วันอาทิตย์, มกราคม 31, 2564

อันดับโปร่งใสรัฐบาลตู่หล่นอีก ไม่ต้องฉงน ดูความมั่งคั่งของ ผบ.เหล่าทัพ มันฟ้อง


ไม่ต้องทำเป็นฉงน ที่อันดับความโปร่งใสของรัฐบาลตกลงไปอีกสามขั้น ปีที่แล้ว ๑๐๑ ปีนี้ ๑๐๔ จากทั้งโลก ๑๘๐ ประเทศ เพราะตลอดการปกครองของก๊วนตู่ ๗ ปี มีแต่เล่นพวก กอบโกย และกระชับอำนาจ แล้วยังมีหน้าให้โฆษกกระหวัดลิ้นบิดพริ้ว

ว่าอันดับนี้มีขึ้นมีลง “แม้ว่าปีนี้ไทยจะขยับลงไป ๓ อันดับ แต่ไทยยังคงรักษาคะแนนรวมไว้ได้ตลอด ๓ ปี ตั้งแต่ปี ๒๐๑๘-๒๐๒๐ ที่ ๓๖ คะแนน” อย่างนี้ก็มี ๔๐ ยังไม่ถึง อ้างว่าไม่แย่ไปกว่าเดิม แทนที่จะบอก “พยายามสามปีเข็นเท่าไรไม่ขึ้น”

ยังดีที่พอจะรู้ปัญหาอยู่บ้าง “นายกรัฐมนตรีได้ออกคำสั่งตั้งคณะกรรมการติดตามแก้ไขปัญหา เรื่องการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับบ่อนการพนันและแรงงานลักลอบเข้าเมือง อาจเป็นสาเหตุหลักของคะแนนที่ลดลงจากแหล่งข้อมูลนี้” อนุชา บูรพชัยศรี จีบปากแจ้ง

ทั้งบ่อนพนันและลักลอบแรงงานนี่ งานถนัดของตำรวจ-ทหารเลยเชียวละ เป็นพี่ๆ น้องๆ ที่ร่วมกันยึดอำนาจและครองเมืองสืบทอดมาทั้งนั้น และตลอดเวลาที่ผ่านมานี่ ส่วยเป็นเหตุสำคัญแห่งตัวอย่างความไม่โปร่งใสที่ว่า

เมื่อสามวันก่อน สตช.ยอมรับมีตำรวจท้องที่รู้เห็น “อำนวยความสะดวกการขนย้ายตู้สล็อตไฟฟ้า และเครื่องเล่นการพนันหลายร้อยตู้ไปเก็บไว้ที่โกดัง บ้านโนนสวรรค์ ต.พระลับ อ.เมือง จ.ขอนแก่น...ปรากฏว่ามีมูลการกระทำความผิดวินัยจริง”

หลังจากตรวจสอบแล้วเจอเข้าจังงัง แม้จะเลี่ยงความจริงไม่ได้ขอแถหน่อยก็ยังดี ว่านั่น “เป็นระดับสถานีตำรวจคือตำรวจ สภ.โชคชัย ทางตำรวจภูธรภาค ๓ จะมีการตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง” ต่อไป (เสร็จเมื่อไร เฉยไว้)

หลังสุดนี่ระบบส่วยลุกลามไปทั่วทุกองค์กร แพร่ไวกว่าโควิดหลายเท่า ไม่เชื่อไปฟัง ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยแจงสี่เบี้ยเรื่องล็อตเตอรี่ขายเกินราคา ที่รัฐบาลแถลงยอมรับไปแล้วหลัดๆ ว่าแก้ไม่ได้จริงๆ ฝ่ายค้านมาแจงเก็บงาน


“ต้นทุนรับจากยี่ปั๊ว ๙๓ บาท จึงขาย ๘๐ บาทไม่ได้ เมื่อถูกตำรวจจับ ถูกปรับ ๒,๐๐๐ บาท ถ้าไม่อยากถูกจับต้องจ่ายส่วยเดือนละ ๖๐๐ บาท...ไม่ว่าจะเดินไปขายในเขตพื้นที่ไหนก็ต้องจ่ายส่วยให้แต่ละพื้นที่... ปัญหาลอตเตอรี่ยังแก้ไม่ได้แล้วจะไปแก้อะไรได้”

เขาหมายถึงตัวนายกฯ นั่นแหละ คุยไว้ตั้งแต่สมัยเป็นรัฐาลยึดอำนาจ เสร็จแล้วร่ำรวยกันถ้วนหน้า มั่นคงแล้วมั่งคั่งไง ถึงได้ฮือฮากันเมื่อสามสี่วันก่อน โหย อดีต ผบ.เหล่าทัพทรัพย์สินเป็นร้อยๆ ล้าน อดีต ผบ.ตร.เข้าไปเกือบพันล้าน

ขนาด พระเทพฯ ครั้งรับราชการเป็นพระอาจารย์ จปร. “พระราชทานเงินเดือนทั้งหมดของพระองค์ที่ รับราชการมา ๓๕ ปี เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๖ ล้านบาท” พร้อมดอกเบี้ยให้กับ มูลนิธิ รร.จปร. จึงได้รู้กันว่าลำพังเงินเดือนจะถึงร้อยล้านได้อย่างไร

ด้วยเหตุนี้จึงได้มี งูเห่า เกิดขึ้นในพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคใหม่ป้ายแดง ก้าวไกล มีอยู่ไม่ขาด “ในรอบแรกมีการซื้อตัวกัน ๒๐-๓๐ ล้านบาท...โดยทุกคนถูกติดต่อซื้อตัวทั้งหมด บางคนนำเงินใส่ท้ายรถเก๋งมาเป็นถุงเพื่อขอซื้อตัว”

อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อยอมรับ “บางคนก็มีจุดยืนคลอนแคลน...แต่ละคนมีใจที่รับความเสี่ยง และก็อุทิศตัวได้ไม่เท่ากัน ตามข้อจำกัดที่มี” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคจึงได้แถลงว่าต่อนี้ไปจะต้องทำการคัดกรองอย่างละเอียดหนักแน่น

เช่นกันกับบทบาทของ ส.ส.ฝ่ายค้านในสภา ที่การตรวจสอบและเปิดโปงกระบวนการไม่โปร่งใสของรัฐบาล เครือข่าย (รวมทั้ง เจ้าสัว ผูกขาด) และองคาพยพทั้งหลาย ดัง ภราดร พัฒนถาบุตร พรรคเพื่อไทยว่า “แม้การลงมติไม่ไว้วางใจฝ่ายค้านอาจจะพ่ายแพ้

เพราะมีเสียงน้อยกว่า แต่อาฟเตอร์ช็อกหลังการอภิปรายจะส่งผลให้เกิดการรวมตัวอภิปรายนอกสภาของภาคประชาชนกลุ่มต่างๆ ที่นำโดยคณะราษฎรตามมาอย่างมิหยุดยั้ง” และหากบรรยากาศบ้านเมือง ยังคงไม่มีปรากฏ การปกครองที่เป็นธรรม

ภราดรบอกไว้ “รับรองว่าการรวมตัวขับไล่รัฐบาลสืบทอดอำนาจของภาคประชาชนกลุ่มต่างๆ จะเกิดขึ้นตามมาเร็วเกินคาด จนรัฐบาลไม่อาจดำรงอยู่ได้อีกต่อไป

(https://www.matichon.co.th/politics/news_2555411, https://www.bbc.com/thai/thailand-55822984?at_campaign=64, https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_395757, https://www.matichon.co.th/politics/news_2555547 และ https://www.matichon.co.th/politics/news_2555372) 

วัคซีนโควิดจากแอสตราเซเนกา เข็มแรกจะเข้าไทยอาจไม่ทัน 14 ก.พ.


Pipob Udomittipong
January 28 at 9:45 PM ·

ปัญหาการจัดส่งวัคซีนใน #ยุโรป กำลังกลายเป็นศึกสามเส้าระหว่าง #อียู #อังกฤษ กับ #AstraZeneca เหตุเกิดจากบริษัทลูกครึ่งสัญชาติอังกฤษ-สวีเดนประกาศเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า จะส่งวัคซีนให้อียูน้อยกว่าที่กำหนด 60% อ้างว่ามีปัญหาด้านการผลิต แต่อียูอ้างว่าลงทุนจ่ายเงินลวงหน้าให้บริษัทไปหลายร้อยล้านยูโร ถ้าบ.ส่งไม่ได้ตามที่กำหนด ก็ต้องถือว่าผิดสัญญาสิ ซีอีโอของ #AstraZeneca ตอบโต้ว่า ไม่ได้ผิดสัญญาสักหน่อย ในนั้นใช้คำว่า “reasonable best efforts” พยายามอย่างดีสุดที่จะส่งวัคซีนให้ ไม่ได้กำหนดเป็น timetable ที่ชัดเจนสักหน่อย ทำเอาอียูเดือดดาล ถึงกับท้าให้เปิดสัญญามาดูกันเลย และประกาศจะควบคุมการส่งออกวัคซียของบริษัทจากโรงงานในอียู https://www.ft.com/.../c4cde78a-e769-44b3-8631-73be810249cf

คือที่ผ่านมาเกิดปัญหาการส่งวัคซีนในอียู แต่ในอังกฤษไม่มีปัญหาเรื่องซัพพลาย จึงเป็นเรื่องบาดหมางระว่างปท.กับกลุ่มปท. โดยเฉพาะมันคาใจมาตั้งแต่เรื่อง Brexit แล้ว แม้ว่าอียูจะลงนามในสัญญาซื้อวัคซีนจาก #AstraZeneca ช้ากว่า อังกฤษ ถึง 3 เดือน แต่อียูเห็นว่าซัพพลายการผลิตของโรงงานในอังกฤษ ก็ต้องส่งมาให้ตนด้วย เพราะมีการทำสัญญาซื้ออย่างน้อย 300-400 ล้านโด๊ส จ่ายเงินล่วงหน้า 336 ล้านยูโรให้บริษัทแล้ว เมื่อวันก่อนอียูส่งบุกเข้าไปในโรงงานผลิตวัคซีนของ #AstraZeneca ใน เบลเยียม เพื่อตรวจดูว่ามีปัญหาด้านการผลิตแบบที่บริษัทอ้างจริงหรือไม่ ทั้งอียูยังอ้างว่ามีอำนาจควบคุมการส่งออก กรณีที่ขาดแคลนวัตซีนก็สามารถห้าม #AstraZeneca และบริษัทอื่น ๆ ไม่ให้ส่งออกวัคซีนไปนอกอียูได้ https://youtu.be/flCDOdnEvQw

ปัญหาคือคนทั่วไปไม่รู้ว่าสัญญาเขียนว่าอย่างไร อ้างว่าเป็นเรื่องทางการค้า จึงไม่เปิดเผย แสดงว่าบริษัทยามีอิทธิพลอย่างมาก นี่ขนาดเจรจากับอียูที่เป็นกลุ่มปท.ยักษ์ใหญ่นะ น่าสนใจว่าวันนี้ EU จะแจ้งผลการพิจารษว่าจะออกใบอนุญาตให้กับวัคซีนของ #AstraZeneca หรือไม่ ล่าสุด กรมควบคุมโรคติดต่อ #เยอรมนี อนุมัติให้ใช้วัคซีน #AstraZeneca ใช้ได้เฉพาะกับคนอายุต่ำกว่า 65 ปีเท่านั้น เพราะไม่มีข้อมูลเพียงพอว่าวัคซีนนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันมากแค่ไหนในกลุ่ม ผู้สูงวัย

ความวุ่นวายที่ยุโรปจะส่งผลกระทบมาที่ไทยหรือไม่ เพราะเรากำลังรอวัคซีน 50,000 โด๊สของ #AstraZenecaที่จะส่งมาจาก#อิตาลี เดือนหน้า ถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้ อียูอาจแบนไม่ให้ส่งวัคซีนมาไทยก็ได้ ที่สำคัญคือถ้าอียูไม่ออกใบอนุญาตให้วัคซีนของ #AstraZeneca หรือออกให้แต่จำกัดการใช้เฉพาะประชากรบางกลุ่มอย่างใน #เยอรมนี 

แล้วปท.ไทยที่แทง #ม้าตัวเดียว ไว้ที่ #วัคซีนพระราชทาน ตัวนี้ จะเป็นยังไง ถ้าถึงที่สุดวัคซีน #AstraZeneca ไม้ได้ผลดีจริง ไม่เป็นไปอย่างที่คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาลที่เป็นบอร์ดของ #สยามไบโอไซเอนซ์ คุยโวไว้ เราจะทำยังไง #COVAX ก็ไม่ได้อยู่กับเขา

https://www.dw.com/.../fact-check-is.../a-56360480
https://aje.io/44ffm
ooo

สลักธรรม โตจิราการ
January 28 at 2:48 AM ·

วันนี้ไปค้นเพิ่มหน่อยจากความสงสัยส่วนตัว เลยมีคำถามมาถามมากขึ้น

เท่าที่ค้นดู ผมพบว่าวัคซีนของแอสตราเซเนกาที่สยามไบโอไซแอนซ์มาผลิตนั้น ขั้นตอนคือต้องเอาเชื้อไวรัสต้นแบบไปใส่ในจาน ขวดเพาะเลี้ยง หรือเตาปฏิกรณ์ชีวภาพ (Bioreactor) ที่มีเซลล์ชนิด HEK 293( เซลล์ที่มาจากเซลล์ไตของทารก)จนได้จำนวนมากถึงเอามาสกัดตัวไวรัสแล้วมาทำวัคซีนอีกทีหนึ่ง

เพราะฉะนั้น คำถามที่ผมยังหาคำตอบได้ไม่ชัดเจน คือ บริษัทสยามไบโอไซแอนซ์เคยมีประสบการณ์ในการเลี้ยงเซลล์ชนิด HEK 293 ในระดับอุตสาหกรรมหรือไม่? 

ถ้าเราดูผลผลิตของบริษัทสยามไบโอไซแอนซ์ในอดีตคือ Erythropoietin Alfa และก็ Filasterin ก็ก้ำกึ่งครับ Erythropoietin Alfa ส่วนใหญ่จะผลิตจากเซลล์ Chinese hamster ovary (เซลล์รังไข่หนูแฮมสเตอร์จีน) แต่ก็มีรายงานเหมือนกันว่าเริ่มมีการใช้เซลล์ HEK 293 ในการผลิต

ถ้าไม่เคยเพาะเลี้ยงเซลล์ชนิด HEK 293 มาก่อน บริษัทสยามไบโอไซแอนซ์อาจไม่ได้มีจุดเด่นเหนือกว่าบริษัทอื่นๆในการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตวัคซีนเท่าไหร่หรือเปล่าครับ? ขอเชิญท่านผู้อ่านมาให้ข้อมูลและแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมกันได้ครับ

อ.ปริญญา ยกข้อกฎหมาย #เบี้ยคนชรา ที่รับเบี้ยยังชีพไปโดยสุจริต และใช้จ่ายในการยังชีพไปแล้ว ไม่ต้องคืนเงิน





Prinya Thaewanarumitkul
8h ·

ทำไมกรมบัญชีกลางและองค์กรปกครองท้องถิ่นจึง #เรียกเบี้ยยังชีพคืนจากผู้สูงอายุไม่ได้

ตามที่มีการ #เรียกเงินเบี้ยยังชีพคืนจากผู้สูงอายุ โดยเหตุผลว่าระเบียบกระทรวงมหาดไทยที่ออกใหม่กำหนดว่า ผู้สูงอายุจะได้รับเบี้ยยังชีพต่อเมื่อไม่ได้รับเงินช่วยเหลือในทางอื่น ดังนั้น ผู้สูงอายุรายใดได้รับเงินช่วยเหลือทางอื่นด้วยแล้ว จึงไม่มีสิทธิได้เบี้ยยังชีพอีก เมื่อรับไปแล้วจึง #ต้องคืน โดยจำนวนเงินที่เรียกคืนสูงหลายหมื่นจนเป็นแสนบาทเลยนั้น

ผมอ่านข่าวแล้วรู้เลยว่า โดยหลักแห่งความยุติธรรมแล้ว #เรื่องนี้ไม่ถูกต้องแน่ และไม่ใช่เรื่องที่ผู้สูงอายุคุณปู่คุณย่าคุณยายทั้งหลายที่รับเบี้ยยังชีพไปโดยสุจริต และใช้จ่ายในการยังชีพไปแล้วจะต้องคืนเงิน แต่ยังไม่ได้ค้นดูข้อกฎหมาย จนกระทั่งวันนี้มีเวลาไปค้น และจึงขอนำมาเสนอต่อสาธารณะ ดังต่อไปนี้ครับ

1.ระเบียบกระทรวงมหาดไทยที่ออกใหม่ในปี 2552 ชื่อ ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2552 ซึ่งข้อ 6 (4) กำหนดว่า ผู้มีสิทธิที่จะได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจะต้อง “ไม่เป็นผู้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น ผู้รับเงินบำนาญ เบี้ยหวัด บำนาญพิเศษ หรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกัน ...” ซึ่งหลักเกณฑ์เดิมของกระทรวงมหาดไทย (ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2548) ไม่มีข้อกำหนดตรงนี้

กรมบัญชีกลางไปเจอตรงนี้เข้า จึงแจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งเทศบาล และ อบต. ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่จ่ายเบี้ยยังชีพให้ผู้สูงอายุ ให้เรียกเงินคืนจากผู้สูงอายุ และโดยที่ระเบียบกระทรวงมหาดไทยฉบับนี้ประกาศใช้วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2552 การเรียกคืนจึงย้อนไปถึงปี 2552 จำนวนเงินที่เรียกคืนจึงสูงหลายหมื่นบาทจนถึงเป็นแสนบาทอย่างน่าตกใจ

2.แต่ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจ่ายเบี้ยยังชีพฯ ปี 2552 นี้ มันมี #บทเฉพาะกาล ซึ่งข้อ 6 เขียนว่า “ระเบียบนี้ #มิให้กระทบต่อสิทธิผู้สูงอายุ ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2548 ... ที่มีอยู่ก่อนหรือในวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ และให้ถือว่าผู้สูงอายุดังกล่าวเป็นผู้ได้ลงทะเบียนและยื่นคำขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตามระเบียบนี้แล้ว”

นั่นหมายความว่าระเบียบกระทรวงมหาดไทยปี 2552 ใช้กับผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพหลังระเบียบฉบับนี้ประกาศใช้ คือตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2552 เป็นต้นมา ดังนั้น #ผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพก่อนหน้านั้น คือก่อนวันที่ 15 ตุลาคม 2552 แม้จะได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็ยังคงมีสิทธิรับเบี้ยยังชีพต่อไป และดังนั้น #จึงไม่ต้องคืนเงิน ครับ

3.แล้วผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2552 เป็นต้นมา ที่ได้สวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยแล้ว จะต้องทำอย่างไร?

เรื่องนี้มี #คำพิพากษาศาลฎีกา วางบรรทัดฐานไว้แล้วว่า เป็นเรื่อง #ลาภมิควรได้ ซึ่งหลักตามมาตรา 412 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คือ #หากเป็นการรับเงินไปโดยสุจริต (คือไม่ทราบเรื่องระเบียบใหม่ปี 2552) #ถ้าใช้เงินนั้นหมดไปแล้วก็ไม่ต้องคืน (ฎ. 10850/2559)

ซึ่งเรื่องนี้เป็นแน่ชัดว่าคุณป้าคุณย่าคุณยายรับเงินกันไปโดยสุจริต เพราะจะไปรู้เรื่องระเบียบใหม่ได้อย่างไร ดังนั้น #ถ้าใช้เบี้ยยังชีพหมดไปแล้วก็ไม่ต้องคืนครับ

ว่าง่ายๆ เรื่องนี้ถ้าถึงศาล องค์กรปกครองท้องถิ่นที่ทวงเงินแพ้แน่นอนครับ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นเรื่องเงินของรัฐ ไม่ใช่เรื่องเจ้าหนี้ลูกหนี้ตามกฎหมายแพ่ง รัฐบาลจึงต้องรีบดำเนินการแก้ไขปัญหา ไม่ต้องให้ไปฟ้องร้องกันในศาล

4.ประเด็นสำคัญที่สุดที่ผมอยากจะเขียนคือ #คนที่ผิดในเรื่องนี้คือหน่วยงานของรัฐด้วยกันต่างหาก ทั้งกรมบัญชีกลาง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ไม่ดูระเบียบใหม่ปี 2552

และที่น่าจะผิดมากกว่าคือ #กรมบัญชีกลาง ครับ เพราะระเบียบใหม่ประกาศตั้งแต่ปี 2552 #ทำไมจึงเพิ่งมาทวง และที่สำคัญทำไมถึงไปแจ้งให้องค์กรปกครองท้องถิ่นไปเรียกเงินคืนจากผู้สูงอายุ ทั้งๆ ที่ผู้สูงอายุรับเงินโดยสุจริต ไม่ได้มีเจตนาจะหลอกเอาเงินจากหน่วยงานของรัฐแต่ประการใด เรื่องนี้เป็นความผิดพลาดของหน่วยงานของรัฐกันเอง ทำไมกรมบัญชีกลางไม่หาทางอื่นในการแก้ปัญหา ทำไมถึงผลักภาระความผิดพลาดของตนไปให้ประชาชนเช่นนี้? 

#สรุปคือ ผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนก่อนวันที่ 15 ตุลาคม 2552 #ไม่ต้องคืนเงินเบี้ยยังชีพ ส่วนผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2552 เป็นต้นมา ในเมื่อไม่ทราบเรื่องระเบียบใหม่ปี 2552 จึงเป็นการ #รับเบี้ยยังชีพโดยสุจริตเม่ีอใช้หมดไปแล้วก็ไม่ต้องคืน ครับ #โดยรัฐบาลก็ต้องรีบแก้ปัญหา อย่าให้กรมบัญชีกลางบอกให้ เทศบาล และ อบต.ไปทวงเงินสร้างความทุกข์ให้กับผู้สูงอายุเช่นนี้ครับ

 


วิวาทะ V2
Yesterday at 2:50 AM ·

ประเทศที่คนแก่รวยอยู่บ้านหลวงฟรี ส่วนคนแก่จนต้องคืนเบี้ยยังชีพ
.
สิ้น ก.พ.เกษียณย้ายออก ยกเว้น ‘นายกฯ-ส.ว.-ครม.-องคมนตรี’
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/866213
.
อึ้ง! โคราชพบผู้สูงอายุ 610 ราย ถูกเรียกเบี้ยยังชีพคืนย้อนหลัง ผู้ว่าฯ เร่งช่วยเหลือด้านกฎหมายและเยียวยา
https://www.matichon.co.th/region/news_2552540
#มิตรสหายท่านหนึ่ง

‘กนกรัตน์’ เชื่อ อนาคตกำลังเปลี่ยน ไม่อาจหยุดยั้งได้ แนะ ผู้ใหญ่ยอมรับข้อจำกัดตัวเอง - ‘เบรกทรู ไทยแลนด์ 2021’



‘กนกรัตน์’ เชื่อ อนาคตกำลังเปลี่ยน ไม่อาจหยุดยั้งได้ แนะ ผู้ใหญ่ยอมรับข้อจำกัดตัวเอง

29 มกราคม 2564
มติชนออนไลน์

‘กนกรัตน์’ เชื่อ อนาคตกำลังเปลี่ยนโดยไม่อาจหยุดยั้งได้ แนะผู้ใหญ่ยอมรับข้อจำกัดตัวเอง เปิดทางคนรุ่นใหม่เสนอทางเลือก

เมื่อวันที่ 29 มกราคม เวลาประมาณ 09.00 น. เครือมติชนจัดเสวนา “เบรกทรูไทยแลนด์ 2021” ในรูปแบบเวอร์ชวล คอนเฟอร์เรนซ์ เนื่องในโอกาสที่หนังสือพิมพ์มติชนก้าวเข้าสู่ปีที่ 44 โดยมีวิทยาการร่วมเสวนา ได้แก่ ศาสตราจารย์ ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ในหัวข้อการวิเคราะห์โครงสร้างและนำเสนอทางออกประเทศ, ศาสตราจารย์ ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร และ ดร.คริส เบเคอร์ นักเศรษฐศาสตร์การเมืองและนักประวัติศาสตร์ ร่วมเสวนาในหัวข้อคนไทยเสมอหน้าด้วยภาษี, ผศ.ดร.กนกรัตน์ เลิศชูสกุล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในหัวข้อ พลวัตขบวนการเคลื่อนไหวคนรุ่นใหม่, นายธานี ชัยวัฒน์ ผอ.ศูนย์เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมและการทดลอง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในหัวข้อคอร์รัปชั่นและความเหลื่อมล้ำ, ภญ.สุธีรา เตชคุณวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง ใบยา ไฟโตฟาร์ม ร่วมวิเคราะห์ในหัวข้อวัคซีนโควิด-19 ฉีดอย่างไรให้รอดจริง และ นายสันติธาร เสถียรไทย นักเศรษฐศาสตร์ภาคเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ในหัวข้อ โอกาสและความหวังของประเทศไทยในปี 2021 ดำเนินรายการโดย นายบัญชา ชุมชัยเวทย์

ผศ.ดร.กนกรัตน์ เลิศชูสกุล กล่าวว่า สิ่งที่เห็นภาพในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา กับการเติบโตขึ้นของกระบวนการนิสิต นักศึกษา เป็นสัญญาณที่บอกว่าสังคมไทยจะเปลี่ยนไปแบบที่จะไม่กลับมาเป็นแบบเดิมหรือไม่ ส่วนตัวคิดว่ามีหลายมิติที่ค่อนข้างซับซ้อน โดยอาจต้องเริ่มมองที่มุมแรก ถ้าถามว่ารัฐบาล โครงสร้างรัฐ อำนาจ กำลังเปลี่ยนไปหรือไม่ ส่วนตัวยังไม่เห็นวี่แววของการเปลี่ยนไป

ผศ.ดร.กนกรัตน์กล่าวว่า ถามว่า ทำไม ทั้งที่คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาเรียกร้อง ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการการรับฟัง กระบวนการเปิดเวทีสาธารณะ การให้คนรุ่นใหม่เข้าไปมีส่วนร่วม, การเปลี่ยนแปลงตามข้อเรียกร้องของคนรุ่นใหม่ในด้านการปฏิรูป ตั้งแต่เรื่องง่ายๆ เช่น การปฏิรูปการศึกษา สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และสุดท้ายคือการใช้ความรุนแรง ข่มขู่คุกคามคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะตั้งแต่หลังปีใหม่ที่ผ่านมา ยังได้เห็นการบังคับใช้กฎหมายหลายมาตราจัดการควบคุมคนที่ลุกขึ้นมาส่งเสียง

“คำถามคือทำไมจึงยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งที่มีคนรุ่นใหม่จำนวนมากลุกขึ้นมาสะท้อนปัญหาของพวกเขา คิดว่ามี 2 มิติที่น่าสนใจ คือ หนึ่ง ผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในมือ หรือรัฐบาลยังไม่ยอมรับว่า สังคมมีปัญหาจริงๆ และเป็นปัญหาที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันเป็นปัญหาที่เราหลีกเลี่ยงที่จะพูดกันมานาน ผู้ใหญ่ยังมองเสียงของคนรุ่นใหม่ว่าเป็นเสียงที่ไมได้มีความชอบธรรมเพียงพอ ยังใช้เลนส์หรือแว่นตาในการมองคนรุ่นใหม่เป็นขั้วตรงข้ามทางการเมือง เป็นคู่แข่งทางการเมือง มองว่าเขาถูกจูงจมูกโดยนักการเมืองรุ่นก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นทักษิณ หรือธนาธร หรือมองไปกระทั่งว่าถูกครอบงำโดยสหรัฐอเมริกา โดยมหาอำนาจที่เข้ามาสร้างความวุ่นวาย
ในอีกแง่หนึ่ง

“จริงๆ แล้วอาจมีผู้ใหญ่จำนวนมาก หรือคนที่อยู่ในภาครัฐจำนวนมากที่เข้าใจประเด็นปัญหาที่คนรุ่นใหม่พยายามเรียกร้อง แต่ปัญหาคือเส้นขอบฟ้าของคนรุ่นเรากับปัญหาที่มันซับซ้อนมากขึ้นทุกวัน มันไม่สอดคล้องกัน

“ถึงแม้เราจะเข้าใจว่าระบบราชการมีปัญหา กลุ่มทุนผูกขาดทำให้คนตัวเล็กตัวน้อยไม่สามารถมีที่ยืนได้ กลไกการพัฒนาขนาดใหญ่สร้างปัญหา ส่งผลกระทบมากมาย แต่ปัญหาคือเราซึ่งเป็นคนรุ่นก่อนหน้านี้ที่ไม่ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหา เส้นขอบฟ้าในการคิดว่าทางออกของปัญหาคืออะไรมีอยู่อย่างจำกัดมาก ถ้าเรามองโลกแบบนี้ จะไม่รู้เลยว่าทางเลือกเหล่านั้นคืออะไร เราจะไม่สามารถผลักดันการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้” ผศ.ดร.กนกรัตน์กล่าว

ผศ.ดร.กนกรัตน์กล่าวอีกว่า แม้ในช่วงที่ผ่านมามองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงในแง่ของกลไกรัฐและนโยบาย แต่ในทางตรงกันข้าม ส่วนตัวมองว่าอนาคตกำลังจะเปลี่ยน และจะไม่มีวันหยุดการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ โดยมีเงื่อนไข 2 ประการที่น่าสนใจ คือ 1.การลุกขึ้น ความตื่นตัวทางการเมือง และความต้องการจะเปลี่ยนแปลงของคนรุ่นใหม่กว้างขวางมากอย่างที่คนรุ่นเราจินตนาการไม่ได้ 2.คนรุ่นใหม่รู้สึกว่าตัวเองชนะทุกวัน

“ถ้าเทียบกับช่วง 6 ตุลา 14 ตุลา เป็นการขยายตัวของเครือข่ายคนรุ่นใหม่ที่ตื่นตัว และตระหนักถึงปัญหาทางการเมืองและสังคมที่กว้างขวางมากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งจากการที่ได้เฝ้าสังเกตผ่านทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ ลงไปคุยกับคนรุ่นใหม่หลากหลายแขนงในหลายพื้นที่ ดิฉันเห็น 3 พื้นที่ที่น่าสนใจมาก ที่แรกคือ สถาบันการศึกษา 2 คือ ภาคเอกชนของคนรุ่นใหม่ และ 3 คือกลไกระบบราชการ

“อย่างแรก มันเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นการขยายตัวของเครือข่ายนิสิตนักศึกษาของมหาวิทยาลัยที่กว้างขวางที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมา และเท่าที่ศึกษาในประวัติศาสตร์การเมืองของคนรุ่นใหม่ การเข้าไปถึงมหาวิทยาลัยในเกือบทุกพื้นที่ของประเทศ ทั้งเอกชนและรัฐบาลที่บางพื้นที่ไม่เคยตื่นตัวทางการเมืองมาก่อน

“นี่ยังไม่ต้องพูดถึงโรงเรียนซึ่งถ้าเอาตัวเลขง่ายๆ คือตัวเลขของรายงานที่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาถูกข่มขู่คุกคามโดยคุณครู หลังจากทำกิจกรรมรณรงค์ชู 3 นิ้ว หรือแต่งชุดไปรเวทไปโรงเรียน มีการระบุถึงกว่า 200-300 โรงเรียน นี่คือเฉพาะโรงเรียนที่มีการรายงาน หมายความว่ามีหลายร้อยโรงเรียนทั่วประเทศ สิ่งนี้เราไม่เคยเห็นการเกิดขึ้นมาก่อน

“เท่าที่ได้ไปสัมภาษณ์ มันลงไปถึงเด็กชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่า นี่มันคือการตื่นตัวของคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ที่กว้างขวางมาก

“อย่างที่ 2 ที่น่าสนใจคือ องค์กรเอกชน หลังจากมีการทำโพลโดยกลุ่ม เนิร์ดข้างบ้าน ดิฉันก็เริ่มสนใจ เขาสรุปว่าคนที่ลุกขึ้นมาเข้าร่วมขวนการนิสิตนักศึกษาที่เราเห็น จริงๆ แล้วเป็นคนเจนวาย คือคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในภาควิชาชีพแล้ว ไม่ใช่นิสิตนักศึกษา ซึ่งนั่นคือคนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการชุมนุมด้วยซ้ำ

“ในระยะหลัง ดิฉันจึงเริ่มสนใจสัมภาษณ์คนที่ไม่ใช่นิสิตนักศึกษามากขึ้น สิ่งที่ค้นพบและน่าสนใจมากคือ คนรุ่นใหม่ในองค์กรเอกชนแบบที่เราไม่เคยรู้จักเขามาก่อน คือองค์กรที่เป็นสตาร์ทอัพ ภาคธุรกิจขนาดเล็กมากมายและหลายคนอยู่ในองค์กรกึ่งเอกชน กึ่งรัฐบาลที่เต็มไปด้วยคนรุ่นใหม่ทั้งหมด

“คนเหล่านี้อยู่ในบรรยากาศวัฒนธรรมทางธุรกิจอีกแบบหนึ่งเลย คนเหล่านี้เสรีนิยมมาก สนใจ ตื่นตัวและตระหนักถึงปัญหาของสังคม เท่าที่ไปสัมภาษณ์มา จะเห็นการขยายตัวของคนเหล่านี้เข้ามามีส่วนร่วมในการสะท้อนปัญหาสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ” ผศ.ดร. กนกรัตน์กล่าว



ผศ.ดร.กนกรัตน์กล่าวต่อไปว่า สำหรับคนรุ่นใหม่ในองค์กรภาครัฐ สิ่งที่น่าสนใจมากคือ เรากำลังเห็นการผลัดใบของหน่วยงานราชการ เท่าที่สำรวจ 6-7 หน่วยงานภาครัฐ เช่น หน่วยงานความมั่นคงของรัฐบางหน่วยงาน ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ที่อาชีพต่ำกว่า 35 ปีลงไปมีถึง 60-70 เปอร์เซนต์ในหลายองค์กร นั่นแปลว่าคนเหล่านี้คือคนที่ร่วมสมัยกับคนที่กำลังเรียกร้องและสะท้อนถึงปัญหา เพราะฉะนั้นเขาอยู่ในหน่วยงานภาครัฐแบบที่เข้าใจ และมีความอยากที่จะเปลี่ยนแปลง ในขณะที่ระบบยังคงแข็งตัว แต่คนเหล่านี้ก็มีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ นี่คือเงื่อนไขที่ 1 ที่บอกว่าเรากำลังจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ในขณะที่ผู้ใหญ่มองว่า ชุมนุมมา 6-7 เดือน ไม่เห็นจะชนะเลย ไม่ชนะในมิติแบบที่เราเป็นผู้ใหญ่ คือไล่รัฐบาลก็ไม่ได้ หรือไม่สามารถผลักดันการเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ ในทางตรงกันข้ามกลับถูกรุกคืบขึ้นทุกวันในแง่ของพื้นที่ในการชุมนุม

“แต่ถ้าไปคุยกับคนรุ่นใหม่ เขารู้สึกว่าชนะใน 3 มิติที่สำคัญ คือ 1.มิติในการต่อสู้ทางการเมืองในชีวิตประจำวัน คือสิ่งที่เขาต่อสู้มาไม่ใช่เพียงบนท้องถนนแบบที่เราเห็น สิ่งที่เขาต่อสู้ในทุกวันที่เรามองไม่เห็นคือการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงขนบทางสังคมในโรงเรียนและในครอบครัว จากที่สัมภาณ์คนรุ่นใหม่นับไม่ถ้วนที่ผลักดันการเปลี่ยนแปลงทุกวันในการทำให้พ่อแม่สนใจการเมืองมากขึ้น ยอมรับมากขึ้นว่าปัญหามีจริง หรือหลายคนประสบความสำเร็จก่อนหน้านี้นานมากในการผลักดันการต่อต้านคอร์รัปชั่นในโรงเรียน หรือแม้กระทั่งชัยชนะในการชู 3 นิ้ว ในการแต่งชุดไปรเวท มันทำให้คนรุ่นนี้สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ เพราะเขาประสบความสำเร็จในพื้นที่ที่เขาใช้ชีวิตอยู่

“ถ้าไปสัมภษณ์เด็กหลายโรงเรียนที่เริ่มต้นรณรงค์ชู 3 นิ้ว จะเห็นเลยว่าหลายพื้นที่ในโรงเรียนยอมให้นักเรียนไม่ต้องเข้าแถวเคารพธงชาติในพื้นที่ที่ต้องตากแดด แค่นี้สำหรับคนรุ่นใหม่ก็ชนะแล้ว บางโรงเรียนยอมให้มีการแต่งชุดไปรเวทแล้วในบางวัน

“สำหรับผู้ใหญ่อาจจะไม่ได้เป็นเรื่องมีสาระอะไร แต่สำหรับคนุร่นใหม่มันคือการผลักดันการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกๆ ของเขา

“2.หลายคนเขาเชื่อว่าเขาสำเร็จ โดยเฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัย คือการสร้างพรรคการเมืองของเขาเอง คือการสนับสนุนและผลักดันจนพรรคอนาคตใหม่ประสบความสำเร็จ แม้พรรคถูกยุบไปแล้ว แต่เขามองว่านั่นเป็นแค่การปฏิบัติการทางการเมือง ความสำเร็จของเขา เขามองว่า เขาตั้งพรรคหนึ่งได้ในอนาคตและเรากำลังจะเห็นการเติบโตขึ้นของพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ใช่พรรคอนาคตใหม่ คือพรรคที่พวกเขาสร้างขึ้นเอง มันจะเริ่มขยายตัวและเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ

“3.ความสำเร็จในการชุมนุม ในการเคลื่อนไหวเพียงไม่ถึง 6-7 เดือน ประสบความสำเร็จแบบก้าวกระโดมาก สำหรับการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้มีทรัพยากรภายนอกมาช่วย เราเห็นตั้งแต่การชุมนุมแบบมีแกนนำ ไปจนถึงการชุมนุมแบบที่แกนนำไม่ได้อยู่ในพื้นที่ กลุ่มเล็กๆต่างๆ เริ่มเติบโตขึ้น เขาประสบความสำเร็จในการตะโกนบอกผู้ใหญ่ว่าปัญหาของพวกเขาอยู่ที่ไหน” ผศ.ดร.กนกรัตน์กล่าว

จากนั้น ผศ.ดร.กนกรัตน์ ตอบคำถามในประเด็นการไปต่อในปี 2021 โดยระบุว่า มี 3 เรื่องที่คนทุกรุ่นต้องคิด อย่างแรกคือการที่จะผลักดันการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยได้ จะต้องทำให้โครงสร้างอำนาจเก่า ระบบที่มีปัญหาแบบเดิม ตระหนักถึงปัญหาหรือยอมลดอำนาจลง รับฟังคนรุ่นใหม่มากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะอย่างไรก็ตาม ชนชั้นนำไทย เท่าที่เห็นเรายังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงจริงๆ หรือแม้แต่มวลชน พ่อแม่ พี่น้องที่สนับสนุนแนวคิดแบบอนุรักษนิยม ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง อย่างไรเขาก็ไม่เปลี่ยน

ผศ.ดร.กนกรัตน์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม พลังเหล่านี้ เขาไม่สามารถที่จะจัดการกับความซับซ้อนของปัญหาที่กำลังคืบคลานเข้ามาในสังคมไทย ปัญหาโควิด ปัญหาโลกทางธุรกิจ ที่ยากและซับซ้อนมากขึ้น กลไกระบบรัฐแบบเดิมที่ไม่ยอมเปลี่ยน หรือชนชั้นนำที่ไม่ยอมเปลี่ยน ที่ไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง ไม่สามารถจัดการกับสิ่งที่ซับซ้อนมากในอนาคตได้

“ส่วนเรื่องที่ 2 และเรื่องที่ 3 ที่คนรุ่นใหม่ต้องคิดมากขึ้นคือ การสร้างเครือข่ายที่กว้างขวางมากขึ้นและการนำเสนอทางเลือกทั้งทางอุดมการณ์และทางนโยบาย

“อย่างแรกคือการสร้างเครือข่ายซึ่งสำคัญมาก จะทำหรือไม่ทำ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นทางเลือก คืออย่างไรก็ตาม ต้องทำ คือต้องสร้างเครือข่ายกับคนเจนเนเรชั่นเอ็กซ์ วาย และคนที่ยังไม่สนใจทางการเมือง รู้ว่ายากแต่ก็ต้องทำ เพราะคนเจนวายเป็นคนกลุ่มที่สนับสนุนการชุมนุมมากที่สุด ที่สำคัญคือการจะไปทำให้คนเจนเอ็กซ์ซึ่งหมายถึงคนอายุ 40-50 มาสนับสนุนขบวนการนี้ คือเรื่องจำเป็นมาก

“คนเหล่านี้กำลังจะได้รับผลกระทบจากโควิดมากที่สุด เพราะเมื่อเศรษฐกิจแย่ไปมากกว่านี้ คนเจนเอ็กซ์จะได้รับผลกระทบมากที่สุด การเลย์ออฟจากองค์กร คนอายุ 40-50 จะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ได้รับผลกระทบ เพราะฉะนั้น การเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงของคนรุ่นใหม่ จะทำอย่างไรให้คนกลุ่มนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการ” ผศ.ดร.กนกรัตน์กล่าว

ผศ.ดร.กนกรัตน์กล่าวว่า เรื่องที่ 2 คือการนำเสนอทางเลือก ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ไม่แฟร์ ดิฉันพูดมาตลอดว่า ในขณะที่สังคมไทยมีปัญหาด้านโครงสร้างเศรษฐกิจการเมือง ปัญหาทั้งหมดถูกสร้างโดยคนรุ่นผู้ใหญ่ แต่เรากำลังบังคับให้เด็กมาแก้ อย่างไรก็ตาม เราปฏิเสธไมได้ว่าอย่างไรคนรุ่นใหม่ก็ต้องนำเสนอทางเลือก

“ปีที่แล้วเป็นปีแห่งการบอกว่าปัญหาคืออะไร แต่ปีนี้เสียงถูกได้ยินแล้ว ปีนี้คือปีแห่งการนำเสนอทางเลือกเพราะขบวนการจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ ทางเลือกในการแก้ปัญหาจะต้องมาจากคนรุ่นใหม่” ผศ.ดร.กนกรัตน์กล่าว



ในตอนท้าย ผศ.ดร.กนกรัตน์ กล่าวใน 3 ประเด็นที่ต้องผลักดันเพื่อเบรกทรู หรือฝ่าฟันอุปสรรค ได้แก่ 1.ทางเลือกในการสร้างสถาบันทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง กลไกทางการเมือง ที่ต้องไปไกลกว่าพรรคการเมืองแบบเดิม 2.อุดมการณ์และฐานคิดทางการเมือง ซึ่งการเกิดขึ้นของ RT restart Thailand และการเริ่มถกเถียงเรื่องอุดมการณ์ทางการเมืองเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเปิดพื้นที่ทางการเมืองในการถกเถียงในสังคมไทย 3.การสร้างทางเลือกในวัฒนธรรมทางการเมืองแห่งการร่วมมือถกเถียง แต่ไม่ใช่การห้ำหั่น ต่อสู้กันแบบเอาเป็นเอาตายอย่างที่คนรุ่นผู้ใหญ่เป็น

“จากการประเมิน 1 ปีที่ผ่านมา ขบวนการคนรุ่นใหม่น่าสนใจมาก ในการสร้างนอร์มแบบนี้ แม้พวกเขาจะหลากหลาย คิดแตกต่างกัน แต่ก็ทำงานร่วมกัน ทะเลาะกันบ้าง ขัดแย้งกันบ้าง ถกเถียงกันตลอดเวลา แต่เราไม่เห็นการต่อสู้เอาเป็นเอาตายอย่างไร้เหตุผลแบบการเมืองในอดีต

“การจะเบรกทรูไปได้ ต้องผลักดัน 3 เรื่องนี้ไปด้วยกัน ถามว่ายากไหม ยากมาก ท่ามกลางกระแสการเมืองที่ชนชั้นนำไทย รัฐไทยกำลังพยายามที่จะต่อต้านไม่ให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เราต้องยอมรับก่อนว่าการลุกขึ้นมาของพวกเขามันมีอยู่จริง ความพยายามในการแก้ไขปัญหา ผลักดัน เพื่อบอกเราว่าปัญหาทั้งหมดของสังคมไทย เราหลีกเลี่ยงที่จะจัดการจริงๆ ไม่ได้แล้ว

“เราต้องยอมรับว่า ปัญหาทั้งหมดนี้ พวกเรา คนรุ่นก่อนหน้านี้ มีส่วนในการสร้าง หรือการยอมให้มันดำรงอยู่ในทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นความผิดของพวกเรา

“เรื่องสุดท้ายคือต้องยอมรับข้อจำกัดของพวกเราเอง ยอมให้อนาคตเป็นผู้เสนอทางเลือกอนาคตของเขา ข้อคิดแบบคนมีประสบการณ์มากกว่า คนอาบน้ำร้อนมาก่อน มันอาจใช้ไม่ได้แล้วในการบอกว่าใครคือคนที่เหมาะสมในการนำเสนอทางเลือก และทางออกในอนาคต” ผศ.ดร.กนกรัตน์กล่าว
...



https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2553937

สำหรับผู้ที่พลาดชมเวอร์ชวล คอนเฟอเรนซ์ ในครั้งนี้ สามารถรับชมคลิปฉบับเต็มได้ในวันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ เวลา 20.00 น. ทางเฟซบุ๊ก มติชน ข่าวสด และประชาชาติธุรกิจ

Thailand protests: How much is the king worth?


Thailand protests: How much is the king worth? | Counting the Cost

Al Jazeera English

Jan 30, 2021

Anti-government protests kicked off in Thailand last year after a pro-democracy party was disbanded for opposing the military government. 

The protests escalated and morphed into demands for the monarchy to be reformed. It has long been thought that Thailand’s monarch was the richest in the world. 

The country's economy has contracted more than 6 percent due to the pandemic. Millions are unemployed and there is little prospect of a tourism revival.

ชาวเยอรมนีอำลา นรม.Merkel ด้วยเสียงปรบมืออันอบอุ่น 6 นาที สมถะ ไม่เคยมอบหมายให้ญาติของเธอเป็นเลขานุการ เมื่อไรบ้านเราจะมีนายกฯแบบนี้



Vanchai Tantivitayapitak
January 28 at 10:44 PM ·

ชาวเยอรมนีอำลา นรม.Merkel ด้วยเสียงปรบมืออันอบอุ่น 6 นาที

Cr:internet

เมื่อไรบ้านเราจะมีนายกฯแบบนี้

ชาวเยอรมันเลือกให้ นรม.Merkel เป็นผู้นำประเทศและบริหารงานในฐานะ นรม.เป็นเวลา 18 ปี (ประชากรเยอรมัน ๘๐ ล้านคน) ด้วยความสามารถทักษะความทุ่มเทและความจริงใจ

ในช่วง ๑๘ ปีที่บริหารประเทศ ไม่มีการกล่าวหาหรือล่วงละเมิดใด ๆ ต่อ นรม.
ไม่เคยมอบหมายให้ญาติของเธอเป็นเลขานุการ
ไม่เคยอ้างว่าเธอเป็นผู้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้เยอรมัน
ไม่เคยมีใครรับเงินจำนวนมากจากเธอ
ไม่เคยต่อสู้กับผู้ที่สนับสนุนเธอและไม่ได้สนับสนุนเธอ
เธอไม่เคยพูดเรื่องไร้สาระ
และเธอไม่เคยปรากฏตัวในตรอกซอกซอยของเบอร์ลินให้ได้ถ่ายภาพ

นรม.Angelica Merkel ผู้หญิงที่ถูกขนานนามว่า "The Lady of the World" และได้รับการอธิบายว่าเทียบเท่ากับผู้ชายหกล้านคน

เมื่อวานนี้ Merkel ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคและส่งมอบให้กับหัวหน้าพรรคคนใหม่ ในช่วงที่เยอรมนีและคนเยอรมันอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด

ปฏิกิริยาของชาวเยอรมันนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของชาวเยอรมัน .. ผู้คนทั้งหมดออกไปที่ระเบียงบ้านและปรบมือให้เธออย่างเป็นธรรมชาติเป็นเวลา 6 นาทีด้วยเสียงปรบมืออันอบอุ่นต่อเนื่องโดยปราศจากกวีหรือสิ่งปรุงแต่งใดๆ

เยอรมนียืนหยัดเป็นหนึ่งเดียวในการอำลาผู้นำเยอรมนี อดีตนักฟิสิกส์เคมีที่ไม่ถูกครอบงำด้วยแฟชั่น และไม่ซื้ออสังหาริมทรัพย์รถยนต์เรือยอทช์และเครื่องบินส่วนตัวเธอบอกตัวเองว่า เธอเติบโตมาจากเยอรมนีตะวันออกในอดีต 

เธอออกจากตำแหน่งผู้นำหลังจากสิบแปดปีและไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเก่าของเธอ
พระเจ้าอยู่เหนือผู้นำที่เงียบงันนี้
ขอให้พระเจ้าอยู่เหนือความยิ่งใหญ่ของเยอรมนี 

ในงานแถลงข่าวนักข่าวหญิงคนหนึ่งถาม Merkel: เราสังเกตเห็นว่าชุดของคุณซ้ำแล้วซ้ำอีกใช่ไหม
เธอตอบว่า: ฉันเป็นพนักงานราชการไม่ใช่นางแบบ

ในงานแถลงข่าวอีกครั้งพวกเขาถามเธอว่า: คุณมีแม่บ้านที่ทำความสะอาดบ้านเตรียมอาหารและอื่น ๆ หรือไม่?

คำตอบของเธอคือไม่ฉันไม่มีคนงานหญิงและฉันไม่ต้องการพวกเขา ฉันและสามีทำงานนี้ที่บ้านทุกวัน

นักข่าวอีกคนถามว่าใครเป็นคนซักเสื้อผ้าคุณหรือสามีของคุณ?

คำตอบ: ฉันจัดเสื้อผ้าและสามีของฉันเป็นคนที่ใช้เครื่องซักผ้าและโดยปกติจะเป็นเวลากลางคืน และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องคำนึงถึง เพื่อนบ้านต้องไม่เดือดร้อนหรือไม่สบายใจ ทั้งนี้กำแพงกั้นอพาร์ตเมนต์ของเราจากเพื่อนบ้านก็หนาเพียงพอ ( จากเสียงเครื่องซักผ้า)

เธอกล่าวว่า: ฉันคาดหวังว่า คุณ( นักข่าว) จะถามฉันเกี่ยวกับความสำเร็จและความล้มเหลวในการทำงานของเราในรัฐบาล

นาง Merkel อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ธรรมดาเหมือนพลเมืองคนอื่น ๆ .. อพาร์ทเมนต์แห่งนี้เธออาศัยอยู่ก่อนที่จะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีของเยอรมนีและเธอไม่ได้ออกไปและไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านพักหรูหราที่มีทั้งคนรับใช้สระว่ายน้ำและสวนดอกไม้

นี่คือ Merkel นายกรัฐมนตรีเยอรมนีประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป !

Cr:internet

กองทัพเมียนมา ออกแถลงการณ์ เช้าวันเสาร์ ว่าจะปฏิบัติตามกฎหมาย และ เคารพรัฐธรรมนูญ นักวิเคราะห์ ตีความ อาจจะไม่มีรัฐประหาร

สุชาติ สวัสดิ์ศรี
7h ·
กองทัพเมียนมาออกแถลงการณ์ เมื่อเช้านี้ หลังจากประเมินแล้วว่าไม่มี "ตัวช่วย" เช่น กปปส.มา "เป่านกหวีด" และ "กวีภิวัฒน์" มาเขียนบทกวีสนับสนุนการ "ปิดกรุงเนปิดอร์" เพื่อให้ทหารทำรัฐประหาร และฉีกรัฐธรรมนูญ ( งมงายอีกแล้วเรา )

หนังสือชุด"ประวัติศาสตร์ที่เราลืม" ของวินทร์ ไม่น่าเชื่อถือ !


นก เสรีชน
ฉันอยู่ที่นั่นในช่วงเวลานั้น และมันไม่ใช่

Kritsana Kongwoot
ผิดหวังเช่นกันครับ​ ใช้ถ้อยคำบิดเหตุการณ์​จริงให้เป็นไปตามอคติของตนเอง

Ake Home
ดังมาจาก บิดเบือน 2475 เป็นการแย่งชิงอำนาจกัน
.....
Nithinand Yorsaengrat
11h ·

หนังสือชุด"ประวัติศาสตร์ที่เราลืม" ของคุณวินทร์ ใช้คำว่า "ประวัติศาสตร์" แต่จริง ๆ มันคือ "นิยาย" ที่มาจากโลกคู่ขนานในมโนของคุณวินทร์
.
แต่แม้นิยายคือนิยาย นักเขียนก็ไม่ควรใส่ร้ายชาวบ้านเป็นตุเป็นตะไหมคะ?
.
โดยเฉพาะเรื่อง "เผาเมืองหลวง" (ซึ่งจริง ๆ คือเผาห้าง) ที่แม้ไม่ต้องอ้างคำพิพากษาศาลฎีกาปี 2562 ว่าคนเสื้อแดงไม่ได้เผา ฟังจากนักข่าวภาคสนามหลายคนหลายสำนัก ก็ยืนยันตรงกันว่าเวลานั้นถนนเงียบกริบ เสื้อแดงหลบอยู่ในวัดปทุม (รอรับความตาย) ไม่มีทางเป็นคนเผาห้างได้เลย
.
แถมยังอ้างเนียน ๆ ว่ามีทฤษฎีเสื้อแดง 6 ศพในวัดปทุมฯ เป็นผลงานของการ์ด นปช!
.
ไม่ซื้อค่ะ!
.....



ค่าตอบแทน #นักกฎหมายภาครัฐ ข้อมูลล่าสุด พ.ค. 2563



ถามกฎหมาย
May 22, 2020 ·

ค่าตอบแทน #นักกฎหมายภาครัฐ (ล่าสุด พ.ค. 2563)
.
หลังจากได้แนะนำรายได้ของ Law Firm ไปแล้ว วันนี้ขอเอาค่าตอบแทนของ #นักกฎหมายภาครัฐ มาฝากบ้าง เผื่อนักกฎหมายป้ายแดงจบใหม่สนใจนะครับ (ส่วนท่านนักกฎหมายเก๋า ๆ มีอะไรแลกเปลี่ยนได้ เชิญนะครับ)
(ขอบพระคุณเพจ กฎหมายและคดีรัฐธรรมนูญ กรุณาแนะนำไว้ ผมขอนำมาย่อยให้อีกทีครับ)
.
1. สายงานฝ่ายตุลาการ
1.1 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (เงินเดือน+เงินประจำตำแหน่ง = 138,090 บาท)
1.2 ผู้พิพากษาและดะโต๊ะยุติธรรมในศาลยุติธรรม (เงินเดือน+เงินประจำตำแหน่ง = 30,000 – 138,090 บาท)
1.3 ตุลาการศาลปกครอง (เงินเดือน+เงินประจำตำแหน่ง = 74,360 – 138,090 บาท)
1.4 ข้าราชการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ (ฐานเงินเดือน 15,000 – 76,800 บาท + ค่าตอบแทนพิเศษ 8,000 – 33,000 บาท)
1.5 พนักงานคดีปกครอง สำนักงานศาลปกครอง (ฐานเงินเดือน 15,000 – 76,800 บาท + ค่าตอบแทนพิเศษ 7,000 – 12,000 บาท +เงินส่งเสริมประสิทธิภาพฯ 6,000 – 20,000 บาท)
.
2. สายงานฝ่ายอัยการ
2.1 ข้าราชการอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด (เงินเดือน+เงินประจำตำแหน่ง = 35,000 – 131,920 บาท)
2.2 ข้าราชการธุรการ สำนักงานอัยการสูงสุด (ฐานเงินเดือน 15,000 – 76,800 บาท + ค่าตอบแทนพิเศษ 4,500 – 16,500 บาท)
.
3. สายงานฝ่ายนิติบัญญัติ
3.1 ข้าราชการรัฐสภาสามัญ (นิติกรรัฐสภา) (ฐานเงินเดือน 15,000 – 76,800 บาท + ค่าตอบแทนพิเศษ 8,000 – 33,000 บาท)
3.2 นักกฎหมายนิติบัญญัติ (เงินตาม 3.1 +เงินประจำตำแหน่ง 10,000 – 20,000 บาท)
.
4. สายงานฝ่ายบริหาร
4.1 นักกฎหมายกฤษฎีกา (ฐานเงินเดือน 15,000 – 76,800 บาท + เงินเพิ่มสำหรับตำแหน่ง 25,000 – 40,000 บาท)
4.2 พนักงานคดีพิเศษ และเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ฐานเงินเดือน 15,000 – 76,800 บาท + เงินเพิ่มสำหรับตำแหน่ง 10,000 – 42,000 บาท)
4.3 พนักงาน ป.ป.ท. สำนักงาน ป.ป.ท. (ฐานเงินเดือน 15,000 – 76,800 บาท + เงินเพิ่มสำหรับตำแหน่ง 20,000 – 32,000 บาท)
4.4 พนักงานคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม (ฐานเงินเดือน 15,000 – 76,800 บาท + เงินเพิ่ม 2,000 บาท)
4.5 ข้าราชการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฐานเงินเดือน 15,000 – 76,800 บาท + เงินเพิ่มสำหรับตำแหน่ง 3,500 – 23,000 บาท)
4.6 นิติกรทุกส่วนราชการในฝ่ายบริหาร (ฐานเงินเดือน 15,000 – 76,800 บาท +เงินเพิ่ม 3,000 – 6,000)
.
5. สายงานองค์กรอิสระ
5.1 พนักงานไต่สวน สำนักงาน ป.ป.ช. (ฐานเงินเดือน 15,000 – 76,800 บาท + ค่าตอบแทนพิเศษ 12,000 – 40,000 บาท)
5.2 ข้าราชการ/ลูกจ้าง สำนักงาน ป.ป.ช. (ฐานเงินเดือน 15,000 – 76,800 บาท + ค่าตอบแทนพิเศษ 4,000 – 20,000 บาท)
5.3 ข้าราชการ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (ฐานเงินเดือน 15,000 – 76,800 บาท ค่าตอบแทนพิเศษ 2,000 – 20,000 บาท)
5.4 ข้าราชการสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ฐานเงินเดือน 15,000 – 76,800 บาท + ค่าตอบแทนพิเศษ 6,000 – 33,000 บาท)
.
ยังขาดตำรวจ/ทหารและอีกหลายหน่วย ใครมีอะไรมาแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมได้นะครับ
.
(คำเตือน : อัตราค่าตอบแทนเป็นไปตาม "ภาระหน้าที่รับผิดชอบ" ซึ่งแปรผันตรงกับคุณวุฒิและความยาก/ง่าย ในการเข้าสู่ตำแหน่งด้วย)
.
ปล. ปัจจุบันจะเห็นได้ว่า ภาพรวมของค่าตอบแทนแต่ละสายงานแทบไม่ต่างกันมากเท่าไร จึงสะท้อนให้เห็นนะครับว่า ในวิชาชีพกฎหมาย เราสามารถเลือกทำงานตามความถนัดได้ ซึ่งจะทำให้งานออกมาดี และผลประโยชน์จะตกแก่ประชาชนในที่สุด (อย่าไปกังวลกับค่าตอบแทนมาก รัฐเขาจ้างพอใช้ครับ)
.
Edit1 : ข้าราชการธุรการ สำนักงานอัยการสูงสุด (อัพเดตค่าตอบแทนพิเศษเป็น 6,000 - 20,000) เพิ่มในเอกสารอ้างอิงแล้ว
.
เอกสารอ้างอิง
สายงานฝ่ายตุลาการ
-https://library2.parliament.go.th/…/co…/law135-281261-17.pdf
- https://library2.parliament.go.th/…/con…/law135-281261-1.pdf
- http://web.senate.go.th/bill/bk_data/393-6.pdf
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2554/A/076/18.PDF
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2554/A/076/14.PDF
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2557/A/072/4.PDF
สายงานฝ่ายนิติบัญญัติ
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2555/E/087/2.PDF
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/…/P…/2561/E/261/T_0013.PDF.
สายงานฝ่ายอัยการ
- https://drive.google.com/…/1fyG9vb1Mf8u8qAOU9xDnFjB4Jd…/view
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2555/A/065/25.PDF
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2557/A/032/17.PDF
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/…/P…/2563/A/036/T_0023.PDF
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2557/A/032/17.PDF
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/.../A/036/T_0023.PDF...
สายงานฝ่ายบริหาร
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2551/A/013/20.PDF
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/0E/00148589.PDF
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2559/E/066/1.PDF
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2561/E/020/8.PDF
- https://www.ocsc.go.th/.../attachment/circular/w13-2560.pdf
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2558/E/098/17.PDF
สายองค์กรอิสระ
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/099/27.PDF
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/017/4.PDF
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2558/A/001/32.PDF
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/…/P…/2562/A/081/T_0001.PDF
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2556/A/052/14.PDF
- https://library2.parliament.go.th/…/co…/law135-281261-11.pdf
.....

ข้าราชการปลดแอก - Free Thai Civil Servant
January 28 at 3:48 AM ·
ตาลาย แต่ข้อมูลแน่น

Mana Siri
ถ้ามีความดีและความยุติธรรมจริง ก็ไม่เสียดายเงินเดือนที่จ่ายไปโดยภาษีประชาชนหรอก

Somsakk Rakchareon
แพงมาก ใช้หุ่นยนต์น่าจะถูกกว่ามาก

รณรงค์ขอให้นกชนหินเป็นสัตว์ป่าสงวนอันดับที่ 20 ของไทย #Saveนกชนหิน #SaveHornbill




Environman
18h ·

ANIMAL: ไม่มีใครต้องการหัวนกเงือก เท่าตัวนกเงือกเอง ชวนดูการเร่งผลักดันให้นกชนหิน สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤต เป็นสัตว์ป่าสงวน ลำดับที่ 20 ของประเทศไทย #Saveนกชนหิน
.
นกชนหิน Rhinoplax vigil ถือเป็นสัตว์โบราณและเชื่อกันว่ามีความเก่าแก่ถึงขนาดเรียกได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของนกเงือกแห่งเอเชีย ที่ยังคงมีชีวิตอยู่มาจนถึงปัจจุบัน อาศัยในป่าดงดิบ และกระจายพันธุ์ตั้งแต่ทางตอนใต้ของไทย บางส่วนของพม่า เรื่อยไปจนถึงมาเลเซีย และอินโดนีเซีย
.
นกชนหินเป็นนกที่มีลักษณะแปลกเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง มีจุดเด่นอยู่ตรงโหนกที่ตันต่างจากนกเงือกชนิดอื่น และนั่นเองทำให้ถูกมนุษย์ตีราคาอวัยวะชิ้นนี้ไม่ต่างจากงาช้าง โดยให้ชื่อว่า “งาช้างสีเลือด” กลายเป็นสิ่งดึงดูดใจผู้มีความเชื่อผิดๆ นิยมบูชางาเป็นวัตถุมงคลแห่งความมั่งคั่ง
.
ช่วงที่ผ่านมามีการพบการค้านกเงือกอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะนกชนหิน Rhinoplax vigil ทางองค์กร TRAFFIC จึงได้ทำการสำรวจติดตามและศึกษา เพื่อประเมินและประมาณขนาดของการค้านกชนหิน รวมถึงชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์ของนกเงือกชนิดพันธุ์อื่นๆ บนช่องทางสื่อสังคมออนไลน์หรือ เฟซบุ๊ก ทั้งในกลุ่มเปิดและกลุ่มปิดในประเทศไทย โดยทุกกลุ่มเป็นกลุ่มที่เสนอขายผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่าต่างๆ การค้าชิ้นส่วนหรือผลิตภัณฑ์ใดๆ จากนกเงือกนั้นเป็นสิ่งผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
.
สำหรับประเทศไทย โดยข้อมูลที่ TRAFFIC พบจากการสำรวจติดตามในช่วงปี 2557-2562 มีการโพสต์เสนอขายกว่า 236 โพสต์ ที่เสนอขายชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์จากนกเงือกกว่า 546 ชิ้น โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นชิ้นส่วนของนกชนหินไม่ว่าจะเป็นโหนกหัว จี้ห้อยคอ แหวน สร้อยคอ กำไลข้อมือ นกสตาฟ และอื่นๆ
.
ปัจจุบัน นกชนหินมีสถานภาพด้านการอนุรักษ์ว่า "ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง "CriticalEndangeredSpecies" จากการจัดสถานภาพของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ ของสหภาพว่า ด้วยการอนุรักษ์สากล/ IUCN จำนวนนกชนหินแทบจะหมดไปจาก บอร์เนียว อินโดนีเซีย และพื้นที่อื่นๆทีเคยพบชุกชุม
.
สำหรับประเทศไทย ขณะนี้สถานภาพของนกชนหิน ซึ่งเป็น 1 ใน 13 ชนิดของกลุ่มนกเงือกในไทย คาดว่าจะมีประชากรประมาณ 50 - 80 คู่ โดยพบการกระจายพันธุ์ ตั้งแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไปจนถึงป่าฮาลาบาลา จ.นราธิวาส ดังนั้นความต้องการทางตลาดจึงพุ่งเป้ามาที่นกชนหินบ้านเรา ขณะนี้เริ่มมีขบวนการล่านกชนหินอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ บูโดสุไหงปาดี นราธิวาส กำลังเจ้าหน้าที่ที่มีอยู่เพียงน้อยนิด อาจไม่สามารถป้องปรามภัยคุกคามนี้ได้ ทำให้หลายฝ่ายมีความเป็นห่วงเป็นใยนกชนหินว่าจะสูญพันธุ์ไปในไม่ช้า
.
จึงเป็นที่มาของการรณรงค์ “สนับสนุนให้นกชนหินเป็นสัตว์สงวนลำดับที่ 20 ของประเทศไทย” และมีการร่วมลงชื่อผ่าน Change.org และมีผู้เข้าร่วมลงชื่อว่า 30,315 คน (ข้อมูลวันที่ 24 มกราคม 2564) โดยเครือข่ายอนุรักษ์ และมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร
.
ซึ่งได้เรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดให้นกชนหินได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นสัตว์ป่าสงวนตัวที่ 20 ของประเทศไทย และมีแผนการจัดการ อนุรักษ์ ปกป้องนกชนหินให้ปลอดภัยจากภัยคุกคามต่างๆ ร่วมถึงมีแนวทางที่ชัดเจนต่อการ ฟื้นฟูประชากรนกชนหินให้มีจำนวนมากขึ้น
.
และในวันที่ 4 มีนาคม 2563 เครือข่ายอนุรักษ์ได้ยื่นเอกสารประกอบเสนอนกชนหินเป็นสัตว์ป่าสงวนลำดับที่ 20 ของไทย แก่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์ โดยปัจจุบันกรมอุทยานแห่งชาติฯ กำลังรวบรวมข้อมูลที่ได้จากพื้นที่ เพื่อเตรียมเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าต่อไป
.
ปัจจุบันสัตว์ป่าหลากหลายชนิดทั้งบนบก และในน้ำกำลังถูกฆ่า และล่าอย่างมหาศาล เพื่อความสุข ความสำราญของเรา จนกำลังลดจำนวนอย่างมากในขณะนี้ ประกอบกับภัยคุกคามอื่นๆไม่ว่าจะเป็นการตัดไม้ทำลายป่า มลพิษ สารพิษ ที่ทำให้สัตว์ป่ามีจำนวนลดลงอีกด้วย
.
ซึ่งนกชนหินเป็นหนึ่งในสัตว์ป่าที่ถูกคุกคามจนใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤติ เราทุกคนสามารถช่วยกันอนุรักษ์ได้โดยการผลักดันให้มีการอนุรักษ์ ไม่ตัดไม้ทำลายป่า ไม่ล่า ไม่ซื้อ ไม่สนับสนุนสินค้าที่เป็นการทำลายสัตว์ป่า และสอดส่องพฤติกรรมดังกล่าว
.
เพื่อให้สัตว์ป่าอยู่คู่กับโลกของเราไปตราบนาน
.
ไม่มีใครต้องการหัวนกเงือก เท่าตัวนกเงือกเอง
.
Source
1. https://www.facebook.com/130907225826/posts/10159323258935827/?d=n

2. https://www.facebook.com/1523107561151019/posts/2227233190738449/?d=n

3. https://fb.watch/3jBt7UnrG3/

4. https://www.deqp.go.th/new/สถานะ-นกชนหิน-เสี่ยงสู/
.....
ขอให้นกชนหินเป็นสัตว์ป่าสงวนอันดับที่ 20 ของไทย



มูลนิธิสืบนาคะเสถียร started this petition to การกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

นกชนหิน Rhinoplax vigil ถือเป็นสัตว์โบราณและเชื่อกันว่ามีความเก่าแก่ถึงขนาดเรียกได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของนกเงือกแห่งเอเชีย ที่ยังคงมีชีวิตอยู่มาจนถึงปัจจุบัน อาศัยในป่าดงดิบ และกระจายพันธุ์ตั้งแต่ทางตอนใต้ของไทย บางส่วนของพม่า เรื่อยไปจนถึงมาเลเซีย และอินโดนีเซีย

นกชนหินเป็นนกที่มีลักษณะแปลกเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง มีจุดเด่นอยู่ตรงโหนกที่ตันต่างจากนกเงือกชนิดอื่น และนั่นเองทำให้ถูกมนุษย์ตีราคาอวัยวะชิ้นนี้ไม่ต่างจากงาช้าง โดยให้ชื่อว่า “งาช้างสีเลือด” กลายเป็นสิ่งดึงดูดใจผู้มีความเชื่อผิดๆ นิยมบูชางาเป็นวัตถุมงคลแห่งความมั่งคั่ง

เนื่องด้วยในช่วงปีที่ผ่านมามีการพบการค้านกเงือกอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะนกชนหิน Rhinoplax vigil ทางองค์กร TRAFFIC จึงได้ทำการสำรวจติดตามและศึกษา เพื่อประเมินและประมาณขนาดของการค้านกชนหิน รวมถึงชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์ของนกเงือกชนิดพันธุ์อื่นๆ บนช่องทางสื่อสังคมออนไลน์หรือ เฟซบุ๊ก ทั้งในกลุ่มเปิดและกลุ่มปิดในประเทศไทย โดยทุกกลุ่มเป็นกลุ่มที่เสนอขายผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่าต่างๆ การค้าชิ้นส่วนหรือผลิตภัณฑ์ใดๆ จากนกเงือกนั้นเป็นสิ่งผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535

สำหรับประเทศไทย โดยข้อมูลที่ TRAFFIC พบจากการสำรวจติดตามเป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 - เมษายน 2562 มีประเด็นสำคัญดังนี้
พบการโพสต์เสนอขาย อย่างน้อย 236 โพสต์ ที่เสนอขายชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์จากนกเงือกมากกว่า 546 ชิ้น ในกลุ่ม 32 กลุ่ม จากทั้งหมด 40 กลุ่มที่ทำการสำรวจติดตาม
โพสต์ทั้งหมดถูกเสนอขายในช่วงเวลา 64 เดือน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2557 ถึง เมษายน 2562
นกชนหิน คิดเป็นสัดส่วน 83% จากชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์นกเงือกทั้งหมด
แบ่งหมวดหมู่ของชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์จากนกเงือกที่ถูกเสนอขายออกเป็น 8 หมวดใหญ่ ได้แก่ โหนกหัว, จี้ห้อยคอ, แหวน, สร้อยคอ, กำไลข้อมือ, หัวเข็มขัด, นกสตาฟ และชิ้นส่วนย่อยอื่นๆ

การล่าพ่อนกหนึ่งตัว นั่นหมายถึงการฆ่ายกครัว เพราะแม่และลูกที่ยังไม่ฝักออกมาจากไข่หรือมีอายุยังน้อยจะไม่สามารถหาอาหารกินเองได้ นอกจากกิจกรรมการล่าแล้ว นกเงือกยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ยังคงคุกคามพวกมันอย่างต่อเนื่อง ทั้งศัตรูตามธรรมชาติ ภาวะการขาดแคลนโพรง การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่ออาหารของนก และการทำลายถิ่นอาศัยตามธรรมชาติจากเงื้อมมือมนุษย์

ปัจจุบัน นกชนหินมีสถานภาพด้านการอนุรักษ์ว่า "ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง "CriticalEndangeredSpecies" จากการจัดสถานภาพของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ ของสหภาพว่า ด้วยการอนุรักษ์สากล/ IUCN จำนวนนกชนหินแทบจะหมดไปจาก บอร์เนียว อินโดนีเซีย และพื้นที่อื่นๆทีเคยพบชุกชุม

สำหรับประเทศไทย ขณะนี้สถานภาพของนกชนหิน ซึ่งเป็น 1 ใน 13 ชนิดของกลุ่มนกเงือกในไทย คาดว่าจะมีประชากรประมาณ 50 - 80 คู่ โดยพบการกระจายพันธุ์ ตั้งแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไปจนถึงป่าฮาลาบาลา จ.นราธิวาส ดังนั้นความต้องการทางตลาดจึงพุ่งเป้ามาที่นกชนหินบ้านเรา ขณะนี้เริ่มมีขบวนการล่านกชนหินอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ บูโดสุไหงปาดี นราธิวาส กำลังเจ้าหน้าที่ที่มีอยู่เพียงน้อยนิด อาจไม่สามารถป้องปรามภัยคุกคามนี้ได้ ทำให้หลายฝ่ายมีความเป็นห่วงเป็นใยนกชนหินว่าจะสูญพันธุ์ไปในไม่ช้า จึงเป็นที่มาของการรณรงค์ “สนับสนุนให้นกชนหินเป็นสัตว์สงวนลำดับที่ 20 ของประเทศไทย”

ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงขอเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดให้นกชนหินได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นสัตว์ป่าสงวนตัวที่ 20 ของประเทศไทย และมีแผนการจัดการ อนุรักษ์ ปกป้องนกชนหินให้ปลอดภัยจากภัยคุกคามต่างๆ ร่วมถึงมีแนวทางที่ชัดเจนต่อการ ฟื้นฟูประชากรนกชนหินให้มีจำนวนมากขึ้น

อย่างไรก็ตามการประกาศนกชนหินให้เป็นสัตว์สงวน จึงจำเป็นต้องมีแรงสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ทุกพลังของเราจึงมีความหมาย และนี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายของนกชนหินที่จะอยู่รอดอย่างยั่งยืนกับคนไทยต่อไป

#SaveHornbill

ร่วมลงนามที่ ลิงค์นี้



อเมสซิ่ง "หนึ่งพันศิวลึงค์" สลักไว้บนก้อนหินก้นแม่น้ำ





Jay Ketkaen
January 28 at 4:06 AM ·

เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์.เมื่อปี 2019 ที่แม่น้ำสายหนึ่งในประเทศอินเดีย.คือแม่น้าศาลมลา(Shalmala River )ใกล้เมืองสิรสิ ( Sirsi)ในรัฐกรณาฏกะ(Karnataka) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดียแห้งขอดลง....และแล้วความน่าตื่นตะลึงก็บังเกิดขึ้นแก่สายตาผู้พบเห็น..หลังจากเป็นความลับที่โดนปิดบังโดยสายน้ำมานาน.หลายร้อยปี เมื่อมีสิ่งหนึ่งโผล่ขึ้นมาให้เห็น..นั่นคือแท่งศิวลึงค์( Shiva Lingas) นับพันที่มีการแกะสลักไว้บนก้อนหินที่ก้นแม่น้ำ.

แม่น้าศาลมลา. ที่พบศิวลึงค์นับพัน ก็เลยรู้จักกันในอีก ชื่อว่า "สหัสรลิงคะ" (Sahas ralinga)ในภาษาสันสกฤต..แปลแล้วมีความหมาย ว่า"หนึ่งพันศิวลึงค์"

ที่นี่กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์ โด่งดังขึ้น มีนักแสวงบุญเดินทางมาเยี่ยมเยือนมิขาดสาย.เพื่อสวดมนต์เฉลิมฉลองให้กับพระศิวะโดยเฉพาะในวันสำคัญที่เรียกว่าวัน มหาสิวาราตี ( The day of Maha Shivarati) #ซึ่งพระศิวะนีัคือหนึ่งในตรีมูรติ หรือเทพเจ้าสูงสุดสามองค์ตามความเชื่อในศาสนา พราหมณ์ฮินดู (อีกสององค์ได้แก่ พระพรหมและพระวิษณุ)

ศิวลึงค์มากมายเหล่านี้. จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ..สร้างขึ้นในยุคที่ยังไม่มีประเทศอินเดีย..แผ่นดินชมพูทวีปยังเป็นอาณาจักรอิสระอาณาจักรเล็ก อาณาจักรน้อยมากมาย

ศิวลึงค์นับพันใต้ก้นเเม่น้ำ สร้างขึ้นเมื่อช่วงปี.1678 และ1718 ในสมัยของ สทาศิวรายะ Sadashivaraya.แห่งอาณาจักรวิชัยนคร (Vijayanagar Kingdom).. ที่ตั้งทางตอนใต้ของประเทศอินเดียในปัจจุบัน .

.จุดมุ่งหมายในการสร้างก็เพื่อบูชาพระศิวะ.ในความเชื่อที่ว่า จะช่วยให้ได้เป็นองค์ทายาทขึ้นครองราชณาจักรต่อไป
ซึ่งอาณาจักรวิชัยนครก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1336 โดยพระเจ้าหริหระราชาที่ 1และพระอนุชาพระเจ้าพุกกะรายะที่ 1 (Bukka Raya I) และรุ่งเรืองต่อมาจนกระทั่งปี ค.ศ. 1646 ก่อนที่จะลามสลายไปเมื่อพ่ายแพ้ต่ออาณาจักรสุลต่านแห่งเด็คคาน (Deccan sultanates) .

ศิวลึงค์นี้ถือเป็นสิ่งเคารพอย่างหนึ่งของผู้ที่นับถือศาสนาพราหมณ์ฮินดูในอินเดีย

เป็นสัญญลักษณ์แทนพระศิวะหรืออิศวร ซึ่งเป็นเทพเคารพสูงสุดของศาสนาพราหมณ์ฮินดู

ศิวลึงค์หรืออวัยวะเพศชายนี้ ตามความเชื่อของผู้นับถือศาสนาพราหมณ์ฮินดู ถือว่า เป็นต้นกำเนิดของชีวิตและความอุดมสมบูรณ์ ชีวิตทุกชีวิตในโลก ดำรงอยู่ได้เนื่องมาจากผลของการร่วมกันระหว่างสาระสำคัญของเพศชายและหญิง

อนึ่งอำนาจในการสร้างสรรค์และสืบต่อของอวัยวะเพศนี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่มีต่อความอุดมสมบูรณ์ของพื้นแผ่นดิน และพืชพันธุ์ธัญญาหารในโลกอีกด้วย

ลัทธิบูชาศิวลึงค์นี้เกิดขึ้นในอินเดียเมื่อ 5,000 ปีมาแล้ว หรือ 3,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช เกิดขึ้นครั้งแรกที่บริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุในแคว้นปัญจาบของอินเดีย

จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในบริเวณเมืองโบราณโมเฮนโจดาโร และฮารัปปา ในแคว้นปัญจาบตะวันตก และทางเหนือของเมืองการจี เมื่อ ค.ศ. 1922 และ 1924 (พ.ศ. 2465 และ 2467) 

พูดถึงการแกะสลักศิวลึงค์ไว้บนก้อนหินก้นแม่น้ำ

ยังมีอีกที่ในประเทศเพื่อนบ้านเรา ที่รู้จักกันดี..คือที่เสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา.เรียกศิวลึงค์เหล่านี้ว่า กบาลสะเปียน( Kbal Spean )ซึ่งตรงกับความหมายในภาษาอังกฤษว่า.the Head Bridge’ .หรือแปลว่า "หัวสะพาน'
ถูกค้นพบโดย ชอง บูเเบท ฟ(Jean Boulbet) นักชาติพันธุ์วิทยา(ethnologist) ชาวใรั่งเศส เมื่อปี 1969
พบตั้งอยู่บริเวณเขากุเลน มีการแกะสลักหินเป็นรูปศิวลึงค์ไว้ใต้ลำธาร