วันศุกร์, กันยายน 07, 2561

‘อียู’ เข้าพบ นคร มาฉิม ที่พิษณุโลก อ่านจดหมายรายงานสถานการณ์ประเทศไทยต่อ "อียู"





จดหมายจาก นคร มาฉิม ต่อ สหภาพยุโรป EU เมื่อดร.โคลิน สไตน์บัค ที่ปรึกษาเอกหัวหน้าฝ่ายการเมืองและข้อมูลข่าวสาร และคัคนางค์ ไกท์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมือง สำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ขอเข้าพบที่จังหวัดพิษณุโลกวันนี้ เพื่อขอทราบสถานการณ์ในประเทศไทย

ที่ พิเศษ 909/2561
ณ อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก

6 กันยายน 2561

เรื่อง ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทย เสนอต่อสหภาพยุโรป EU

เรียน Dr. Colin Stcinbach

ข้าพเจ้านายนคร มาฉิม อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก และอดีตประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง สภาผู้แทนราษฎร รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ท่านและคณะ ซึ่งเป็นผู้แทนจากสหภาพยุโรป อันประกอบด้วยประเทศสมาชิก 28 ประเทศ ได้เดินทางมาเยี่ยมเยือนข้าพเจ้าและประชาชนชาวพิษณุโลกและคนไทยทั้งประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นทั้งด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และการเมือง รวมทั้งแสวงหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและทางออกในระดับภูมิภาคและระดับสากลร่วมกัน

หลังจากที่คณะรัฐประหาร ที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ พลเอกอนุพงศ์ เผ่าจินดา และบรรดาแม่ทัพทั้งสี่เหล่าทัพคือ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และตำรวจ รวมถึงข้าราชการระดับสูงหลายคน องค์กรอิสระหลายองค์กร เจ้าหน้าที่ด้านยุติธรรมบางส่วน และนักการเมืองบางกลุ่ม ได้สบคบคิดวางแผนสร้างสถานการณ์ แล้วอ้างเป็นเหตุในการยึดอำนาจของประชาชนไปได้สำเร็จเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 พวกเขาที่อ้างว่าจะมาสร้างความสงบสุข สร้างความสุข และสร้างความสามัคคีปรองดองให้แก่คนไทยนั้น เมื่อพวกเขายึดอำนาจได้สำเร็จ พวกเขากลับมีแต่สร้างความเดือดร้อนและความทุกข์ยากลำบาก ใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามที่มีความเห็นต่างทางการเมืองอย่างไม่ยุติธรรม ใช้อำนาจหน้าที่อย่างไม่สุจริต ใช้ความรุนแรงปฏิบัติต่อฝ่ายผู้แสวงหาประชาธิปไตย เพื่อไม่ให้ประชาชนกล้าลุกยืนขึ้นเพื่อทวงสิทธิ เสรีภาพ หรือเรียกร้องประชาธิปไตยได้เลย และเพื่อให้คณะของตนปกครองประเทศแบบรัฐทหารและรัฐราชการ โดยให้ประชาชนหวาดกลัวไม่กล้าทวงถามและเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ

นอกจากนี้ พวกเขาได้ร่วมกันตรากฎหมายรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้คุ้มครองสิทธิของประชาชน ไม่เป็นสากล และจำกัดการพัฒนาการของประชาชนทั้งด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านการเมืองโดยประชาชนมิได้มีส่วนร่วมเลย และพวกเขาก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการสืบทอดอำนาจต่อไปอีกยาวนาน เช่น การแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา 250 คน โดยประชาชนคนไทยทั้งประเทศไม่มีสิทธิ์เลือกแม้แต่คนเดียว และสมาชิกวุฒิสภาที่แต่งตั้งเหล่านั้นก็มีสิทธิ์เลือกนายกรัฐมนตรีได้ด้วย และพวกเขาได้วางเป้าหมายสืบทอดอำนาจต่อไปอีกไม่น้อยกว่า 20 ปี ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติที่เขียนกันเองแล้วยัดเยียดให้คนไทยเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจ ทำลายประชาธิปไตย และทำลายอำนาจของประชาชนตลอดไป

ข้าพเจ้าจะขอยกตัวอย่างความจริงที่ประชาชนโดยเฉพาะฝ่ายประชาธิปไตยได้ถูกกระทำมาอย่างต่อเนื่องหลายปี ดังนี้

1. ด้านสิทธิมนุษชน

รายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนนานาชาติหลายแห่ง เช่น Human Rights Watch, Amnesty International, Thai Alliance for Human Rights เป็นต้น ต่างระบุตรงกันว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ประกันไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนโดยรัฐบาลที่ปล้นอำนาจจากปวงชนนั้น รุนแรง กว้างขวาง และเป็นระบบแทบทุกด้าน โดยพวกเขาใช้ให้ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง กระบวนการยุติธรรม ศาลพิเศษ และศาลทหารร่วมกันดำเนินคดีกับนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย และประชาชนที่ต่อต้านการรัฐประหารและแสวงหาประชาธิปไตย เช่น การดำเนินคดีกับเยาวชนและประชาชนคนอยากเลือกตั้ง การดำเนินคดีกับไผ่ ดาวดิน นักศึกษาที่ได้แสดงความคิดเห็นทางการเมือง การดำเนินคดีกับอดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่อยู่ฝ่ายประชาธิปไตยอย่างรวบรัดและเลือกปฏิบัติ ส่วนนักการเมืองและพรรคการเมืองฝ่ายตนจะได้รับการยกเว้นและหาช่องทางช่วยเหลือไม่ได้รับผิดทั้งที่การกระทำเป็นลักษณะเดียวกัน ความอยุติธรรมจึงสร้างความเดือนร้อนความทุกข์ยากและความคับแค้นใจต่อฝ่ายประชาธิปไตยไปทุกหย่อมหญ้า ส่วนเสรีภาพทางการเมือง เสรีภาพทางวิชาการ และเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสาร ได้ถูกปิดกั้นอย่างรุนแรงด้วยการทุ่มงบประมาณมหาศาลในการติดตาม สอดส่อง และปิดกั้นการเข้าถึงซึ่งความคิดอันเป็นปฏิปักษ์ต่อความเป็นทรราชย์ของตนเอง และผู้ละเมิดก็จะต้องโทษอย่างรุนแรงด้วยกฎหมายที่ไม่มีความเป็นธรรม และได้นำกฎหมายหมิ่นพระบรมราชานุภาพและกฎหมายควบคุมการเข้าถึงข่าวสารทางอินเตอร์เน็ตที่ตีความได้ครอบจักรวาลมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างดีในการกำจัดศัตรูทางการเมือง ในขณะเดียวกัน คดีความที่เป็นความผิดทางอาญาอย่างชัดเจน เช่น การรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง การฉีกรัฐธรรมนูญ การใช้อำนาจโดยมิชอบ การคอรัปชั่นอย่างโจ่งแจ้ง และแม้แต่การสังหารหมู่ประชาชนมือเปล่าโดยใช้อาวุธสงครามเช่นที่เกิดขึ้นในปี 2553 ที่มีผู้เสียชีวิตนับร้อยราย บาดเจ็บเกินสองพันราย และพิการนับครึ่งร้อย กลับไม่ต้องได้รับโทษทัณฑ์ใด ๆ เพราะมีอิทธิพลพิเศษคอยปัดเป่าให้ไม่ต้องได้รับโทษหรือแม้แต่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

2. ด้านการเมืองการปกครอง

เป็นที่ชัดเจนว่า การรัฐประหารเมื่อปี 2557 คือการทำให้การรัฐประหารเมื่อปี 2549 สัมฤทธิ์ผลยิ่งขึ้น นั่นคือ การทำลายรากฐานของฝั่งประชาธิปไตยให้มากที่สุด และสร้างฐานของระบอบเผด็จการให้เข้มแข็งและครบวงจรมากขึ้น ปิดจุดอ่อนและจุดที่ไม่สมบูรณ์ทุกจุด โดยคสช. และเครือข่ายร่วมกันทำให้มีรัฐธรรมนูญที่ทำลายความเข้มแข็งของอำนาจตัวแทนประชาชนและเพิ่มอำนาจที่มาจากการแต่งตั้งให้มีสิทธิในการควบคุมอย่างสมบูรณ์ มีอำนาจตุลาการพิเศษที่สามารถจัดการกับทุกฝ่ายที่แตกแถว มีเครือข่ายอำนาจเดิมทำหน้าที่เป็นสอดส่องควบคุมทุกอณูของกลไกอำนาจ หรือที่เรียกกันว่า Politburo และมีกรอบยุทธศาสตร์ชาติที่เสริมอำนาจรัฐแบบฟาสซิสต์คอยคุมตัวแทนประชาชนทุกแขนง ดังนั้น ผลสรุปคือการบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตย ทำลายอำนาจของประชาชน กดให้พรรคการเมืองอ่อนแอ ทำลายนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย เป็นการสร้างอำนาจรัฐที่ขัดต่อหลักการสากล และขาดหลักนิติธรรมมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ทางการเมืองของไทย และการเลือกตั้งครั้งที่จะเกิดขึ้นไม่ช้านี้ ฝ่ายเผด็จการจะใช้ทุกเครื่องมือ ทุกเครือข่าย ทุกองค์กรเป็นเครื่องมือเพื่อโกงและทุจริตการเลือกตั้งอย่างมโหฬารแน่นอน เพื่อบรรลุเป้าหมายการคงอยู่ในอำนาจตามโครงสร้างใหม่ที่ได้ทำให้แข็งแรงสมบูรณ์แบบที่ได้วางไว้แล้ว


3. ด้านเศรษฐกิจ และสังคม
ทุนศักดินาอำนาจเก่า ร่วมกับนายทุนผูกขาดทั้งในประเทศไทยและจากประเทศจีน ได้มีส่วนสนับสนุนหรืออยู่เบื้องหลังการรัฐประหารครั้งที่ผ่าน ๆ มา และเมื่อสำเร็จแล้ว พวกเขาจึงได้สิทธิพิเศษ ได้รับสัมปทานต่าง ๆ มากกว่าประชาชนทั่วไป ทำให้พวกเขามั่งคั่งร่ำรวยขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นมหาเศรษฐีระดับโลกหลายคน โดยมีทรัพย์สินรวมที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เช่น บริษัทขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีสินทรัพย์รวมราว 2000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2551 กลายเป็นมหาเศรษฐีที่มีสินทรัพย์มากถึง 30,000 ล้านเหรียญ ในขณะที่คนไทยส่วนใหญ่ลำบาก ยากจน มีชีวิตอยู่อย่างแร้นแค้น มีหนี้สินท่วมท้นจนไม่รู้ว่าจนตายไปจะใช้หนี้สินหมดหรือไม่ แม้กระทั่งลูกหลานคนไทยที่กำลังเรียนหนังสือก็มีหนี้สินตั้งแต่เรียนอยู่แล้ว แถมราคาพืชผลทางการเกษตรก็ตกต่ำอย่างไม่น่าเป็นไปได้ และผลลัพย์ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การที่ประเทศไทยติดอันดับสามของโลกในปีที่ผ่านมาด้านความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจน เป็นรองแค่รัสเซีย และ อินเดีย

ผลกระทบที่รุนแรงเรื่องปากท้องของประชาชน ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงด้านสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การระบาดของการค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ การค้าประเวณี และอาชญากรรมต่าง ๆ ในระดับที่น่าเป็นห่วงที่สุดในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา


4. ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ข้าพเจ้าทราบและมองเห็นโดยตลอดว่า ทางสหภาพยุโรปหลายประเทศ เคารพและให้เกียรติคนไทย ปฏิบัติตามพันธสัญญา ที่จะทำการกดดันให้คณะรัฐประหารชุดนี้ คืนอำนาจให้ประชาชน ให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรี และเป็นธรรม แต่ก็มีมหาอำนาจในสหภาพยุโรปบางประเทศเช่น สหราชอาณาจักร โดยนายกรัฐมนตรีเทริซ่า เมย์ และสาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยประธานาธิบดีมาร์คง ได้ยินยอมให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร เข้าพบ โดยมีผลประโยชน์ทางการค้าอย่างใดเป็นที่ทราบกันดี แล้วละเลยต่อความรู้สึกต่อจิตใจของคนไทยที่รักประเทศรักประชาชน รักประชาธิปไตยไป อย่างน่าผิดหวัง ซึ่งวันหนึ่งเมื่อประชาชนและฝ่ายประชาธิปไตยชนะ ฝ่ายเราอาจจะต้องทบทวนสัญญาใดๆที่คณะรัฐประหารทำขึ้นภายหลัง


อีกประเด็นหนึ่งที่เป็นความวิตกกังวลอย่างมากของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ คือดุลอำนาจในภูมิภาคอาเซียนที่เริ่มเปลี่ยนไป หลายธุรกิจ หลายภาคส่วน ถูกมหาอำนาจใหม่ของเอเชีย เข้ามาครอบครอง ครอบงำ และมีอิทธิพลมากเกินไปทำให้ดุลอำนาจระหว่างตะวันออก และตะวันตก เสียไป. เพราะมหาอำนาจใหม่ ซึ่งได้แก่จีน ไม่สนใจ สิทธิมนุษยชน ไม่ได้คำนึงถึง สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และประชาธิปไตย แต่ด้วยทางสหภาพยุโรป และทางโลกตะวันตก เคารพและคำนึงถึงสิทธิ เสรีภาพ และประชาธิปไตย จึงมีการบอยคอตประเทศไทย แต่ก็เสียโอกาสที่จะมาแข่งขันการค้า การลงทุน ในยุคที่เผด็จการครองเมืองอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นการสูญเสียประโยชน์อันพึงมีร่วมกันอย่างเต็มที

ด้วยความจริงดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านพิจารณาดำเนินการดังต่อไปนี้

1. ติดตามและประนามการละเมิดสิทธิมนุษยชนในทุกรูปแบบในประเทศไทย
2. กดดันให้รัฐบาลเผด็จการทหารไทยเร่งจัดการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด
3. ส่งตัวแทนเข้าร่วมสังเกตุการณ์และตรวจสอบกระบวนการเลือกตั้งและนับผลการเลือกตั้งในประเทศไทยเป็นไปโดยเสรีและเป็นธรรม เพื่อให้ผลการเลือกตั้งสะท้อนเสียงที่แท้จริงของปวงชนชาวไทย
4. ระงับการให้ความร่วมมือและการเจรจาใด ๆ กับรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และรอจนกว่าจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมก่อนเท่านั้น
5. กดดันให้มีการปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหมดโดยเร็ว และหามาตรการใหม่ที่ทำให้กระบวนการยุติธรรมเป็นที่พึ่งของคนไทยทุกหมู่เหล่าได้อย่างแท้จริง

ขอแสดงความนับถือ

นายนคร มาฉิม
อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดพิษณุโลก
อดีตประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง สภาผู้แทนราษฎร

Ref. (Special) 909/2561
Amphur Nakorn Thai, Phitsanuloke

September 6, 2018

SUBJECT: Some Facts about Situations in Thailand, Presented to the European Union

Dear Dr. Colin Stcinbach:

I, Mr. Nakorn Machim, Former MP for Phitsanuloke Province and Chair of the House of Representatives’ Political Development Committee, feel highly honored that you and your team, representatives of the European Union, which represents 28 nations, have traveled to visit me and the citizens of Phitsanuloke and all Thai citizens to exchanges economic, social, and political ideas and together seek solutions at the regional and international levels.

After the coup makers led by General Prayuth Chan-O-cha, General Pravit Wongsuwan, General Anupong Paochinda, and chief commanders of the army, navy, air force, and police forces had successfully conspired with some high-ranking government officials, independent agencies, justice officers, and politicians to create a pretext for the May 22, 2014 coup d’état, the junta leaders, who claimed they would bring back happiness, build happiness, and restore harmony among Thais, have, instead, caused misery and sufferings, unfairly used laws and judicial tools to destroy their political opponents, abused power, and used violence against pro-democracy citizens so as to stop them from standing up to demand their rights, freedom, and democracy and to prolong their power under the established military and bureaucratic rule because the Thai citizens are made to stay too fearful to ask or demand anything.

Furthermore, the junta leaders have undemocratically secured a new constitution that fails to protect the people’s rights, deviates from international standards, and limits the economic, social, and political development of the people, all without proper participation by Thai citizens. They have shown clearly that they want to stay in power for as long as possible, for example, by appointing 250 senators without the people’s involvement and these senators can even vote for the prime minister. Clearly, they have set a goal of ruling the people for at least 20 years in accordance with the 20-year National Strategy Bill that was written completely without the people’s approval as a tool for prolonging their rule, destroy democracy, and suppress the people’s powers forever.

Please let me exemplify with the following facts about how the pro-democracy citizens have been treated and imposed with:

1. HUMAN RIGHTS

Reports by human rights organizations such as those by the Human Rights Watch, Amnesty International, and the Thai Alliance for Human Rights have corroborated one another repeatedly that the Thai junta’s violations of the basic human rights as guaranteed in the Universal Declaration of Human Rights have been found to be violent, widespread, and systematic in virtually aspects. They have abusively and discriminatively used the collective forces by their controlled army, police, national security officers, judicial process, special courts, and military court to destroy pro-democracy politicians, progressive political parties, and anti-coup and pro-democracy citizens, namely the pro-election activists and citizens, young activist Pai Daodin, two former prime ministers, and their ministers, while they have employed the same forces in favor of their allies despite the obvious charges of similar nature. Thus, injustices have resulted in the miserable fates and frustration among pro-democracy citizens across the nation. Meanwhile, political freedom, academic freedom, and freedom to information have been fiercely obstructed with the huge budgets allocated for surveilling, monitoring, and preventing access to ideas and information hostile to their tyrannical rule, and victims are subject to harsh punishments by the lèse-majesté laws and other arbitrary laws controlling access to online information that have been used unjustly to eradicate political opponents. On the contrary, cases that clearly appear to be in criminal violations such as undemocratically seizing power from an elected government, tearing a constitution, abusing power, corrupting, and especially murdering innocent citizens with war weapons as in the 2010 massacre that caused 100 deaths, over 2000 injuries, and about 50 individuals becoming permanently disabled, have gone without any punishment because some sort of “special power” grants amnesty or prevents cases from entering the justice system.

2. POLITICS

It is evident that the 2014 coup was an attempt to complete the unfinished mission that the 2006 coup had left off; that is, to make sure that democratic bases are as much as possible destroyed and that the dictatorial regime is strengthened to become systematically complete, without flaws and gaps. The junta and its allies have collaboratively secured a “constitution” that essentially destroys or weakens the powers of the people’s representatives and that consolidates the powers of their appointed forces so that they can have full control, their judicial elements can get rid of all dissidents, and the status quo, namely the “politburo,” can monitor and control all areas in the power mechanism, and their 20-year National Strategy Bill can bolster their fascist regime that controls the people’s representatives in all areas. Hence, they have now almost reached their ultimate goal of sabotaging democracy, destroying the people’s powers, weakening political parties, and destroying pro-democracy politicians. This becomes power consolidation that violates the international principles and good governance in the most extreme fashion in Thailand’s political history. And in the upcoming election, if any soon enough, the dictatorial networks will employ all available tools, allied networks, and organizations to effectively rig the election with their unyielding goal of remaining in power with the blessing of the new power structures that have been perfectly established so far.

3. ECONOMY AND SOCIETY

The Thai feudal and monopoly capitalists and foreign monopolists from China supported or hid behind recent coups in Thailand. Thus, after each coup, they now enjoy more entitled privileges and secure more concessions/contracts than the majority citizens, resulting in their rapidly increased wealth. Several of them have joined world’s billionaires in 2018, with their assets soaring sky high during the past decade. For instance, a huge corporation is now enjoying its magical growth from 2000 million dollars in 2008 to 30000 million dollars in 2018, while most Thais are in trouble, in poverty, and in difficulty, with overwhelmed debts that see no ends and even with their children becoming in debt while studying. Worse, their agricultural crops have been suffering incredibly low prices. Hence, the clearest outcome is unavoidable— that Thailand now standing as Number Three in the world among nations with the most wealth disparity, after only Russia and India! Socially, it is inevitable that the Thai society now be plagued with drugs, human trafficking, prostitution, and all crimes at the most alarming level in decades.

4. FOREIGN RELATIONS

Thankfully, I have been informed that the European Union member nations have respected and honored Thai citizens and their promises to pressure the junta to return the power to Thai people through free and fair elections. However, only a few countries, including the United Kingdom via Prime Minister Theresa May and France via President Emmanuel Macron, have granted visits by the junta leader, General Prayuth Chan-O-cha for merely commercial gains and, therefore, abandoned the expected responsibility for the hurtful feelings of pro-democracy citizens of Thailand. And one day when democracy is restored, we feel the need to review all contracts and obligations made with the illegal government led by the junta and allies.

Another very worrisome issue concerns the power balance in the ASEAN region that has shifted toward China, in the expense of our Western partner countries including the EU. China has increasingly dominated and controlled many areas of investment and development. Because China does not care about human rights, freedom, equality, and democracy as Western countries do; as a result, the Thai junta has been boycotted, and both sides (EU and Thailand) are at loss in terms of commerce and investment as long as the junta remains in power.

In light of all the above, I ask you to consider the following requests. Please:

1. Monitor and condemn all human rights abuses in Thailand
2. Pressure the dictatorial army junta to restore democratic civilian rule by allowing elections as soon as possible;
3. Send delegates to observe and monitor the elections and vote counting process in Thailand to help ensure free and fair elections and the true voices of Thai citizens;
4. Strictly suspend all cooperation and talks with the unelected government and wait until an elected government is in power through free and fair elections;
5. Pressure for the expedited releases of all political prisoners and for the reform of Thai judicial systems so that they become a pillar upon which Thais can depend.

Respectfully yours,

Mr. Nakorn Machim
Former MP for Phitsanuloke Province
Chair, House of Representatives’ Political Development Committee


ที่มา FB


นคร มาฉิม