประชาชนสะท้อนออกมา มันเหมาะเจาะคล้องจองกับคำของประยุทธ์ “ทะเลาะกันไม่ได้อีกแล้ว ผมไม่ต้องการทะเลาะกับใคร”

(https://www.facebook.com/100001454030105/posts/?d=n และ https://www.khaosod.co.th/politics/news_7135507)

"น้าหมัก" เคยกล่าวว่า "ความกลัวทำให้เสื่อม" แต่ตอนนี้ "ความเสื่อมทำให้กลัว" ชวนอ่านอัฟเดทจากธนาพล


Thanapol Eawsakul
33m · 

ขอขอบคุณและขอเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจนถึงในวันนี้
........
ตลอดปี 2564 ถึงปี 2565 นั้นผมก็เช่นเดียวกับหลาย ๆ ท่านที่มีคดีความ เกิดขึ้นจำนวนไม่น้อยทั้งเป็นคดีแพ่งและคดีอาญา ทั้งที่ปัจเกจบุคคล บริษัทมหาชน สมาชิกวุฒิสภา ตลอดจนเจ้าหน้าที่รัฐต่างๆฟ้องร้องจำนวนไม่น้อย
แน่อนว่าต้องเสียเวลา เสียพลังงาน และเสียเงินไปเป็นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน
ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ในวันนี้ (29 มิถุนายน 2565) เมื่อวานอัยการก็สั่งฟ้องคดีหมิ่นประมาทที่เสรี สุวรรณภานนท์ วุฒิสภาที่มาจากการรัฐประหารฟ้องผมและต้องไปประกันตัวด้วยหลักทรัพย์ 50,000 บาท
(ตอนแรกก็จะตั้งใจเขียนเล่าเหตุการณ์เมื่อวาน จากประสบการณ์ชีวิตเจอผู้คนที่รอประกันในคดีความต่างๆร่วม 11 คน แต่ก็เกิดเหตุการณ์วันนี้ขึ้นไปก่อน
ขอเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจนถึงในวันนี้
1. การที่ตำรวจมาเยื่อมเยือนสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันเป้นเรื่องปกติตั้งแต่เราตั้งสำนักพิมพ์มาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว และมาหนักหน่วงหลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 และเบาบางลงเมื่อมีการเลือกตั้ง 2562
2. ตำรวจเริ่มมาที่สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันอีกครั้ง พร้อมๆ กับการลุกขึ้นสู้ของเยาวชนคนร่นหใม่ พร้อ ๆ กับกระแสะ #อ่านปลดแอก เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2563 ตำรวจมายึดหนังสือเอาไปตรวจสอบ
1.ประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์อยู่เหนือการเมือง
2.ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี
และ 3.ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ พร้อมกับเชิญผมไปบันทึกคำให้การต่อที่ สภ.รัตนาธิเบศร์ ซึ่งคดีนี้ทางศุนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน มาช่วยดำเนินการ
ตำรวจบุก สนพ.ฟ้าเดียวกัน ยึดหนังสือกลับไปตรวจสอบ พร้อมเชิญ บก.บห.บันทึกคำให้การเพิ่ม
https://www.matichon.co.th/politics/news_2402745
แน่นอนว่าหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวผมก็ถูกติดตามอย่างใกล้ชิดมากขึ้นจากเจ้าหน้าที่รัฐ
3 ต่อมาเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2563 ผมได้โพสต์ข้อความที่เกี่ยวกับเอกสารสภาความมั่นคงแห่งชาติที่สั่งให้ติดตามอดีตทูต ซึ่งก็เข้าใจโดยทั่วไปว่าคือทูต รัศม์ ชาลีจันทร์ เอาเข้าจริงเอกสารดังกล่าวก็เป็นที่เปิดเผยโดยทั่วไปจะเรียกว่าเป็นความลับของประเทศก็กระไรอยู่ โดยที่ตำรวจไปแจ้งความในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 แต่ทว่าผมไม่เคยทราบเรื่องดังกล่าวนี้เลยจนกระทั่งวันที่ 18 เมษายน 2565 และรู้ความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับข้อกล่าวหาวันที่ 29 มิถุนายน 2565 ดังที่จะกล่าวต่อไป
เอกสาร จับตา “ทูตนอกแถว” แชร์ว่อนเน็ต ชี้ เผยแพร่ข้อมูลโจมตีรัฐบาล
https://www.prachachat.net/social-media-viral/news-560261
4. ตำรวจมาอีกครั้งในวันที่ 20 มีนาคม 2564 เพื่อที่จะยึดหนังสือ สถาบันกษัตริย์กับสังคมไทยซึ่งเป็นบทปราศรัยของอานนท์ นำภา ซึ่งไม่ใช่หนังสือของสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน แต่เพราะในวันเดียวกันนั้นที่สนามหลวงจะมีการชุมนุมของกลุ่มราษฎร ซึ่งครั้งนี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. เข้าร่วมด้วย
ตำรวจกว่า 30 นายเข้าค้นสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ขอยึดหนังสือสถาบันพระมหากษัตริย์กับสังคมไทย
https://thestandard.co/the-police-searched-sameskybooks/
5 เปิดมาปีใหม่ 20 มกราคม 2565 ตำรวจ สภ.รัตนาธิเบศร์ ประสานกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จาก จาก กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. เจำนวนราว 30 นาย ได้เข้าทำการตรวจค้นสำนักงานของสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน อ้างว่าเพื่อตรวจยึดหนังสือ “สถาบันพระมหากษัตริย์กับสังคมไทย”, อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือของ ธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้งฟ้าเดียวกัน โดยทางเจ้าหน้าที่ได้แสดงหมายค้นและคำสั่งอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ ทั้งหมด 2 ฉบับ ออกโดยศาลจังหวัดนนทบุรี
ตร. 30 นาย บุกยึดมือถือ-คอมฯ บก.ฟ้าเดียวกัน อ้างมาตรวจยึดหนังสือบทปราศรัยทนายอานนท์ แต่โยงปมเผยแพร่ข้อมูลลับ
https://tlhr2014.com/archives/39791
6 หลังจากแจ้งความในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ผ่านไปปีกว่า กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ( ปอท.) มีหมายแจ้งมาถึงผมเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2565 จากปอท. ซึ่งกล่าวว่าเป็นเอกสารเผยแพร่เอกสารลับทางราชการ ซึ่งถึงตอนนั้นผมมีคดีเกี่ยวกับตำรวจปอท. 2 คดีด้วยกัน
7 การที่มีคดีกับปอท. ในครั้งนี้ทำให้ผมต้องไปรายงานตัว ซึ่งครั้งแรกได้ขอเลื่อนไป 60 วันซึ่งตำรวจปอท. ก็รับทราบและอนุญาต ต่อมามีการขอเลื่อนนัดอีกครั้งเมื่อใกล้ครบกำหนดเพราะผมต้องติดคดีความดังที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่าวันที่ 28 มิถุนายนผมต้องไปที่ศาลตลิ่งชัน
8. วันที่ 23 มิถุนายน 2565 ผมได้นัดหมายว่าจะไปที่ ปอท. วันที่ 4 กรกฎาคม 2565 เวลาบ่ายโมง แต่ระหว่างนั้นคือวันที่ 28 มิถุนายนทางปอท.ได้ไปขออนุมัติศาลให้ออกหมายจับ ทั้งนี้คนที่ประสานงานเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2565 และคนที่ขอให้ขออนุมัติศาลให้ออกหมายจับ คือนายตำรวจคนเดียวกัน
9. ผลจากการออกหมายจับทำให้ ตำรวจกองปราบได้มาจับตัวผมในวันนี้ 29 มิถุนายน 2565 เมื่อผมถูกนำตัวไปกองปราบและไปปอท.ที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน
10. ก็ได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนและโต้แย้งการออกหมายจับทั้งๆที่ได้มีการนัดหมายให้ไปพบกับเจ้าหน้าที่แล้วผลการเจรจา ที่เป็นทีมทนายของผม ทั้งจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และทนายความที่มาช่วยส่วนตัวในคดีนี้พร้อมกับการเจรจา ประสานงานของรังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล จึงทำให้ทางตำรวจให้ประกันใช้ในชั้นสอบสวนโดยมีเงื่อนไขว่าต้องมารายงานตัวทุก 15 วัน ทำให้ผมสามารถ กลับถึงที่พักได้
ซึ่งทั้งหมดนี้ผมต้องขอขอบคุณ
- กองบรรณธิการวารสารฟ้าเดียวกันทุกคน ที่ผมได้นำภาระอันไม่พึงประสงค์ ทำให้ต้องมา เดือดร้อนไปพร้อมกันและนี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ขอให้เป็นครั้งสุดท้าย
- ตัวแทนทนายความทั้งทนายประจำคดีนี้ คือทนายแป๊บและทีมงาน ที่ต้องเจองานแทรกอันไม่พึงประสงค์ ขอขอบคุณทีมงานจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ที่เป็นคดีที่เป็นทนายประจำคดีปอท.อีกคดีหนึ่ง แต่ก็ได้ร่วมงานกับทีมทนายแป๊บอย่างแข็งขัน
- ขอบคุณรังสิมันต์ โรมและทีมงาน ที่ช่วยประสานงานร่วมกับทีมทนาย และเป็นนายประกันด้วยตำแหน่ง ส.ส.
- ขอบคุณ เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.พรรคก้าวไกล และพรรณิการ์ วานิช คณะก้าวหน้าที่เดินทางฝ่าฝนมาให้กำลังใจ
- และขอขอบคุณ เพื่อนสนิทมิตรสหายทั้งหน้าไมค์และหลังไมค์ ที่ถามไถ่กันมา
สุดท้ายแล้วหลายคนอาจจะมองว่าข้อหาเผยแพร่ความลับของประเทศ มันไม่เห็นมีอะไรเลย ถ้ามองเรื่องเนื้อหาเอกสาร แต่สิ่งที่ผมอยากจะชี้ชวนให้เห็นว่า ยิ่งเรามองว่ามูลเหตุแห่งคดี “ไม่เห็นมีอะไรเลย” อันนี้แหละที่เป็นอันตราย
เพราะนี่เป็นอันตรายต่อประชาชนเช่นเรา ๆ ท่าน ๆ ที่จะโดนข้อหาต่าง ๆ ได้ ง่าย ๆ แม้ว่าในทางเนื้อหา “ไม่เห็นมีอะไรเลย” ก็ตาม

ค่าใช้จ่ายทั้งชุดลูกเสือเฉลี่ย 1,000 บาท ซื้อ ข้าวหอมมะลิ (อย่างดี) 5 กก 5 ถุง อิ่มท้องได้นานเลย ทำไมต้องเอามาจ่ายเพื่อความคิดยึดติดไม่ยอมเปลี่ยนของใครบางคนด้วย


Uninspired by Current Events
15h
Dress Up
.....
Somros MD Phonglamai ·
ค่าใช้จ่ายทั้งชุดลูกเสือเฉลี่ย 1,000 บาท VS ค่าอาหารกลางวันเด็ก 21 บาท (ต่างกัน 50 เท่า)


Woranuch Khamsart
Somros MD Phonglamai ชุดลูกเสือ = ข้าวหอมมะลิ (อย่างดี) 5 กก 5 ถุง = อิ่มท้องได้นานเลย ทำไมต้องเอามาจ่ายเพื่อความคิดยึดติดไม่ยอมเปลี่ยนของใครบางคนด้วย เรามาลองเทียบดูมั้ย ว่า ค่าชุดลูกเสือ เท่ากับ ค่าดำรงชีวิตอะไรได้บ้าง





Kannapat Dokmaites
อาหารกลางวันเด็ก วันละ 21 บาท
ค่าเครื่องแบบ รัฐให้ 360 บาทต่อคน ต่อปี (นี่เด็กประถมนะ มัธยม อนุบาล ก็อีกราคานึง)
เสื้อผ้า ชุดอะไรที่เวิ่นเว้อ พอเถอะ 5 วัน หลากชุด 360 บาท จะพออะไร ทั้ง ชุดพละ ลูกเสือ ผ้าไทย ชุดนักเรียน แต่ละแบบก็ใส่รองเท้าไม่เหมือนกันอีก
รร. ตามต่างจังหวัด อาจมีคู่เดียว ครูก็อนุโลมให้ใส่ เพราะเข้าใจผู้ปกครอง ไม่ค่อยมีเงิน
พูดถึงคนที่ไม่ค่อยมีกะตังค์นะ (บางคนมีหาซื้อได้ ก็มี)
งบให้เด็กแค่นี้ พวกผู้ใหญ่ในสภา กินกันมื้อละเท่าไรคะ
.....
ท่านปลัดกระทรวงมหาดไทยช่วยตอบกระทู้นี้ของคุณชำนาญ  จันทร์เรือง หน่อย

Somrit Luechai
16h ·

The Clash of Civilizations

ลุงตู่ มาแอ่วเจียงใหม่



ณ เวลานี้
แยกศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ ตอนนี้
#เฮาฮักลุงตู่ #ขอหื้อปันต๋ายโวยๆ
ภาพจาก
ประชาคมมอชอ






ilovemilitary
@8amiarp
ชอบมากๆๆๆๆๆ คนเมียงมันปัง 5555555555555555555555555555555555 ยินดีต้อนรับครับ แต่กำเมียงคือเหี้ยมาก

ไปต๋ายเหียไอ้ง่าวตู่ คือ แค่ตุงก็ปังละ เพราะใช้ในงานศพ 55555 เห็นแล้วขำ
#Overview #VoiceTV
Overview-ตู่ถูกม็อบไล่คาเชียงใหม่ พูดจาบนเวที่สุดเลอะเทอะ ขาประจำขนคนอวย ใช้ตำรวจสองพันอุ้มประยุทธ์

Jun 29, 2022

รายการ #Overview ประจำวันที่ 29 มิถุนายน 2565

เหตุที่ชัชชาติได้รับความนิยมอย่างสูงจากคนรุ่นใหม่แตกต่างจากประยุทธ์


Atthasit Muang-in
17h

ชัชชาติได้รับความนิยมอย่างสูงจากคนรุ่นใหม่เพราะมีภาพพจน์และรูปแบบการบริหารที่แตกต่างจากประยุทธ์ในเกือบทุกด้านแม้จะเป็นผู้นำรัฐบาลคนละระดับกันคือระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ
ความแตกต่างดังกล่าวได้แก่
1. ชัชชาติมีภาพการเป็นผู้นำติดดิน ถ่อมตน เข้าถึงประชาชนเช่นไปวิ่งและทักทายประชาชนผ่านการไลฟ์ อันตรงกันข้ามกับประยุทธ์ที่เดินทางไปที่แห่งใดราวกับเป็นขุนนางผู้สูงส่ง มีการปิดถนน เกณฑ์คนมาต้อนรับ และมักเป็นชาวบ้านสูงวัยซึ่งไม่ทำให้คนไทยจำนวนมากเกิดความรู้สึกคล้อยตามหรือเชื่อว่าเป็นความนิยมของประยุทธ์จริงๆ กิจกรรมของประยุทธ์ยังถูกถ่ายทอดผ่านสื่อเก่าเช่นทีวีกับหนังสือพิมพ์ซึ่งรัฐคุมได้ดีกว่าอีกทั้งยังเป็นการสื่อสารด้านเดียว แต่คนรุ่นใหม่บริโภคสื่อแบบนี้น้อยลงมาก
2. ชัชชาติมีภาพของผู้นำอารมณ์นิ่ง และสุขุมอย่างคงเส้นคงวาตั้งแต่ก่อนจนมาถึงตอนเป็นผู้ว่า ฯ ทำให้คนไทยจำนวนมากรู้สึกไว้ใจว่าเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา ในขณะประยุทธ์เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ดังนั้นภาพของประยุทธ์ที่พยายามยิ้มและเป็นมิตรกับประชาชนจึงถูกมองว่าเป็นการเสแสร้ง
3.ชัชชาติเป็นคนมองบวก และยอมรับผิด พร้อมปรับปรุงตัวเอง ในขณะประยุทธ์ก็มองบวกเหมือนกันคือมองตัวเองในด้านบวกทุกอย่างในลักษณะแบบคนหลงตัวเองแบบอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่เคยยอมรับผิด และพร้อมจะโทษคนอื่นได้ในทุกครั้ง
4. ชัชชาติมีบุคลิกภาพของการเป็นนักวิชาการและเข้าใจปัญหาของกทม.โดยเฉพาะด้านวิศวกรรมที่ลึกซึ้ง แม้ประชาชนจะไม่ได้เข้าใจคำพูดของเขาทุกคำแต่ก็มีความไว้เนื้อเชื่อใจ ในขณะประยุทธ์มีบุคลิกแบบทหารเก่า (ซึ่งล้าสมัยไปแล้ว) หรือข้าราชการบำนาญที่ไม่เข้าใจปัญหาอะไรของประเทศลึกซึ้ง แม้แต่ความมั่นคงทางทหารเอง และแกก็แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงการบริหารประเทศเลยในระยะ 8 ปีที่ผ่านมา นอกจากออกปากสั่งแล้วก็เรื่องก็เงียบ
5.ชัชชาติมีภาพของคนทำงานหนัก ซื่อสัตย์ โปร่งใสและเน้นการมีส่วนร่วมของคนจำนวนมากเช่นการไลฟ์อย่างถี่ยิบ ที่แสดงถึงการทำงานของผู้ว่าทุกขั้นตอนและการรับฟังความเห็นของคนตัวเล็กตัวน้อยตั้งแม่ค้าขายอาหารริมถนนยันวินมอเตอร์ไซด์ ในขณะประยุทธ์มีการพีอาร์คือไลฟ์เหมือนกันแต่เป็นกิจกรรมกับบุคคลที่ถูกเกณฑ์มาโดยนักการเมืองและข้าราชการ อีกทั้งยังไม่เปิดรับความเห็นต่าง มีแต่คนเชลียร์ (เชียร์ +เลีย) เท่านั้นที่เข้าถึงตัว รัฐบาลยังไม่มีความโปร่งใส เน้นการขับเคลื่อนโดยระบบราชการที่อุ้ยอ้าย เต็มไปด้วยเรื่องคอรัปชั่น
6. ชัชชาติตอบคำถามและเผชิญหรือน้อมรับคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา มีการใช้คำพูดเท่าที่จำเป็น ไม่กล่าวโทษใคร ในขณะประยุทธ์ใช้อำนาจและอารมณ์เข้าข่มคนถามหรือคนที่ไม่เห็นด้วยหรือแกมักพูดด้วยประโยคอันเต็มไปด้วยเล่ห์กลในการยกตัวเองและโจมตีฝ่ายตรงกันข้าม นอกจากนี้แกยังใช้คนอื่นมาตอบคำถามเช่นรัฐมนตรีและโฆษกรัฐบาลแทน อันทำให้คนขาดความเชื่อถือ
7.ชัชชาติถูกมองว่าใช้กิจกรรมแม้แต่ยามว่างในวันเสาร์ อาทิตย์เอื้อประโยชน์ต่อประชาชน ในขณะประยุทธ์มีภาพของผู้นำที่ไม่ทุ่มเทกับการทำงาน มีหยุดวันเสาร์ อาทิตย์ในการนอนดูหนัง Netflix อีกด้วย อนึ่งทั้งชัชชาติและประยุทธ์ต่างสร้างภาพว่าใกล้ชิดกับประชาชนเช่นร่วมเล่นกีฬาหรือสันทนาการเหมือนกัน กระนั้นคนมองว่าชัชชาติมีความตั้งใจเช่นนั้นจริงๆ แต่ประยุทธ์กลับถูกมองว่าเสแสร้ง และยังเป็นผู้นำที่เหมาะกับเรื่องเบาสมองแบบนี้เท่านั้น หรือว่าการพูดคุยกับสัตว์บ่อยครั้งของประยุทธ์เป็นเรื่องที่ดีเพราะแสดงถึงการเป็นคนมีจิตใจเมตตา แต่กลับทำให้คนมองว่าแกเหมาะกับการสื่อสารกับสัตว์ไม่ใช่คนด้วยกัน
8.ชัชชาติมีมีวิสัยทัศน์ชัดเจนและประยุกต์การบริหารประเทศโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในขณะประยุทธ์ขาดวิสัยทัศน์ ไม่มีความเข้าใจเทคโนโลยี และยังบริหารแบบโบราณคือเอาทุกอย่างมาอยู่ใต้การสั่งของตัวเองทั้งที่ไม่ความเข้าใจในเรื่องนั้นอย่างถ่องแท้ แต่เน้นการสร้างภาพว่าตัวเองเหมือนรู้ทุกเรื่อง ผลคือสภาพของประเทศไทยในปัจจุบันนี้
อย่างไรก็ตามผมมองว่าทั้งคู่เป็นนักการเมืองแบบประชานิยมและเน้นการสร้างลัทธิเชิดชูบุคคลเหมือนกัน โดยที่ชัชชาติได้เปรียบเพราะใช้ประยุทธ์เป็นบรรทัดฐานในการปรับบุคลิกภาพของตน อีกทั้งชัชชาติยังดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ ได้แค่เดือนเดียว นอกจากนี้ถ้าในอนาคต ชัชชาติก้าวเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเหมือนประยุทธ์ อาจต้องปรับตัวให้มากกว่านี้หรือในที่สุดแล้วอาจได้คะแนนความนิยมต่ำกว่าตอนเป็นผู้ว่า ฯ กทม.ก็ได้ (หรือกรณีเลวร้ายสุดๆ คืออาจโดนยึดอำนาจ) เพราะการบริหารระดับประเทศนั้นซับซ้อนและมีตัวละครทางการเมืองเช่นกลุ่มรัฐซ่อนเร้น กลุ่มข้าราชการกับกลุ่มผลประโยชน์ อุดมการณ์ทางการเมือง ฯลฯ เสียยิ่งกว่ากทม.มากมาย

ถ้า​ไม่ใช่ ชัชชาติ​ เราจะรู้เรื่องเหล่านี้มั้ย


Ten Tenishi Tosakul
21h

ถ้า​ไม่ใช่ ชช.​ เราจะรู้เรื่องเหล่านี้มั้ย
-อัศวินต่อสัญญากำจัดขยะกับตระกูลนักการเมืองไปอีก​ 20 ปี
-รถบีบอัดขยะที่ซื้อมาไม่เคยใช้
-ต่อสัญญา​ bts อีก​ 17 ปี
.....
Thuethan Prasobchoke
June 26

สิ่งหนึ่งที่เราเริ่มได้เห็นหลังจากได้ผู้ว่าจากการเลือกตั้งมาทำงานแบบโปร่งใสและให้ประชาชนตามไปดูการทำงานไปด้วยผ่าน live Facebook ก็คือ ขยะใต้พรมที่จะโผล่รายวัน อย่างซื้อเปียโนซื้อเครื่องดนตรี 1,300 ล้าน เมื่อวานก็เครื่องอัดขยะที่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้งานเป็น 10 ปี
การใช้เงินประชาชนแบบไม่มีประสิทธิภาพ ไม่คุ้มค่าเงิน ทำแค่ให้ถูกระเบียบจะได้ไม่มีความผิด แต่เจตนามองที่เงินทอนเป็นหลักมาตั้งแต่เริ่มทำโครงการแบบนี้
ถ้ามองภาพใหญ่ไปทั้งประเทศในรัฐบาลประยุทธ์ก็ไม่ต่างจาก กทม.
อนุสาวรีย์สาธารณูปโภคจากโครงการประชารัฐต่างๆ ซากหมู่บ้านท่องเที่ยวนวัตวิถีที่เหลือแต่ป้าย หรือตลาดประชารัฐร้างที่เป็นที่วิ่งเล่นของหมา และอีกมากมายจาระไนไม่หมด
หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่ประยุทธ์บอกว่า ถ้าประชาชนไม่ให้ทำงานต่อก็กลับบ้านนอนนั้น ประชาชนต้องช่วยกันทำไม่ให้ประยุทธ์กลับไปนอนบ้านสบายๆโดยที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร และที่ประยุทธ์ควรจะได้ไปนอนไม่ควรเป็นบ้าน
.....

Phattita Cheraiem
June 27
โถ!! #หม่อมคนดีย์​ของสลิ่มชาวกรุงฯ

เรื่องราวของบุคคลที่เสนอ ระบอบประชาธิปไตย ให้ ร. 5 ผู้มีชีวิตบั้นปลายอันน่าเศร้า เหตุการณ์ก่อน 2475 และ กบฏ ร.ศ.130


เล่าเรื่องคณะราษฎร2475
June 25

บุคคลที่เสนอ ระบอบประชาธิปไตย ให้ สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
ผู้มีชีวิตบั้นปลายอันน่าเศร้า
เหตุการณ์ก่อน 2475 และ กบฏ ร.ศ.130
ย้อนกลับไป ในสมัยรัชกาลที่ 5
เป็นรัชสมัยที่ มีการพัฒนาแต่ละด้าน ในอาณาจักรายามช่วงนั้น ได้นำเอาวิทยาการของฝรั่งมาเริ่มใช้ด้วย
เหล่าเชื้อพระวงศ์ และ เหล่าคนชั้นสูง ต่างได้มีโอกาสถูกส่งไปเรียนที่ยุโรบ ประเทศยอดฮิตคือประเทศอังกฤษ ซึ่งมีรัฐธรรมนูญ รัฐสภาและนายกรัฐมนตรี มีพระราชินีวิคตอเรีย เป็นกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ รวมทั้งมีการปฎิวัติอุตสาหกรรม กำลังทหารก็เกรียงไกร เรียกได้ว่า ประเทศอังกฤษเป็นมหาอำนาจโดยแท้จริง
ดังนั้น นักเรียนไทยที่ได้ไปเรียนที่ประเทศอังกฤษ ก็ได้รับรู้ถึงระบบประชาธิปไตย ของอังกฤษ ในขณะที่เรียนอยู่ที่นั่น
รวมทั้ง ชายผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งมีฐานะเป็นสมาชิกของราชวงศ์จักรี สืบเชื้อสายโดยตรง จาก ในหลวงรัชกาลที่ 3
มีนามว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ เป็นบุตรของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนราชสีหวิกรม ซึ่งเป็นบุตรของในหลวงราชกาลที่ 3
พระองศ์ ทรงเป็นหนึ่งในนักเรียนหลวง ไปศึกษาที่ โรงเรียนราฟเฟิล ที่ประเทศสิงค์โปร จากนั้นได้เสด็จไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2414 และเข้าศึกษาในราชวิทยาลัยแห่งลอนดอน มหาวิทยาลัยลอนดอน ในสาขาวิทยาศาสตร์ประยุกต์และวิศวกรรมศาสตร์ เมื่อทรงสำเร็จการศึกษาและเสด็จกลับประเทศไทยในปี พ.ศ. 2419
ในปี พ.ศ. 2423 ทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นล่ามและตรีทูต ในคณะของเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) เพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร และได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตไทยคนแรกประจำราชสำนักเซนต์เจมส์แห่งอังกฤษ
หลังจากได้รู้ประวัติของท่านคร่าวๆ แล้ว เรียกได้ว่าเป็นคนรุ่นใหม่ ไฟแรง เพิ่งจบจากเมืองนอก เลยทีเดียว
ในปี 2428 ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงเห็นว่า พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ มีความรู้เรื่องตะวันตกอย่างดี แถมพูดภาษาอังกฤษได้ดีเยี่ยม จึงทรงได้ถาม พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ เกี่ยวกับ การเสียเอกราชของพม่าจากอังกฤษ และ ให้ช่วยแนะนำแนวทางใหม่ในการปฎิรูปการปกครองของสยามเพื่อที่อาณาจักรสยามจะได้ตามกระแสโลกทัน ทรงให้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์แสดงความคิดเห็นส่วนตัวกับในหลวงราชกาลที่ 5
พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ได้แสดงความเห็น เสนอการปฎิรูป โดยสาระสำคัญคือ
‘ ขอให้มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายหลัก ในการปกครองบ้านเมือง ด้วยระบอบ ประชาธิปไตย ‘
หากผม เป็นในหลวงรัชกาลที่ 5 คงต้องมีสะดุ้งแน่ๆ ไม่นึกไม่ฝันว่า จะมีญาติของตัวเอง มา เสนอ ประชาธิปไตย ปีนั้นปี 2428 ซึ่งเป็น 47 ปี ก่อน 2475
แต่คำตอบที่ได้จากในหลวง ราชกาลที่ 5 คือ
อาณาจักรสยามยังไม่พร้อมสำหรับระบบนี้ คิดว่าการปกครองระบอบ ณ ขณะนั้น ก็ทำให้บ้านเมืองไปด้วยดีอยู่แล้ว
ทั้งๆที่ สภาพบ้านเมืองในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น ต้องการ การเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่ง
จากเนื้อหา หนังสือ เรื่องรู้ทันราวงศ์จักรี โดย รักษ์ธรรม รักษ์ไทย
ได้มีการบรรยาย ถึงความยากไร้ของ ชาวนา ชาวไร่
ในอาณาจักรสยามสมัยนั้น ชาวไร่ ชาวนา ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของแผ่นดินถูกศักดินาขูดรีด อย่างหนัก
ชาวนาที่ขัดสนถึงกับรวมตัวกันยื่นฎีกาขอกู้เงินหลวงเพื่อนํา ไปซื้ออาหารรับประทาน แต่รัชกาลที่ 5 กลับปฏิเสธ ทั้งที่รัชกาลที่ 5 มักจะยอมปล่อยเงินกู้ให้แก่พ่อค้าจีน เพราะได้ดอกเบี้ยคุ้มเงินที่ เสียไป นี่แหละคือน้าใจของผู้ที่เจ้าขุนมูลนายยกย่องว่าเป็น “ปิยมหาราช”
( สามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ หนังสือ เรื่องรู้ทันราวงศ์จักรี ตอนสมัยรัชกาลที่ 5 โดย รักษ์ธรรม รักษ์ไทย )
หลังจากนั้นมา ชีวิตของพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ก็ได้เปลี่ยนไป
กล่าวกันว่าเพราะการเสนอประชาธิปไตยในครั้งนั้น พระองค์เจ้าปฤษฎางค์จึงไม่ทรงเป็นที่โปรดปรานตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ต่อมานั้น พระองค์เจ้าปฤษฎางค์เข้ารับราชการในกรมไปรษณีย์และโทรเลข แรกๆก็ดำเนินงานไปด้วยดี แต่ต่อมา ก็ประสบปัญหาด้านการเงินอย่างหนัก รวมทั้งถูกริบบ้านหลวงด้วย เนื่องจากบริหารจัดการเงินงบประมาณกรมไปรษณีย์และโทรเลขล้มเหลว และทรงพยายามจะบรรจุพระอนุวงศ์พระองค์หนึ่งเข้ารับราชการในกรมโยธาธิการ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงาน (พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ทรงมีส่วนร่วมในการร่างแผนจัดตั้งหน่วยงานด้วย) เพื่อตอบแทนเจ้านายพระองค์หนึ่งซึ่งได้ประทานความช่วยเหลือทางการเงินแก่พระองค์
พระองค์จึงคิดว่ามีศัตรูที่คอยจ้องเล่นงานพระองค์อยู่ตลอดเวลาและเกิดความท้อใจที่จะรับราชการต่อไป
หลังจากนั้นพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ก็ทรงผนวช เป็นพระภิกษุที่ศรีลังกา ในปี พ.ศ. 2439 ภายหลังได้ทรงเป็นเจ้าอาวาสวัดทีปทุตตมาราม เป็นวัดไทยวัดแรกในกรุงโคลัมโบ ระหว่างปี พ.ศ. 2448 – 2453
ภายหลังจาก กลับมาอาณาจักรสยาม ปี 2453
ในช่วงบั้นปลายพระชนม์ชีพ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ย้ายไปอาศัยอยู่ในตรอกวัดมหาพฤฒาราม ดำรงชีพด้วยเงินเบี้ยหวัดในฐานะพระอนุวงศ์และมีพระญาติส่วนหนึ่งให้ความอุปการะ แต่ก็ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต อีกทั้งพระองค์ยังมีโรคภัยรุมเร้า ประชวรเข้าโรงพยาบาลบ่อยครั้ง
พระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ด้วยความยากไร้เช่นนี้จนกระทั่งสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2477 ขณะมีพระชันษาได้ 84 ชันษา นี้คือจุดจบอันน่าเศร้าของผู้เรียกร้องประชาธิปไตยคนแรก ซึ่งหลายคนนักที่รู้เรื่องนี้
หากในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงปฎิรูปการปกครอง ให้มีความเป็นประชาธิปไตย ก็อาจจะไม่มีเหตุการณ์ กบฏ ร.ศ.130 และ คณะราษฎร 2475 การปกครองอาจจะมีเสถียรภาพมากกว่านี้ หรือ อาจจะไม่มี ซึ่ง ไม่มีใครรู้ได้
ข้าพเจ้า เต็มใจ จะตอบว่า แล้วเมื่อไรจะเริ่ม? เมื่อไรถึงเหมาะสม? หากไม่มีการเริ่มต้น ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยนะครับ ทุกๆอย่างย่อมมีครั้งแรกเสมอ อาจจะมีข้อผิดพลาดบ้าง แต่ดีกว่าไม่เริ่มต้นอะไรเลย ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ทุกคนเรียนรู้กันได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
ร่วมสนับสนุนเพจเราโดยติดตามช่อง YouTube ด้วยครับ
https://www.youtube.com/c/เล่าเรื่องคณะราษฎร

“ผมเป็นผู้บริสุทธิ์” อ่านไทม์ไลน์การพยายามฆ่าตัวตายของพลพลและปากคำนาทีชีวิตเฉียดความตาย



“ผมเป็นผู้บริสุทธิ์” – นาทีชีวิตจากปาก ‘พลพล ทะลุแก๊ส’ หลังพยายามฆ่าตัวตายในคุกประท้วงศาลสั่งไม่ให้ประกัน

29/06/2565 
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

บ่ายวันที่ 28 มิ.ย. 2565 ทนายความเดินทางไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์เพื่อเข้าเยี่ยม “พลพล” ผู้ต้องขังทะลุแก๊ส อายุ 20 ปี ทางวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ขณะอยู่ระหว่างการเข้ารับการรักษาหลังกินยาแก้ปวดเข้าไป 64 เม็ดเพื่อหวังจบชีวิตตัวเองในเรือนจำ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 24 มิ.ย. 2565 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อประท้วงศาลที่มีคำสั่งไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราวเรื่อยมาถึง 2 ครั้ง รวมถึงความเครียดสะสมจากความเป็นห่วงครอบครัวและแฟนสาวที่ตั้งครรภ์อยู่ในขณะนี้

พลพลปรากฏตัวผ่านจอภาพในชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เขาเดินนั่งลงบนเก้าอี้และเริ่มต้นบทสนทนา พลพลถูกตัดผมเป็นรองทรงสั้น ดูแปลกตาไปจากเดิม สีหน้าและแววตายังคงมีความกังวล ตลอดการพูดคุยเสียงดูสั่นเครือและหลายครั้งก็ถึงขนาดสั่นมากเหมือนจะร้องไห้ด้วย

พลพลเล่าว่า “ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว” เจ้าหน้าที่พยาบาลเข้ามาตรวจอาการอยู่ตลอดทั้งวัน โดยมีการตรวจเลือด ความดันโลหิต และให้น้ำเกลือ นอกจากนี้แพทย์ยังจ่ายยาให้รับประทาน ซึ่งมีทั้งยาก่อนอาหารและหลังอาหาร รวม 2-3 ตัวด้วยกัน

ในช่วงวันที่ 26 และ 27 มิ.ย. ที่ผ่านมา พลพลเล่าว่ามีอาการเวียนหัวตลอดทั้งวัน แต่ปัจจุบันอาการดีขึ้นตามลำดับแล้ว กินข้าวได้เยอะขึ้น แพทย์ให้รับประทานอาหารอ่อน พลพลจึงได้กินเพียง ‘ข้าวต้ม’ ทุกวันที่อยู่โรงพยาบาล โดยแพทย์แจ้งว่าขณะนี้เขามีอาการ ‘ไตอักเสบ’ และต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ไปอย่างน้อย 7-10 วัน เพื่อให้แพทย์ดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด



นาทีชีวิตหลังพยายามฆ่าตัวตาย หมอแจง “ถ้ามา รพ.ช้ากว่านี้ อาจตายไปแล้ว’”


พลพลเริ่มต้นย้อนเล่าถึงเหตุการณ์ในค่ำวันที่ 24 มิ.ย. ที่ผ่านมา “ผมแอบกินยาพาราช่วงเวลา 6 โมงเย็นของวันศุกร์ ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาสำหรับให้ผู้ต้องขังดูทีวี ทุกคนจดจ่อกับการดูทีวีอยู่ ผมแอบอยู่หลังๆ ค่อยๆ แอบกินยาทีละนิดเข้าไปจนหมด

“ทั้งหมด 64 เม็ด”

“ตอนแรกผมคิดว่ากินยาเข้าไปแล้วมันจะหลับ แต่ปรากฏว่าไม่เป็นอะไรเลย แต่พอเวลาผ่านไปถึงช่วงประมาณเที่ยงคืนผมก็อาเจียน 10 กว่ารอบ อ้วกได้จนถึงเช้าเลย”

เช้าวันต่อมา ช่วงเวลาประมาณ 07.00 น. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เข้ามาตรวจนับยอดจำนวนผู้ต้องขังและเห็นว่าพลพลมีอาเจียนผิดปกติ เจ้าหน้าที่จึงได้เรียกออกไปถามถึงอาการเบื้องต้น ตอนนั้นพลพลโกหกไปว่า ‘ปวดหัวเฉยๆ’ เจ้าหน้าที่จึงปล่อยตัวกลับเข้าห้องขังโดยไม่ได้มีการตรวจและคาดคั้นความจริงแต่อย่างใด

หลังกลับมาอยู่ในห้องขังแล้วพลพลก็ยังอาเจียนอยู่อย่างต่อเนื่อง จนเพื่อนร่วมห้องช่วยกันคาดคั้นถึงอาการและสาเหตุที่แท้จริง

หลังถูกเพื่อนผู้ต้องขังทะลุแก๊สในห้องเดียวกันคาดคั้นอยู่นาน พลพลสารภาพสั้นๆ เพียงว่า “เมื่อวานกินยาพาราเข้าไปเยอะเกิน”

หลังผู้คุมขังเข้ามาตรวจนับยอดจำนวนผู้ต้องขังในเวลา 07.00 น. ในระหว่างวันนั้นไม่มีผู้คุมย่างกรายเข้ามาตรวจตราอีกเลย จนกระทั่งเวลาผ่านไปจนถึงช่วง 19.00 – 20.00 น. เจ้าหน้าที่เดินกลับมาตรวจนับยอดอีกครั้งหนึ่งเพื่อส่งผู้ต้องขังเข้านอน เพื่อนๆ ทะลุแก๊สในห้องขังจึงรีบแจ้งว่า ‘พลพลพยายามฆ่าตัวตาย ด้วยการกินยาพาราเข้าไปเยอะมาก” ผู้คุมจึงรีบพาพลพลออกไปล้างท้องที่ ‘สถานพยาบาลภายในเรือนจำ’ ก่อนจะถูกพาตัวไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ต่อไปในกลางดึกวันนั้นทันที

หลังไปถึงโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ‘พลพลยังไม่ได้รับการรักษาโดยทันที’ เนื่องจากที่โรงพยาบาลไม่มียารักษาอาการเฉพาะของพลพลในตอนนั้นได้ โรงพยาบาลจึงต้องไปนำตัวยาจาก ‘โรงพยาบาลตำรวจ’ มาใช้ทดแทน

เขาจึงต้องรอรับการรักษาอยู่พักใหญ่ ขณะที่ร่างกายเริ่มเข้าสู่ภาวะวิกฤตแล้ว

หลังพลพลรับการรักษาฉุกเฉินแล้วเสร็จ แพทย์ได้บอกกับเขาว่า “ถ้ามาช้ากว่านี้ ไตคงจะวายเฉียบพลันและอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย” ในคืนนั้นพลพลต้องนอนพักอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อเฝ้าระวังอาการ เขาเล่าว่ายังคงนอนไม่หลับ เพราะเครียดและครุ่นคิดอยู่กับเรื่องที่ศาลไม่ให้ประกันตัวสักที
 


‘พยายามฆ่าตัวตาย’ วิธีแสดงออกเพื่อประท้วงต่อคำสั่งไม่ให้ประกันของศาล


พลพลเล่าว่า เขาตั้งใจแอบสะสมยาแก้ปวดมาตั้งแต่วันแรกที่ถูกคุมขังในเรือนจำแล้ว จากการขอเพื่อนและผู้คุม

“แสดงว่าตั้งใจจะฆ่าตัวตายตั้งแต่แรกเลยเหรอ” ทนายถาม

“ใช่, เพราะผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงแล้ว” พลพลตอบ

เขาเล่าต่อว่า ตนเองมีอาการเครียดมากตั้งแต่วันที่ถูกศาลให้ฝากขัง เพราะไม่คิดเลยว่าจะต้องติดคุก นอกจากนี้คิดถึงคนที่บ้าน เป็นห่วงเรื่องเรียน อยากกลับไปเรียน และบอกอีกว่า หลังถูกขังในอยู่คุกไม่นานก็เพิ่งทราบข่าวว่า ‘แฟนตั้งท้อง’ พลพลจึงยิ่งมีความเครียดรุนแรงมากขึ้นไปอีก

ย้อนกลับไปในวันที่ตัดสินใจเลือกเดินทางเข้าแสดงตัวกับตำรวจที่ บช.ปส. พลพลเล่าว่า เป็นเพราะมีคนที่ไปรับทราบข้อกล่าวหาก่อนหน้านั้นบอกกับเขาว่า ตำรวจมีรายชื่อพลพลอยู่ด้วย แต่ทั้งนี้ ตำรวจไม่ได้มีหมายจับหรือหมายเรียกใดๆ เลย หลังพลพลได้ยินจากปากเพื่อนเช่นนั้น เขาจึงเลือกที่จะเข้าไปแสดงตัวเพื่อแสดงความบริสุทธิ์กับพนักงานสอบสวนในช่วงกลางดึกของวันนั้น (16 มิ.ย. 2565) ทันที

ในคืนนั้นหลังไปแสดงตัวกับตำรวจ พลพลถูกปล่อยตัวกลับไป โดยตำรวจได้นัดหมายเขาให้เข้าพบพนักงานสอบสวนใหม่อีกครั้งในตอนเช้าของวันถัดไป (17 มิ.ย. 2565) ที่ บช.ปส. ต่อมาพลพลเดินทางไปพบตำรวจอีกครั้งตามนัด แต่ปรากฏว่าตำรวจแจ้งว่า เขามีหมายจับแล้วและตำรวจจะต้องคุมตัวพลพลไว้เพื่อยื่นขอฝากขังต่อศาล ซึ่งต่อมาศาลอนุญาตให้ฝากขังพร้อมกับผู้ชุมนุมทะลุแก๊สอีก 10 ราย และมีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

หลังถูกส่งตัวมาคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ พลพลสารภาพว่า เริ่มต้นวางแผนที่จะฆ่าตัวตายตั้งแต่วันนั้น เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความยุติธรรม

“ผมพูดกับภูมิ (ศศลักษณ์) ประจำว่า ‘อยากฆ่าตัวตาย’ แต่ที่ผ่านมาถึงจะเครียดมาก แต่ก็ยังได้พูดระบายกับเพื่อนๆ ในห้องขัง” แต่กระนั้นพลพลก็ยอมรับว่า ‘คิดเรื่องการฆ่าตัวตายอยู่ตลอดเวลา’


กระทั่งเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2565 ที่ผ่านมา ญาติได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวผู้ต้องขัง 5 คน ต่อศาลอาญาเป็นครั้งที่ 2 และศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวเช่นเดิม

“วันนั้นผมเลยเครียดมาก ผมถูกกล่าวหาว่า ‘เผารถตำรวจ’ ซึ่งเป็นข้อหาที่หนักหนากว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาก ฉะนั้นผมเลยเครียดว่า คงจะไม่ได้ประกันตัวในเร็วๆ นี้แน่เลย” การที่ศาลยังคงไม่ให้ ‘สิทธิในการให้ประกันตัว’ คือ ‘ฟางเส้นสุดท้าย’ ที่ทำให้พลพลตัดสินใจลงมือพยายามฆ่าตัวตายในช่วงเย็นของวันนั้น
 

เหตุเผารถตำรวจระหว่าง #ม็อบ11มิถุนา65 ภาพจาก ไข่แมวชีส

“ตอนแรกคิดว่าจะตายด้วยวิธีไหนดี ระหว่าง ‘ผูกคอ’ กับ ‘กินยา’ แต่พอคิดๆ ดูแล้ว ถ้าผูกคอตายก็คงตายเร็วและไม่ทรมานดี แต่ถ้ากินยาก็คงจะไม่ตายในทันที และ ‘ผู้มีอำนาจจะได้เห็นความทรมานของผม’ เพราะผมต้องการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเองและเพื่อนทุกคน”

“ผมรู้สึกว่าเราไม่ได้รับความยุติธรรมเลย ถ้าผมทำผิดจริง ผมคงจะไม่เครียดขนาดนี้หรอก แต่นี่ผมไม่ได้ทำจริงๆ ผมเลยรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมต่อผม”

พลพลยืนยันเป็น ‘ผู้บริสุทธิ์’ ไม่ได้เผารถตำรวจ ที่ผ่านมายึดหลักชุมนุมอย่างสันติตลอด

จากนั้นพลพลเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ชุมนุม #ม็อบ11มิถุนา65 บริเวณดินแดง ที่เขาถูกกล่าวหาว่าร่วม ‘เผารถตำรวจ’ ระหว่างการชุมนุมดังกล่าว คดีนี้ยังเป็นคดีแรกที่เขาถูกกล่าวหา ก่อนหน้านี้เขาไม่ถูกดำเนินคดีจากการชุมนุมใดๆ มาก่อนเลย เขารับว่า ในวันนั้นเดินทางไปร่วมชุมนุมจริง แต่เหตุการณ์รถตำรวจถูกเผาเกิดขึ้นหลังจากที่เขาเดินทางกลับบ้านไปแล้ว และเขายืนกรานเสียงแข็งว่า ตัวเองเป็น ‘ผู้บริสุทธิ์’


เหตุเผารถตำรวจระหว่าง #ม็อบ11มิถุนา65 ภาพจาก ไข่แมวชีส

“ผมออกมาม็อบ ผมแค่ออกมาเรียกร้องตามสิทธิที่ถูกรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ ผมออกมาเรียกร้องสังคมที่ดีกว่านี้ ขนาดพวกเรายังลำบากขนาดนี้ แล้วเด็กรุ่นต่อไปเขาคงต้องลำบากกว่า

“ผมไม่เคยคิดจะไปทำร้ายใคร จริงอยู่ว่าผู้ชุมนุมมีการยิงพลุ แต่พวกเขาไม่เคยยิงเพื่อหวังอยากจะให้ใครตายเลยนะ เรื่องเผารถหรือทำลายทรัพย์สินอะไรก็ยังยืนยันไม่ได้ว่าใครเป็นคนทำ ส่วนตัวผมไม่เคยทำอยู่แล้วเพราะการทำลายทรัพย์สินหรือใช้ความรุนแรงมีโทษที่สูงมาก ผมรู้ดี ผมกับเพื่อนไม่กล้าทำกันอยู่แล้ว

“คดีนี้เป็นคดีแรกในชีวิตที่ผมถูกกล่าวหา และที่สำคัญคือ ‘ผมไม่ได้เป็นคนทำด้วย’ แต่ศาลก็ยังสั่งขังมาจนถึงทุกวันนี้ ทำไมตำรวจถึงยัดข้อหาให้ผม แล้วโยนผมเข้าคุกแบบนี้ …”

“ตั้งแต่ไปม็อบตลอดเกือบ 2 ปี ผมไม่เคยถูกดำเนินคดีเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะผมเชื่อมั่นในการชุมนุมโดยสันติและปราศจากอาวุธ จนถูกขังในคดีนี้แหละ ผมหวังว่าจะได้ประกันตัวมาโดยตลอด เพราะยิ่งได้ออกไปเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสในการไปหาหลักฐานมาพิสูจน์ว่าผมบริสุทธิ์ ผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ผมไม่ได้เผารถตำรวจ”

“ผมไม่มีโอกาสไปหาหลักฐานมาต่อสู้คดี ได้แค่เพียงนั่งรอว่าศาลจะให้ประกันตัวเมื่อไหร่และถูกขังต่อไปเรื่อยๆ อย่างไร้ความหวัง”

“ผมพยายามฆ่าตัวตายครั้งนี้ เพราะอยากได้รับความยุติธรรมจากศาลบ้าง”

“ผมยอมแลก ถ้ามันจะเปลี่ยนอะไรได้”



ไทม์ไลน์ ‘พลพล’ พยายามฆ่าตัวตายในคุกประท้วงศาล
และเหตุจากความเครียดสะสม

  1. 16 มิ.ย. 2565 พลพลเข้าแสดงตัวเพื่อแสดงความบริสุทธิ์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ บช.ปส. หลังทราบจากเพื่อนที่เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาก่อนหน้าว่า ตำรวจมีรายชื่อของตนเองอยู่ด้วย แต่ไม่ได้มีหมายจับและหมายเรียกแต่อย่างใด เจายืนยันว่าไม่ได้ก่อเหตุเผารถตำรวจระหว่าง #ม็อบ11มิถุนา65 บริเวณดินแดง แต่ยอมรับว่าเข้าร่วมการชุมนุมดังกล่าวจริง 
  2. หลังเข้ามอบตัว ตำรวจปล่อยตัวพลพลกลับไป เพราะไม่มีหมายจับ แต่นัดหมายให้เข้าพบตำรวจใหม่อีกครั้งในเช้าวันต่อมา ที่ บช.ปส.
  3. 17 มิ.ย. 2565 พลพลเดินทางไปพบตำรวจอีกครั้งตามนัดหมาย แต่ปรากฏว่าตำรวจแจ้งว่ามี ‘หมายจับ’ แล้ว และยื่นขอฝากขังต่อศาลอาญาทันที ซึ่งศาลอนุญาตให้ฝากขังและไม่ให้ประกันครั้งที่ 1 ทำให้พลพลและเพื่อนทะลุแก๊ส รวมทั้งหมด 11 คนต้องถูกตัวส่งไปฝากขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทันทีในเย็นวันนั้น
  4. ระหว่างถูกขังอยู่ พลพลทราบว่า แฟนสาวของตัวเองตั้งครรภ์ จึงยิ่งมีความเครียดมากขึ้นไปอีก
  5. 24 มิ.ย. 2565 ญาติผู้ต้องขังบางส่วนได้ยื่นคำร้องขอประกันต่อศาลอาญาเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งศาลก็มีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวเช่นเดิม ทำให้ทวีความเครียดมากขึ้นไปอีก 
  6. พลพลจึงตัดสินใจกินยาแก้ปวด จำนวน 64 เม็ด ในเย็นวันนั้น ขณะที่ผู้ต้องขังคนอื่นๆ ในห้องกำลังจดจ่อกับการดูทีวีกันอยู่พลพลเริ่มต้นอาเจียนตั้งแต่เวลาประมาณเที่ยงคืน ไปถึงเช้าของวันที่ 25 มิ.ย. 2565 ประกอบกับมีอาการสับสน ปวดหัว ต่อมา เวลาประมาณ 1-2 ทุ่ม เพื่อนผู้ต้องขังแจ้งกับผู้คุม พลพลจึงถูกนำตัวไปล้างท้องที่สถานพยาบาลในเรือนจำ ก่อนจะถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์
  7. แพทย์ประเมินว่า หากมาโรงพยาบาลช้ากว่านี้ อาจเสียชีวิตจากอาการไตวายฉับพลันได้ และตอนนี้พลพลมีอาการ ‘ไตอักเสบ’ จากการกินยาแก้ปวดเข้าไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งต้องอยู่รักษาตัวที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ไปอีก 7-10 วัน


ขณะนี้ พลพลถือว่าพ้นภาวะวิกฤตและปลอดภัยดีแล้ว โดยต้องอยู่รักษาอาการ ‘ไตอักเสบ’ จากการพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกินยาแก้ปวดเข้าไปรวม 64 เม็ด อยู่ที่โรงพยาบาลราชทักณฑ์ต่อไป อย่างน้อย 7-10 วัน กระนั้นระหว่างที่เขาเข้ารับการรักษาตัวอยู่นี้ก็ยังคงมีอาการเครียด นอนไม่หลับ และวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา โดยมีสาเหตุหลักมาจาก “การที่ศาลไม่ให้สิทธิในการประกันตัว”

สำหรับ “พลพล” ถูกกล่าวหาจากการเผารถยนต์ตำรวจ สน.ดินแดง หลังเหตุการณ์ชุมนุม #ราษฎรเดินไล่ตู่ หรือ #ม็อบ11มิถุนา65 โดยเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2565 พลพลเดินทางไปแสดงความบริสุทธิ์กับตำรวจที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.)

แต่กลับถูกตำรวจแจ้งข้อกล่าวหา 5 ข้อกล่าวหาเช่นเดียวกับผู้ต้องหา 4 รายแรกในคดีนี้ โดยที่คนอื่นๆ ตำรวจมีการขอศาลออกหมายจับ แต่กรณีของพลพลยังไม่ได้มีการออกหมายจับแต่อย่างใด

ในคืนนั้นพลพลไม่ได้ถูกควบคุมตัวไว้ เนื่องจากไม่มีหมายจับ ตำรวจจึงไม่มีอำนาจควบคุมตัวไว้ แต่ได้นัดหมายเขาไปยื่นขอฝากขังต่อศาลอาญาในวันรุ่งขึ้น และศาลได้อนุญาตให้ฝากขังมาตั้งแต่วันที่ 17 มิ.ย. 2565 จนถึงปัจจุบัน


เรื่องที่เกี่ยวข้อง

“พลพล ทะลุแก๊ส” พยายามกินยาฆ่าตัวตายในคุก ก่อนถูกส่งล้างท้อง จนถึงขณะนี้ยังไม่ทราบชะตากรรม

ตร.ดำเนินคดีผู้ชุมนุมทะลุแก๊ส รวม 13 ราย ใน 4 คดี ก่อนไม่ให้ประกันตัว 11 ราย

รายชื่อผู้ต้องขังทางการเมืองตั้งแต่มีนาคม 2565

อัฟเดท อาการของ “บุ้ง” ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
5h

วันที่ 29 มิ.ย. 2565
เช้าวันนี้ ครอบครัวได้โทรสอบถามอาการของ “บุ้ง” ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์หลังทราบว่าเธอถูกส่งตัวไปจากทัณฑสถานหญิงกลาง จึงได้ทราบรายละเอียดว่าบุ้งมีอาการปวดท้องด้านขวาจนร้าวไปถึงด้านหลัง ตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 27 มิ.ย. 2565 และได้ถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลในคืนดังกล่าวประมาณเวลา 23.00 น.
.
บุ้ง — อาการทรุดหนักจนต้องให้ยาทางเส้นเลือด และซูบผอมลงอย่างชัดเจน
หลังพบกับแพทย์ บุ้งมีอาการเพลียมากและหายใจถี่ ไม่สามารถหายใจเข้าลึกๆ ได้ เพราะจะทำให้เจ็บกระบังลม นอกจากนี้แพทย์จำเป็นที่จะต้องให้น้ำเกลือและวิตามิน เนื่องมาจากบุ้งไม่สามารถทนอาการเจ็บปวดที่ท้องได้แล้ว
.
เบื้องต้น แพทย์ได้วินิจฉัยว่าบุ้งอาจเป็นไส้ติ่งที่มดลูก หรืออาจจะเกิดจากภาวะการอดอาหารที่มีระยะเวลายาวนาน ลำไส้มีการบีบตัวจากการอดอาหาร จนไม่สามารถที่จะทานยาเองได้ และเมื่อตรวจเลือดก็ได้พบว่ามีค่าโพแทสเซียมที่ต่ำมาก จึงต้องให้ยาทางเส้นเลือดร่วมด้วย
.
ในระหว่างที่ครอบครัวได้มีโอกาสพูดคุยกับบุ้งก็ได้สังเกตเห็นว่าในตอนนี้บุ้งดูซูบลงเยอะมาก แก้มตอบและเห็นส่วนคอชัดเจน เธอดูเหนื่อยล้า ตาลอย มึนเบลอ และตอบคำถามได้ช้าตลอดการสนทนา
นอกจากนี้ บุ้งได้เล่าว่าตัวเองมีความกังวลที่ต้องมาอยู่ห่างจากใบปอแบบนี้ อีกทั้งแพทย์ได้แจ้งกับเธอว่าหากเธอไม่ยอมรับอาหารเหลว อาจทำให้เธอต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ไปอีกสักระยะหนึ่งด้วย
.
.
ใบปอ — เป็นห่วงและคิดถึงพี่บุ้ง อยากให้กลับมาแข็งแรงไวๆ รอวันที่ได้ออกไปอ่านจดหมายของทุกคน
.
ในช่วงบ่าย ทนายความได้เข้าเยี่ยมใบปอ จึงได้อัพเดทอาการของบุ้งให้ฟัง “ต้องเจาะแขนสองข้างเลยเหรอ” ใบปอถามอย่างสงสัยและเป็นห่วง พร้อมทั้งเล่าว่า “วันที่พี่บุ้งต้องไปโรงพยาบาล พี่บุ้งอาการหนักมากถึงขั้นดิ้นและปวดท้องร้าวไปจนถึงหลังตั้งแต่คืนวันจันทร์”
.
ส่วนอาการใบปอ เธอได้บอกว่าวันนี้น้ำหนักลดลงรวมเกือบ 6 กิโลกรัม ตั้งแต่เข้าเรือนจำมา และตอนนี้เริ่มมีอาการปวดท้องมากขึ้น “ปวดแบบช่วงเป็นโรคกระเพาะ” ใบปอทานเฉพาะน้ำเปล่ามาหกวันแล้ว ก่อนหน้านี้ใบปอยังดื่มนมและน้ำผลไม้บ้าง แต่ช่วงนี้ไม่ทานแล้ว ออกซิเจนในเลือดลดลงกว่าปกติเป็นบางวัน มีอาการเหนื่อยเพิ่มมากขึ้น “เพราะว่าลงแดนแล้ว ต้องเดินเยอะ เพลียแต่ยังสู้อยู่” เธอทิ้งท้ายเรื่องอาการตัวเอง
.
นอกจากนี้ เธอยังฝากบอกพี่บุ้งของเธอว่า “เหงา คิดถึงพี่บุ้ง ทุกคนที่นี่ถามถึงพี่บุ้งเยอะ เป็นห่วงมาก ทุกคนอยากให้พี่บุ้งกลับมาแข็งแรงเร็วๆ ไม่ต้องเป็นห่วงใบปอ ใบปออยู่ได้ อยากให้พี่บุ้งดูแลตัวเองให้ดี ถ้ากลับมาต้องกักตัวแยกกัน เดี๋ยวจะฝากของกลับไปให้”
.
หลังจากนั้นทนายได้อ่านจดหมายจากสหภาพคนทำงานที่รวบรวมมาให้ผู้ต้องขังคดีการเมือง ใบปอได้ฟังแล้วก็ยิ้มดีใจ “ได้ฟังจดหมายจากสหภาพคนทำงาน ที่ทุกคนรวบรวมมาแล้ว มีกำลังใจมาก อยากออกไปแล้ว อยากอ่านออกไปอ่านจดหมายของทุกคน ขอบคุณทุกคนที่ส่งกำลังใจเข้ามาใบปอได้รับแล้ว อยากให้ทุกคนดูแลตัวเองด้วยเหมือนกัน ไม่อยากให้ใครถูกคุมขังอีกแล้ว ใบปอก็จะดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีที่สุดเท่าที่สถานการณ์จะทำได้ รอวันที่จะได้รับอิสรภาพออกไปเจอทุกคนนะคะ ฟังแล้วชื่นใจมากเลย ขอบคุณสหภาพคนทำงานมากๆ”
.
หลังจากอ่านจดหมาย เราแจ้งใบปอว่าเดือนกรกฎาคมนี้มีวันหยุดมากถึงครึ่งเดือน อาจจะได้เยี่ยมน้อยลง
.
ใบปอก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าอยู่ข้างนอกก็คงดีใจ” แต่ตอนนี้ใบปออยู่ในเรือนจำ วันหยุดหมายความว่าจะไม่มีคนมาเยี่ยม ใบปอนิ่งไปก่อนจะถามทนายกลับมา “พี่คิดว่าหนูจะติดเต็มเดือนเลยหรอ” ซึ่งทนายก็ตอบคำถามนี้กับเธอไม่ได้เหมือนกันว่า ศาลจะให้สิทธิประกันตัวคืนแก่พวกเขาเมื่อไหร่
.
สุดท้าย ทนายความจึงอัพเดทให้ใบปอฟังว่าทางเพจทะลุวันได้ไปทำโพล เนื่องในวันที่ 24 มิถุนายน ว่า “ได้ประชาธิปไตยมา 90 ปี ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพจริงหรือไม่ ?” ซึ่งคนมาทำโพล 937 คน กว่า 99 % เห็นว่าประชาชนยังไม่ได้รับสิทธิเสรีภาพที่แท้จริง
.
ใบปอจึงฝากคำถามมาถามทุกคนย้อนหลังวันที่ 24 มิถุนา อีกครั้งว่า “24 มิถุนาเราได้ประชาธิปไตยแต่ทำไมยังมีนักโทษทางการเมืองต้องถูกคุมขังในเรือนจำ”
.
.
อ่านบนเว็บไซต์ https://tlhr2014.com/archives/45402

ศูนย์ทนายฯ แจ้งว่าตำรวจ ปอท.จับ ธนาพล บ.ก.ฟ้าเดียวกัน มาจากการโพสต์ภาพเอกสารราชการของสภาความมั่นคงแห่งชาติออกคำสั่งเมื่อวันที่ 21 พ.ย.2563 ให้สันติบาลจับตา "ทูตรัศม์" และให้มีการระดมคนมาร่วมกิจกรรมแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ ขณะนี้ได้ประกันตัวแล้ว


ฟ้าเดียวกัน
3h

21.40 เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ประกันตัว ธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน โดยใช้ตำแหน่ง ส.ส. รังสิมันต์ โรม และมีเงื่อนไขให้รายงานตัวทุก 15 วัน
#ฟ้าเดียวกัน


ฟ้าเดียวกัน
8h ·

ด่วน!
16.15 เจ้าหน้าที่กองปราบปราม เข้าแสดงหมายจับ ธนาพล อิ๋วสกุล
บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เบื้องต้นนำตัวไปที่กองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รายละเอียดจะแจ้งให้ทราบต่อไป



ประชาไท Prachatai.com
3h

20.55 น. ศูนย์ทนายฯ แจ้งว่าเพิ่มเติมกรณีตำรวจ ปอท.จับ ธนาพล บ.ก.ฟ้าเดียวกันข้อหามีเอกสารลับว่า เหตุที่ทำให้ธนาพลถูกดำเนินคดีมาจากการโพสต์ภาพเอกสารราชการของสภาความมั่นคงแห่งชาติออกคำสั่งเมื่อวันที่ 21 พ.ย.2563 ให้สันติบาลจับตา "ทูตรัศม์" และให้มีการระดมคนมาร่วมกิจกรรมแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของชาติ
อ่านต่อ https://prachatai.com/journal/2022/06/9929720.55 น. ศูนย์ทนายฯ แจ้งว่าเพิ่มเติมกรณีตำรวจ 



วันพุธ, มิถุนายน 29, 2565

พรรคภูมิใจทึ่มแขวะ 'ชัชชาติ' กันใหญ่ ไหนเคยคุยราคาส่วนต่อสายสีเขียว ๓๐ บาท มีโอกาสแล้วไง

ว้อท ! โฆษกสำนักนายกฯ บอกว่าเมื่อวาน ตู่ เค้าปรารภหลังประชุม ครม. ให้ส่งเสริมหน่วยงานราชการใช้เทคโนโลยี่สารสนเทศบริการประชาชน และแก้ไขข้อร้องเรียน ถ้าจำไม่ผิด สมัยที่ไอ้ศัพท์เทคโนคำนี้ออกมาใหม่ๆ น่ะหมายถึง อี-เมล อะไรงี้

ไม่รู้จะยิ้มหรือหน้าเบ้ดี ว่านายกฯ คนนี้ก็รู้จักเทคโนโลยี่กับเขาเหมือนกัน แต่แบบว่าเป็นคอมพิวเตอร์ตกรุ่นกู้ไม่ได้ ขายเป็นเศษเหล็กอย่างเดียว เพราะสมัยนี้เขาใช้ แอ็พ ใช้ สต๊าร์ทอัพ กันแล้ว อย่าง Traffy Fondue ที่ ชัชชาติ ใช้อยู่เดี๋ยวนี้

วันเดียวกัน ผู้ว่า กทม.คนใหม่พูดถึงการแก้ไขเรื่องร้องทุกข์ผ่านระบบ แทร้ฟฟี่ฟองดูภายในเดือนเดียวที่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างทางการ “มีจำนวนการแจ้งปัญหาเพิ่มขึ้น ๔๑ เท่า” ดำเนินการแล้ว ๓๙% ส่งต่อหน่วยงานรับผิดชอบ ๑๙% และทำสำเร็จ ๓๕%

มิน่าเสียงชื่นชมเต็มไปหมด บ้างว่าทางเท้าบางแห่งที่เคยขรุขระ ชัชชาติเป็นผู้ว่าฯ สองวันปูอิฐเรียบร้อย โดยเฉพาะเมื่อฝนเทหนักสองสามครั้ง บางจุดใน กทม.น้ำท่วมถนนเฉียบพลัน เมื่อก่อนต้องรอคิวระบายหลายวัน แต่นี่รุ่งขึ้นระบายหมดแล้ว

นี่คือพลังของแพลตฟอร์ม ที่เราเปลี่ยนการบริหารจัดการจากระบบท่อเป็นแพลตฟอร์ม ทุกหน่วยงานสามารถหยิบเรื่องไปแก้ไขได้เลย โดยที่ผู้ว่าฯ ไม่ต้องสั่งการชัชชาติ สิทธิพันธุ์ พูดถึงการต่อยอดระบบแทร้ฟฟี่ฟองดูที่ใช้อยู่

เช่น ต่อไปเราสามารถสั่งงานผ่านแพลตฟอร์มข้ามหน่วยงานได้ ถ้าขยายไประดับประเทศได้ก็จะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนระบบราชการเลย...นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชันแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างเขต” เขตไหนทำได้ดีส่งต่อไปเขตอื่นด้วยแอ็พพลิเกชั่นเดียวกัน

แล้วยังมีการใช้งาน เพิ่มกล่อง แยกกล่อง เปิดกล่อง Dashboard (หน้าจออีเล็คโทรนิค) เพิ่มนโยบาย และประสานกับนอกข่ายราชการ กทม. เช่น สตช. และจเรตำรวจ ที่กำลังจะเซ็น เอ็มโอยูกับเทศบาลกันในเร็วๆ นี้ ชัชชาติบอก

“ผมว่าประชาชนมีความสุข ข้าราชการมีความสุข เมืองต้องดีขึ้นแน่นอน ก็ไม่รู้ทำให้นายกฯ ครั่นเนื้อครั่นตัวจนต้องรีบปรารภให้เข้าทางไว้บ้าง ต่างกับพรรคร่วมรัฐบาลรายหนึ่งออกอาการ ตาร้อนหาเรื่องมาติทันที ส.ส.พรรคภูมิใจไทย โดนทัวร์ลงหนัก

หลังจากตำหนิเรื่องที่ชัชชาติเคาะราคารถไฟฟ้าสายสีเขียวที่โดนนายกฯ โยนมาให้ตั้งแต่ยังไม่ได้รับตำแหน่ง ว่าอยู่ที่ ๕๙ บาท ตลอดเส้นทาง (สองช่วง) สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ติงเชียวว่าไหนชัชชาติเคยพูดว่าจะให้ราคาอยู่ที่ ๓๐ บาท

ตอนนี้มีโอกาสแล้ว (น่าจะ) “รีบทำเลย” ผู้ว่าฯ คนนี้ที่ตอบทุกคำถาม บอกว่าราคา ๕๙ บาทนี่ตามที่ ทีดีอาร์ไอเสนอไว้ให้ควบรวมช่วงส่วนต่อของสาย เป็นราคาขั้นสูงสุด (ไม่ได้หมายความว่าน้อยกว่านี้ไม่ได้) ยังต้องพิจารณากันต่อไปอีก

แฟนคลับออนไลน์ของชัชชาติรายหนึ่ง Rin Thowsakul เพิ่มเติมให้ว่า “๓๐ บาท (ที่ชัชชาติเคยพูด) เค้าบอกว่าเป็นค่าเฉลี่ยที่คนใช้บริการ ๘-๑๑ สถานี ไม่ใช่ตลอดหัวยันหาง” ทัวร์ถึงได้ไปลงที่ เสี่ยโต้งกันตรึมเลยไง

เท่านั้นไม่พอ ระดับรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจทึ่มเอาบ้าง ในฐานะว่าการคมนาคม ออกมาแงะ ราคา ๕๙ บาทนี่ต้อง “รอดูให้ชัดเจนก่อนดีกว่า...อย่าดูปลายทาง...ต้องไปดูที่ต้นเรื่อง เหมือนกับเราสวมเสื้อถ้ากลัดกระดุมเม็ดแรกผิด ก็จะกลัดผิดทุกเม็ด”

ทำเป็นสอนหนังสือสังฆราช “เราต้องมีหลักธรรมาภิบาล คือมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีส่วนร่วมและสุดท้ายต้องรับฟังความเห็นของพี่น้องประชาชน” พูดทำนองว่าเรื่องนี้เมื่อตอนเริ่มต้นเป็นเหมือนการก่อหนี้ “ได้ใช้ระเบียบถูกกฎหมายหรือไม่

พาดพิงไปถึงบริษัทกรุงเทพธนาคม ว่าเป็นเอกชน “เมื่อเอกชนดำเนินงานกับเอกชนก็ต้องฟ้องเอกชน จะเกี่ยวกับรัฐอย่างไร” เหมือนจะดึง รฟม. (ลูกน้องโดยตรงของ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม) ออกไปจากคู่กรณี

ทั้งที่เป็นคู่กรณีจากการโยนเผือกร้อน หนี้ก้อนโต ไปให้ กทม. “เรื่องนี้มีกระบวนการอยู่แล้ว สภา กทม.ต้องประชุมว่าจะรับหรือไม่รับหนี้...วันนี้มีการดำเนินการหรือยัง...ให้นายชัชชาติไปดู ท่านเก่ง เพราะเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม”

อ้าวเฮ้ย แขวะเขาเสียอีก

(https://www.matichon.co.th/economy/news_3423631, https://www.facebook.com/nationweekend/posts/3UaHkY2l และ https://www.facebook.com/thestandardth/posts/23my6l)

ใครคิดจะเถียงว่า "ถุงพระราชทาน" ไม่ได้มาจากงบประมาณภาษี" ควรอ่านต่อ ...


Saiseema Phutikarn
1h

< "ถุงราษฎร์ประทาน" ไม่ใช่ "ถุงพระราชทาน"?>
การจะบอกว่า "ถุงพระราชทาน" จัดซื้อโดยมูลนิธิฯ หรือ จัดซื้อด้วยเงินจากมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ แล้วไปสรุปว่าดังนั้นจึง "ไม่ได้มาจากงบประมาณภาษี" อันนี้ไม่ถูก ... เพราะเงินรายได้ของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์แต่ละปีมาจากไหนละ ลองไปเปิดงบการเงินดูสิ ... จะพบว่าส่วนใหญ่มาจาก "งบประมาณภาษี" นี่แหละ ไม่ใช่เงินบริจาคที่ไหน
ส่วนการจะบอกว่า "ถุงพระราชทาน" มาจากเงินจากมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ อันนี้ไม่ผิด ... เพราะถุงพระราชทาน มันมีทั้งแบบ 1. จัดซื้อโดยมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ , 2.จัดซื้อโดยหน่วยงานรัฐด้วยงบประมาณภาษี หรือ 3. จัดซื้อโดยหน่วยงานรัฐด้วยเงินจากมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ (ข้อ 2-3 ตามตัวอย่างที่เห็นในบทความ ประชาไท https://prachatai.com/journal/2022/06/99277)
รายได้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์แต่ละปี ครึ่งหนึ่งเลยมาจาก เงินสนับสนุนจากงบประมาณกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ส่วนที่เป็นเงินบริจาคเข้ามูลนิธิโดยตรงนั้นป็นส่วนน้อยมาก ยกเว้นจะเป็นปีพิเศษต่างๆ ถึงจะมีเงินส่วนนี้มากขึ้นแต่ก็ยังน้อยมากอยู่ดี และหลายครั้งที่พบว่าผู้บริจาครายใหญ่คือ หน่วยงานรัฐ หรือ แม้แต่ตัวรัฐบาลเอง (เช่นตามภาพสุดท้าย รัฐบาลบริจาคดินที่ได้จากการก่อสร้างรัฐสภา) โดยรายได้ส่วนใหญ่อีกส่วนคือ ผลตอบแทนจากการลงทุนของทรัพย์สินมูลนิธิ(เกือบทั้งหมดคือ ดอกเบี้ย)
ทรัพย์สินรวมของมูลนิธิปัจจุบันมีมูลค่าเกือบ 7 พันล้านมาจากไหน? โดยประมาณ 3 พันล้านมาจากรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายสะสม(หรือ "กำไรสะสม" ถ้าเป็นกิจการที่มุ่งหวังกำไร) อีกเกือบ 4 พันล้านจากส่วนทุนของมูลนิธิ ซึ่งมาจากทุนตอนตั้งมูลนิธิ 3 ล้าน ส่วนที่เหลือมาจาก เงินบริจาคที่ผู้บริจาคระบุว่าให้เป็นเงินทุนมูลนิธิ จะสามารถนำไปใช้ได้เฉพาะส่วนที่เป็นผลตอบแทน
ซึ่งในวาระปกติ โดยทั่วไปผู้บริจาคในส่วนนี้ก็ไม่ได้เยอะอะไรแต่ละปีละ 10-20 ล้านก็มากแล้ว แต่ทำไมถึงมียอดรวมถึงเกือบ 4 พันล้านได้? ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการบริจาคในวาระโอกาสพิเศษ โดย ประชาชน บริษัท ห้างร้าน รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานรัฐ หรือแม้แต่ รัฐบาลเองที่มักจะจัดงบประมาณไปสมทบทุนให้กับมูลนิธิเนื่องในโอกาสพิเศษ นอกเหนือจากเงินสนับสนุนที่ให้กับมูลนิธิในแต่ละปี เช่นตามภาพสุดท้าย ในโอกาสเฉลิมพระชนพรรษา 7 รอบสมทบทุนมูลนิธิประมาณ 190 ล้าน , กรณี 14 ตุลา (รัฐอนุมัติงบประมาณ 10 ล้านให้มูลนิธิราชประชาฯไปตั้งกองทุนช่วยเหลือ ทหาร ตำรวจ นิสิต ประชาชน ที่ประสบภัยจากการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ)
เอาแค่แต่ละปี รายได้ส่วนใหญ่มาจากเงินสนับสนุนด้วยงบประมาณภาษีแบบนี้ จะไปสรุปว่า เงินของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ไม่ได้มาจากงบประมาณภาษี ไม่ได้หรอก
ถ้าพูดอย่าง"เหมาๆ" (Generalization) อาจจะสรุปว่า...ถ้า"จิตอาสา"=เวลาราชการ แล้ว"ถุงพระราชทาน"=ภาษีประชาชน
ปล. งบประมาณมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ เอามาจาก รายงานประจำปี 2563
https://www.rajaprajanugroh.org/news-all/annual-report.html



Saiseema Phutikarn
การจะบอกว่า "ถุงพระราชทาน" จัดซื้อโดยมูลนิธิฯ หรือ จัดซื้อด้วยเงินจากมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ แล้วไปสรุปว่าดังนั้นจึง "ไม่ได้มาจากงบประมาณภาษี" อันนี้ไม่ถูก ... เพราะเงินรายได้ของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์แต่ละปีมาจากไหนละ ลองไปเปิดงบการเงินดูสิ ... จะพบว่าส่วนใหญ่มาจาก "งบประมาณภาษี" นี่แหละ ไม่ใช่เงินบริจาคที่ไหน



Saiseema Phutikarn

ส่วนการจะบอกว่า "ถุงพระราชทาน" มาจากเงินจากมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ อันนี้ไม่ผิด ... เพราะถุงพระราชทาน มันมีทั้งแบบ 1. จัดซื้อโดยมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ , 2.จัดซื้อโดยหน่วยงานรัฐด้วยงบประมาณภาษี หรือ 3. จัดซื้อโดยหน่วยงานรัฐด้วยเงินจากมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ (ข้อ 2-3 ตามตัวอย่างที่เห็นในบทความ ประชาไท https://prachatai.com/journal/2022/06/99277)




Saiseema Phutikarn

รายได้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์แต่ละปี ครึ่งหนึ่งเลยมาจาก เงินสนับสนุนจากงบประมาณกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ส่วนที่เป็นเงินบริจาคเข้ามูลนิธิโดยตรงนั้นป็นส่วนน้อยมาก ยกเว้นจะเป็นปีพิเศษต่างๆ ถึงจะมีเงินส่วนนี้มากขึ้นแต่ก็ยังน้อยมากอยู่ดี และหลายครั้งที่พบว่าผู้บริจาครายใหญ่คือ หน่วยงานรัฐ หรือ แม้แต่ตัวรัฐบาลเอง (เช่นตามภาพสุดท้าย รัฐบาลบริจาคดินที่ได้จากการก่อสร้างรัฐสภา) โดยรายได้ส่วนใหญ่อีกส่วนคือ ผลตอบแทนจากการลงทุนของทรัพย์สินมูลนิธิ(เกือบทั้งหมดคือ ดอกเบี้ย)




Saiseema Phutikarn

โดยรายได้ส่วนใหญ่อีกส่วนคือ ผลตอบแทนจากการลงทุนของทรัพย์สินมูลนิธิ(เกือบทั้งหมดคือ ดอกเบี้ย)

กรูไม่แคร์ จบนะ


Atukkit Sawangsuk
22h

การคุมขังใบปอ-บุ้ง และทะลุแก๊ส
ไม่ใช่แค่การแสดงออกว่า อำนาจนี้ไม่มีความเมตตา
แต่ยังเป็นการแสดงออกว่า เจ้าของอำนาจไม่แยแสว่า ใครจะโกรธจะเกลียด “อาฆาตมาดร้าย” สักเท่าไหร่ ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ไม่สามารถแตะต้อง ไม่มีทางทำให้สั่นสะเทือน
เปรียบเหมือนแมวจับลูกหนูมาทารุณให้ฝูงหนูดู (ทารุณโดยไม่รีบฆ่าให้ตาย) แล้วเย้ยหยันฝูงหนูว่า พวกมึงทำอะไรไม่ได้หรอก ได้แต่ร้องขอความปรานี
...

ประชาไท Prachatai.com
16h

รังสิมันต์ โรม ตั้งคำถามต่อรัฐบาลและกระบวนการยุติธรรมไทย “ต้องให้มีการฆ่าตัวตายหรืออดอาหารจนตายจริงก่อน รัฐบาลถึงจะเลิกเอาคนเห็นต่างเข้าคุก” หลังวานนี้มีผู้ต้องขังคดีชุมนุมการเมืองพยายามฆ่าตัวตายในคุก 3 ราย พร้อมเรียกร้องให้ยุตินโยบายการคุมขังผู้เห็นต่างทางการเมือง
.
อ่านเพิ่มเติมที่ : https://prachatai.com/journal/2022/06/99279
.....
Yingcheep Atchanont
8h
กรมราชทัณฑ์ยืนยันข้อเท็จจริงแล้วว่า ผู้ต้องขังกลุ่มทะลุแก๊ส 3 คน พยายามฆ่าตัวตายจริง คนนึงกินพาราเกินขนาด อีกสองคนกรีดข้อมือ ทั้งสามคนยังไม่ตาย ถูกส่งไปอยู่รพ.ราชทัณฑ์ พร้อมกับส่งข่าวให้สื่อว่า มีอาการเครียด
ราชทัณฑ์ประกาศจะตั้งกรรมการสอบสวน เพื่อสอบว่ามีอุปกรณ์ฆ่าตัวตายในคุกได้อย่างไร แต่ไม่ได้จะสอบสวนว่า ทำไมผู้ต้องขังถึงเครียดมากโดยไม่มีระบบการดูแลจิตใจ ทำไมผู้ต้องขังติดต่อขอความช่วยเหลือจากคนภายนอกไม่ได้

ชาวเน็ตแห่เทียบ คำพูดชัชชาติ กับ รมต.ดิจิทัล สะท้อนอะไร ?


Somrit Luechai
Yesterday

เรากำลังอยู่ระหว่าง
การเมืองเก่ากับการเมืองใหม่
ในขณะที่การเมืองใหม่เป้าหมายอยู่ที่ประชาชน
ส่วนการเมืองเก่าเป้าหมายอยู่ที่เจ้านาย
เราจึงได้เห็นว่า
การเมืองใหม่มุ่งที่บทบาทและหน้าที่ของตน
ส่วนการเมืองเก่ามุ่งที่สอพลอ
ครับ
...
Somrit Luechai
22h

"สอพลอ"
ดูจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในระบบราชการไทย
เจ้านายก็ดูจะชื่นชอบ
ลูกน้องก็ดูจะเต็มใจ
หากใครคิดจะก้าวหน้าในระบบราชการ
ต้องทำให้ได้
จึงไม่แปลกที่แม้โลกจะพัฒนาไปไหนต่อไหนแล้ว
มีการพูดถึงการทำงานที่โปร่งใสและตรวจสอบได้
แต่ระบบราชการไทยก็ไม่สน
รักษาการทำงานแบบ"เจ้านายกับข้า"ไว้เหมือนเดิม
โดยที่ข้าจะเจริญต้องสอพลอเจ้านาย
ผมถูกที่ปรึกษาปลัดกระทรวงๆหนึ่ง
คอยกำชับเสมอว่า"ช่วยชมท่านหน่อยน่ะค่ะ"
ผมบอกว่าผมทำไม่ได้
ถ้าชมก็จะชมเพราะผลงาน
ไม่ใช่หลับหูหลับตาชม
หรือชมเพราะมีคนมาบอกให้ชม
การล้มล้างการสอพลอในระบบราชการ
คือหนึ่งในการปฏิรูปที่สำคัญ
ถ้าเห็นแก่ประชาชนและประเทศชาติ
ต้องกำจัดการสอพลอให้สิ้น
แต่ผมเชื่อว่า
คนที่มาจากระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น
ถึงจะจัดการสิ่งนี้ได้
รัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจนั้น
อย่าฝันว่าจะทำการปฏิรูปเลย
เพราะพวกเจ้านายมันก็ชอบการสอพลอ
ครับ

ทำไมชุดพระราชทาน เป็นชุดที่ประชาชนต้องเสียเงินซื้อเอง ?!?


Bangkokgag
21h
ชุดให้ซื้อ
.....

Junya Yimprasert
June 26

เห็นแคปชั่นนี้แล้วปรี๊ดแตกมาก
พระราชทานแล้วไง
พระราชทานแล้วมันสร้างความเดือนร้อนให้ประชาชน
เดือดร้อนทั้งนักเรียนและผู้ปกครอง
ก็ต้องยกเลิกได้
แม่พวกข้าใต้ตีนเอ๋ย
กูจะปรี๊ดทุกทีเวลาพวกนี้อ้าง "กษัตริย์" มาปิดปากเสียงประท้วง

เสวนา “ขังในเรือนจำ และขังนอกเรือนจำต่างกันอย่างไร”



เสวนา “ขังในเรือนจำ และขังนอกเรือนจำต่างกันอย่างไร”

มาตรฐานการคุมขังนั้นเป็นหนึ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการกระทำอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี ในขณะที่ปัจจุบันประเทศไทยกำลังผลักดัน ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดการทรมานและการบังคับให้บุคคลสูญหาย พ.ศ….โดยร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร มาตรา 5 ได้กำหนดฐานความผิดกระทำการที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่ไม่รวมถึงการลงโทษที่ชอบด้วยกฎหมาย จึงน่าสนใจว่า การผ่านร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวนั้น จะช่วยพัฒนามาตรฐานในการคุมขังของราชทัณฑ์ได้หรือไม่อย่างไร

ข้อมูลวันที่ 23 มิถุนายน 2565 จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุว่ามีผู้ต้องขังคดีทางการเมืองที่ถูกขังระหว่างการพิจารณาอยู่ถึง 21 ราย เสียงของพวกเขาที่สะท้อนเรื่องราวภายในเรือนจำอย่างต่อเนื่องกลับไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแก้ไขสภาพคุมขังใดๆ อีกทั้งนักกิจกรรมอย่างน้อย 2 คนยังได้ประกันตัวโดยมีเงื่อนไขการติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว(EM) ต้องอยู่ในเคหสถาน 24 ชั่วโมง แทบไม่แต่ต่างจากการคุมขัง

เนื่องในวันต่อต้านการทรมานสากล (26 มิถุนายน) และวันครบรอบเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย (24 มิถุนายน) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ชวนนักกิจกรรมที่เคยถูกคุมขังในเรือนจำและต่อมาได้รับการประกันตัวโดยมีเงื่อนไขห้ามออกนอกเคหะสถาน 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนและด้านกฎหมายอาญามาพูดคุยกันถึงประเด็นดังกล่าว ในหัวข้อ “ขังในเรือนจำ และขังนอกเรือนจำต่างกันอย่างไร” วันที่ 28 มิถุนายน 19.00 น.-20.30 น. ทาง FB Live เพจ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

ร่วมพูดคุยโดย

ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ นักกิจกรรมกลุ่มมังกรปฏิวัติ

โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง นักกิจกรรมกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ

สุณัย ผาสุก Human Rights Watch

รณกรณ์ บุญมี อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ชวนคุยโดย พูนสุข พูนสุขเจริญ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน


LIVE ขังในเรือนจำและขังนอกเรือนจำต่างกันอย่างไร

Streamed live 11 hours ago

prachatai

ตั้งแต่กันยา 64 "ลูกเสือแห่งชาติ" ถูกรวมไปรวมเป็นส่วนหนึ่งของ "จิตอาสาพระราชทาน" เรียบโร้ย !! "สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ" นี่ได้รับเงินสนับสนุนจากงบประมาณไปปีละเป็นร้อยล้าน


Saiseema Phutikarn
Yesterday

"ลูกเสือจิตอาสาพระราชทาน" น่าจะเป็นความหมายที่แท้จริงของคำว่า "พระราชทาน" ที่ปลัดมหาดไทยนึกถึง โดยตั้งแต่กันยา 64 "ลูกเสือ" ก็โดนควบครวมไปเป็นส่วนหนึ่งของ "จิตอาสาพระราชทาน" เรียบโร้ย หลังๆนี้จะมีกิจกรรมหลักคือการไปอบรมเด็กทั่วประเทศภายใต้ชื่อโครงการ "ลูกเสือจิตอาสาพระราชทาน" เรียกได้ว่าเป็นการรวมดาวดังมาไว้ในหนังเรื่องเดียว ประหนึ่ง "เอเลี่ยน" ฟีเจอร์ริ่งกับ "เพรเดเตอร์"
ลองไปดูหัวข้อหลักสูตร "ลูกเสือจิตอาสาพระราชทาน" แล้วแบบมี 9 วิชาย่อย ครึ่งหนึ่งเป็นเรื่องของ "พระราชาทาน"
แน่นอนว่า "ลูกเสือจิตอาสาฯ" ก็เหมือนกับกิจกรรม "จิตอาสา" ส่วนใหญ่ที่ทำโดยใช้เงินภาษีประชาชน หลายคนไม่รู้ว่า "สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ" นี่ได้รับเงินสนับสนุนจากงบประมาณไปปีละเป็นร้อยล้าน อย่างในร่างงบปี 66 นี่กิจกรรมลูกเสือไทยก็ได้เงินจาก "พระราษฎร์ทาน" ไปกว่า 277 ล้าน เฉพาะจากสำนักปลัดกระทรวงศึกษาที่เดียว