วันอาทิตย์, กันยายน 09, 2561

ซิงเกิลมัม ‘หาเช้ากินค่ำ’ ขายของ ขายสัญลักษณ์ แค่นั้นก็จะโดนจับ โดนเล่นงานทางกฎหมาย หาเงินประกันตัวไม่ได้ก็เข้าคุกไป

หาเช้ากินค่ำคำของ Mutita Pla Chuachang ผู้สื่อข่าวมือฉมังเมื่อครั้ง เสื้อแดง โดน ๑๑๒ กันระนาว เดี๋ยวนี้แค่ระแนงเพราะเห็นแจ้งว่ามั่ว และใช้เป็นเครื่องมือการเมือง ฟัน ฝ่ายตรงข้าม จนระคายเคืองเบื้องบาจา จึงหันไปหาไปใช้ ๑๑๖ มากกว่า

เธอพูดถึง “ซิงเกิลมัม มีลูก ๒ คน มอสองกะปอสี่” ที่ได้ไปเยี่ยม “ห้องเช่าหว่องๆ หน่อย ตึกดูเก่ามาก แต่กว้าง ลมพัด ของระเกะระกะหน้าห้องทุกห้อง ราคาเช่าไม่ถึง ๒ พัน หมกตัวในย่านหนอนปลาร้าคนหนาแน่น”

ขณะนี้ มัมยังถูกควบคุมตัวอยู่ในค่ายทหาร และมีคนจะพาลูกทั้งสอง คนหนึ่งอายุ ๑๔ ปี อีกคน ๙ ขวบ เข้าไปเยี่ยมแม่วัย ๓๐ ปี อาชีพ วินมอเตอร์ไซค์ ซึ่งถูกทหารพาตัวไปไม่รู้ข้อหา เพียงแต่ว่าเธอมีเสื้อยืดสีดำหน้าอกปักแถบเล็กๆ สีขาวแดงหลายตัวไว้ในครอบครอง

แถบขาวแดงนั้นนัยว่าเป็นสัญญลักษณ์ สหพันธรัฐไท อันแสนจะระคายเคืองต่อความมั่นคงของผู้ปกครอง จึงต้องถึงกับไปหิ้วกันถึงบ้าน โดนแล้วสองราย ยังไม่รู้จะมีมาอีกกี่ราย

รายแรกเป็นช่างเสริมสวย บ้านอยู่แถวเขตประเวศ ทหารสี่ห้าคนไปถามหาเสื้อยืดแต่เช้า ได้ไปตัวนึงจึงนำตัวเธอพร้อมลูกเล็กอายุ ๑๑ ขวบขึ้นรถตู้ไป ส่งลูกที่โรงเรียนแล้วเอาผ้าปิดตาพาแม่ไปที่ไหนไม่รู้ มารู้ตอนได้กลับบ้านค่ำแล้ว ว่าเป็น มทบ.๑๑

สำหรับรายลูกสองนี้อยู่แถวด่านสำโรง ปากน้ำ ทหารเป็นฝูงแห่กันไปที่ ห้องเช่าหว่องๆนั่นตั้งแต่ยังไม่ตื่นนอนกัน “เจ้าหน้าที่ทั้งหมดได้เข้ามาค้นในห้อง โดยไม่ได้ถอดรองเท้า และได้เหยียบไปบนที่นอนที่ปูอยู่บนพื้นด้วย” โดยสันดาน

“หลังการตรวจค้น ทหารได้นำกระสอบที่บรรจุเสื้อทั้งหมด ถุงสำหรับแพ็คเสื้อ สมุด ๑ เล่ม และคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ๑ เครื่อง ซึ่งเป็นของลูกชายคนโตไป” ด้วย วันรุ่งขึ้นลูกชายคนโตเล่าว่าแม่โทรมาหาตอนบ่ายสี่โมง ไม่ทราบว่าใช้โทรศัพท์ของใคร บอกให้ “ดูแลน้องให้ดี ๆ และใช้จ่ายอย่างประหยัด”

ก่อนหน้านี้ตอนสายของวันวาน หลังจากกลุ่มทหารนำตัวแม่ไปแล้ว มีนอกเครื่องแบบสี่นายกลับไปที่ห้องเช่า นำเงิน ๕๐๐ บาทให้ไว้กับลูกชายซึ่งไปได้ไปโรงเรียนเนื่องจากเหตุที่เกิดขึ้น


ใจความที่ทหารบอกกับหญิงที่โดนจับมีเสื้อตัวเดียวไป มทบ.๑๑ แล้วปล่อยตัวโดยไม่มีการตั้งข้อหาว่า “ห้ามเธอใส่และห้ามซื้อเสื้อเพิ่มอีก อีกทั้งทหารยังบอกว่าทหารได้คุมตัวคนขายแล้วและได้มีการซัดทอดถึงผู้ผลิตแล้ว” นั้นน่าจะหมายถึงหญิงรายปากน้ำ

ซึ่งมุทิตาบรรยายในโพสต์เรื่อง บันทึกลับจากคนชั้นกลางระดับต่ำของเธอว่า “คนพวกนี้เริ่มมีความคิดทางการเมือง อาจเป็นความคิด radical หน่อย แต่ก็แค่คิด

ปฏิบัติการจริงคือการหากลุ่ม คุยกัน ขายของ ขายสัญลักษณ์ แค่นั้นก็จะโดนจับ โดนเล่นงานทางกฎหมาย หาเงินประกันตัวไม่ได้ก็เข้าคุกไป...ชีวิตดี๊ดี”


ใช่สิชีวิตคนที่ต้อง “หาเงินตั้งแต่เช้าถึงค่ำเพื่อกินภายในวันนั้น ได้แค่นั้น เช้ามาหาใหม่ ห้ามป่วย ห้ามตาย” ภายใต้การปกครองด้วย กฎหมายแบบสำนัก จปร. ที่หนักหนาสากรรจ์กับคนในฝั่งฟากหนึ่ง แต่ละมุนละม่อมกับพวกที่อยู่ฝักฝ่ายเดียวกัน

การปกครองที่กำลังพล ขยัน ไปเยี่ยมบ้าน นัดคุย และ ปรับทัศนคติ อะไรก็ตามที่ไม่ต้องตรงกับของคณะผู้ปกครองซึ่งยึดอำนาจเขามา โดยเฉพาะกับนักการเมืองที่มีแนวคิดทางประชาธิปไตย เรื่องสิทธิเสียงในการแสดงความคิดเห็น แย้ง คณะรัฐประหาร

อย่างกรณี นคร มาฉิม อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์และผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคชาติไทยพัฒนา ถูกทหารยกทีมไปเยี่ยมบ้านโดยไม่นัดหมาย หลังจากที่เขาส่งจดหมายเปิดผนึกถึงสหภาพยุโรป “เรียกร้องสหภาพยุโรปกดดันรัฐบาล คสช.

เร่งจัดการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด ส่งตัวแทนร่วมสังเกตุการณ์และตรวจสอบกระบวนการเลือกตั้ง เพื่อให้เป็นไปโดยเสรีและเป็นธรรม สะท้อนเสียงที่แท้จริงของปวงชนชาวไทย”


แม้นว่า อียู จะแถลงชี้แจงความผิดพลาดของข่าว หัวข้อ ‘อียูรับปากบี้ คสช.จัด ลต.’ ว่าการเดินทางไปจังหวัดพิษณุโลกของคณะผู้แทนอียูนั้น เพื่อร่วมโครงการทุนการศึกษาอีราสมุส พลัส (Erasmus+) ซึ่งจัดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยนเรศวร

“สมาชิกของคณะผู้แทนฯ ได้จัดการประชุมเพิ่มเติมกับตัวแทนจากภาคประชาสังคมหลายฝ่าย ซึ่งมีแนวความคิดทางการเมืองที่หลากหลาย เพื่อเรียนรู้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ในระดับท้องถิ่น...

ไม่ได้สนับสนุนหรือรับรองมุมมองใดๆ ของบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเมืองในประเทศไทย” ก็ตาม การที่คณะของพันเอกนพดล วัชรจิตบวร เกือบสิบ ไป ปรับทัศนคตินายนครดังที่นัดหมาย ถึงจะไม่มีการใช้กิริยาข่มขู่กักขฬะ ก็มีลักษณะไม่ผิดไปจากวิธีการกดดันอย่างเผด็จการ

สมควรแล้วที่นายนครประกาศปฏิเสธการปรับทัศนคติตามที่กลุ่มทหารนั้นต้องการ “ประเด็นที่ท่านขอร้องว่าอย่าดึงองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องกับกิจการภายในประเทศนั้น ผมไม่สามารถรับปากได้”

เนื่องเพราะการเรียกร้องให้ช่วยกดดัน คสช.จัดเลือกตั้งในวิถีทางประชาธิปไตย เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิเสียงอย่างแท้จริงในประเทศไทย ไม่เพียงเป็นสิทธิมนุษยชนสากล หากเป็นสิ่งจำเป็นที่พลเมืองโลกต้องกระทำ

ดังคำชี้แจงของนายนครผ่านเฟชบุ๊คที่ว่า “เพราะผมเห็นว่ากฎ กติกาของประเทศไทยเราในปัจจุบันเป็นกฎของเผด็จการ โดยเผด็จการ และเพื่อเผด็จการ”