วันพฤหัสบดี, มกราคม 31, 2562

กทม.เตรียมโดรนพ่นน้ำหวานแก้ฝุ่น แต่น้ำลายกระจายเต็มเว็บ


ยังไม่ทันได้พ่นน้ำหวาน เงื้อง่าราคาแพง แต่น้ำลายกระจายเต็ม ค่าฝุ่นละอองเป็นพิษในอากาศนครแบงค็อกถีบขึ้นไปเป็นอันดับ ๘ ของโลกแล้ว

เมื่อตอนหลังเที่ยงวันพุธ Greenpeace Thailand @greenpeaceth แจ้งว่า “คุณภาพอากาศวัดแบบ real-time (USEPA) ขึ้นมาอยู่ลำดับที่ 8 ของเมืองที่มีคุณภาพอากาศแย่ที่สุดของโลก #ฝุ่นPM25 #ฝุ่นกรุงเทพ #ฝุ่นละอองขนาดเล็ก”

ขณะเดียวกัน สำนักข่าวไทย อสมท @TNAMCOT แถลง “กทม.เตรียมบินโดรน ๕๐ ตัว พ่นน้ำหวานดักจับฝุ่น หวังลดฝุ่นจิ๋วพรุ่งนี้! ผู้ว่าฯ กทม. ยอมรับแม้สิ่งที่ทำอาจจะไม่ได้ช่วยลดปัญหาได้ ๑๐๐% แต่ยังดีกว่าไม่ได้เริ่มทำอะไรเลย”

รายละเอียดก็คือ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม.ที่ คสช.แต่งตั้ง เผยมาตรการแก้ปัญหาโดนประชาชนด่ายับเรื่องฝุ่นแล้วกระทบไปถึงเรตติ้งว่าที่นายกรัฐมนตรีในรายชื่ออันดับ ๑ ของพรรคพลังประชารัฐ
 
ได้มีการประสานงานร่วมกับชมรมโดรนของนครราชสีมา นำโดรนขนาดเล็ก ๕๐ ตัว พร้อมคนบังคับ ๕๐ คน ที่สามารถบรรทุกน้ำได้ ตัวละ ๑๐ ลิตร มาพ่นเพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง” สงสัยเป็นเพราะไอเดียเฮียป้อมจะขึ้นไปพ่นบนยอดตึกใบหยก แล้วคนร้องฮ้า พ่นผิดที่เลยเงียบไป

นัยว่าพ่นด้วยโดรนครั้งนี้จะวิเศษกว่าเดิมเพราะน้ำที่พ่นไม่ใช่น้ำเฉยๆ แต่จะผสมน้ำหวาน กากน้ำตาล หรือ โมลาส เข้าไปด้วย ให้มีสมรรถภาพในการจับฝุ่น พีเอ็ม .๒๕ ได้ฉมัง วันก่อนไปลองพ่นแล้วเหนือบึงอะไรเนี่ย พลเมืองไซเบอร์ร้องเฮ้ย ปลาตายหมด

แต่ว่า กทม. เตรียมเลี่ยงภัยไว้แล้ว ในการพ่นวันพรุ่งนี้ ๓๑ มกรา “ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมรถน้ำไว้ล้างถนนและล้างรถยนต์ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการดำเนินการในวันพรุ่งนี้”


มาตรการอื่นแก้ผลกระทบข้างเคียงของ เวรวิธีกำจัดฝุ่นโดย กทม. ก็คือ “ผู้ว่าฯ กทม. แถลง สั่งปิดโรงเรียนสังกัด กทม. ๔๓๗ แห่ง เพื่อป้องกันผลกระทบกับเด็กนักเรียนจากปัญหาฝุ่นจิ๋ว ตั้งแต่เวลา ๑๒.๐๐ น. วันนี้ ถึงวันศุกร์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒”

คนเห็นด้วยก็มี ยิ่งชีพ (เป๋า) @yingcheep ขานรับ “เห็นด้วยครับ ให้หยุดเถอะ ให้น้องๆ พักผ่อนอยู่บ้าน พ่อแม่ก็ไม่ต้องขับรถ ลองดูเผื่อจะบรรเทาลงบ้างนะ” แต่คนที่ด่าก็ยังไม่หายไปไหน Brian♥ @brian_the_lover ย้อนให้

สั่งปิดโรงเรียนหนีฝุ่น คือ การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แถมสั่งปิดเฉพาะโรงเรียนในสังกัด กทม. แล้ว โรงเรียนอื่น ๆ ที่ไม่ได้สังกัด กทม. ไม่สั่งปิด ไม่เป็นห่วงสุขภาพเด็กหรือไง” จะว่าเป็น นานาจิตตังตามประสาประชาธิปไตยก็ไม่ถนัด

เพราะ “นายกแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ชี้สั่งปิด รร.แก้ปัญหาปลายเหตุ แนะเร่งหาต้นต่อฝุ่นจิ๋ว-เข้มงวดใช้ กม.” JS100 @js100radio รายงานไว้ที่นี่ http://www.js100.com/en/site/news/view/68136

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ อย่างที่ Weeranan Kanhar @weeranan ชี้ชัดว่า “หนักจริง แถลงข่าวยังต้องใส่ 'หน้ากาก N95'

แล้วก็มันไม่ใช่แค่นั้น ตอนนี้ประชากรออนไลน์ทั้งเม้าท์ ทั้งก่น จนจะเป็นดราม่าชุดใหม่ เช่นกรณี โหน่งวงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ ที่ย้ายสำมโนจาก อะเดย์ มาเป็นหน้าตาของ เดอะสแตนดาร์ดขณะนี้ เกิดมีข้อคิดสุดเก๋าขึ้นมา

เขาแนะนำว่าพวกคนรุ่นใหม่ เด็กจบใหม่น่าจะออกไปหางานทำในต่างจังหวัด จะได้พ้นจากปัญหาเมืองกรุง ไหนจะรถติด แล้วมาเจอฝุ่นละอองมลพิษกันอีก ก็เลยเจอขาโต้อย่าง ณรรธราวุธ เมืองสุข ว่า “คูลแค่เปลือกนอกครับ แต่เนื้อในค่อนข้าง idiot มากๆ” 
แรงส์ เขาเขียนยาวลงเนื้อหาเรื่องค่าฝุ่นจิ๋วตามตัวเลขของกรีนพี้ช โต้แย้งหักล้างกลางแสกหน้า “ค่าฝุ่นละอองและจำนวนวันที่เผชิญค่าเกินมาตรฐาน พบว่า ๗ อันดับแรกไม่ได้อยู่ใน กทม. เลย”

ลงท้ายกลายเป็น ‘character assassination’ สังหารกันที่บุคคลิกภาพ ไปเสียฉิบว่า “ทวี้ตนั้นของวงศ์ทนงแค่สะท้อนความรู้สึกลึกๆ ว่าอยากไล่ให้คนรุ่นใหม่ๆ กระจายออกไปใช้ชีวิตตามยถากรรมในเมืองอื่น โดยไม่ต้องมาแย่งอากาศหายใจ แย่งถนน แย่งอยู่แย่งกินกันในกรุงเทพฯ เพื่อให้คนชั้นกลางค่อนข้างสูงอยู่ปลอดโปร่งโล่งสบายขึ้น ต่างหาก”

จากดร่าม่าธรรมดากลายเป็นฟัดเหวี่ยงทางชนชั้นไปแล้ว แต่ในละแวกการสนทนาปัญหาสังคมโดยคนรุ่นใหม่ (ถึงจะอายุเก่าๆ อย่างวงศ์ทนง) ก็ยังมีแบบที่ ‘delighted’ ซาบซ่าในอารมณ์อยู่บ้าง อย่างเช่นการสนทนาต่อโพสต์ของ Athikhom Khoms Khunawut (น่าจะรุ่นใหม่วัยก้ำเหมือนกัน) หัวใจของ เวย์แม็กกาซีน

เขาว่า “การส่งเสริมให้ชาวกรุงเทพฯ ปลูกกล้วยทุกครัวเรือน อาจไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 มากนัก แต่อย่างน้อย มันน่าจะมีส่วนช่วยเยียวยาจิตใจ เวลารับทราบข่าวคราวมาตรการแก้ไขปัญหา เราจะได้รู้ว่าควรนำผลผลิตที่ได้ไปแจกจ่ายให้ใครบ้าง”

คนไกลปืนเที่ยงอย่างเราๆ ฟังอาจไม่เข้าใจลึกซึ้งซึมซับ ต้องไปดูเพื่อนพ้องของเขาคอมเม้นต์แล้วจึงร้องอ๋อ ถึงบางอ้อ โดยเฉพาะ Kitthanate Kullasethwattana นี่ยิงกลางเป้า

“อะไรคือปัญหา ปัญหาฝุ่น PM 2.5 หรือ ปัญหา PM 4.O...เอ๊ะ! PM ย่อมาจาก Prime Minister เปล่าครับ” นั่นไง ใครล่ะ “บานาน่า รีพับลิก ไหมล่ะมึง” โจ่งแจ้ง 

ถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีก ๔.๐ เปลี่ยนเป็น ๐.๔ อย่างที่ กานดา นาคน้อย recommended ด้วยละก็เจ๋ง

วันพุธ, มกราคม 30, 2562

พรรค ‘ปลาซิวปลาสร้อย’ คือความหวังของการปลดแอก คสช. ด้วยปากกา

ว่ากันตามหน้าตักแห่งการเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้ที่จะชี้ชะตาอนาคตทางการเมืองไทยในสองถึงห้าปีข้างหน้า ว่าจะยังคงจมปลักกับอำนาจนิยมในคณะทหารและศักดินา หรือเปิดศักราชใหม่สู่แนวทางประชาธิปไตยที่เปิดกว้างยิ่งกว่ายุคก่อนรัฐประหาร

อยู่ที่พรรคเล็กพรรคน้อย ปลาซิวปลาสร้อย ของแต่ละฝักฝ่าย ที่ว่านอกจากแสดงตนตามแนวอุดมการณ์ อำนาจนิยมกับประชาธิปไตยเปิด แล้วยังคลุกคล้าเกี่ยวพันกับสองขั้วการเมืองสองระบอบชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น  คสช.หรือ ทักษิณ

เนื่องเพราะระบบเลือกตั้งแบบแบ่งสรรปันส่วนที่บริกรกฎหมายของ คสช.ออกแบบมาให้ใช้ จะทำให้ไม่มีพรรคใดชนะถล่มทลายอย่าง ‘Landslide’ ได้อีก หรือ ยากมากๆ พรรคย่อยๆ ในแต่ละฟากจึงเป็นตัวชี้บ่งหลังทราบคะแนน ว่าฝ่ายไหนได้อำนาจต่อรองมากกว่ากัน

แม้จะมีบางพรรคอ้างตนเป็นเอกเทศไม่เข้าข้างใคร บางพรรคพยายามแสดงตัวให้พร้อมเป็นที่ยอมรับได้ของแต่ละฝ่าย แต่สายพันธุ์เบื้องลึกบ่งชัดว่าลงไปใต้ผิวหนังว่าพรรคนั้นๆ อิงอยู่กับฝ่ายใด

หากเปรียบการเลือกตั้งนี้เป็นการสู้ศึก บรรดาทัพหน้า ทัพหลัง และพลรบกองโจรของแต่ละฝั่งจะเป็นกำลังสำคัญต่อชัยชนะของทัพหลวง

ในที่นี้จะเอ่ยถึงพรรคปลาซิวปลาร้อยเพียงบางราย ซึ่งอยู่ในแนวทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ ‘inflict’ ต่อพรรคใหญ่ฝ่ายตรงข้ามได้

ในฝักฝ่ายของ คสช. นอกจากพรรคพลังประชารัฐแล้วยังมีพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ที่เป็นความหวังว่าจะเสริมเติมคะแนนเสียงในสภาผู้แทนให้ได้ถึง ๑๒๖ เสียง เพื่อที่ (อย่างน้อยๆ) สามารถโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่ต้องการเมื่อรวมคะแนนกับพลังประชารัฐแล้ว ขณะที่พรรคของ ไพบูลย์ นิติตะวัน ไร้ความหมาย

ความหวังของ รปช.ซึ่งมี สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นตัวตั้งตัวตียิ่งริบหรี่ลงทุกวัน การออกเดินหาเสียงถึงประตูบ้านที่สุเทพเรียกตัวเองว่า คารวะแผ่นดิน ได้พบกับการตะโกนไล่ ชี้หน้าด่า เอานกหวีดไปคืน หรือเพียงทำหน้าบึ้งตึงใส่ไม่ยอมพูดด้วย

ดูจากโพสต์ของ โหดสัสไล่เรียงรายการที่สุเทพถูกชาวบ้านต่อต้านที่จังหวัดน่านแล้ว ดูท่าพรรคที่มุ่งหมายแรงหนุนจากอดีต กปปส.ของเขา จะนำความผิดหวังมาให้หัวหน้า คสช.อย่างแรง มิใยที่เขาพยายามบิดเบือนไปว่า มีการจ้างวานไปก่อกวน

ความเพลี่ยงพล้ำของ รปช. มาถูกซ้ำ ดั้มพลอย เข้าอีกเมื่อ พะเยาไม่ปลื้มจากการที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต ๑ ของพรรค รปช.ที่นั่น ประกาศถอนตัวกระทันหัน หลังจากแนะนำตัวได้ ๒ วัน ถูกกระแสโซเชียลแสดงความเห็นต่อต้านอย่างหนัก

บางความคิดเห็นถึงขั้นต่อว่านำนามสกุลไปทำให้เกิดความเสียหาย ครอบครัวก็ไม่เห็นด้วย จะมีเพียงพี่น้องบางคนที่ให้กำลังใจว่าตนเป็นนักสู้” น.ส.ภาสิณี รวมสุข เผยใจในสาเหตุที่ต้องถอนตัว “เพื่อความสบายใจของครอบครัว ญาติพี่น้อง และลดกระแสต่อต้านลง ตลอดจนได้พักผ่อนร่างกายที่ไม่พร้อม”

ทางด้านพรรคพลังประชารัฐเอง การณ์กลับเป็นว่าบางส่วนของ กปปส. และฝ่ายตรงข้ามของระบอบทักษิณ กลายเป็นหนามยอกอกไปเสียนี่ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต เป็นคนหนึ่งที่ปักหลักค้านพรรคพลังประชารัฐอย่างแน่นหนัก
 
ล่าสุดเขาโพสต์เฟชบุ๊ค “ขอเรียกร้องเชิญชวนพี่น้องประชาชนผู้รักชาติ พระมหากษัตริย์และประชาชนทั้งหลาย คว่ำบาตรพรรคพลังประชารัฐและพลเอกประยุทธในการเลือกตั้ง” ถึงขนาดใช้ถ้อยคำหักโหมในโพสต์ต่อมาว่า

กเฬวราก พรรคการเมืองของมาเฟียและทาสรับใช้นายทุน เพื่อแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์ของประชาชน” โดยไม่อาจชี้ชัดเจตนาเบื้องลึกแท้จริงได้ นอกจากทำนายว่าเขาต้องการเบนคะแนนเสียงจากหมู่คนที่ต่อต้านระบบอบทักษิณ (นัยหนึ่ง สลิ่ม) หันไปเทคะแนนแก่พรรคประชาธิปัตย์ ที่กระแส อ่อนเปลี้ยเหลือหลาย
 
เช่นเดียวกับท่าทีของ อนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย ที่ประกาศจะแข่งเป็นนายกฯ กับประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีอะไรมากไปกว่าเตรียมตัวไว้ต่อรองเอากระทรวงเกรดเอแบบ ปชป.

ทางฝั่งระบอบทักษิณนั่นเล่า กลับปรากฏว่าพรรคไทยรักษาชาติเอย พรรคประชาชาติ (ของวัน นอร์ มะทา) เอย หรือพรรคเสรีรวมไทยของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียาเวส แม้แต่พรรคอนาคตใหม่ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

ดูจะไปกันได้ดีได้ดีตามคาดว่าจะได้คะแนนเสียงกันพรรคละ ๒๐ ถึง ๔๐ ถ้าไปรวมกับพรรคเพื่อไทย มีทางได้ถึง ๓๐๐ เสียง หรืออย่างน้อย ๒๘๐ เสียงดังที่วันนอร์คาดหวัง
 
ทางพรรคสามัญชน พรรคใหม่เอี่ยมของฝั่งประชาธิปไตยที่เสนอตัวเป็นฝ่ายก้าวหน้าซ้ายจัด “และยืนหยัดเพื่อความเสมอภาคและเสรีภาพในการแสดงออก” แม้จะไม่สามารถเป็นความหวังเสริมพลังระบอบทักษิณได้ เพราะคาดกันว่าอาจได้ ส.ส.เพียง ๑ หรือ ๒ คนแบบพรรคของไพบูลย์

พรรคนี้ได้ประกาศส่งผู้สมัคร ๑๗ เขตเลือกตั้ง และ ๕ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ จนขณะนี้ยังไม่สามารถกำหนดตัวผู้สมัครในเขตกรุงเทพมหานครได้ แต่เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ หัวหน้าพรรคก็ยังหวังว่าเวลาไม่กี่อาทิตย์ที่เหลืออยู่จะหาเสียงสนับสนุนพรรคได้เพียงพอส่งผู้สมัครใน กทม.


รูปการณ์ในภาพรวมของหนทางการเมืองไปสู่การเลือกตั้ง จึงเห็นได้ว่าไม่เลวเลยสำหรับความมุ่งหวังที่จะปลดแอก คสช. และคณะรัฐประหารไปจากการเมืองไทยด้วยปากกาขีดเครื่องหมายลงบนบัตรคะแนนเสียง

"ใต้อุ้งรัฐบาลทหารต้องอยู่กันอย่างนี้เหรอ" คำถามคือคำตอบ "จะอยู่กันอย่างไร”


ใต้อุ้งรัฐบาลทหารต้องอยู่กันอย่างนี้เหรอ คือคำถามตอบคำถาม เฮียตู๊บที่ว่า “ผมลาออกแล้วใครจะทำ” และ “ไม่มีทหารแล้วจะอยู่กันอย่างไร”

เรื่องในประเทศ “คพ.เผยค่าฝุ่นเช้านี้ เกินทุกสถานี พระราม ๒ หนักสุด” ข่าวมติชนเช้าวันที่ ๒๙ มกราคม ขณะที่สื่อแหล่งเดียวกันเสนออีกข่าว “ปิ๊งไอเดียแก้ฝุ่น...มอบบิ๊กป้อมแก้ปัญหาฝุ่นพิษ พ่นน้ำจากตึกใบหยก”

ทำให้ sirote klampaiboon @sirotek มีคอมเม้นต์ “ใครอยู่ประตูน้ำก็อย่าตกใจว่าทำไมสงกรานต์ปีนี้มาเร็ว ส่วนคนที่สงสัยว่า PM 2.5 เยอะแถวพระรามสองแถวกาญจนาภิเษก จะฉีดน้ำจากใบหยกไปเพื่ออะไร ขอร้องว่าอย่าถามครับ เดี๋ยวนายกจะไล่ให้ไปดูแลตัวเอง”
 
เพราะมีกำลังอำนาจสามารถยึดเอาบ้านเมืองมาปกครองเอง จึงไม่รู้ตัวว่าตนคือปัญหา ปล่อยอะไรออกมางั่งๆ สม่ำเสมอ ด้วยวาทกรรมซ้ำซาก “ใครจะช่วยประชาชนเวลาเดือดร้อน ทั้งเวลามีอุบัติภัยหรือภัยพิบัติก็มีแต่ทหารที่เป็นลูกหลานท่านทั้งนั้นที่เข้าไปช่วยเหลือ”

คำถามจากการ์ตูนล้อเลียน “แล้วถ้าอาชีพอื่นๆ เค้าถามงี้บ้างอะ” พยาบาล คนขับรถเมล์ คนขายอาหารตามสั่ง พนักงานเซเว่นฯ บ้างล่ะ “จะอยู่กันอย่างไร”

แล้วกรณีที่เตรียมตัวจะเป็นแคนดิเดทของพรรคการเมืองลิ่วล้อ ขึ้นแท่นนายกรัฐมนตรีอีกยก โดยไม่ยอมผันตัวเองไป รักษาการ ระหว่างเลือกตั้ง ทั้งขาดมารยาทอันควรทางการเมืองในโลกศิวิลัย และเอาเปรียบคู่แข่งขันที่เสียเปรียบจากกฏระเบียบที่พวกตนขีดกั้นไว้ให้ด้วยแล้ว

อย่างนี้จะต้องให้ฝ่ายตรงข้ามใช้วิธี ยึด คืนแบบที่ตนทำมาละหรือ จึงจะได้สำนึกและยุติหลงตัวเองเสียที ในโลกสมัยใหม่แม้จะเป็นที่ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงด้วยการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน เหมาะควรที่สุดเพื่อการอยู่ร่วมกันต่อไปยาวนานอย่างสันติสุข

แต่การประท้วง คัดค้าน และต่อต้าน หรือกระบวนการ ‘Resistance’ ก็ยังจำเป็นและได้ผล สถานการณ์ใกล้มิคสัญญีในเวเนซูเอล่า ทำให้ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐแสดงบทบาทแทรกแซง แม้จะดูลูกผีลูกคนอยู่ ก็มองเห็นหนทางของการอยู่ร่วมกันโดยสันติของสองฝ่ายในประเทศได้

จึงมาถึงภาวะความล้มเหลวด้านกิจการระหว่างประเทศของรัฐบาล คสช. นับแต่กรณีแรงงานประมง โรฮิงญา ผู้ลี้ภัยอัยกูร์ สาวซาอุดิฯ ลี้ภัย มาถึงนักฟุตบอลชาวบาห์เรน ฮาคิม อัล-อาไรบิ ที่ถูกทางการไทยควบคุมตัวไว้เตรียมส่งกลับไปให้ประเทศของเขาลงโทษ

เป็นการปฏิบัติที่ฝ่าฝืนหลักการสิทธิมนุษยชนสากลอีกครั้งโดยรัฐบาล คสช. จนนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียต้องประกาศเข้าแทรกแซง เรียกร้องให้ทางการไทยปล่อยตัวเขาเดินทางต่อไปยังออสเตรเลีย สถานที่ซึ่งเขาได้รับอนุญาตให้ทำการลี้ภัยได้แล้ว
 
ข้อเท็จจริงก็คือ ฮาคิมได้รับวีซ่าให้อยู่อาศัยในออสเตรเลียภายใต้การปกป้องในฐานะผู้ลี้ภัยตั้งแต่ปี ๒๕๖๐ หลังจากที่เขาหลบหนีการจับกุมของรัฐบาลบาห์เรนไปอยู่ที่นั่นแล้วสามปี เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเขาเดินทางไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กับภรรยาในประเทศไทย และถูกรัฐบาล คสช.จับตัวควบคุมไว้เตรียมส่งกลับไปให้รัฐบาลบาห์เรนดำเนินคดี

ข้อเท็จจริงยิ่งกว่านั้นมีอีกว่า “เขาถูกจับกุมเป็นครั้งแรกที่บาห์เรนเมื่อปี ๒๕๕๕ และบอกว่าเขาได้ถูกทรมานระหว่างการควบคุมตัว อันเป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองของน้องชายของเขา ในปี ๒๕๕๗ เขาถูกศาลตัดสินอย่างไม่เป็นธรรมว่ามีความผิดฐานทำลายโรงพัก

ซึ่งในขณะที่เกิดเหตุนั้น อัล อาไรบีอยู่ระหว่างเล่นฟุตบอลที่มีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ด้วย ถึงอย่างนั้น ศาลตัดสินให้เขาได้รับโทษจำคุก ๑๐ ปี โดยเป็นการพิจารณาลับหลัง และต่อมาในปี ๒๕๕๗ เขาได้หลบหนีไปออสเตรเลีย”
 
แม้นว่าฮาคิมเล่นฟุตบอลสโมสรอาชีพของออสเตรเลีย และ “เขายังคงแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลบาห์เรนอย่างเปิดเผย” ก็ตาม ไม่ใช่กงการอะไรของรัฐบาลไทยจะต้องจับตัวเขาส่งให้ประเทศต้นทาง ในเมื่อ

“ประเทศไทยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามหลักการไม่ส่งกลับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ” ดังแถลงการณ์ขององค์การฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์เรียกร้อง


เพียงแค่สองกรณีที่อ้างข้างต้นก็พอตอกย้ำได้ว่า การอ้างว่าคณะทหารและรัฐบาล คสช. ค้ำบ้านครองเมืองมากว่าสี่ปี ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงทั้งการดึงดัน “ลาออกแล้วใครจะทำ เป็นนายกฯ อยู่นี่แหละ กฎหมายไม่ได้ให้ออก ก็ไม่ออก”

กฎหมายที่เขียนเองเออเองน่ะหรือ นี่คือเผด็จการชั่วร้ายยิ่งกว่าใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่เพียงเหี้ย มโหดเข่นฆ่าพวกเห็นแย้ง (โดยวิธีลอบกัด) แล้วยังปลิ้นปล้อนกะล่อน ไร้ยางอาย

วันอังคาร, มกราคม 29, 2562

ฟันฉัวะ ๑ กุมภานี้แน่แล้ว พลังประชารัฐ ‘เปิดตัว’ ประยุทธ์เป็นนายกฯ


เอ้า เจาะลึกทั่วไทยของสปริงนิวส์ฟันฉัวะ (หยวกกล้วย) ว่า ๑ กุมภานี้แน่แล้ว พลังประชารัฐ เปิดตัวรายชื่อนายกรัฐมนตรีอันดับหนึ่งของพรรคจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่พลาด

ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ย้ำกับคู่เม้าท์ อมรรัตน์ มหิทธิรุกข์ ว่า “เขาคุยกันเมื่อคืนนี้ (๒๘ ม.ค.) ที่บ้านนายกฯ ลุงตู่ สะเด็ดน้ำแล้ว” ที่ ประชาชาติธุรกิจ บอกว่า “ที่เห็นอาจไม่ใช่ ที่ใช่อาจไม่เห็น” นั้น ตอนนี้มั่นใจได้เลยไม่หนี ประยุทธ์-อุตตม-สมคิดของตาย

“คณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ร่วมหารือที่จะลงมติยังเหลือผู้สมัครอีกเพียง ๑๑ เขต เท่านั้นที่ยังมีปัญหา คาดว่าจะเสร็จภายใน ๒-๓ วันนี้” แต่ที่ดนัยเอาไปเปิดในรายการของเขา อ้างว่ารู้มาจากวงใน เมื่อพรรคแถลงในวันที่ ๑ แล้วจะพากันไปกราบส่งเทียบเชิญประยุทธ์

“นายกฯ ลุงตู่ก็จะ ขอเวลาอีกสักสองสามวัน ขอถามพ่อแม่พี่น้อง” จึงจะยอมรับอย่างทางการ “ตรงนี้แหละที่เขาเรียกพิธีกรรม ที่เขาเรียกจริตจก้านทางการเมือง”

หลังจากที่ สี่รัฐมนตรี (อุตตม สาวนายน สุวิทย์ เมษินทรีย์ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ และกอบศักดิ์ ภูตระกูล) พร้อมหน้ากันแถลงลาออกบริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนขึ้นไปแจ้งแก่นายกรัฐมนตรี แล้วลงมาให้สัมภาษณ์ “มีผลพรุ่งนี้ พร้อมลุยทำงานการเมืองเต็มตัว”

แถมด้วย สนธิรัตน์ ในตำแหน่งเลขาธิการพรรคโชว์วิสัยทัศน์นักการเมืองเต็มตัว “ยังไม่เคยมี รมต. คนใดลาออกหลัง พ.ร.ฎ.เลือกตั้งฯ ประกาศใช้ ตลอดเดือนพวกเรารับแรงกดดันด้วยความอดทน เพราะส่วนใหญ่เป็นคำวิจารณ์ทางการเมืองไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักการ

เราไม่ใช้ความได้เปรียบทางการเมืองมาหาประโยชน์ให้ตัวเอง ถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ทางการเมือง” ว่าเข้านั่น (จาก Weeranan Kanhar @weeranan)

หลักการที่สนธิรัฐอ้างคงจะหมายถึงรัฐธรรมนูญ กฎหมายลูก และระเบียบต่างๆ ที่องค์กร คณะกรรมการ และหน่วยงานต่างๆ ที่อยู่ภายใต้บงการของ คสช.ถือปฏิบัติ อันล้วนบิดเบี้ยวตามคำสั่งของ คสช.ทั้งสิ้น มาตรฐานใหม่ทางการเมืองของสนธิรัตน์ก็คือ การสร้างและอ้างหลักการที่เอาเปรียบ

อย่างไรก็ดี ในบริบทที่ทำให้จิตสำนึกหงอยและล้าลง ยังมีเสียงแห่งความมุ่งมาดและคาดหวังในทางฮึกเหิมให้เห็นอยู่ไม่ขาด ดังโพสต์ของ Thanapol Eawsakul ตอนหนึ่งเมื่อวานนี้ เรื่องที่พูดกันมากว่า อย่างไรเสียพลังประชารัฐก็มา

ธนาพลบอกว่าเขา เห็นต่างข้อหนึ่ง “ในความหมายว่า ๒๕๐ เสียงของ สว. เป็นเอกภาพ ซึ่งก็ไม่จริง” ซึ่งถ้าเกิดพลิก รัฐบาลหลังเลือกตั้งเป็นของปีกประชาธิปไตยล่ะ “ผมคิดว่าจะเป็นหนึ่งในรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมากที่สุด”

ธนาพลเอาตัวเลขคณิตศาสตร์มายัน “จะเป็นรัฐบาลผสมที่ได้คะแนนรวมกันมากที่สุด ระดับมากกว่า ๗๐% หรือมากกว่า ๒๕ ล้านเสียง (ถ้ามีคนมาใช้สิทธิ ๗๕% จาก ๕๑ ล้านเสียง คือ ๓๘.๒ ล้านเสียง)”

เป็นประเด็นที่น่าคิดอย่างยิ่งว่า สู้ได้ในเมื่อสมัยที่รัฐบาลไทยรักไทยชนะเลือกตั้งนั่นพรรคเดียวได้ ๑๙ ล้านเสียง แต่นี่ระบบเลือกตั้งอย่างแบ่งสรรปันส่วนที่บริกรของ คสช.คิดค้นกันขึ้นมาตีกันไม่ให้พรรคการเมืองใดพรรคหนึ่งชนะโด่ง การเฉลี่ยกลับจะทำให้คะแนนรวมมากขึ้นไปอีก

ธนาพลอาจฝันไกลไปหน่อยว่า หากปีกประชาธิปไตยมัดหวายร่วมกันเป็นปึกแผ่น จะแข็งแกร่งทานแรงพลังวิเศษของรัฐประหารได้ “ยุทธศาสตร์ชาติ ไม่มีความหมาย เป็นเพียงเอกสารที่จะเผาไปกับศพของผู้เขียนมันมา...องค์กรอิสระไม่มีน้ำยา ที่จะมาขัดแข้งขัดขานักการเมืองอีกต่อไป”


ทว่าการมองโลกให้สวยในยามที่ฝุ่นละอองปกคลุมท้องฟ้า น่าจะทำให้มีพลังใจต่อสู้และแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ได้ชัดเจนดีกว่า ปล่อยหมอกฝุ่นที่บังตามาอุดตันความคิดจิตใจเสียอีก

จังจัง คำสั่ง คสช.ออกมาเกื้อหนุนกิจการ ‘ดูด’ ของพรรคพลังประชารัฐ


จะจะ จังจัง คำสั่ง คสช.ออกมาเกื้อหนุนกิจการ ดูดของพรรคพลังประชารัฐโดยตรงอย่างไร ไอลอว์ แฉไว้แจ่มแจ้งชนิดเรียงหัวเลยทีเดียว

คสช.ใช้อำนาจวิเศษ ม.๔๔ ออกคำสั่ง ๔ ฉบับเพื่อ “คืนตำแหน่งให้ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒๒ คน” ตั้งแต่ปี ๒๕๕๙ ถึง ๒๕๖๒ ในจำนวนนี้ ๙ คนเข้าไปเป็นผู้สมัคร และ/หรือทำงานการเมืองให้แก่พรรคพลังประชารัฐ

อีก ๔ คน ยังคืนตำแหน่งกันไม่เสร็จ แต่ก็เข้าไปอยู่ในพรรคของสมศักดิ์ เทพสุทิน สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และสี่รัฐมนตรี คสช. รอลงสมัคร ส.ส.กันเรียบร้อยแล้ว อันได้แก่
 
๑.ชนม์สวัสด์ อัศวเหม แกนนำกลุ่มปากน้ำ (ตั้งชื่อใหม่ว่า สมุทรปราการก้าวหน้า) ส่งผู้สมัคร ส.ส.ลงในสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ๒.พรชัย โควสุรัตน์ หลานของสิทธิชัย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการมหาดไทยในรัฐบาล สมัคร สุนทรเวช ตอนนี้ตระกูลการเมืองดังของอุบลราชธานีย้ายค่ายไปอยู่พลังประชารัฐ

๓. ยุทธนา ศรีตะบุตร แห่งตระกูลการเมืองท้องถิ่นหนองคาย เคยเป็นนายก อบจ. เช่นเดียวกับอีกสองคนข้างต้นที่ถูกคำสั่ง คสช.ที่ ๑๙/๒๕๕๘ ให้ออกจากตำแหน่ง ในกระบวนการตรวจสอบทุจริตระยะต้นๆ ของรัฐบาล คสช.

อีกคนคือ วิเชียร อุดมศักดิ์ เป็นอดีต ส.ส.อำนาจเจริญ พรรคเพื่อไทย แล้วย้ายพรรคไปอยู่ภูมิใจไทย หลังรัฐประหารไปเป็นนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญ แล้วถูกคำสั่ง คสช.ที่ ๓๕/๒๕๖๐ ให้ออกจากตำแหน่ง

หลังจากที่สมศักดิ์ เทพสุทิน และทีม สามมิตร ออกไล่ล่าดูดอดีต ส.ส.เข้าพลังประชารัฐ ทำให้วิเชียรอ่อนระทวยเข้าไปอยู่ในอ้อมอก คสช. แต่โดยดี แม้ขณะนี้ยังไม่ปรากฏคำสั่งให้กลับคืนตำแหน่งเดิม แต่ดูจะไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอันใด
 
อดีตนักการเมืองท้องถิ่นอีก ๙ ราย ที่ย้ายค่ายไปเข้าสังกัดพรรค คสช. ส่วนมากเป็นนายก อบจ. มีคนเดียวเป็นนายกเทศมนตรี ที่ได้รับตำแหน่งเดิมกลับคืนกันแล้วในปี ๒๕๖๑ ตามคำสั่งฉบับที่ ๖ ได้แก่ สถิรพร นาคสุข จังหวัดยโสธร บุญเลิศ บูรณุปกรณ์ จังหวัดเชียงใหม่

มลัยรัก ทองผา แห่งมุกดาหาร และชัยมงคล ไชยรบ แห่งสกลนคร รายหลังนี่พอได้ตำแหน่งคืนก็เข้าไปเป็นประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งพลังประชารัฐ ๔ จังหวัดอีสาน คือสกล นครพนม มุกดาการ และบึงกาฬ คนอื่นๆ แม้ไม่ได้ลงสมัครหรือเข้าไปบริหาร ก็จะมีญาติหรือคนใกล้ชิดลงสมัคร หรือช่วยงานหาเสียงให้พลังประชารัฐ
ยังมีกรณีที่นักการเมืองท้องถิ่นได้รับคำสั่งคืนตำแหน่งเพราะมีพี่น้องใกล้ชิดอยู่ในพรรคพลังประชารัฐ เช่น อนุสรณ์ นาคาศัย แห่งจังหวัดชัยนาท มีพี่ชาย (อนุชา) เป็นกรรมการบริหารของ พปชร. ส่วนโกมุท ทีฑธนานนท์ นายกเทศมนตรีสกลนคร โดนคำสั่งปลดเมื่อปี ๕๙ ได้รับคำสั่งแก้ปี ๒๕๖๑ (ฉบับที่ ๑๐ เช่นเดียวกับอนุสรณ์) ก็ให้ลูกชายลงสมัคร ส.ส.ครั้งนี้ในสังกัด พปชร.
 
ด้านอัครเดช ทองใจสด นายก อบจ.เพชรบูรณ์ ถูกระงับตำแหน่งเมื่อปี ๖๐ ได้คืนเมื่อตุลาคม ๖๑ นี่ก็มีพ่อเป็นอดีต ส.ส.เพื่อไทย ที่คราวนี้ย้ายไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ และลงสมัคร ส.ส.เขต ๕ ของเพชรบูรณ์

ยังไม่หมด มีนายก อบจ.อีกสองคนที่เพิ่งได้รับคำสั่งหัวหน้า คสช. ให้คืนตำแหน่งเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง คือ สุนทร รัตนากร นายก อบจ.กำแพงเพชร พี่ชายของ วราเทพ รัตนากร ซึ่งพาทีมย้ายออกจากพรรคเพื่อไทยไป พปชร. ตามพลังดูด

ด้าน สมชอบ นิติพจน์ นายก อบจ.นครพนม ที่โดน คสช.ปลดตั้งแต่ปี ๕๘ เพิ่งได้รับคำสั่งคืนตำแหน่งเมื่อ ๒๒ มกราคมนี้เอง ข่าวว่าเป็นเรี่ยวแรงแข็งขันช่วยการหาเสียงของ พปชร.ที่นครพนม ชนิดที่ “เมื่อเครื่องเสียงพังยังได้นำรถยนต์ตัวเองมาช่วยใช้แทน”


เช่นนี้ไม่ว่า คสช. และพลังประชารัฐจะปฏิเสธหรือแถไถไปอย่างไรว่า ไม่ได้ใช้อำนาจ (ที่ยึดมา) โดยมิชอบในการให้ประโยชน์ เป็นคุณต่อความได้เปรียบทางการเมืองของพรรคที่สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.ได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง

ความจริงปรากฏอย่างโจ่งแจ้งอยู่แล้ว เมื่อใดก็ตามเมื่อประชาชนได้อำนาจอันเป็นโดยชอบธรรมของพวกเขาคืนมา และลบล้างคำสั่งนิรโทษกรรมคณะรัฐประหาร เมื่อนั้นความผิดฐานละเมิดหลักนิติธรรมของ คสช. จักต้องได้รับการชำระ

วันจันทร์, มกราคม 28, 2562

เปิดแล้ว ลงทะเบียนเลือกตั้งออนไลน์ แต่วันแรกเว็บล่ม

เกิดเป็นไทยต้องใจเย็น รอเลือกตั้งมาจะห้าปี วันนี้ (๒๘ ม.ค.) กำหนดเปิดให้ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้า และเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรได้ทางเว็บไซ้ท์ บอร่า โดปาตามลายแทงที่ได้มาจาก Weeranan Kanhar @weeranan

เปิดแล้ว! ใครจะเลือกตั้งล่วงหน้า ต้องยื่นคำขอที่ เว็บไซต์ http://election.bora.dopa.go.th/ectoutvote 

ส่วนนอกราชอาณาจักรที่เว็บไซต์ http://election.bora.dopa.go.th/ectabroad 

ตั้งแต่ 28 ม.ค.-19 ก.พ. 62 ตลอด 24 ชั่วโมง โดยระบบจะปิดอัตโนมัติ ในวันที่ 19 ก.พ. 62 เวลา 24.00 น. ตามเวลาประเทศไทย”

ด้วยความลิงโลดรีบคลิกเข้าไปดู ไม่ได้ผลทั้งสองลิ้งค์ พยายามซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่หลายหนล้วนล้มเหลว นึกด่าวีรนันต์อยู่ในใจให้ลิ้งค์ง่อยมาได้ไง

ไม่กี่นาฑีต่อมา ต้องขอโทษวีรนันต์ (ในใจอีก) เมื่อเห็นหน้าทวิตเตอร์ มติชนออนไลน์ แจ้ง “รอเลือกตั้งกันมานาน กกต.เปิดลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าวันแรก ผู้ใช้โวย เว็บล่ม”

เช็คชื่อที่อยู่เว็บทุกตัวอักษรเหมือนกัน ถูกต้อง อย่างไรก็ดี “ล่าสุดเมื่อเวลา 10.45 น. ผู้สื่อข่าวทดลองเข้าใช้บริการ พบว่าสามารถเข้าได้แล้ว แต่เว็บไซต์ยังไม่เสถียร ใช้เวลาโหลดนาน คาดว่าเป็นเพราะมีผู้ใช้บริการเยอะ”


ฉะนี้ ใครที่ประสบปัญหา ต้องใช้ความพยายามให้มากขึ้นไปอีก หน่อยได้ แต่อย่า ตู่อะไรง่ายๆ แล้วกัน เฮ้อ ไตแลนเดีย ถิ่นกะลา

นักการเมืองและประชาชน (หญิงหน่อยและเอกชัย) ยังถูกข่มขู่คุกคามไม่เลิก


ต้องให้ วาสนาไปถาม บิ๊กแดงของเธอว์สิว่า ทำไม “ประเทศเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง แต่กองทัพยังส่งคนสะกดรอยประชาชนไม่เลิก” (ถ้อยคำของ sirote klampaiboon @sirotek)

เมื่อ 14 Jan 2019 เวลา 11:59 PM ‘Deep Blue Sea @WassanaNanuam’ ทวี้ตว่า “บิ๊กแดงเตือน นักการเมืองอย่าไปดูหมิ่นดูแคลน ซักไซร้ไล่เรียง จนท.ที่ติดตาม ยันไม่ได้มีเจตนาที่จะไปจับผิด แต่ไปดูแลความปลอดภัย

ไม่ใช่อย่างนั้นนะสิ แต่มันเป็นการคุกคามที่เขาไม่ต้องการ มีกำลังพลทหารจาก กอ.รมน. คอยติดตามถ่ายคลิปถ่ายภาพกิจกรรมหาเสียงของคุณหญิงสุดารัตน์ ไม่หยุดหย่อน ลองอ่านที่ ศิโรตม์ ติงพฤติกรรมของ คสช.

ต้องชื่นชมที่คุณหญิงไม่ว่าอะไรกำลังพลระดับล่างรายนี้ เพราะคนผิดจริงๆ คือผู้บังคับบัญชา ที่เอากำลังพลซึ่งกินภาษีประชาชนไปใช้งานคุกคามประชาชน” เธอแสดงให้เห็นอย่างนิ่มๆ ที่ปากเกร็ด “เข้าไปถามนายทหารคนดังกล่าวว่าใครสั่งมา สั่งมาทำไม และไม่ได้โกรธ แต่อยากรู้ว่าทำไมไม่ปล่อยให้นักการเมืองหาเสียงได้อย่างอิสระ มันควรเป็นเวลาที่ปล่อยให้หาเสียงได้แล้ว”

ส่งท้าย “คุณหญิงสุดารัตน์ขอให้ทหารลบภาพที่ตามถ่าย และมาถ่ายด้วยกันสองคนเพื่อส่งให้ผู้บังคับบัญชา” หลังจากนั้นประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยเปิดแถลงข่าว ตั้งคำถามต่อหัวหน้า คสช. “เหตุใด เจ้าหน้าที่ทหารยังไม่กลับเข้ากรมกอง และปล่อยให้การเลือกตั้งเสรี บริสุทธิ์ ยุติธรรม

แต่กลับพบว่าตลอดการลงพื้นที่พบปะประชาชน จะถูกเจ้าหน้าที่ทหารติดตามและถ่ายภาพนิ่งรวมทั้งบันทึกวิดีโอ” จนทำให้ “รู้สึกว่าวิธีการดังกล่าว เป็นการกดดันและคุกคามการทำหน้าที่ของตนเอง” ไม่แต่เท่านั้น หญิงหน่อยขยายความต่อไปด้วยว่า

“พล.อ.ประยุทธ์ กำลังจะมีสถานะเป็นว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมืองหนึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ กำลังใช้อำนาจสั่งการหน่วยงานของรัฐภายใต้การบังคับบัญชาของตน อย่าง กอ.รมน. และใช้งบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีอากรของประชาชน มาใช้ในการติดตามคู่แข่งทางการเมืองเพื่อเอาเปรียบทางการเมือง”

ซ้ำยังเป็นการข่มขวัญ จะให้ดี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ควรจะสั่งการให้ กอ.รมน. จัดกำลังพลไปดูแลความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเป็นประโยชน์กับประชาชนคุ้มกับภาษีอากรของราษฎร” มากกว่า


นั่นเป็นการข่มเหงนักการเมืองอย่างโจ่งแจ้งด้วยข้ออ้างเพียงว่า ส่งกำลังพลไปให้ความคุ้มครอง แต่ยังมีการกลั่นแกล้งทำร้ายนักกิจกรรมที่เรียกร้องประชาธิปไตยที่ดึงดันหาญกล้า ผู้ไม่ยอมสยบง่ายๆ อย่าง เอกชัย หงส์กังวาน
 
เขาถูกดักทำร้ายต่อยตี และบางครั้งใช้มีดเป็นอาวุธ อยู่เนืองๆ โดยไม่มีความคืบหน้าจากทางการตำรวจในคดีต่างๆ ที่เขาได้แจ้งความไว้แล้ว เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อก่อนใช้การขนส่งสาธารณะในการเดินทางไป-กลับเพื่อประท้วง ครั้นถูกดักทำร้ายบ่อยเข้า หันไปใช้รถยนต์ส่วนตัวก็ยังไม่วาย

มาเมื่อกลางดึกคืนวันที่ ๒๖ มกรา เมื่อเวลาเกือบตีสาม กล้องวงจรปิดอาคารสถานที่พักของเอกชัย บันทึกภาพชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมหัว ลอบจุดไฟเผารถของเขาที่จอดอยู่ริมทางเท้า เป็นรอยไหม้บริเวณบานประตูทั้งส่วนหน้าและหลัง


ไม่ว่าความเสียหายต่อรถของเขาจะมากน้อยแค่ไหน นี่เป็นพฤติกรรมข่มขู่ กลั่นแกล้งอย่างร้ายแรงให้เกิดความหวาดกลัว ไม่ว่าฝ่ายทหารหรือคนในรัฐบาล คสช. จะรู้เห็นด้วยหรือไม่ รวมทั้งมีใครว่าจ้างมิจฉาชีพมาก่อการร้ายเยี่ยงนั้นหรือไม่

เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของ ตำรวจ และหน่วยงานด้านความมั่นคงของ คสช. จักต้องเร่งดำเนินการหาคนร้ายมาดำเนินคดีโดยไว

มิฉะนั้นการนิ่งเฉยแช่เย็นคำร้องแจ้งความของเอกชัย ย่อมทำให้ตั้งสันนิษฐานเป็นข้อกล่าวหาได้เลยว่า เจ้าพนักงานของรัฐสมรู้ร่วมคิดกับคนร้ายไปด้วย