‘สามัญชน’ เป็นอีกพรรคการเมืองที่กำลังจัดตั้งใหม่
ซึ่งประกาศแนวนโยบายแจ้งชัดว่าจะดำเนินการยกเลิกประกาศและคำสั่งต่างๆ ของ คสช.
ที่ใช้กำกับควบคุมและตีกรอบการดำเนินชีวิตของประชาชนตลอดกว่าสี่ปีที่ผ่านมา
อย่างผิดผีผิดไข้ต่อครรลองการบังคับใช้กฎหมายโดยนิติธรรม แห่งหลักการประชาธิปไตยอันเป็นสากล
จากคำให้สัมภาษณ์รายการ ‘ไทยว้อยซ์ไล้ฟ์’ ของ จอม เพชรประดับ
โดยว่าที่โฆษกพรรคสามัญชน ปกรณ์ อารีกุล ถึงแนวทางการ ‘ปลดอาวุธ
คสช. ด้วยมือเปล่า’ ขยายความจากว่าที่หัวหน้าพรรค เลิศศักดิ์
คำคงศักดิ์ กล่าวไว้หลังการประชุมใหญ่เลือกคณะกรรมการบริหารพรรค ที่บ้านโนนสว่าง อำเภอวังสะพุง
จังหวัดเลย
เขาบอกว่าจะเสนอเป็นร่าง พรบ. เพื่อยกเลิกคำสั่งและประกาศ
คสช. ที่มีผลต่ออำนาจการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน
ทั้งนี้เป็นแนวทางเดียวกับที่กำลังมีการณรงค์เข้าชื่อกันให้ครบ ๑ หมื่น ซึ่งสำนัก ‘ไอลอว์’ ริเริ่มไว้
ก่อนหน้านี้พรรคประชาชาติ พรรคใหม่อีกพรรคหนึ่งซึ่งจัดตั้งโดยนายวันมูหะมัดนอร์
มะทาและพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง
ก็ได้แถลงแนวนโยบายผลักดันให้มีการยกเลิกและปรับปรุงกฎหมายที่ “เป็นอุปสรรคต่อการดํารงชีวิตและการประกอบอาชีพของประชาชน”
รวมทั้งกฎหมาย “ที่บัญญัติขึ้นในขณะที่ประเทศไม่ได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย”
โดยออกมาในรูปคำสั่งและประกาศของคณะผู้ยึดอำนาจการปกครอง ทั้งนี้
เลขาธิการพรรคแสดงความชื่นชมในแนวทางการรณรงค์ในเรื่องนี้ของ ‘ILaw’ เอาไว้ด้วย
การรณรงค์ดังกล่าวของไอลอว์เริ่มมาตั้งแต่เมื่อกลางเดือนมกราคม
จนบัดนี้เป็นเวลา ๘ เดือนกว่า มีผู้เข้าชื่อราว ๔ พันคน ขณะที่เป้าหมายอยู่ที่ ๑
หมื่นรายชื่อตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๓๓
เตรียมไว้นำเสนอต่อรัฐบาลใหม่ที่จะมีหลังการเลือกตั้ง
ในจำนวนคำสั่ง คสช.กว่า ๕๐๐ ฉบับ
ไอลอว์ยกตัวอย่างคำสั่งที่ “มีลักษณะเป็นการใช้อำนาจพิเศษ
ประชาชน ไม่มีส่วนร่วม
และยังส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพและกระบวนการประชาธิปไตยของประชาชน”
รวมทั้ง “คำสั่งมีลักษณะเป็นการใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ โดยอ้างมาตรา ๔๔ หรืออำนาจสูงสุด”
ว่ามีประมาณ ๓๕ ฉบับ
ดังเช่น คำสั่งที่ ๓/๒๕๕๘ ที่
คสช.มักใช้ในการกดดันเสรีภาพในการแสดงออกของกลุ่มที่เห็นต่าง
และไม่สนับสนุนการปกครองโดยคณะรัฐประหาร คำสั่งนี้ห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ ๕
คนขึ้นไป และให้อำนาจทหารเป็นผู้จับกุม และสอบสวนคดีความมั่นคง
โดยสามารถกักกันตัวไว้ได้ ๗ วัน
ยังมีคำสั่งและประกาศ คสช.
เกี่ยวกับสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อมอีกหลายฉบับ เช่นคำสั่งที่ออกในปี ๒๕๕๗
ได้แก่ฉบับที่ ๖๔ ขับไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่, ๖๖ ให้ กอ.รมน.เป็นผู้ทวงคืนผืนป่า,
๗๐ และ ๑๐๙ เกี่ยวกับการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่มี
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธาน
โดยเฉพาะเกี่ยวเนื่องกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ
‘ระเบียงตะวันออก หรือ อีอีซี’ นั้นมีการใช้อำนาจวิเศษของมาตรา ๔๔ เปลี่ยนตัวนายกเทศมนตรีเสียดื้อๆ ด้วย
ดังประกาศที่ ๑๕/๒๕๖๑ ให้ปลดพลตำรวจตรีอนันต์ เจริญชาศรี
พ้นจากตําแหน่งนายกเมืองพัทยา แล้วตั้งนายสนธยา คุณปลื้ม เข้าไปเป็นแทน
นายสนธยา และตระกูลคุณปลื้ม ผู้ยิ่งใหญ่ของจังหวัดชลบุรีนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐที่รัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ
คสช. จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหลังเลือกตั้ง
น่าขันที่ข้ออ้างในการแต่งตั้งนายสนธยาบอกว่า “มีความจําเป็นต้องได้มาซึ่งนายกเมืองพัทยาและผู้บริหารเมืองพัทยาที่มีศักยภาพสูง
พร้อมด้วยประสบการณ์และความรู้ความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อประโยชน์ต่อการสนับสนุนกิจกรรมและการดําเนินการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก”
โดยแนวนโยบาย พรรคสามัญชนจึงเป็นอีกพรรคหนึ่งที่จะเป็นเรี่ยวแรงในการลบล้างอำนาจคณะรัฐประหารที่จะกำกับควบคุมรัฐบาลหลังเลือกตั้งอีกอย่างน้อย
๒๐ ปีได้ โดยเฉพาะจากคำของนายปกรณ์ในรายการจอมว่า
“ส.ส.สามัญชนจะไม่สนับสนุนนายกฯ คนนอก
และร่วมมือกับพรรคอื่นที่ไม่สนับสนุน ถ้าจะมีบุคคลที่สืบทอดอำนาจจาก คสช.
ถึงแม้เขาจะมาเป็น ‘คนใน’
ก็ไม่สนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นประยุทธ์หรือคนอื่น”