วันเสาร์, กรกฎาคม 12, 2568

จดหมายจากอานนท์ 7 ก.ค. 68 "ถ้ามั่นใจว่าคำพิพากษานั้นยุติธรรม แล้วท่านจะกลัวอะไร"


อานนท์ นำภา
20 hours ago
·
“จำนวนคนที่สนใจเข้าฟังคำพิพากษา มาตรา 112 ของผม จากคดีแรกเมื่อ 25 กันยายน 2566 กระทั่งคดีล่าสุด 25 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา มีจำนวนไม่ลดลง ซ้ำยังมีการเผยแพร่ในสื่อต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ เป็นที่สนใจทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งกำลังใจผ่านทางความช่วยเหลือในรูปแบบต่าง ๆ นี่คือสิ่งที่สังคมเก่ากำลังหวาดกลัว
พวกเขาหวังว่า เวลาที่ยาวนานจะทำให้การรับรู้และความสนใจของคนลดลง แต่มันกลับเป็นในทางตรงกันข้าม เมื่อผู้คนยิ่งตั้งคำถามต่อกระบวนการยุติธรรมไทยมากขึ้น ทางเดียวที่พวกเขาจะทำได้ คือช่วยกันเอาใบบัวมาปิดความฟอนเฟะ และเมื่อปิดสิ่งนั้นไม่มิด ก็เอามาปิดหูปิดตาผู้คนเสีย
เหตุผลประการสำคัญที่ผมไม่ลี้ภัยการเมือง คือต้องการใช้กรณีของผมเป็นภาพสะท้อนความอัปลักษณ์ของกระบวนการยุติธรรมในมาตรา 112 และใช้ตัวเองเป็นบทบันทึกเรื่องราวในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งนี้
ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า การพูดความจริงเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ การวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยความปรารถนาดีที่จะทำให้สังคมตื่นรู้ เวลาไม่ได้อยู่ข้างเราเพียงอย่างเดียว แต่เวลายังทำหน้าที่พิสูจน์สิ่งที่เราต่อสู้ให้เห็นภาพเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจนถึงความขัดแย้งและปัญหาในสังคมไทย
อย่างไรก็ตาม เวลาที่ยาวนาน ความยากลำบากและปัญหาสารพัน ที่เป็นปราการขวางกั้นการต่อสู้ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นเช่นกัน คดีมาตรา 112 ของผมหลายคดีถูกสั่งให้พิจารณาลับและไม่ให้เผยแพร่ บางคดีถึงขนาดหลีกเร้น พยายามหลบหน้าสาธารณชน ในการอ่านคำพิพากษาผมเฝ้าถามในใจทุกครั้งที่เผชิญภาวะเช่นนั้นว่า "ถ้ามั่นใจว่า คำพิพากษานั้นยุติธรรม แล้วท่านจะกลัวอะไร“
ในวันที่ข้อเท้าต้องมีแผลเป็นอันเกิดจากโซ่ตรวน ผมยังปรารถนาอย่างแน่วแน่ ที่จะใช้ชีวิตเป็นบทบันทึกและเป็นภาพสะท้อนความอัปลักษณ์ของมาตรา 112 ต่อไป และเพื่อเป็นการย้ำเตือนความอยุติธรรมที่ได้รับ ผมจึงโกนคิ้วตัวเอง 1 ข้าง เพื่อที่ทุกครั้งที่มองตัวเองผ่านกระจก ผมจะได้ไม่ลืมมัน
หากการต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมของผม พอจะมีคุณูปการอยู่บ้าง ผมขอให้มันเป็นแรงบันดาลใจให้คนในกระบวนการยุติธรรม ได้โปรดฉุกคิดและเห็นถึงความอัปลักษณ์ของมันเสียที
สุดท้ายขอเป็นกำลังใจให้มิตรสหายที่ร่วมต่อสู้กันมา
จากวันแรก จนถึงวันนี้ เรามาไกลเกินกลับไปนับ 1 แล้ว”
เชื่อมั่นและศรัทธา
อานนท์ นำภา
7 กรกฎาคม 2568
เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
—————-
Since the judgment in my first case on 25 September 2023 until my latest on 25 July 2025, the number of those who come to listen has not declined. In addition, news of the decisions is disseminated in various media outlets within and beyond Thailand. Further, people send encouragement and assistance in various forms. This is what the old society fears.
They hope that awareness and interest will wane with time. But the opposite has occurred. As people increasingly question the Thai judicial process, the only path they can take is to attempt to use a lotus leaf to cover the decay. When they fail to cover it completely, they then come to cover the eyes and ears of the people.
The primary reason why I have not sought political asylum is that I want to use my case to reflect the ugliness of the judicial process in Article 112. I want to serve as a record of the transformation of this moment.
I fully believe that speaking the truth about the institution of the monarchy and criticizing it with sincerity and good intentions will awaken society.
Time is not only on our side, but also continues to serve as proof of what we are fighting for and illustrates the problems and conflicts in Thai society.
However, over time, various difficulties and problems have emerged as obstacles in the struggle. The judges in many of my Article 112 cases have ordered that the trials be conducted in secret and banned the dissemination of news. In some cases, they retreat and attempt to reading the decisions in public. Observing this, I ask myself each time, “If you are confident that the judgment is just, then what are you afraid of?”
On a day when my ankles are scarred from being shackled, I remain resolute in my desire to use my life to document and reflect the ugliness of Article 112. To remind myself of the injustice I have encountered, I will shave off one of my eyebrows so that every time I see myself in the mirror, I will not forget.
If my struggle in the judicial process is to be of some contribution, I would like it to inspire those within the judiciary. Please take a moment to reflect on and comprehend its ugliness.
Finally, let me offer encouragement to friends who struggle alongside me:
From the first day until today, we have come to far to go back to square one.
With trust and faith,
Arnon Nampa
7 July 2025
Bangkok Remand Prison


https://www.facebook.com/photo/?fbid=30396833456597994&set=a.113629915345080



ผู้ใหญ่บ้านเรา แสร้งหูหนวก ตาบอด เพราะต้องการเอาตัวเองรอดเท่านั้น ดูเหมือนว่าเสียงของเยาวชนแบบเบนจา อะปัญ อาจไม่ได้ถูกรับฟังหรือเข้าหูบรรดา “ผู้หลักผู้ใหญ่” ในสังคมไทย กระทั่งในสภา มากนัก



ฟังเสียง ‘เยาวชน’ | ปราปต์ บุนปาน

11.07.2025
มติชนสุดสัปดาห์
ของดีมีอยู่ | ปราปต์ บุนปาน



เมื่อวันพุธที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรมีวาระพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม/พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ที่นำเสนอโดยภาคประชาชน คณะรัฐมนตรี และพรรคการเมืองต่างๆ

แม้แนวโน้มของเสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร จะมีความเห็นทำนองว่า สังคมไทยควรเปิดกว้างโอบรับ “ความแตกต่างหลากหลาย” หรือเป็น “สังคมหลากสีสัน” แต่พวกเราก็ควรยกเว้นไม่นิรโทษกรรมให้แก่ผู้ต้องหาหรือผู้ต้องโทษใน “คดี 112”

อย่างไรก็ดี ในการประชุมสภาวันนั้น มีตัวแทนม็อบเยาวชนในช่วงต้นทศวรรษ 2560 ซึ่งโดนฟ้องร้องในคดี 112 ได้เข้ามาร่วมเป็น “ผู้ชี้แจง” ร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ฉบับที่เสนอโดยภาคประชาชนด้วย

หนึ่งในนั้นก็คือ “เบนจา อะปัญ” ที่ได้ชี้แจง/อภิปรายเหตุผลสนับสนุนในการนิรโทษกรรมคดี 112 ต่อที่ประชุมสภา ไว้อย่างซื่อตรง จริงใจ และน่ารับฟัง ดังนี้

“ดิฉันก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับผลกระทบจากคดีมาตรา 112 ทั้งหมด 8 คดีนะคะ ก็ (ติดอันดับ) ท็อปไฟว์กับเขาเหมือนกัน (หนึ่ง) 25 คดี, (สอง) 25 คดี, (สาม) 10 คดี, (สี่) 9 คดี, (ห้า) 8 คดี

“(ในจำนวนนี้) สองคนติดคุก สามคนลี้ภัย ดิฉันยังอยู่ตรงนี้ค่ะ ในฐานะผู้ชี้แจง ก็ไม่รู้อนาคตของตัวเองเหมือนกันว่า จะอยู่ตรงนี้ได้ถึงเมื่อไหร่? จะอยู่ข้างนอกได้ถึงเมื่อไหร่?

“ขอตอบท่านสมาชิก (สภาผู้แทนราษฎร) สักท่านหนึ่งนะคะ ที่ท่านบอกว่า 66/23 เป็นคำสั่งจากนายกฯ ไม่ใช่กฎหมาย ถูกต้องค่ะ ถูกเลยค่ะ ใช่ค่ะ ไม่ใช่กฎหมาย แล้วท่านก็บอกว่า ไม่เคยมี พ.ร.บ. ออกมาตรงๆ ว่านิรโทษกรรม 112 ถูกต้องค่ะ ท่านก็ถูกอีกน่ะค่ะ

“แต่ว่าเคยมีปี 2521 ใช่ค่ะ เขาไม่ได้ระบุว่าให้นิรโทษ ม.112 เป็นลายลักษณ์อักษรตรงตัว เพราะอะไรรู้ไหมคะ? เพราะเขานิรโทษกรรมทั้งอีเวนต์ ซึ่งในนั้นมันก็รวม 112 เข้าไปด้วยค่ะ เพราะฉะนั้น ท่านจะมาบอกว่า ไม่มี 112 อยู่ในนั้น มันไม่ใช่ค่ะ มันมีอยู่ในนั้นนะคะ

“ขอชี้แจงอีกท่านหนึ่งนะคะ ที่บอกว่าคนที่ลี้ภัยไปคือพวกมีอภิสิทธิ์ ท่านรู้ไหมคะว่า ดิฉันนั่งจดบันทึกทุกวันว่า วันนี้เพื่อนเราหายไปหรือเปล่า? (ปรากฏว่าจนถึงตอนนี้ มีเพื่อนหายไป) ไม่ต่ำกว่า 20 คนค่ะ

“หลายคนในนั้นไม่ได้มีอภิสิทธิ์อะไรเลย การไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนอก มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ สำหรับคนที่ไม่มีต้นทุน คนที่ไม่ได้ภาษาก็มี เพราะฉะนั้น ท่านจะมาบอกว่าเป็นอภิสิทธิ์ มันไม่ใช่

“เขาแค่คือกลุ่มคนที่ไม่อยากต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม ที่มันไม่ยุติธรรม ท่านรู้ไหมคะว่า การขอหมายศาลเรียกพยานแต่ละครั้งมันยากเย็นแค่ไหน? บางพยานที่สำคัญ ศาลก็ไม่ได้ออกหมายเรียกให้ เพราะฉะนั้น มันจะยุติธรรมได้อย่างไรกับฝ่ายจำเลย?

“ทั้ง (คน) ที่ติดคุกอยู่ ที่กำลังจะติดคุก ที่ลี้ภัยกันอยู่ตอนนี้ ก็ล้วนเป็น (คดี) 112 ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ดิฉันคิดว่า ถ้าท่านจะ ‘สันติสุข’ อะไรกัน หนึ่ง สอง สาม เนี่ยค่ะ ถ้ามันไม่รวม 112 เข้าไป มันจะสันติสุขแบบไหน? สันติสุขเฉพาะพวกท่านหรือเปล่า?

“ถ้าท่านบอกว่า เราอยากก้าวผ่านไปด้วยกัน อยากได้รับโอกาสในการเริ่มต้นใหม่ ทำไมท่านถึงจะไม่ให้โอกาสเยาวชนคนรุ่นใหม่แบบพวกเราได้ก้าวผ่านไปด้วยกันล่ะคะ? เหมือนคดีอื่นๆ น่ะค่ะ เราก็ไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

“ดิฉันเปลี่ยนอดีตไม่ได้ ไม่มีใครเปลี่ยนอดีตได้ แต่เราร่วมกันเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ ตั้งแต่วันนี้”

ดูเหมือนว่าเสียงของเยาวชนแบบเบนจาอาจไม่ได้ถูกรับฟังหรือเข้าหูบรรดา “ผู้หลักผู้ใหญ่” ในสังคมไทย กระทั่งในสภา มากนัก

คำถามสำคัญมีอยู่ว่า สังคมเราจะเดินหน้าไปสู่อนาคตได้อย่างไร ถ้าเราตัดสินใจทิ้งขว้าง “พลังแห่งอนาคตจำนวนหนึ่ง” ไว้ข้างหลัง หรือหาทางขจัดพวกเขาและเธอให้ออกไปพ้นๆ จากบ้านนี้เมืองนี้?

https://www.matichon.co.th/weekly/column/article_850841


การทำเหมืองแร่ธาตุหายากที่ไร้การควบคุมในเมียนมา ซึ่งควบคุมโดยบริษัทจีน กำลังสร้างมลพิษให้กับแม่น้ำกกและแม่น้ำอีกอย่างน้อยสามสายที่ไหลผ่านประเทศไทย ฮันนาห์ บีช ผู้สื่อข่าวนิวยอร์กไทมส์ประจำกรุงเทพฯ ได้พูดคุยกับชาวบ้านเกี่ยวกับผลกระทบดังกล่าว

https://www.nytimes.com/2025/07/11/world/asia/myanmar-mining-thailand-china.html


The New York Times
9 hours ago
·

Unregulated rare earth mining in Myanmar, directed by Chinese enterprises, is poisoning the Kok and at least three other rivers that flow through Thailand. Hannah Beech, a New York Times reporter based in Bangkok, spoke to locals about the effects. https://nyti.ms/3TAH1gS

https://www.facebook.com/nytimes/videos/583499364614959



The Economist มองกรณี #คลิปหลุด และการที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งนายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ เป็นไปตามคำสั่งของพวกอำนาจเก่า Old Guard และถึงจุดที่คนไทยควรได้รับโอกาสที่จะได้ใช้สิทธิเลือกตั้งอีกครั้ง ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนนายกฯ ซึ่งอาจปูทางไปสู่การรัฐประหารอยู่ดี


Pipob Udomittipong
12 hours ago
·
บทความใน The Economist “หลังจากผู้นำอีกคนถูกโค่นลง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งของไทยต้องการทางเลือกที่แท้จริง มองว่ากรณี #คลิปหลุด และการที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งนายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ เป็นไปตามคำสั่งของพวกอำนาจเก่า Old Guard และถึงจุดที่คนไทยควรได้รับโอกาสที่จะได้ใช้สิทธิเลือกตั้งอีกครั้ง ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนนายกฯ ซึ่งอาจปูทางไปสู่การรัฐประหารอยู่ดี
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า แพทองธารได้ทำผิดพลาดอย่างร้ายแรง แต่เธอได้รับตำแหน่งนี้ ก็เพียงเพราะเธอเป็นลูกสาวของทักษิณ ชินวัตร มหาเศรษฐีที่บริหารประเทศระหว่างปี พ.ศ. 2544-2549 แม้จะดำรงตำแหน่งไม่ถึงปี แต่เธอมักดูเหมือนมือใหม่อยู่เสมอ
“แต่ใครก็ตามที่คิดว่าสาเหตุของปัญหาของเธอ เกิดจากพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์ ก็ถือว่าไร้เดียงสาเช่นกัน เพราะที่ผ่านมาชนชั้นปกครองของไทย ไม่ว่าจะเป็นกองทัพ พระราชวัง และเหล่าผู้ทรงอิทธิพลอื่นๆ ต่างรู้สึกว่าตนเองมีสิทธิที่จะปลดนักการเมืองออกจากตำแหน่ง เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเชื่อว่าผลประโยชน์ของตนเองกำลังถูกคุกคาม”
“หลายทศวรรษที่ผ่านมา ชนชั้นนำของไทยทำให้ไทยเป็นประเทศที่ดูเหมือนจะมีประชาธิปไตย แต่ก็ต้องเผชิญกับรัฐประหารมากมายหลายครั้ง ล่าสุด พวกเขาเห็นว่าสามารถใช้ประโยชน์จากศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อโค่นล้มผู้นำที่พวกเขาไม่ต้องการได้ง่ายกว่า รวมทั้งการใช้ข้าทาสที่เป็นสว.เพื่อกดดันการเลือกตั้งนายกฯ ทำให้แม้พรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้ง ก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้
แต่แทนที่จะได้นายกฯ ที่เลือกตั้งเข้ามา “ประเทศไทยกลับได้รัฐบาลผสมที่ล้มเหลวและแตกแยก ซึ่งนำโดย #แพทองธาร จนถึงเดือนนี้ เป็นการรวมตัวของพรรคที่สนับสนุนกองทัพกับ #พรรคเพื่อไทย พรรคประชานิยมที่ก่อตั้งโดยบิดาของแพทองธาร ซึ่งครั้งหนึ่งเคยอ้างว่าเป็นกระบอกเสียงให้กับคนยากจน แต่กลับไม่สนใจพวกเขาอีกต่อไป”
“แพทองธารเข้าสู่ตำแหน่งเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว เพียงเพราะอดีตนายกรัฐมนตรีถูกปลดออกจากตำแหน่ง เนื่องจากละเมิดมาตรฐานด้านจริยธรรมที่คลุมเครือ ตอนนี้ตัวเธอเองก็อาจตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน”
“ระหว่างที่ชนชั้นนำกำลังทะเลาะกัน ประเทศไทยประสบภาวะชะงักงัน คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโต 1.8% ในปีนี้ ลดลงจาก 2.5% ในปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง การส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเสี่ยงต่อการถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงลิ่ว และผู้นำประเทศไม่สามารถแก้ไขปัญหาพื้นฐานที่สำคัญได้ รวมทั้งสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่กีดกันการแข่งขันอย่างน่าตกใจ
“นับเป็นเรื่องน่าเศร้าใจ เมื่อคำนึงถึงข้อได้เปรียบมากมายของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นความมั่งคั่ง ชนชั้นกลางที่ทันสมัย และทัศนียภาพอันงดงาม
“การเจรจาลับอาจนำไปสู่การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่เร็ว ๆ นี้ หากเป็นเช่นนั้น เขาหรือเธอจะเป็นนายกฯ คนที่สามในรอบ 12 เดือน แต่หากการโต้เถียงล้มเหลว หรือการแก้ไขขาดความยั่งยืน ความไม่พอใจและการประท้วงก็มีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงขึ้น และนั่นอาจกลายเป็นข้ออ้างสำหรับการรัฐประหารอีกครั้ง
“สิ่งที่ประเทศไทยต้องการอย่างแท้จริงคือการเลือกตั้งใหม่ เป็นการแข่งขันอย่างเสรี โดยพรรคที่ชนะต้องได้รับโอกาสอย่างเต็มที่ในการจัดตั้งรัฐบาลผสมที่สามารถบริหารประเทศได้อย่างแท้จริง เมื่อคนไทยได้ใช้สิทธิเลือกตั้งอีกครั้ง พวกเสรีนิยมรุ่นใหม่จากพรรคก้าวไกล ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็นพรรคประชาชน จะกลับมาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้ง
“ความเข้มแข็งอดทนของพวกเขา ทำให้เรามองอนาคตของประเทศไทยในแง่ดี แม้ว่าสถานการณ์อื่นๆ จะดูเลวร้ายก็ตาม น่าเสียดายที่พวกอำนาจเก่าที่กรุงเทพฯ ดูเหมือนจะไม่เต็มใจที่จะยอมผ่อนคลายอำนาจควบคุมลงเหมือนแต่ก่อน หากพวกเขารักประเทศชาติอย่างแท้จริง พวกเขาก็ควรทำเช่นนั้น”
https://www.economist.com/.../after-another-leader-is...


https://www.facebook.com/photo?fbid=10162790208176649&set=a.10150096728651649


อิสราเอลจะสร้างเมืองมนุษยธรรมให้ชาวปาเลสไตน์ทางใต้ของกาซา... มีอะไรแอบแฝง?

https://www.facebook.com/reel/1431833571476447
.....


Pipob Udomittipong
19 hours ago
·
7 โมงเช้าเมื่อวาน #อิสราเอล ยิงจรวดใส่ฝูงชนขณะกำลังต่อแถวรอรับอาหารเสริมในเมืองเดียร์ อัล บาลาห์ ตอนกลางของ #ฉนวนกาซา ส่งผลให้ชาว #ปาเลสไตน์ เสียชีวิตอย่างน้อย 15 คน รวมทั้งผู้หญิงและเด็กอีก 8 คน #IDF อ้างว่าเป้าหมายเป็นชายสองคนที่สะพายเป้บนหลัง ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตด้วยขณะเดินผ่านคนที่เข้าคิวรับอาหารเสริม

@NPR ซึ่งมีนักข่าวในพื้นที่สัมภาษณ์ชาวบ้านที่รอดตายคนหนึ่งบอกว่า “ทำไมพวกเขาไม่รอให้ผู้ชายที่ต้องการสังหาร เดินออกไปสักสองเมตร ทำไมต้องยิงระเบิดใส่พวกเขาตอนที่อยู่ใกล้กับกลุ่มผู้หญิงและเด็ก ทำไม?"

@Channel4News สัมภาษณ์จนท. Unicef ซึ่งบอกในทำนองเดียวกันว่า บริเวณที่เกิดเหตุ เป็นถนนโล่ง ชายทั้งสองคนที่เป็นเป้าหมายของ IDF กำลังเดินผ่านกลุ่มคนที่เข้าคิวรับอาหาร มีความเป็นไปได้ที่ทหารจะยิงทั้งสองคน ก่อนจะเดินไปถึงจุดที่เด็กและผู้หญิงเข้าคิวรับอาหาร หรือยิงพวกเขาหลังจากนั้น เพื่อลดการบาดเจ็บล้มตาย

ผู้หญิงและเด็กเหล่านี้เข้าคิวขอรับอาหารเสริมจากคลินิกของ Project HOPE หน่วยงานเอกชนอเมริกันที่เดิมเป็นคลินิกรักษาคน แต่ตอนหลังมีแต่คนป่วยเพราะขาดสารอาหาร เลยเปลี่ยนมาแจกจ่ายอาหารเสริมให้กับผู้ที่ขาดสารอาหารแทน

แม่ที่สูญเสียลูกสาวไปในเหตุการณ์บอกว่า “ความฝันของลูกดิฉันคืออยากเห็นสงครามจบลง เพราะกำลังจะมีการประกาศ (หยุดยิง) ในวันนี้แล้ว เธออยากได้ไปเรียนหนังสือต่อ เธอฝันว่าจะได้กินขนมปัง 4-5 ชิ้นต่อมื้อ เธอเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ตอนนี้ฝันของเธอสลายไปแล้ว”

อิสราเอล แสดงความเสียใจต่ออันตรายที่เกิดขึ้นกับคนที่ไม่เกี่ยวข้อง และจะมีการสอบสวนเรื่องนี้ต่อไป

ถ้าย้อนกลับไปอ่านข่าวหลายวันก่อนที่ IDF ยิงขีปนาวุธจากเรือเพื่อบอมบ์คาเฟ่ที่อยู่ชายหาดของกาซา สังหารพลเรือนไป 30 กว่าคน รวมทั้งเด็กและผู้หญิง IDF ก็อ้างแบบเดียวกันว่า เป็นการ “โจมตี "ผู้ก่อการร้ายฮามาสหลายราย" ในภาคเหนือของฉนวนกาซา และกำลังตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าวอีกครั้ง”

ชีวิตของชาวปาเลสไตน์มีค่าเพียงใดในสายตาของ IDF ทำไมแรปเปอร์จึงต้องตะโกนว่า “Death to the IDF”? และ Bob Vylan กำลังถูกดำเนินคดีอาญาในอังกฤษ

https://youtu.be/6oh86vwBoUE
https://www.npr.org/transcripts/nx-s1-5463576
Pipob Udomittipong

ทุกวันนี้ชาวปาเลสไตน์ 2.2 ล้านคนถูกกวาดต้อนให้ไปอยู่เฉพาะในพื้นที่สีขาว ติดกับชายฝั่ง พื้นที่สีแดงและแดงเข้ม (85%) เป็นพื้นที่ควบคุมของกองทัพอิสราเอลและพื้นที่ที่มีประกาศให้คนต้องอพยพ เดียร์ อัล บาลาห์ ที่ถูกบอมบ์เมื่อวานคือพื้นที่ตอนกลาง
https://www.ochaopt.org/.../reported-impact-snapshot-gaza...






 

พระที่สึกแล้ว เรียกได้หลายอย่าง แล้วแต่กรณี เช่น ทิด สมี ป๋า หรือ สามี


PRT : คลังสารสนเทศรัฐสภา
22 hours ago
·
คำเรียกชายไทย หลังสึก

​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ สวัสดีเช้าวันเข้าพรรษา ปี 2568 ค่ะ ก่อนออกจากบ้านไปทำบุญ แอดมินขอนำ "คำเรียกชายไทย หลังสึก" ที่เป็นภาษาถิ่นทั้ง 4 ภาค มาฝากกันค่ะ หรือท่านใดมีศัพท์เพิ่มเติมก็แจ้งได้นะคะ

ภาษากลาง
​ ​ ​ ​ ​ เรียกคนที่สึกจากพระ ​ ว่า ทิด
​ ​ ​ ​ ​ เรียกคนที่สึกจากพระ เพราะปาราชิก ว่า สมี

ภาษาเหนือ
​ ​ ​ ​ เรียกคนที่สึกจากพระ ​ ว่า หนาน
​ ​ ​ ​ เรียกคนที่สึกจากสามเณร ​ ว่า น้อย

ภาษาอีสาน
​ ​ ​ ​ ​ เรียกคนที่สึกจากสามเณร ว่า เซียง
​ ​ ​ ​ ​ เรียกคนที่สึกจากพระ ​ ว่า ทิด
​ ​ ​ ​ ​ เรียกคนที่สึกจากพระที่ผ่านการทำพิธีรดน้ำเป็นอาจารย์แล้ว เรียก จารย์
​ ​ ​ ​ ​ เรียกคนที่สึกจากพระที่สอบได้เปรียญธรรมสามประโยคขึ้นไป ว่า มหา

ภาษาใต้
​ ​ ​ ​ ​ เรียกคนที่สึกจากพระ ​ ที่แก่กว่าคนเรียก ว่า หลวง
​ ​ ​ ​ ​ เรียกคนที่สึกจากพระ ​ ที่เด็กกว่าคนเรียก ว่า เณร
​ ​ ​ ​ ​ เรียกคนที่สึกจากพระ ​ ที่เด็กกว่าคนเรียก ว่า เจ้า

​ ​ ​ ที่มา : บางคำจาก พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554

#ทิด
#สมี

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1055500363419991&set=a.242848768018492



เรื่องพิษของ Blue dragon "มังกรทะเลสีน้ำเงิน" อันตรายแค่ไหน มีคนสรุปให้ฟัง


Tensia
8 hours ago
·
เนื่องจากมีคนสอบถามเรื่องพิษของ Blue dragon ที่กำลังเป็นไวรัลช่วงนี้ เลยสรุปมาให้อ่านกันค่ะ
.
1. Blue dragon เป็น sea slug ประเภทหนึ่ง ที่พบได้ในมหาสมุทรอินเดียได้บ่อยคือ Glaucus atlanticus (ในภาพ) กับ Glaucus marginatus อยู่ในกลุ่มเดียวกับพวกหอยพวกทาก (Phylum: Mollusca) ค่ะ
.
2. น้องสีสวยแต่อันตราย เพราะปลายขน (Cerata) จะมีถุง Cnidosac ที่บรรจุโครงสร้างยิงเข็มพิษนามว่า Nematocyst ที่พร้อมยิงได้ทันทีหากสัมผัส
.
3. ประเด็นสำคัญคือ ปืนยิงพิษนี้น้องไม่ได้สร้างเอง แต่อาศัยเก็บมาจากพวกสัตว์กลุ่มแมงกะพรุน (Siphonophore) เช่น แมงกะพรุนหมวกโปรตุเกส (Portuguese Man o’ War) ซึ่งน้องจะใช้ Cerata จับแล้วกิน ย่อยเอาเซลล์ที่คลุมปืนยิงออก (cnidocyte) แล้วเก็บเฉพาะปืนยิงพิษไปใส่ปลายขน
.
4. แถมถุงที่เก็บ มันยังให้พิษที่เข้มข้นกว่าเจ้าตัวแมงกะพรุนอีก ทำให้สัตว์เล็กๆ ที่โดนไปคือแทบขิต นิ่งเป็นอัมพาตได้เลยค่ะ แล้วน้องก็จับกินสบายๆ
หากมนุษย์ไปสัมผัส ความดันที่กระทำต่อ cnidosac จะเหมือนเปิดสวิตช์เคมี ส่งไปให้ปืนยิงพิษที่ไปขโมยมานั้น ยิงตัวเข็มออกไป ปักผิวหนังเราแล้วฉีดพิษเข้าไป ดั่งหลอดฉีดยา (เดี๋ยวแปะภาพไว้ข้างล่าง) แต่หลายครั้งตัวปืนยืงพิษก็เกาะอยู่เฉยๆ ยังไม่ได้เกิดกลไกยิงเข้าไปค่ะ
.
5. มาถึงจุดที่ถามกันมาแล้วค่ะ พิษมันมีอะไรบ้าง คือพิษมันจะรันไปตาม nematocyst เลยค่ะ คือ
Phospholipase A2: ย่อยเยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้เซลล์ผิวหนังที่มนุษย์สัมผัสเกิดเซลล์ตาย แล้วกระตุ้นการอักเสบรุนแรงได้ ซึ่งจริงๆ ตัวนี้ก็พบในพิษงูนะ
Metalloprotease: จะทำงานร่วมกับตัวย่อยเซลล์ อันนี้คือตัวย่อยเส้นใยระหว่างเซลล์ค่ะ ทำให้คอมโบกับข้างบนแล้ว เนื้อเยื่อเสียหายเยอะ
กลุ่มพิษเจาะเซลล์โดยเฉพาะ เช่น actinoporins, jellyfish toxin ฯลฯ อันนี้แล้วแต่ว่าไปกินตัวไหนมา แต่หลักการคล้ายกันคือ ไปติดตั้งบนผิวเซลล์เยื่อแล้วล้อมตัวเป็นรู ให้เซลล์เป้าหมายมีสารน้ำรั่วออกมาหรือทะลักเข้าจนตาย
กลุ่ม Neurotoxin: อันนี้เป็นของหากินของน้องเลย คือตัวพิษจะปิดประตูสร้างกระแสไฟฟ้าค่ะ (พวกช่องเกลือแร่ เช่น sodium channel) ทำให้เซลล์ประสาทเหยื่อไม่สามารถสร้างสัญญาณประสาทได้ อัมพาต ชา ไปเลย แต่ข่าวดีคือตัวพิษนี้มันไม่ได้รุนแรงสำหรับสัตว์ใหญ่อย่างมนุษย์ค่ะ เทียบแล้วเบากว่า Tetrodotoxin ของพวกปลาปักเป้า (ซึ่งปลาก็ไม่ได้สร้างเช่นกัน)
กลุ่มสารก่ออักเสบ เช่น serotonin, histamine, bradykinin: พวกนี้คอยขยายหลอดเลือด ทำให้สารน้ำรั่ว
.
6. ทำให้อาการหลักคือ
ผิวหนังบวมแดงได้ เพราะเจอกลุ่มเอนไซม์ย่อยเซลล์ย่อยเส้นใย ทำให้หนังกำพร้า-หนังแท้ เซลล์ตายลอกได้
ผื่นลมพิษผุดขึ้นมา เพราะเจอสาร histamine โดยตรง
ปวดแสบปวดร้อนมาก เพราะเซลล์ที่ตายปล่อยสารกระตุ้นตัวรับความเจ็บปวด free nerve ending ที่ผิวหนัง
หากโดนเข้ามาเยอะ ตัวพิษจะเริ่มเข้าเลือดเยอะขึ้น เริ่มมีอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ เพราะกระตุ้นศูนย์อาเจียนที่ก้านสมอง บางคนโดน neurotoxin เยอะขึ้น เริ่มมีผลต่อกล้ามเนื้อหายใจ หายใจลำบาก
คนที่ซวยมากๆ คือแพ้โปรตีนในตัวพิษค่ะ ซึ่งเจอได้บ่อยเพราะโครงสร้างโปรตีนมันใหญ่ และเราไม่ค่อยรู้จัก (คล้ายกับแพ้พิษงูนั่นแหละ) ดังนั้นเหล่าเม็ดเลือดขาว mast cell จะปลดปล่อยสารก่ออักเสบรุนแรงมาก จนหลอดลมตีบ หายใจไม่ออก แน่นอก, หลอดเลือดขยายจนความดันตก เกิดภาวะแพ้แบบรุนแรง anaphylaxis เสียชีวิตได้
.
7. คนที่มีความเสี่ยงสูงคือกลุ่มคนที่มีร่างกายไม่พร้อมสำหรับการรับมือกับพิษที่เข้าสู่เลือด เช่น เด็กเล็ก คนแก่ หรือมีโรคหัวใจ/โรคทางเดินหายใจเดิม คือถ้าเกิดแพ้รุนแรงมา จะเพิ่มอัตราเสียชีวิตสูงขึ้นค่ะ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=122253206318214982&set=a.122099461634214982




https://x.com/ThaiPBS/status/1943698242459648128


 

ปิยบุตร เหน็บนักการเมืองยุคนี้ ขี้ขลาดกว่ายุคก่อน ตั้งข้อรังเกียจนิรโทษคดีการเมือง


https://www.khaosod.co.th/politics/news_9844558
.....

Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล
18 hours ago
·
เหตุที่บรรดานักการเมืองและพรรคการเมืองจำนวนมากตั้งข้อรังเกียจกับการนิรโทษกรรมในความผิดการแสดงออกทางการเมือง โดยรวมความผิดตามมาตรา 112 ไปด้วยนั้น
 
ไม่มีเหตุผลอื่นใดหรอก นอกจาก ยังไม่มี “ใบอนุญาต” ให้ทำ จึงเกรงว่า หากทำลงไปแล้วจะถูกยึด “ใบอนุญาต” ที่ให้เป็นรัฐบาล หรือตัดโอกาสการได้ “ใบอนุญาต” ให้เป็นรัฐบาล
 
ลองถ้ามีปาฏิหาริย์ มี “ใบอนุญาต” ให้นิรโทษกรรมขึ้นมาสิ ขี้คร้านจะกลับลำ 360 องศา จนคนดูงงไปตามๆกัน
ปัญหาที่ควรขบคิดพิจารณาต่อไป
 
ถ้าสัมพันธภาพทางอำนาจตามการเมืองความเป็นจริงนี้บอกเราว่า นิรโทษกรรมความผิดตามมาตรา 112 โดยพลการไม่ได้ ต้องมี “ใบอนุญาต” เสียก่อน บรรดาพรรคการเมืองและนักการเมืองได้พยายามหา “ใบอนุญาต” เพื่อนิรโทษกรรมคดี 112 นั้นแล้วหรือยัง?
 
แล้วเหตุใด การตรากฎหมายฉบับหนึ่งซึ่งเป็นอำนาจนิติบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎร กลับต้องมี “ใบอนุญาต” เสียก่อน
 
ตกลงแล้ว สภาของผู้ที่รวมตัวกันแล้วอ้างเป็นผู้แทนของราษฎร เป็น “ผู้แทน” ของ “ใคร” กันแน่?

นักการเมืองและพรรคการเมืองไทยในยุคนี้ ขี้ขลาดขี้กลัวกว่านักการเมืองและพรรคการเมืองไทยในอดีตมาก

https://www.facebook.com/PiyabutrOfficial/posts/1354116592741062
......

Pavin Chachavalpongpun
14 hours ago
·
ถ้าการนิรโทษกรรมไม่รวมคดี 112 มันจะไม่มีความหมายใดๆ ที่สำคัญ มันจะไม่แก้ไขปัญหาทางการเมืองที่แท้จริง ปัญหามีอยู่ 2 อย่าง อย่างแรก นักการเมืองไทยแม่งขี้ขลาด ไม่กล้าผลักดันเรื่องนี้เพราะกลัวเจ้าเล่นงาน อย่างที่ 2 คือ ต้องการนิรโทษกรรมแต่พวกตัวเอง สรุปว่าจบท้ายด้วยการนิรโทษกรรมอีพวกสลิ่ม กปปส ทั้งหมด อาจจะรวมพวก นปช บ้าง ส่วนเด็ก 3 กีบและนักกิจกรรมที่เรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์แม่งติดคุกต่อไป คนที่เรียกร้องความยุติธรรมให้สังคมกลับได้รับความอยุติธรรมเป็นรางวัลตอบแทน


#เพื่อไทยภูมิใจไทย #ไก่เห็นตีนงูงูเห็นนมไก่ เขากระโดง คือ เดิมพัน เล่นการเมืองกันเพียงแค่ใน"กรอบ"นี้ กรรมก็ตกลงกับประชาชนอย่างเราๆ นานแสนนาน


Sateon Juntimatorn
22 hours ago
·
#เพื่อไทยภูมิใจไทย
#ไก่เห็นตีนงูงูเห็นนมไก่
เขากระโดง
คือ เดิมพัน

มีความสลับซับซ้อนอย่างเป็นพิเศษในพื้นที่การต่อสู้ระหว่างพรรคเพื่อไทย กับพรรคภูมิใจไทย
เหมือนกับจะเป็น"แพทองธาร" กับ "อนุทิน"
แต่เงาทะมื่นข้างหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เงาทะมื่นข้างหลัง นาย อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นใคร
เป็น"ทักษิณ" เป็น"เนวิน"
จึงเห็นปฏิบัติการรุกของ นายภูมิธรรม เวชยชัย ในบทรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย เข้มข้น คึกคัก
ต่อตำแหน่ง"อธิบดีกรมการปกครอง" ต่อตำแหน่ง"ปลัดกระทรวง"
สร้างความได้เปรียบให้กับพรรคเพื่อไทย หดพื้นที่ของพรรคภูมิใจไทยในสนาม"เลือกตั้ง"
เท่านั้นไม่พอยังรุกไปยัง"กรมที่ดิน"

พลันที่มีคำถามไปยัง"กรมที่ดิน"นั่นหมายถึงการรุกเข้าไปยังสถานะและการ ดำรงอยู่ของ"เขากระโดง"
นี่ย่อมเป็นความได้เปรียบของ"เพื่อไทย"
ในเมื่อพรรคเพื่อไทยคือพรรคที่คุมทั้ง"มหาดไทย"และ"คมนาคม" นั่น

ย่อมเป็นจุดตายของ"เขากระโดง"
"เขากระโดง" คือ "กล่องดวงใจ"
การเข้าร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา การเข้าร่วมรัฐบาล นาย เศรษฐา ทวีสิน และรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
ก็เพื่อพิทักษ์"เขากระโดง"
ในยุค พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ในยุค นายอนุทิน ชาญวีรกูล สถานะของ"เขากระโดง"ยังไม่แปรเปลี่ยน
มาถึงยุค นายภูมิธรรม เวชยชัย ก็เริ่มสั่นคลอน

การต่อสู้ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยโดยมี"เขากระโดง"เป็น เดิมพันจึงมีความแหลมคม
เป็นความแหลมคมในมือ นายภูมิธรรม เวชยชัย
เป็นความแหลมคมที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย ได้รับการมอบหมาย มาจาก"ทักษิณ"และ"แพทองธาร"
"ภูมิใจไทย" จึงมาอยู่ใน"จุดตัด"อย่างมีนัยสำคัญ
คำถามก็คือ พรรคเพื่อไทยจะกระทำการในลักษณะ"เงื้อง่าราคาแพง"

หรือว่าจะเดินหน้าอย่างมั่นคง
สร้างจุดต่างจากยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
คำถามนี้ไม่เพียงถามต่อความรู้สึกของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หากแต่ยังต่อความรู้สึกของ นายเนวิน ชิดชอบ
และรวมถึง นายทักษิณ ชินวัตร
การเมืองไทยอยู่ในจุดเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญไม่เพียงแต่ระหว่างพรรคเพื่อ ไทยกับพรรคภูมิใจไทย

หากแต่ยังโยงถึง 2 รัฐประหารที่ผ่านมา
ทำไมรัฐประหาร 2449 "เขากระโดง"จึงไม่สะเทือน ทำไมรัฐประหาร

2557 "เขากระโดง"ก็ยังแข็งแกร่ง
เมื่อมาถึงเดือนกรกฎาคม 2568 จุดเปลี่ยนจะเกิดขึ้นได้ละหรือ

https://www.facebook.com/sateon.juntimatorn/posts/2159236261188765

อ่านต่อ

อาถรรพ์ “เขากระโดง” 2 พรรคใหญ่ พท.-ภท.เปิดศึก
https://www.thaipbs.or.th/news/content/346225


https://www.facebook.com/sateon.juntimatorn/posts/2159236261188765



ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เปิดใจเส้นทางการเมืองใน 5 ปี ข้างหน้า บนทางการปักธงการเมืองแห่งความหวัง "ภูเขาของเรา คือปลี่ยนแปลงประเทศ"


"ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" เปิดใจกับเส้นทางการเมืองใน 5 ปี ข้างหน้า | Thairath Front Page EP.4

Thairath News

Jul 9, 2025 

ปรากฏการณ์ธนาธร จากนักธุรกิจสู่ผู้นำทางความคิด กับความฝันที่ไม่ใช่แค่ "นายก" รายการ Thairath Front Page โดยไทยรัฐออนไลน์ ได้โอกาสพูดคุยกับผู้นำทางความของของคนรุ่นใหม่ในสังคมไทย ถึงเรื่องราวจุดเริ่มต้นในการสร้างและทำพรรคการเมือง “อนาคตใหม่”

มุมมองต่อสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันในแบบที่ไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน และอนาคตของเขาหลังโซ่ตรวนทางการเมืองตลอด 10 ปี หมดลง มาร่วมถอดบทเรียนจากเส้นทางที่ผ่านมา และมองไปข้างหน้ากับวิสัยทัศน์ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

ดำเนินรายการโดย ประณต วิเลปสุวรรณ

หมายเหตุ: บันทึกเทปเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2568 (ก่อนศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่)

00:00 ไฮไลท์รายการ
01:02 บทเปิดรายการ
02:19 อนาคตใหม่ - ก้าวไกล - ประชาชน
07:46 วิกฤติข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ชนวนเหตุรัฐประหาร?
15:21 คำแนะนำถึงนายกฯ แพทองธาร และพรรคเพื่อไทย
21:46 ประเทศไทยบนเส้นทาง ‘Why Nations Fail’
25:27 อนาคตหลังพ้นการตัดสิทธิทางการเมือง
32:23 สรุปทิ้งท้ายรายการ


https://www.thairath.co.th/scoop/interview/2869897
https://www.youtube.com/watch?v=EjHlAr2MZUg
.....


Pannika Chor Wanich
17 hours ago
·
2 วันมานี้ ฟังคลิป 2 คลิปกลับไปกลับมาหลายรอบ เพื่อเพิ่มพูนสติปัญญาและความเข้าใจในทางการเมือง
.
คลิปแรก คือคลิปรายการผ่าทางตันประเทศไทย ที่ 3 บก. สัมภาษณ์คุณทักษิณ ชินวัตร หลากหลายเรื่องราวตั้งแต่กัมพูชา การเมือง การตั้งรัฐบาลในอนาคต และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
.
คลิปที่ 2 คือคลิปรายการ Thairath Front Page ของไทยรัฐ ที่ป๋าต๋อย ประณต วิเลปสุวรรณ ผอ. ไทยรัฐทีวี สัมภาษณ์ธนาธร
.
สิ่งหนึ่งที่ชัดเจน คือการมองการเมือง ตัวเอง และประเทศ แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
.
คุณทักษิณมองว่าตัวเองเป็นหลักพยุงพรรคและหลักประกันความอยู่รอดของประเทศ ย้ำหลายครั้งว่า "ผมยังอยู่ ไม่ต้องกลัว" "นายกอิ๊งจะทำได้ เพราะมีพ่อช่วย"
.
คุณธนาธรไม่ลังเลที่จะตอบว่าเขาจะกลับมารับตำแหน่งทางการเมือง หากจำเป็น แต่ก็ย้ำว่าสิ่งที่ภูมิใจคือการเห็นพรรคเติบโตขึ้นทุกวัน หัวหน้าพรรคแต่ละคนมีแนวทางเป็นของตัวเอง
.
คุณทักษิณมองว่าการเมืองไทยปัจจุบันวนอยู่กับการจำกัดอำนาจตนเอง บีบให้ต้องร่วมรัฐบาลกับพรรคอื่น ทำให้มีข้อจำกัดเยอะในการสร้างผลงาน ต้องดีลกับพรรคภูมิใจไทยที่ขวางทุกเรื่อง แต่หากตัวเองได้มีอำนาจเต็ม ทุกปัญหาจะแก้ได้ เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นแน่เพราะตนรู้วิธีไปดีลเอาเงินจากต่างประเทศเข้ามาลงทุน พัฒนาประเทศไทย
.
คุณธนาธรมองว่าการเมืองไทยตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา วนอยู่กับการแก่งแย่งอำนาจและการสกัดกั้นนักการเมืองจากการเลือกตั้งของชนชนชั้นนำ ทำให้เสียเวลาและทรัพยากรประเทศไปกับเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์กับประชาชน ทิ้งปัญหาหมักหมมเรื้อรังจนประเทศถอยหลัง ขาดศักยภาพในการแข่งขัน เศรษฐกิจมีลักษณะ extractive มากกว่า inclusive ซึ่งบีบให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ไม่เปิดโอกาสให้คนธรรมดาๆ ได้เติบโตอย่างเท่าเทียมกัน
.
คุณทักษิณเชื่อว่าประเทศที่ดีคือประเทศที่มีคุณทักษิณเป็นนายก เขายืนยันว่าอย่ากลัวเขาเลย เขาทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติ
.
คุณธนาธรเชื่อว่าประเทศที่ดีคือประเทศที่จัดการโครงสร้างการเมืองและเศรษฐกิจให้เป็นธรรม องค์กรสถาบันต่างๆไม่ใช้อำนาจเพื่อชนชั้นนำ แต่เพื่อประชาชน ส่วนตัวเขาอยากจะกลับไปปีนเขา
.
อย่าเพิ่งเชื่อที่ดิฉันสรุป ลองไปฟังกันดู รับรองว่าคุ้มค่าเน็ตจริงๆ
.
แปะลิงค์ไว้ให้ในเมนต์


https://www.youtube.com/watch?v=EjHlAr2MZUg&t=1748s
https://www.youtube.com/watch?v=HFeTHnbK3Yw&t=1354s



“น่านเจ้า-อัลไต” ประวัติศาสตร์สร้างชาติไทยเวอร์ชั่น “เกลียดจีน”



“น่านเจ้า-อัลไต” ประวัติศาสตร์สร้างชาติไทยเวอร์ชั่น “เกลียดจีน”

ศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ.2568
ศิลปวัฒนธรรม

สุจิตต์ชี้! เรารับวัฒนธรรมและเทคโนโลยีจีนมามากมาย แต่ไม่ค่อยให้ “เครดิต” จีน เน้นยกย่องอินเดีย แม้ประเทศจีนจะมีคนไท (ไม่มี ย. ยักษ์) แต่ไม่ใช่คนไทยเหมือนในประเทศไทยทุกวันนี้ “คนไทย” จึงไม่ได้มาจากจีน แต่เป็นคน “สยาม” สมัยอยุธยา ซึ่งเป็นคนกลุ่มแรกที่เรียกตัวเองว่า “ไทย” ส่วนจีนเพียงแต่แผ่อำนาจเข้ามา “จัดการ” เพื่อผลประโยชน์ของจีนเอง

วันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เวลา 13.30-15.00 น. ที่ Zone Classroom 1 อาคาร West ชั้น 2 True Digital Park มีกิจกรรม Talk “ไทย ‘ไม่มา’ จากจีน แต่จีน– ‘มา’ จัดการไทย” โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ และผู้ก่อตั้งนิตยสารศิลปวัฒนธรรม มาเล่าประสบการณ์การเดินทางไปจีนเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวการแลกเปลี่ยนที่หล่อหลอมความสัมพันธ์สองชาติ

กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “Thai-Chinese Golden Fest 2025 เทศกาลร้อยเรื่องราวไทย-จีน” เทศกาลสุดยิ่งใหญ่ที่พาทุกคนร่วมเดินทางผ่านร้อยเรื่องราวของสองชาติตั้งแต่อดีตสู่ปัจจุบัน พร้อมมองอนาคตผ่านสายตาของมิตรประเทศที่เติบโตเคียงข้างกันมาโดยตลอด เพื่อเฉลิมฉลองวาระสุดพิเศษครบรอบ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน โดยสำนักพิมพ์มติชน ศิลปวัฒนธรรม ศูนย์ข้อมูลมติชน (MIC) และเส้นทางเศรษฐี ในเครือมติชน

ประวัติศาสตร์ “กระแสหลัก” กล่อมเกลาให้เราเกลียดจีน

สุจิตต์ เล่าว่า ประวัติศาสตร์ “กระแสหลัก” ในอดีตที่เรื่องถิ่นกำเนิดคนไทยจากอัลไต-น่านเจ้า-ถูกจีนรุกรานจนต้องมาตั้งอาณาจักรสุโขทัย เป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์รองรับ มีการคัดค้านเรื่องนี้มาตลอดด้วยหลักฐาน แต่ทางการไม่ฟัง

“ถ้าคนไทยมาจากภูเขาอัลไต-น่านเจ้าจริง กุบไลข่านตีน่านเจ้า พ.ศ. 1797 พ.ศ. 1800 ตั้งอาณาจักรสุโขทัย สร้างทันได้ยังไง จารึกพ่อขุนรามคำแหงฯ ห่างจากน่านเจ้าแตก 38 ปี ความทรงจำ ‘พ่อขุนราม’ ไม่มีเรื่องของอาณาจักรน่านเจ้าเลย เป็นไปได้ยังไง ?”

นั่นเพราะประวัติศาสตร์ไทยรับใช้การเมือง ทั้งการเมืองภายในประเทศและการเมืองโลก ประวัติศาสตร์ชาตินิยมไทย-ต่อต้านจีนคอมมิวนิสต์ ถูกสร้างขึ้นท่ามกลางสงครามเย็นที่เรา (ไทย) อยู่ข้างโลกเสรี ซึ่งมีสหรัฐฯ เป็นผู้นำ ส่วนจีนอยู่ฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์

แต่ความเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้นเมื่อสหรัฐฯ คืนดีกับจีน ประวัติศาสตร์ไทยก็เริ่มเปลี่ยนด้วย หลัง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ไปเยือนกรุงปักกิ่ง ปรากฏว่า 3 ปีต่อมา “อัลไต” ถูกถอดออกจากประวัติศาสตร์ไทย 9 ปีต่อมา “น่านเจ้า” ก็ถูกถอดออกตามไปด้วย หายไปแบบเงียบ ๆ เป็นหลักฐานว่าประวัติศาสตร์ไทยสนองการเมือง ไม่มีงานวิจัยหรือการศึกษาอย่างถูกหลักวิชาการรองรับ

ในปัจจุบัน ประวัติศาสตร์ไทยฉบับหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2557 ยังระบุอยู่ว่า คนไทยมาจากตอนใต้ของจีน คือ “ลดเพดาน” จากอัลไต-น่านเจ้าลงมา แต่ยังต้องมาจากจีนอยู่ดี ผู้ก่อตั้งนิตยสารศิลปวัฒนธรรมตั้งข้อสังเกตว่า ผู้มีอำนาจในการกำหนดเนื้อหาแบบเรียนดูจะไม่สนับสนุนให้ศึกษาเรื่องจีน เน้นไปทางอินเดียเป็นหลัก ทั้งที่เรามีสัมพันธ์กับจีนมาอย่างยาวนาน



จีนเข้ามา “จัดการ” ไทย ด้วยเหตุผลด้านอำนาจ-การค้า

สุจิตต์ อธิบายถึงต้นกำเนิดความเป็นคนไทยจาก “ชาวสยาม” ที่เมืองอโยธยา บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วแผ่ความเป็นไทยขึ้นไปยังสุโขทัย โดยชาวสยามเป็นลูกผสม ร้อยพ่อ-พันแม่ หลากหลายชาติพันธุ์ แบ่งอย่างไม่เป็นทางการได้เป็น “สยามบก” คือ พวกดินแดนตอนใน ตั้งแต่สุพรรณบุรีถึงลุ่มแม่น้ำมูล “สยามทะเล” ตั้งแต่เพชรบุรีลงไปถึงนครศรีธรรมราช ทั้งหมดพูดภาษาไต-ไท เหมือนกัน และสยามทั้ง 2 พวกเป็นกำลังสำคัญในการสถาปนาอโยธยาและกรุงศรีอยุธยา

บทบาทสำคัญของชาวสยามคือการควบคุมเส้นทางการค้าทางบกและข้ามคาบสมุทรมลายู ด้านจีนที่กำลังขยายเส้นทางการค้าทางทะเลมาถึงบริเวณอ่าวไทย เพื่อทดแทนการค้าทางบกบนเส้นทางสายไหม พบปัญหาว่าช่องแคบมะละกาเต็มไปด้วยโจรสลัด จึงอยากใช้เส้นทางบกข้ามคาบสมุทรที่สยามคุมอยู่ ซึ่งจีนคุ้นเคยกับพวกสยามแห่งลุ่มแม่น้ำท่าจีน-แม่กลอง หรือทีเรียกว่า “เสียน” อันมีศูนย์กลางที่เมืองสุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) อยู่แล้ว

จีนจึงหนุนสยามเมืองสุพรรณฯ ให้ “เจ้านครอินทร์” โอรสขุนหลวงพระงั่วแห่งสุพรรณบุรี ไปเมืองจีนถึง 2 ครั้ง และส่งเสริมให้เข้ายึดอำนาจอยุธยาจากราชวงศ์ “ละโว้” ซึ่งปกครองอยุธยาอยู่ในตอนนั้น โดยเจิ้งเหอส่งทัพเรือเข้ามาสนับสนุน พอราชวงศ์ “สุพรรณภูมิ” ปกครองอยุธยาได้อย่างมั่นคง ก็ “จิ้มก้อง” ให้จีนอย่างสม่ำเสมอนับแต่นั้น

“จีนต้องการเมืองขึ้น เราไม่ได้ว่าอะไร แต่ไม่พูดกันตรง ๆ ว่า ‘จิ้มก้อง’ ไม่ต่างจากการเป็นเมืองขึ้น เพราะเสียหน้า… ตั้งแต่อดีตเรารับวิทยาการจากจีนเยอะมาก ความเป็นไทยที่เราอวดกันนักหนา จริง ๆ เรารับจากเขามา มาตราชั่ง ตวง วัด รับมาจากจีน อาหารไทยที่ใช้กระทะเหล็กก็เทคโนโลยีจากจีน” สุจิตต์กล่าว

นอกจากนี้ นักเขียนและนักหนังสือพิมพ์คนดังยังฝากความเห็นด้วยว่า ประวัติศาสตร์ชาติทำให้เราหลงผิด คิดว่าตัวเองใหญ่โต ทั้งที่ความเป็นไทยคือความอยู่รอด หลักฐานทางโบราณคดีชี้ว่าเราติดต่อกับอินเดีย ค้าขายกับอินเดียจนเกิดเป็นรัฐมั่งคั่งขึ้นในดินแดนไทย แต่ก่อนหน้านั้น เรารับเทคโนโลยีถลุงโลหะ ทั้งทองแดง ดีบุก และเหล็ก มาจากจีน



https://www.silpa-mag.com/history/article_155550



โรม ดักคอพท. เข้าโหมดเอาตัวรอด ไม่รับนิรโทษฉบับปชน.-ปชช. แล้วอย่าทำตัวเป็นเหยื่อ โยนพรรคร่วม “อย่าไปอ้างพรรคร่วมรัฐบาลว่าเขาไม่เห็นด้วยหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่นี่เป็นการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยที่จะเดินหน้าเช่นนั้น อย่าทำตัวเป็นเหยื่อก็แล้วกัน”



โรม ดักคอพท. เข้าโหมดเอาตัวรอด ไม่รับนิรโทษฉบับปชน.-ปชช. ก็อย่ารับเหยื่อ โยนพรรคร่วม

11 กรกฎาคม 2568
มติชนออนไลน์

โรม ยัน ยุบสภาฯ​ คือทางออกของประเทศที่ดีที่สุด เย้ย ความน่ากลัวที่สุดไม่ใช่สีส้ม แต่คือสีแดงที่ล้มเหลวในทุกด้าน ย้อนถาม ‘เพื่อไทย’ ยังมีกระจิตกระใจอยากผ่านร่างกฎหมายหรือไม่ หรืออยู่ในโหมดซูไววัล ดักคอ อย่าทำตัวเป็นเหยื่อ โยนพรรคร่วมรัฐบาลขี่คอไม่รับนิรโทษ ‘ปชน.-ภาคประชาชน’

เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวบนเวทีผ่าทางตันประเทศไทยของเครือเนชั่นว่าการเมืองไทยยังไม่ถึงทางตัน เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา ว่า ตนเห็นด้วยกับที่นายทักษิณบอกว่ายังไม่ถึงทางตัน แต่ทุกฝ่ายต้องไม่พยายามที่จะสร้างสถานการณ์ให้นำไปสู่สิ่งที่เรียกว่าทางตัน ซึ่งเชื่อว่าการเมืองไม่มีทางตัน มีทางออกเสมอ เพียงแค่มีบางฝ่ายที่พยายามสร้างทางตันเช่นนั้น

แต่ปัญหาคือ เมื่อนายทักษิณทราบว่า อาจจะมีบางฝ่ายที่พยายามจะสร้างสถานการณ์เช่นนั้น คำถามคือนายทักษิณจะทำอย่างไร จะปล่อยให้บ้านเมืองถูกบริหารในสภาวะที่รัฐบาลขาดความชอบธรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ ที่ตนพูดเช่นนี้ตนทราบดีว่า นายทักษิณไม่ได้มีตำแหน่งอะไรในรัฐบาล แต่เราก็ต่างทราบว่านายทักษิณมีอิทธิพลมากแค่ไหน

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า การที่รัฐบาลเพื่อไทยพยายามที่จะเดินหน้าต่อแทนที่จะใช้อำนาจที่มีวันนี้ในการยุบสภา คืนความชอบธรรมทุกอย่างให้แก่ประชาชน เซ็ทซีโร่กันใหม่โดยการเลือกตั้ง ซึ่งจะเป็นทางออกของทุกเรื่องที่เราเจอในวันนี้ ตนคิดว่าบ้านเมืองจะเดินได้ดีกว่านี้และไม่มีปัญหาหรือความน่ากังวลใดๆ ที่จะเกิดขึ้น

ฉะนั้น ตนยังคิดว่าการยุบสภาคือทางออกที่ดีที่สุด ส่วนที่มีการบอกว่าจะมีการลาออกแล้วจะเลือกใครเป็นนายกฯ นั้น พูดตรงๆ ว่าหากไปถึงจุดนั้น จะไม่มีข้อวิพากษ์วิจารณ์อะไรเลย เพราะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากท้ายที่สุดจะมีการตั้งคำถามในเรื่องความชอบธรรมทางใดทางหนึ่ง ยืนยันว่าตนคิดว่าการยุบสภาคือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศในวันนี้

เมื่อถามว่า นายทักษิณระบุด้วยว่า หากแดงกับส้มรวมกันจะเกิดเป็นสีแสด ซึ่งแรงเกินไป มองอย่างไร นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เป็นสิทธิของนายทักษิณที่จะวิพากษ์วิจารณ์ แต่การพูดเช่นนี้คือความพยายามที่จะทำให้พรรคปชน.ดูน่ากลัว และตนคิดว่าความน่ากลัวที่สุดไม่ใช่สีส้ม แต่ความน่ากลัวที่สุดคือการบริหารประเทศ โดยคิดเพียงว่าผลประโยชน์ต้องอยู่กับครอบครัวของตนเอง การพาคนในครอบครัวกลับมาโดยไม่คิดว่าจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอะไรเลย อีกทั้งยังทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย การบริหารประเทศโดยมีนายกฯ หลายคน

“นี่คือความน่ากลัวที่พาประเทศไทยสู่ความล้มเหลว ยังไม่นับว่าสถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยในวันนี้ที่น่ากลัวยิ่งกว่าพรรคส้มแน่นอน คือการที่ไม่สามารถตอบสนองต่อนโยบายที่เคยให้ไว้กับประชาชนได้ และจริงๆ ไม่มีสีไหนน่ากลัวเลย สีแดงตอนนี้น่ากลัวยิ่งกว่า เพราะล้มเหลวในทุกด้าน” นายรังสิมันต์ กล่าว

เมื่อถามว่า ในอนาคตจะสามารถจับมือกับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนคิดว่าการจะคุยกันว่าจะจับมือกับใครนั้น อาจจะไม่ใช่บทสนทนาที่เราจะคุยกันได้ในวันนี้ เพราะถึงที่สุดจุดยืนของพรรค ปชน.คือการเอานโยบายเป็นตัวตั้ง และเราก็ไม่รู้ว่าผลการเลือกตั้งที่ออกมาจะเป็นอย่างไร

แน่นอนว่าดีที่สุดสำหรับพวกเราคือ เราต้องไปให้ได้เกินกึ่งหนึ่งเพื่อที่จะมุ่งการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว แต่หากไม่ถึงจุดนั้นจริงๆ เราก็คงต้องดูว่าในเชิงนโยบายจะมีข้อตกลงหรืออะไรที่จะร่วมกันได้ ไม่ว่าจะพรรคการเมืองใดก็แล้วแต่ ซึ่งในส่วนนี้ต้องไปดูกันอีกครั้งหลังจากที่มีผลการเลือกตั้งออกมา

เมื่อถามว่า ขณะนี้เสียงของรัฐบาลปริ่มน้ำ จะบีบให้รัฐบาลต้องมีความประนีประนอมมาขึ้น โดยหันมาร่วมมือกับพรรค ปชน. ในการโหวตกฎหมายต่างๆ หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เรื่องหน้างานที่ต้องโหวตกฎหมายเราต้องพยายามทำอย่างเต็มที่ เพราะถือว่าเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติ แต่หลักการเราไม่เคยเปลี่ยนคือการพยายามทำให้รัฐบาลเข้าใจว่าการยุบสภาคือทางออกที่ดีที่สุด

ส่วนหากไม่ยุบก็บังคับเรา ซึ่งเราไม่สามารถไปทำแทนเขาได้ ในเมื่อเราพยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว แต่เขาไม่ดำเนินการก็ลำบากที่จะทำให้เขายอมในสิ่งที่เราต้องการได้ แน่นอนว่าหากเขาไม่ดำเนินการ ความชอบธรรมของเขาก็ลดลงเรื่อยๆ และสุดท้ายเราก็ยอมรับว่ากลไกเรื่องนิติสงครามก็รออยู่ ถึงที่สุดก็ต้องยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยไปต่อเช่นนี้ไม่ได้แล้ว

เมื่อถามว่า พรรคปชน.พร้อมจะให้ความร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยหรือพรรคร่วมรัฐบาลในการโหวตกฎหมายสำคัญๆหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า คงต้องไปดูว่าเป็นกฎหมายเรื่องอะไร ซึ่งตอนนี้คนที่จะใช้คำว่าเราให้ความร่วมมือคงไม่ใช่พรรค ปชน.

แต่ตนคิดว่าพรรคเพื่อไทยจะให้ความร่วมมือหรือไม่ เพราะกฎหมายหลายอย่างที่เราอยากเห็นประเทศเดินหน้า เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการนิรโทษกรรม พรรคเพื่อไทยจะให้ความร่วมมือหรือไม่ เนื่องจากเขาไม่ได้เสนออะไร และอาจจะต้องไปถามทางพรรคเพื่อไทยว่า ยังมีกระจิตกระใจในการดำเนินการที่จะผ่านกฎหมายใดๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติหรือไม่ หรือวันนี้เป็นแค่โหมดการเอาตัวรอด โหมดซูไววัล (Survival)

เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่ขณะนี้ พรรคร่วมรัฐบาลต่างยืนยันชัดเจนว่า จะไม่เห็นชอบร่างกฎหมายเกี่ยวกับการนิรโทษกรรม ที่มีการรวมความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วย นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เรื่องพรรคร่วมรัฐบาลก็เป็นเรื่องของพรรคร่วมรัฐบาล แต่พรรคเพื่อไทยต้องตอบให้ชัดว่าการที่พรรคเพื่อไทยไม่โหวตร่างกฎหมาย

เกี่ยวกับการนิรโทษกรรมของพรรค ปชน. และภาคประชาชนนั้น อย่าไปอ้างพรรคร่วมรัฐบาล เพราะท้ายที่สุดเมื่อคุณตัดสินใจอย่างไร คุณก็ต้องรับผลการกระทำ

“อย่าไปอ้างพรรคร่วมรัฐบาลว่าเขาไม่เห็นด้วยหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่นี่เป็นการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยที่จะเดินหน้าเช่นนั้น อย่าทำตัวเป็นเหยื่อก็แล้วกัน” นายรังสิมันต์ กล่าว

ถามย้ำว่า มองว่าพรรคเพื่อไทยสามารถมีมติต่างจากพรรคร่วมรัฐบาลได้ใช่หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า “ใช่ ไม่ได้หมายความว่าให้พรรคร่วมมาขี่คอ หากจะบอกว่าพรรคร่วมมีมติเช่นนี้ เสียงส่วนใหญ่เช่นนี้ แสดงว่าพรรคเพื่อไทยยอมให้พรรคร่วมขี่คอ และต้องบอกว่าพรรคเพื่อไทยยอมเช่นนั้น เป็นการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยเอง”

https://www.matichon.co.th/politics/news_5270489




วันศุกร์, กรกฎาคม 11, 2568

บางคนว่าดีลยังไม่หมด ทักษิณก็เลยต้องออกมาโหมเองเป็นการใหญ่ ขึ้นบ้านพิษณุโลกประชุม ‘ทีมไทยแลนด์’ แก้ปัญหาภาษีทรั้มพ์ ๓๖%

บางคนว่าดีลยังไม่หมด แต่ อิ๊ง มาโดนพักงานเสียนี่ (ก็ตีไพ่โง่ไม่บอกพ่อนั่นละ) ทักษิณ ก็เลยต้องออกมาโหมเองเป็นการใหญ่ เพราะอะไร ๆ มันงวดเข้ามาเต็มทีแล้ว ขึ้นบ้านพิษณุโลกเองเลย “ถกปัญหาภาษีทรั้มพ์” เดี๋ยวปลายเดือนจัดการพรรค

ทักษิณ ชินวัตร “นัดดินเนอร์ กระชับอำนาจ - ตรวจแถวการเมือง พรรคร่วมฯ ๒๒ ก.ค.นี้” ข่าวพาดหัวไม้ของ เนชั้นเปิดประเด็นว่า ต่อเนื่องการเมืองทางรุกที่ไปพูดอวดวิสัยทัศน์ไว้บนเวที ๕๕ ปีเนชั่น แก้ไขความเสี่ยงของเสียงปริ่มน้ำ

ก็คือการนัดแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมด ดินเนอร์ กันหน่อย เพื่อไทยจ่ายเอง นี่ไม่ใช่บทพ่อนายกฯ แล้วนะ เป็นบทเอานายกฯ ตัวจริงจากใต้ดินขึ้นมาบนดิน เหมือน หวย ไง ทักษิณจึงยืดอกเดินทางไปร่วมประชุม ทีมไทยแลนด์ที่บ้านพิษณุโลก

มันเป็นความรับผิดชอบของทักษิณเองอยู่แล้ว ตั้งใจจะเดินทางไปเจรจาด้วยตนเองแต่แรกนั่นละ แต่ว่าศาลไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศ ในฐานะผู้ต้องหาคดี ๑๑๒ ยังจะมีหน้ามาบ่นหลังจากโดนทรั้มพ์ตบด้วย ‘Tariffs’ ๓๖% ว่าเนี่ย “เพราะไม่ให้ผมไป”

ที่จริงไม่น่าจะอย่างนั้น แค่ราคาคุย เรื่องมันมีอยู่ว่ารัฐบาลมะงุมมะงาหราอยู่พักใหญ่ จนใกล้เส้นตายถึงได้ลงมือจัดการกับปัญหา ตามหลักควรจะให้อุ๊งอิ๊งไปเอง กับ รมว.พาณิชย์ ขุนคลัง พิชัย ชุณหวชิร อาจไปด้วยก็ได้ ในตำแหน่งรองนายกฯ

ขณะเขียนนี้ยังไม่มีการแถลงว่า ทีม คุยกันได้เรื่องอย่างไร มีกลยุทธอย่างไร เว้นแต่ที่ว่าจะยอมไม่เก็บภาษีขาเข้าจากอเมริกา ๐% เหมือนเวียดนาม ของเรามี ๑ พันรายการ ดังที่นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ผู้หนึ่งตั้งข้อสงสัยว่าเป็นรายการหลักหรือย่อย

รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ออกรายการ NEXT TALK ของช่องโมโน วิจารณ์ว่าถึงแม้จะหวังตั้งใจให้อเมริกาเพลามือ อย่างน้อยๆ ลดจาก ๓๖ เหลือ ๒๐ เท่าเวียดนาม ก็เห็นท่าจะยากอยู่ ฟันธงว่าอย่างดีอยู่ที่ ๒๕% เพราะอะไร ฟังเขาว่าน่าคิด

สหรัฐขัดข้องกับไทยมาหลายเรื่อง นอกจากประเด็นส่งผู้ลี้ภัยอุยกูร์ให้จีน มาถึงกองทัพภาค ๔ แจ้งความดำเนินคดี ๑๑๒ ต่อ อจ.พอล แชมเบอร์ แล้วยังมีกรณีไทยซื้อ ชิป (คอนดัคเตอร์) ชนิดไวที่สุดในโลกสองตัว เพื่อเอามาส่งต่อให้จีน

ก็ไอ้ชิปสองตัวนี้ อเมริกาประกาศห้ามขายให้จีนเด็ดขาด แต่มณฑลไท้กั๋วดันฝ่าฝืน เมื่อเมืองแม่เรียกร้องมา ว่าไปแล้วไอ้ทาริฟ ๓๖% นั้นเขาบอกว่า “ให้ยูเท่าเดิมนะ” ที่ไม่ดพูดคงประมาณว่า “ไม่เพิ่มก็ดีเท่าไหร่แล้วหละ”

(https://www.youtube.com/watch?v=t7JN82leF0A, https://www.facebook.com/TheReportersTH/posts/aup4LYRpnh และ https://www.nationtv.tv/politic/378963848=CwEeBA)