วันอาทิตย์, พฤษภาคม 31, 2558

งานนี้บางทีอาจเรียก ‘ห่ารุมกิน’ บางแห่งแค่ ‘โรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น’





งานนี้บางทีอาจเรียก ‘ห่ารุมกิน’ บางแห่งแค่ ‘โรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น’

แต่ถ้าเห็นกิริยาดี๊ด๊าของพวก Thaksinophobia แล้วต้องบอกว่า ‘ผีซ้ำดั้มพลอย’

ก็เรื่องทักษิณไปให้สัมภาษณ์ออกคลิปพาดพิงองคมนตรีนั่นน่ะ ถึงขั้นยื่นฟ้องคดี ๑๑๒ กันเชียวหละ

จากนั้นเรียงหน้ากันออกมาขอแบ่งส่วนบุญ ทั้งพวกนกหวีดปิดกรุงเทพฯ และพรรครองบ่อน (ที่ไม่เคยชนะเลือกตั้งมาตลอดยี่สิบปี) ถอนพาสปอร์ตแล้วยังไม่เห็นแววเลือดซิบ จัดแจงถอดยศกันต่อ

แม้นว่า ผบ.ตร. เกิดเหนียม บอกให้ยอยอไว้ก่อน ‘กระบวนการยังไม่ครบขั้นตอน’

ล่าสุดขาเก่าก้าวไม่พ้นทักษิณอีกคน ประสาร มฤคพิทักษ์ สปช. ลากตั้ง ขอมีแบบบทหยดเยิ้มบ้าง

“ควรถือโอกาสนี้ ดำเนินการถอนคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ของพ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมกันไปด้วย”

(http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1432976552)

จะถอดจะถอนอย่างไรก็แค่สะใจขาโจ๋เท่านั้นนั่นนะ ตราบเท่าที่ยังไม่มีนายกฯ คนไหน tackled การพัฒนาเศรษฐกิจได้ดีกว่าทักษิณ

ไม่แม้กระทั่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ขณะนี้หันไปเพาะเห็ดปลอดสารพิษ กำลังฮือฮาน่าดู

ข่าวเล่ากันแซ่ดบนทวี้ตภพถึงทีเด็ดภาพอินสตาแกรม ‘ยิ่งลักษณ์เก็บเห็ด’

ลงบนเฟชบุ๊คมาได้แค่สามชั่วโมง มีคนเข้าไปชมชื่นถึงสามแสน

สงสัยประสารจะตามเทร็นด์ไม่ทันแล้วละ




Prepare yourself for goosebumps!




https://www.youtube.com/watch?v=1ReuOnKSi0s

El Gamma's Touching Tribute To Mother Nature | Asia’s Got Talent Grand Final 1


Published on May 7, 2015

El Gamma Penumbra use the big stage to deliver a heart-warming tribute to Mother Nature. Prepare yourself for goosebumps!


...อีกไม่นาน เสือตัวนี้จะกลับมา....




เมื่อไม่เห็นหัวของประชาชนและให้ความสำคัญของประชาชน...
ก็อย่ากดขี่กันจนเกินไป...
เพราะคนทุกคนมีขีดความอดทนจำกัด.....
……………………..

ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาบสูญ
ไม่มีใครล้ำเลิศน่าเทิดทูน ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป
เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่ ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่
เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

แนวร่วมขบวนการเสรีไทยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ



บางทีการเปรียบเทียบอะไรสักอย่าง ถ้าพูดแบบรู้จริง คงไม่มีใครว่าอะไร




ที่ประยุทธ์ชื่นชมลินคอล์นอาจเป็นเพราะถูกจริตเขาก็ได้ เพราะแม้ลินคอล์นได้ชื่อว่าเป็น ผู้ปลดปล่อย “emancipator” ยกเลิกระบบทาสทั้งประเทศ แต่ยุคเขาเป็นปธน.ก็ถือเป็น “ยุคมืด” ของสิทธิพลเรือน คล้าย ๆ ยุคประยุทธ์ ในช่วงสี่ปีมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศ (เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์อเมริกัน) มีการใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกจับกุมพลเรือน 1-1.5 หมื่นคน (ส่วนมากควบคุมตัวไม่นานก็ปล่อย) ตัดสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการขออำนาจศาลไต่สวนการควบคุมตัว (habeas corpus) มีการใช้ศาลทหารไต่สวนพลเรือนเกือบ 5,000 คดี ใช้อำนาจปราบปรามเสรีภาพในการแสดงความเห็นของพลเรือนและสื่อมวลชนอย่างกว้างขวาง เรียกว่าใครวิจารณ์นโยบายของรัฐบาล ลินคอล์นให้อำนาจเจ้าพนักงานสั่งขังได้ทันที แม้ Supreme Court มีความเห็นแย้ง ลินคอล์นก็ไม่เชื่อฟัง

แต่ (ใหญ่ ๆ เลย) ยุคนั้นเป็นยุค “สงครามกลางเมือง” (Civil War) เป็นสงครามที่คุกคามการอยู่รอดของรัฐ (ไม่ใช่สงครามกับประชาชนแบบยุคของประยุทธ์) ไม่ถึงเดือนหลังสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ประชาชนบางส่วนในแมรีแลนด์ซึ่งเห็นด้วยกับรัฐทางใต้ (Confederate States) ก่อจลาจล ขัดขวางการลำเลียงกำลังทหารจากแมสซาจูเซ็ตไปปกป้องวอชิงตัน ดีซี เมืองหลวง ถึงขั้นปะทะกันมีทหารตายไปหลายนาย พลเรือนก็ตาย ลินคอล์นเห็นว่าถ้าปล่อยให้จลาจลลุกลามใกล้เมืองหลวง รัฐธรรมนูญและ Union สหพันธรัฐพังแน่ เพื่อรักษาความมั่นคงแห่งชาติ (public safety) เขาจึงใช้อำนาจเด็ดขาดในฐานะผู้บัญชาการทหาร (commander in chief) ประกาศกฎอัยการศึก (เฉพาะรัฐนั้นก่อน) แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่ได้ทำช่วงเขาใช้อำนาจเบ็ดเสร็จคือ การยกเลิกหรือเลื่อนการเลือกตั้ง สังเกตว่าแม้สงครามยังไม่สิ้นสุด เขาจัดให้ประชาชนใช้สิทธิเลือกตั้งตามวาระ ไม่อ้างเหตุฉุกเฉินเพื่อเลื่อนออกไป

ฉะนั้นที่ประยุทธ์พูดว่าดูหนังเกี่ยวกับประธานาธิบดีลินคอล์น และชอบคำพูดที่ว่า “การประท้วงของประชาชนไม่ใช่ความผิด แต่ผิดตรงที่เกิดการจลาจล" นั้น ไม่รู้ว่าจำมาผิดหรือว่าอย่างไร ยุคลินคอล์นมันไม่ใช่ “จลาจล” ธรรมดา มันเป็น “ขบถ” มีกลุ่มและกองกำลังต่อต้านรัฐที่จัดตั้งอย่างเข้มแข็งหลายกลุ่ม (แม้ในรัฐฝ่ายเหนือเอง อย่าง Copperhead เป็นต้น) ที่สำคัญคือการใช้ศาลทหารกับพลเรือนนั้น หลังจากยุคลินคอล์นแล้ว ผ่านมา 150 ปีไม่มีการใช้ศาลทหารกับพลเรือนอีกเลย จนกระทั่งในยุคของบุช ซึ่งนำมาใช้กับผู้ถูกควบคุมตัวหลังเหตุการณ์ 911 (ซึ่งความจริงส่วนใหญ่ไม่ใช่พลเมืองอเมริกัน) ผิดกับยุคของประยุทธ์ แค่ชูสามนิ้ว กินแซนด์วิชก็เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศไปแล้ว

บางทีการเปรียบเทียบอะไรสักอย่าง ถ้าพูดแบบรู้จริง คงไม่มีใครว่าอะไร

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1432800351

http://slate.me/1FHvK1l

Pipob Udomittipong



"จตุพร"วิเคราะห์ แผนพิฆาต"ทักษิณ"เป็นผลดีต่อคนเสื้อแดง




"จตุพร"วิเคราะห์ แผนพิฆาต"ทักษิณ"เป็นผลดีต่อคนเสื้อแดง


จอม เพชรประดับ

Published on May 30, 2015
ที่มา Thai Voice Media

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแ­ห่งชาติ หรือ นปช. ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ กับ Thaivoicemedia กรณีที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถอดยศ และยกเลิกหนังสือเดินทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า เป็นเรื่องเก่าที่เคยทำมาแล้วหลายครั้ง เหมือนละครดาวพระศุกร์ ที่ไม่ได้ส่งผลกระเทือนต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ นปช. คนเสื้อแดง แต่อย่างใด แต่การขุดเอาเรื่องนี้มาใช้อีกครั้ง เพราะต้องการกลบเกลื่อนความล้มเหลวในการบร­ิหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เกิดวิกฤติขึ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะวิกฤติด้านเศรษฐกิจที่สร้างความเด­ือดร้อนให้กับประชาชนระดับล่างอย่างรุนแรง­มากขณะนี้ ขณะเดียวกันเพื่อแก้ปัญหาระหว่างเสือ กับ คนขี่เสือ ซึ่งคนเสื้อแดงไม่ใช่เสือ และไม่เคยยอมให้ พล.อ.ประยุทธ์ นั่งอย่บนหลังคนเสื้อแดง แต่เสือที่พล.อ.ประยุทธ์ นั่งอยู่บนหลังตอนนี้คือ ผู้มีอำนาจในหมู่ชนชั้นนำด้วยกันเอง อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาล คสช.รุกฆาตกับพ.ต.อ.ทักษิณ อย่างหนักในขณะนี้ กลับเป็นผลดีกับฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะจะทำให้ประชาชนหมดข้อสงสัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังฮั้ว หรือ เกี๊ยเซี็ยะ กับกองทัพหรือคสช.หรือไม่

นายจตุพรกล่าว หลังเกิดรัฐประหาร 22 พ.ค. 57 นปช.และคนเสื้อแดง ดูเหมือนจะสงบนิ้ง แต่การนิ่งคือการรุกอย่างหนึ่ง นั่นคือการปฎิบัติการอดทนขั้นสูงสุด เพื่อให้ คนไทยทั้งประเทศได้เห็นถึงวิกฤติของประเทศ­จากการทำรัฐประหารด้วยตัวเอง จะได้ไม่ต้องมาอ้างเป็นเพราะการเคลื่อนไหว­ของคนเสื้อแดง ซึ่งตอบไม่ได้ว่าความอดทนนี้จะถึงจุดดระเบ­ิดได้เมื่อใด ทั้งหมดอยู่ที่คนไทยทั้งประเทศว่าจะอดทนกั­บวิกฤติของบ้านเมืองที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนี้­ได้ยาวนานแค่ไหน


ความเห็นชาวเน็ตต่อ...ป.ป.ช.ทุ่ม7แสนผุดไอเดียนั่งสมาธิก่อนทำงานปลุกขรก.-นักการเมืองต้านโกง





มันช่างเต็มไปด้วยความไร้เหตุผลและตรรกะทางความคิดหรือว่าจริงๆแล้วมันอุปโลกลวงไว้โกงเกร๋ๆ

ประเภทเดียวกะ ยืนเคารพธงชาติ เอาเงินไปช่วยชาวนาดีกว่าป๊ะ

การนั่งสมาธิ มันใช้เงินด้วยหรอเนี่ย
เอา7แสนไปสร้างซุ้มฝึกสอนการนั่งสมาธิกับข้าราชการแน่ๆเลย

สงสัยเอา 7 แสนไปเช่ารีสอร์ตหรูไว้นั่งสมาธิมั้งครับ นั่งสมาธิอยู่บ้านไม่ได้เดี๋ยวก้นเป็นผื่น

มีหัวไว้ให้ผมขึ้นอย่างเดียวไอ้พวกเผด็จการ

ป.ป.ช. มันต้องย่อมาจาก เปรต เปิบ ชาติ แน่ๆ หลงเข้าใจผิดอยู่นาน

ไม่จริงใช่ไหม???

55555 ของบนั่งเทียนหน่อย

555 ใช้ไรคิดวะ

ต้านโกงหรือหาวิธีโกงแบบเนียนๆ

ทักษิณแมร่งซื้อ ป.ป.ช. ไปแล้วแน่ๆ ไอ่แม้วเอ้ยย

อัจระยิจิมๆเบย ให้ตายเถิดสลัดผัก

งบหีแตดอะไรวะ 7 แสน!!

คราวก่อนพึ่งเทวดาไปรอบนึงละ

เอ่อ...มันควรใช่แบบนี้เหรอ?

โอยๆ! เห็นแล้วเพลีย

ความคิดควายๆแบบนี้เกิดในยุคนี้ น่าสังเวช

ปปช คำเต็มคือ ปกป้อง ประชาธิปัตย์ ชาติชั่ว

แค่นั่งสมาธิก็แดก 7แสน ถ้าไม่เหี้ยจริงทำไม่ได้ขอบอก มาที่วัดธรรมกายฟรีครับ

555...นั่งสมาธิ เป็นสิ่งที่ดีคับ แต่การโกง มันเป็นเรื่องของสันดาน ..ต้องแก้ที่สันดาน ....

ก็เอาคนแบบนี้มาเป็น ปปช มันก็จะผลาญเงินแบบนี้หละ

เผื่อคิดช่องทางหาส่วนต่างให้ได้เยอะตอนนั่งสมาธิ

กุอยากหัว

สามตัวข้างหน้าอะไม่เท่าไหร่สำคัญไอ้ตัวข้างหลังสุด คนดีสุดๆพ่อมหาจำเริญ

การกำหนดจิต กำหนดลมหายใจ มันมีต้นทุนทั้งนั้นแหละ รู้ยัง อิอิ







เก็บตกความเห็น 'ข่าวไล่ล่าทักกี้




ที่มาคลิป ไทยรัฐ
...

Atukkit Sawangsuk
อ่านข่าวไล่ล่าทักกี้ (แถมจะถอดถอนอีปูอีกรอบ) ที่ปูพรมตามหน้าสื่อวันนี้ รู้สึกขำกับการ "ผลิตซ้ำ" แบบซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อสร้างคะแนนนิยมสนองอารมณ์คลั่งของคนกลุ่มเดิม ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อค้ำจุนอำนาจ คสช.ที่มีแนวโน้มว่าจะต้องอยู่ต่อไปเรื่อยๆ

คำถามคือเกมนี้จะเล่นไปได้นานเท่าไหร่ (จะถอดถอนรอบ 3 รอบ 4 ไหม เชิญตามสบาย) ถามว่าทำอะไรทักกี้ได้ แค่ทำให้ไม่สามารถกลับเมืองไทย (กลับไม่ได้ตั้งแต่นิรโทษสุดซอยพาพังโน่นแล้ว) ถอนพาสปอร์ต ถอดยศ ถอนเครื่องราช ฯลฯ ทักษิณก็ยังเดินทางไปได้ทั่วโลกอย่างสุขสบาย

ย้อนคิดอีกทีนะ น่าสงสัยว่าทักกี้จงใจ ให้สัมภาษณ์จุดชนวนหรือเปล่า ทั้งที่เป่าสากมาทั้งปี (จนกล่าวกันว่ามีซูเปอร์ดีลกับรัฐประหาร) เพราะมันมี 2 มุมเท่านั้น หนึ่งทักกี้จงใจ สอง ทักกี้โง่บัดซบ (ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้) โดยอาจเป็นได้ว่าเห็นท่าที "ซูเปอร์ดีล" ล้มแล้ว ทักกี้จึงต้องดับเครื่องชน

ผมน่ะไม่ค่อยเชื่อว่าทักกี้ยังมีน้ำยาซักเท่าไหร่หรอกแต่การที่ "ซูเปอร์ดีล" ล้มก็ถือเป็นเรื่องดี
...

ธรรมนูน นาคปักศิลป์ 
เขาเป็นต่อมีหรือจะยอมเจรจา
...

Daen Nitirath  
อำนาจเริ่มทู่ ใครไม่ค่อยจะได้ผล เลยยกขบวนออกมาเล่นเรื่องทักกี้ กะอิปูเผื่อว่า จะได้รับแรงเชียร์จากพักพวกที่ทำเงียบๆมานาน
...

Katsin Sintawichai 
คุยกันไม่รู้เรื่องก้โยนระเบิดแม่งเลยรอบนี้

ปล. แต่ยี่ห้อแม้วโยนระเบิดเพื่อหาทางกดดันเพื่อกลับมาคุยกันดีลกันอีกทีอะสิ 55555
...

TOr Tor
ทักษินเป็นคนใจเร็ว ปากไวกว่าความคิดน่ะครับ ยิ่งมีอารมณ์แค้น ยิ่งอยากพูด ข้อตกลงน่ะคงมี เป็นต้นว่า ให้สงบเสงี่ยม แต่เมื่อยังพูดมาก เขาก็เอาแรง (เพราะตกลงกันไว้แล้ว)
...

Sittichoke Aupara 
ผมว่าออกแนวปากหาเรื่องอีกรอบมากกว่า คือ คสช เริ่มเป๋แล้ว แต่ก็เหมือนตอนสุดซอยนั่นแหละ ที่อยู่ดีๆ คุณทักษิณก็หาเรื่องสะดุดตีนตัวเองโดยออกมาให้สัมภาษณ์นั่น แล้ว คสช ได้ทีเลยเหมือน กปปส ตอนนั้น หยิบเรื่องนี้มาตีปี๊บ ปลุกผีทักษิณขึ้นมากลบเรื่องของตัวเอง ...แล้วก็ได้ผลอีกไง -.-
...

Passorn Peapassakul 
เห้นด้วยครับ เปิดหน้าสู้เหมือนหลังชนฝา สิ่งที่ทักกี้พูดมันเหมือนน้ำท่วมปากมานาน ก่อนหน้านี้ทำมัยไม่พูด ต้องมีความเจ็บแค้นเป้นที่สุดถึงกล้าพูดออกมาโดยไม่มีความแกรงกลัวต่อผลกระทบใดๆ ผมว่ามีการชนกันแน่ แต่จะเป้นแรงแค่ไผนเท่านั้นเอง
...

Taa S Nikorn
โดนหลอกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะตายจากกันไป
...

จริณย์ จาเมศร์ 
ฮาฮา คสช เขาไม่กลัวความขัดแย้ง เลิกท่องคาถาปรองดองแล้วหรือครับ
...

Pruetthigon Saragul 
หยัดยืนชูธงสัจธรรมโต้กระแสทวน ร่วมต่อต้านรัฐเผด็จการทหารอมาตยาศักดินาธิปไตยอำนาจนิยมฟาสซิสต์ศรีธนญชัยนายกเถื่อนคนดีจอมปลอมhttps://sites.google.com/site/joepruetthigon/home

Pruetthigon Saragul
คว่ำรัฐธรรมนูญเผด็จการ ต่อต้านคนดีปลอมๆ หยัดยืนชูธงสัจธรรมโต้กระแสทวน...
SITES.GOOGLE.COM
...

แมวน้อย ในดวงใจ 
ถอนพาสปอร์ต ถอดยศ ของท่านทักษิณ ชาวบ้านเห็นเป็นเรื่องเล็กเพราะมันถอดถอนมาหลายรอบ จนไม่อยากจะสนใจ ถอดถอนพาสปอร์ตและยศของท่านทักษิณสำเร็จ เศรษฐกิจก็ทรุดลงเหมือนเดิม ไม่เห็นดีขึ้น


วันเสาร์, พฤษภาคม 30, 2558

"สุขุม"ชี้ เสือที่"ประยุทธ์"ควรกลัวคือ ประชาชน ไม่ใช่ ทักษิณ




https://www.youtube.com/watch?v=NrNM7oc1pIM&feature=youtu.be

Published on May 29, 2015
ที่มา Thai Voice Media

อาจารย์สุขุม นวลสกุล นักวิชาการรัฐศาสตร์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemeida กรณีที่ รัฐบาลทหาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถอดยศตำรวจ และยกเลิกหนังสือเดินทาง พร้อมทั้ง การตั้งข้อหา 112 ก้บ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ลี้ภัยการเมืองอยู่ในต่างประเทศ ขณะนี้ว่า การให้่สัมภาษณ์ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนนำไปสู่การถอดยศ ยกเลิกหนังสือเดินทาง และการถูกตั้งข้อหา 112 เพราะต้องการจะเป็นฝ่ายรุกบ้าง ไม่อยากจะถูกกระทำฝ่ายเดียว และหากเงียบอยู่ต่อไป มวลชนจะไม่เอาด้วย แต่สุดท้าย คสช.คงทำอะไรพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้

แม้พล.อ.ประยุทธ์ บอกเป็นนัยว่า ถ้าจะลงจากหลังเสือต้องฆ่าเสือ แต่เสือที่ไม่อยู่ในกรง ก็ฆ่าไมได้ แต่คิดว่า เสือที่แท้จริงของ คสช.คือ ประชาชนที่กำลังต่อต้านมากกว่า และหากทั้งสองฝ่ายจะลุกขึ้นมาสู้กันจริง เรื่องที่จะสร้างความปรองดองก็ไม่ต้องพูดถ­ึง จริงๆ แล้วความคิดที่แตกต่างทางการเมืองคนละฝ่าย­เป็นเรื่องปกติ จะให้สองขั้วความคิดทางการเมืองมาปรองดองไ­ม่สามารถทำได้ ส่วนกรณีที่ ฝ่ายคสช.บอกว่า สถานการณ์ตอนนี้ คสช.อยู่ในสถานะที่ได้เปรียบกว่าฝ่ายคุณทั­กษิณ นั้นก็อ้างกันได้ แต่สุดท้ายจะตัดสินกันที่ การเลือกตั้ง เพราะประชาชนและนานาชาติก็เรียกร้องให้มีก­ารเลือกตั้งโดยเร็ว


อนิจจา ไตแลนเดีย...ไอ้การเป็นผู้ณรรมระบอบยึดอำนาจเพื่อประชาธิปไตยไทยๆ ของพวกคนดีนี่ไม่แค่พูดพล่ามหรอกนะ...




ไอ้การเป็นผู้ณรรมระบอบยึดอำนาจเพื่อประชาธิปไตยไทยๆ ของพวกคนดีนี่ไม่แค่พูดพล่ามหรอกนะ

พูดผิด พูดบิด คิดเง่า คิดงมงาย ก็ทำกันได้บ่อยๆ เหมือนกัน มิน่าตั้งกลุ่ม ‘Friends of Thailand’ ๑๒ ชาติเกิดใหม่ไม่มีใครค่อยรู้จัก

วานนี้อวดเก่งเล็คเชอร์เรื่องอำนาจอธิปไตย ๓ ทางที่ประชาชนใช้ ทั่นนาโย้กพูดถึงเรื่องประชามติ เพราะงั้น เพราะงั้น เพราะงั้น

“โดยรัฐบาลเป็นคนกำหนดออกมา ที่ผ่านมานี่มันตีกันไปตีกันมาพันกันไปหมด แล้วประชาชนก็ถูกปลุกระดม กลายเป็นว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจทั้งหมด เพราะงั้นต้องเหนือกว่าทุกคน เหนือกว่ารัฐบาล เหนือกว่าเจ้าหน้าที่ นี่แหละ มันก็ตีกันอยู่แบบนี้แหละ เพราะงั้นต้องอธิบายประชาชนให้เข้าใจด้วยว่า ท่านใช้อำนาจของท่านผ่านผู้แทนของท่านผ่านสภา อะไรก็แล้วแต่ เพราะงั้นสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องสร้างความเข้าใจ อย่าให้ใครเขามาบิดเบือนท่านอีก”
(http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1432896173)

ไม่รู้เป็นประชามติอย่างเดียวกับที่อดีต ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยถองให้หรือเปล่า ที่เขาท้าทำประชามติให้ ‘พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี หรือให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้านได้’ นี่น่ะ

“การกระทำอะไรก็แล้วแต่ ต้องมีเหตุผลมาชี้แจงให้ละเอียด นำข้อดีข้อเสียมาชั่งน้ำหนักกัน มิเช่นนั้นอีกหน่อยประเทศไทยจะหาคนทำดีไม่ได้ เวลานี้ประเทศไทยอยู่ในห้วงเวลาที่ต้องการความสามัคคี ออกกติกาบ้านเมืองให้เป็นประชาธิปไตย ให้ประเทศเดินหน้า อย่ารังแกกัน และขอให้ก้าวข้ามทักษิณสักที อย่าพายเรือในอ่าง อย่าหวังว่าจะหาเรื่องมากลบเกลื่อนปัญหาทางเศรษฐกิจ”




นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ กล่าวถึงการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นรูปแบบเดิมที่กลั่นแกล้งกันฝ่ายเดียว ทำลายเครดิต ใส่ความกัน

(http://www.dailynews.co.th/politics/324629)

การตามล้างตามเช็ดเห็นท่าจะไม่จบง่ายๆ ตราบเท่าที่ทั่นผู้ณรรมยังสำคัญตนเป็นนนทุกข์ปราบยุคเข็ญ

นี่ก็คณะกรรมการไต่สวนข้อมูลของ ปปช. เจ้าเก่า ๙ คน ชงเรื่องการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ กับนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีต รมว. ต่างประเทศ กรณีที่เคยคืนพาสปอร์ตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้วนายสุรพงษ์ยังออกมาย้อนว่าถ้าได้กลับมาเป็นรัฐบาลใหม่ก็จะคืนให้อีก

อุบ๊ะ แหม ทักษิณเขาตั้งอุเบกขา แผ่เมตตาให้แก่สรรพสิ่งผู้มีอำนาจทั้งหลายแล้วไง




“กฏหมายและปืนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ นอกจากเมตตาเท่านั้น”

ใยผู้ณรรมทั่นยังทำไขสือ พอนักข่าวถามว่า “จะดูแลความปลอดภัยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ถ้าเดินทางกลับมาสู้คดี”

แน่ะบิ๊กตู่ตอบว่า “ผมไม่การันตี ผมไม่รู้ท่านไปสร้างรอยแค้นกับใครไว้บ้างหรือเปล่า”

ครั้นนักข่าวสาวลึกเรื่องขี่หลังเสือ “ที่ผ่านมาอดีตนายกฯ หลายคนเวลาลงจากหลังเสือก็บาดเจ็บตลอด”

คราวนี้ทั่นหัวหน้าคณะยึดอำนาจ wisecracked รู้ดี “ก็ลงให้เป็นสิ หรือฆ่าเสือก่อนสิ”

(http://www.thairath.co.th/content/501810)

สงสัยตั้งใจย้อนยุคไปหารัฐาธิปัตย์อย่างที่ชัย ราชวัตรบอกไว้ เพราะมี ตลก. คอยให้ท้าย

ล่าสุดนี่ศาลยกฟ้องคดีที่กลุ่มพลเมืองโต้กลับฟ้องประยุทธ์ จันทร์โอชาและพวกฐานกบฏตามมาตรา ๑๑๓ ศาลอ้างมาตรา ๔๘ ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว เหนือกว่ากฏหมายอาญา ที่ว่า

“หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง”

อนิจจา ไตแลนเดีย


" Everyone is wise until he speaks" Irish proverb - กุนซือบิ๊กป้อม' ชู 12เหตุผล ระบอบทักษิณพ่ายต่อคสช.



ที่มา พันทิป

นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุเนื้อหาที่น่าสนใจถึงความเหตุผล 12 ประการที่ "ระบอบทักษิณ" และตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พ่ายแพ้ต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยระบุว่า นับแต่ยึดอำนาจ 19 กันยา 49 ถึงบัดนี้ เพิ่งเป็นครั้งแรกที่ระบอบทักษินถูกตอบโต้และตีโต้ ที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าแม้กระทั่งเอ่ยชื่อ มีบ้างก็แตะพวกปลายแถว จึงทำให้คนของระบอบทักษินยังคงลำพอง มาครั้งนี้นายกตู่ ประกาศเปิดเผยตรงไปตรงมาว่า อย่างไรก็ชนะ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ฟันธงได้ว่า ระบอบทักษินแพ้แล้ว แต่ คสช. ยังต้องทำให้ความพ่ายแพ้เป็นจริงขึ้นมาด้วย ทั้งนี้ นายไพศาล ได้ให้รายละเอียดว่า...ระบอบทักษินแพ้แล้วด้วยเหตุต่อไปนี้

1.คสช. เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ท่านแม้วเป็นนักโทษหนีคดี

2.คสช. ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนทั่วประเทศ ท่านแม้วมีกำลังเสื้อแดงซึ่งสลายตัวอยู่ทุกวัน พวกแกนนำก็หลบหนีและถูกคดีระนาว

3.คสช. ทำการอยู่บนความถูกต้อง เพื่อช่าติ ประชาชน จึงมีคนช่วยมาก

4.ท่านแม้วอาศัยล็อบบี้ยิสต์เดินงานต่างประเทศ คสช. มีพลังอำนาจแห่งชาติและโครงการลงทุนมหาศาล ต่างชาติจึงสนับสนุน คสช. มากกว่า

5.คสช. ได้รับการสนับสนุนจากมิตรประเทศทั่วโลกเช่นจีน รัสเซีย อินเดีย อาเชี่ยน อิหร่าน สรุปคือประเทศกลุ่มองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ brics ในขณะที่ญี่ปุ่น สหรัฐ อียู ก็มีประโยชน์ร่วมกัน

6.ท่านแม้วมีกำลังสื่อมาก แต่ คสช. ก็มีกำลังทั้งสื่อหลัก สื่อรองและโซเชี่ยลเน็ตเวิรค์มากกว่า สื่อเหล่านี้เคลื่อนโดยพลังรักชาติ ไม่ต้องเติมเงิน

7.ฐานนักธุรกิจเทมาสนับสนุน คสช. ขออย่าเพิ่งเลือกตั้ง ขอให้ทำบ้านเมืองให้มั่นคงมั่งคั่งยั่งยืนก่อน ไม่ต้องการให้ความขัดแย้งและสงครามกลางเมืองเกิดขึ้น

8.ประชาชนก้าวผ่านพรรคการเมือง นักการเมืองและการเลือกตั้งมาแล้ว จึงเรียกร้องให้ คสช. ปฏิรูปให้เสร็จก่อน ทำให้นักการเมืองหมดพลังและต้องสาละวนในการแก้คดีทุจริต

9.คสช. ต่างกับคณะทหารที่ยึดอำนาจทุกคณะ ตรงที่มีประชาชนสนับสนุน จึงไม่มีทางเกิดกรณีเหมือนพฤษภาทมิฬ

10.มวลชนที่รับจ้าง ไม่มีความบริสุทธิ์ ไม่มีจิตสำนึก และไม่มีวิญญานนักสู้ เงินมางานเดิน แต่เสี่ยงคุกเสี่ยงตายไม่เอา

11.ข้าราชการมีความกล้าหาญและสนับสนุน คสช. มากขึ้น เพราะมีความมั่นใจ "ระบอบทักษิน" จะไม่กลับมาอีก

12.คสช. กุมสภาพสังคมและสภาพต่างๆได้ แต่ท่านแม้วห่างสถานการณ์มาก กุมสภาพไม่ได้ ด้วย 12 ประการนี้ก็หยั่งทราบได้ว่า ท่านแม้วแพ้แล้ว แต่ความพ่ายแพ้ที่เป็นจริง ยังต้องมีการทำการของ คสช.และประชาชนอีกมาก

นายไพศาล ยังระบุด้วยว่า สตช. ระบุกรณีทักษินเข้าข่ายตัองถอดยศ หากถอดยศเมื่อใดก็หมดสิทธิใช้คำ พ.ต.ท. นำหน้า ก็จะเป็นคนสามัญเหมือนเราท่าน จุดเชื่อมโยงกับพระอังคารในดวงเมืองก็จะหมดไป ดวงร่วง ดวงก็ดับ จึงต้องตามดูกันว่าทักษินจะดิ้นรนสู้เพื่อพยุงดาวไว้อย่างไรต่อไป“


http://www.dailynews.co.th/politics/324450



''ลีน่าจัง'' แฉ!!! ''ทักษิณ ชินวัตร'' เคลื่อนไหว + พลังประชาธิปไตย ผิดหวัง "ทักษิณ-เพื่อไทย"ทั้งรู้ถูกไล่ฆ่า ยังห่วงผลประโยชน์เฉพาะตัว




https://www.youtube.com/watch?v=nIy8g9MUDIY

Published on May 26, 2015

ooo

พลังประชาธิปไตย ผิดหวัง "ทักษิณ-เพื่อไทย"ทั้งรู้ถูกไล่ฆ่า ยังห่วงผลประโยชน์เฉพาะตัว



พลังประชาธิปไตย ผิดหวัง "ทักษิณ-เพื่อไทย"ทั้งรู้ถูกไล่ฆ่า ยังห่วงผลประโยชน์เฉพาะตัว

Published on May 26, 2015
ที่มา Thai Voice Media

ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ นักวิชาการที่เคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิป­ไตย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia เกี่ยวกับ ร่างรัฐธรรมนูญ การทำประชามติ รวมทั้ง บทบาทพรรคเพื่อไทย ความเคลื่อนไหว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคประชาธิปัตย์ ว่า เห็นด้วยที่จะให้ทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ แต่มีเป้าหมายเพื่อคว่่ำร่างรัฐธรรมนูญเท่­านั้น แล้วนำรัฐธรรมนูญปี 40 มาใช้ แต่หากจะตั้ง สสร.ที่มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนเพื่อร­่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ จะทำให้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในอำนาจนานออกไปอีก วิกฤติเศรษฐกิจยิ่งทรุดหนักมากขึ้น แต่เชื่อว่าหากทำประชามติ ร่างรัฐธรรม คงผ่านออกไปได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เปรียบกลับมาเป็นรัฐบาลได้อีก แม้พระสุเทพ จะออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในนามของเอ็น­จีโอก็ตาม เพราะชนชั้นนำเห็นว่า หากให้ อภิสิทธิ์ และสุเทพ กลับมามีอำนาจทางการเมืองอีกครั้ง จะวุ่นวายและเกิดความขัดแย้งมากขึ้นอีก ดังนั้นรัฐบาลใหม่จากกติกาที่เป็นเผด็จการ­นี้ จะเป็นรัฐบาลผสม. ส่วน พรรคเพื่อไทย กลับเงียบ ทั้งนี้เพราะพรรคเพื่อไทย เป็นพรรคที่มีเจ้าของ ต้องรอให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แสดงท่าทีออกมาก่อน ซึ่งการให้สัมภาษณ์ที่เกาหลี ดูแล้วไม่มีน้ำหนักอะไร แม้จะเป็นการพูดครั้งแรกหลังมีการรัฐประหา­ร แต่เสร็จแล้วกลับไปอุ้มหลาน ดูตลกเสียมากกว่า แม้แต่ การที่นักศึกษาถูกทำร้ายจากการเคลื่อนไหวเ­พื่อเรียกร้องประชาธิปไตย พรรคเพื่อไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังเฉย เชื่อว่า เพราะ พ.ท.ต.ทักษิณ เล่นการเมืองแบบต่อรองผลประโยชน์ไม่ได้ยึด­หลักประชาธิปไตยที่แท้จริง นี่คือสิ่งที่ขบวนเรียกร้องประชาธิปไตย ผิดหวังกับ ทักษิณ เพื่อไทย และ นปช.

ดร.สุธาชัย ยังกล่าวด้วยว่า ขบวนการประชาธิปไตยควรจะต้องถกเถียงเรือ่ง­การปฎิรูปกองทัพให้จริงจังมากขึ้น รวมทั้ง ขจัดกลุ่มบุคคล หรือองค์กร ที่พยายามอ้างสถาบันกษัตริย์เพื่อผลประโยช­น์ทางการเมือง ไม่ว่า องคมนตรี หรือ กองทัพ

เมื่อ บิ๊กเหล่ ปะทะ บิ๊กจอบ ที่เดนมาร์ก.... อะไรจะเกิดขึ้น



เมื่อ บิ๊กเหล่ ปะทะ บิ๊กจอบ ที่เดนมาร์ก....อะไรจะเกิดขึ้น
Posted by SeriThai Danmark on Monday, May 25, 2015
https://www.facebook.com/sertthaidk/videos/1578086275789560/?pnref=story



วาทะเด็ดวันนี้...กฎหมายและปืนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ นอกจากเมตตา เท่านั้น




พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้โพสต์ภาพตนเองขณะนั่งอยู่ในห้องพระ ผ่าน Instagram @Thaksinlive โดยมีใจความว่า

"หลังจากได้อุ้มหลานที่สิงคโปร์ วันนี้กลับมาอยู่ดูไบแล้ว ได้มีเวลานั่งสมาธิ เช่นเดียวกับวันว่างทุกวันที่ผ่านมา

แต่ครั้งนี้ได้เพิ่มการแผ่เมตตา ให้กับผู้มีอำนาจทั้งหลาย ได้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง เพื่อจะได้มีสติปัญญาในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่บริหารแต่อำนาจ และสร้างความแตกแยกให้มากยิ่งขึ้น 

สำหรับผมเชื่อในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง" คือ ทุกสิ่งไม่มีอยู่จริง เมื่อเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป

พาสปอร์ตก็เช่นกัน ก็ไม่อยากให้เป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โตอะไรกันมากมาย ผมก็ยังเป็นคนเดิมจนกว่าจะลาโลกไป อยากให้คนไทยมีเมตตาต่อกัน กฎหมายและปืนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ นอกจากเมตตา เท่านั้น"

PEACE TV






ที่มา Voice TV

นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธใช้อำนาจ ตามมาตรา 44 ดำเนินการถอดยศ และยึดหนังสือเดินทางของ"พ.ต.ท.ทักษิณ"พร้อมประกาศจะถอนหนังสือเดินทางทุกเล่มที่เหลือ ด้านคณะกรรมการมีมติเอกฉันท์ให้ ถอดยศ "พ.ต.ท.ทักษิณ"ส่งผบ.ตร.พิจารณาตามขั้นตอนแล้ว

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ยืนยันว่าไม่ได้ใช้อำนาจ ตามมาตร 44 เข้าไปเกี่ยวข้อง หรือดำเนินการ ถอดยศ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ใช้กฎหมายปกติ พร้อมยืนยันถึงการถอนหนังสือเดินทาง พันตำรวจโท ทักษิณ ว่า จะถอนทุกเล่มที่มีในประเทศไทย

นอกจากนี้ ได้กล่าวถึงสถานการณ์ภายในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องรัฐธรรมนูญว่า มอบทีมกฎหมาย คสช. หาวิธีรองรับ หากรัฐธรรมนูญไม่ผ่านความเห็นชอบจาก สปช. หรือไม่ผ่านความเห็นชอบ ในกรณีทำประชามติแล้ว

รัฐบาลยังได้เพิ่มเวลาให้กับรายการเดินหน้าประเทศไทย เพื่อประชาสัมพันธ์ความคืบหน้า ในการทำงาน จากเดิม 15 นาที เป็น 30 นาที เริ่ม 1 มิถุนายนนี้

ขณะที่ คณะกรรมการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการถอดยศตำรวจ มีมติเอกฉันท์ ให้ถอดยศ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมตรี พร้อมเสนอพลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ความเห็นชอบ

พลตำรวจเอก ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ประธานคณะกรรมการฯ ยืนยัน เป็นไปตามขั้นตอน ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่งเรื่องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาเพิ่มเติม ในประเด็นที่พันตำรวจโท ทักษิณ ตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญา อยู่ระหว่างหลบหนีคดี เข้าเงื่อนไขตามข้อ 1(6) ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547

ส่วนกรณีบทสัมภาษณ์กระทบต่อความมั่นคงนั้น ไม่ได้นำมาร่วมพิจารณาด้วย

ขั้นตอนหลังจากนี้ หากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติพิจารณาเห็นชอบ ก็จะส่งเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีต่อไป พร้อมปฏิเสธว่า ไม่ได้กลั่นแกล้ง โดยเป็นการพิจารณาในรูปแบบคณะกรรมการ ที่มาจากหลายภาคส่วน ขณะที่ พันตำรวจโท ทักษิณ สามารถทำหนังสือชี้แจงได้ตามสิทธิ์

ด้าน พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เขียนข้อความทางอินสตาแกรมส่วนตัว ไม่ติดใจกรณี ถูกเพิกถอนหนังสือเดินทาง และต้องการให้เป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โต

พร้อมกันนี้ อยากให้คนไทย มีเมตตาต่อกัน เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาประเทศ ซึ่งการจะสำเร็จได้นั้น จำเป็นว่า ต้องพ้นจากความโลภ โกรธ หลง เพื่อจะได้มีสติปัญญาในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นจริง

ooo



คำสัมภาษณ์ ของทักษิณ คือหมิ่นเจ้า
ต้องยึดเอา พาสปอร์ตไว้ มิให้หนี
ต้องถอดยศ มันทิ้งไป ไม่ให้มี
จวน10ปี วนเรื่องเก่า เล่าเรื่องเดิม

แม้วสัญจร รอบโลกได้ หลายปีแล้ว
แรงไม่แผ่ว ชาติต่างต่าง ยังส่งเสริม
จึงให้ร้าย ป้ายข้อหา หนักกว่าเดิม
หวังจะเพิ่ม ความเกลียดชัง ทั้งกะลา

อิจฉาแม้ว มีความสุข กับลูกหลาน
อันธพาล ที่จนตรอก จึงออกหน้า
มีทั้งบอก ต้องไปจับ เอากลับมา
มีทั้งด่า ไม่ให้อยู่ กูละงง...

Credit 
Phattita Cheraiem Page III and
UDD Thailand


ศาลบอกว่าประยุทธ์และพวกรัฐประหารไม่ผิด เราจะปล่อยให้จบง่าย ๆ อย่างนี้หรือ... 'พลเมืองโต้กลับ' เตรียมยื่นอุทธรณ์อีกครั้ง


ภาพ โพสต์ทูเดย์


'พลเมืองโต้กลับ' เตรียมยื่นอุทธรณ์อีกครั้ง

Fri, 2015-05-29 22:35
เรื่อง ประชาไท

หลังพิพากษายกฟ้อง กลุ่มพลเมืองโต้กลับ ฟ้อง “พล.อ.ประยุทธ์” และคณะ ล้มล้างรธน. ชี้ คสช.ไม่ต้องรับผิดมาตรา 48 รธน.ชั่วคราวปี 57 ด้าน 'พันธ์ศักดิ์' ระบุเตรียมยื่นอุทธรณ์คำสั่งอีกครั้ง

29 พ.ค. 2558 สำนักข่าวไทยรายงานว่าที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 9.00 น. ศาลอ่านคำสั่งคดีหมายเลขดำ อ.1805/2558 ที่นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ สมาชิกกลุ่มพลเมืองโต้กลับ และพวก รวม 15 คน เป็นโจทก์ฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กับพวกรวม 5 คน เป็นจำเลยฐานกบฏ กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 20-24 พ.ค.57 จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้กำลังขู่เข็ญประทุษร้ายและล้มล้างเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 สิ้นสุดลง ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ อันเป็นความผิดฐานกบฏ และพวกจำเลยยังได้ออกคำสั่งในนาม คสช.หลายฉบับ อันเป็นการละเมิดสิทธิ์และเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชน ทำให้โจทก์ทั้ง 15 คนได้รับความเสียหาย โจทก์ จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 113 และ 114

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้การเข้ายึดและการควบคุมอำนาจการปกครองประเทศของจำเลยทั้งห้ากับพวกในนามคสช. แต่ภายหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2557 ฉบับชั่วคราว ลงวันที่ 22 ก.ค.57 โดยบัญญัติว่า การละเว้นความผิดและความรับผิดไว้ในมาตรา 48 ว่า บรรดาการกระทำทั้งหลายซึ่งได้กระทำในนามการควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ 22 พ.ค.57 ของหัวหน้าและคณะคสช. รวมทั้งการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าวของผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้กระทำ และคำสั่งจากหัวหน้าและคณะคสช.อันได้กระทำไปเพื่อการดังกล่าวข้างต้น โดยการกระทำดังกล่าวทั้งหมดนี้ไม่ว่าจะเป็นการกระทำเพื่อให้มีผลบังคับในทางรัฐธรรมนูญ ทางนิติบัญญัติ ทางด้านบริหาร และอำนาจตุลาการ รวมทั้งการลงโทษและการกระทำอันเป็นการบริหารราชการอื่น ๆ ไม่ว่าในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ให้กระทำ ทั้งกระทำในวันดังกล่าว หรือกระทำภายหลังซึ่งเป็นการกระทำอันผิดต่อกฎหมาย ให้ผู้กระทำนั้นพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง

ดังนั้นการกระทำของจำเลยทั้งห้าตามฟ้องจึงพ้นจากความผิด และความรับผิดตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2557 ฉบับชั่วคราว มาตรา 48 คดีของโจทก์ทั้งสิบห้าจึงไม่มีมูลที่ศาลจะรับไว้พิจารณา พิพากษายกฟ้อง

ต่อมาเวลา 14.00 น. นายพันธ์ศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ว่า จากที่ได้อ่านคำสั่งของศาลแล้ว เห็นว่าศาลยอมรับว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจศาล เท่ากับศาลยอมรับว่าพวกเราเป็นกลุ่มผู้เสียหาย ซึ่งต่างจากอดีตที่ศาลจะไม่ยอมรับคดีที่ฟ้องคณะรัฐประหาร นอกจากนี้ ในคำสั่งยังระบุอีกว่า การกระทำของคณะคสช.ไม่เป็นไปตามหลักประชาธิปไตย แต่เมื่อมีการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญพ.ศ.2557 ฉบับชั่วคราว ซึ่งมาตรา 48 บัญญัติให้ละเว้นความผิดและความรับผิดคณะคสช.ไว้ โดยเราตีความคำว่าพ้นผิดนั้น หมายความว่าคณะคสช.ได้กระทำผิดจริง จึงถือเป็นบรรทัดฐานใหม่ และจะใช้เป็นช่องทางที่เราจะยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อไป ซึ่งศาลจะมีคำสั่งอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล

เจาะข่าวตื้น 154 : นักศึกษายุ่งไร ? รักชาติจริงต้องเปิดใจ...สิจ๊ะ




https://www.youtube.com/watch?v=X1Hkgvu7SO0

Published on May 29, 2015

Shallow News in Depth 154
ยินดีต้อนรับเข้าสู่เจาะข่าวตื้น 154 กับดราม่านักศึกษาอันธพาลทำร้ายตำรวจ เจาะข่าวตื้นขออาสาอบรมสั่งสอนเด็กเหล่านี­้ที่จะเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า เผื่อต่อไปจะได้ไม่ไปทำตัวดูถูกสติปัญญาใค­ร ติดตามกันได้กับเจาะข่าวตื้นเทปนี้นะฮ้าว์­ฟฟ

ติดต่อโฆษณาได้ที่ 087-683-5151
ช่องทางการติดต่อเพิ่มเติม http://www.spokedark.tv/contact-us/
ติดตามรายการตอนใหม่ได้ที่ http://www.facebook.com/spokedarktv


วันศุกร์, พฤษภาคม 29, 2558

สั้นๆทันสถานการณ์กับสส.สุนัยจุลพงศธร28พค.58

รุมยำกันใหญ่ ไอ้เรื่องถอนพาสปอร์ตเนี่ย




รุมยำกันใหญ่ ไอ้เรื่องถอนพาสปอร์ตเนี่ย

ทั้งๆ ที่รู้แก่ใจกันว่ามันจะไม่มีผลเท่าไรทั้งต่อการ ‘คงอยู่’ และ ‘ทำงาน’ ของทักษิณ ถ้าเขายังคงปลดเกียร์ว่างนั่งรอ (ทางการเมือง) อย่างที่เป็นมาตลอดหนึ่งปีรัฐประหาร

“พาสปอร์ตมีกี่สี มีสีน้ำตาล สีแดง สีน้ำเงิน มีข่าวว่าถอนหมดหรือยัง กำลังเช็คอยู่ว่ามี ๓ หรือ ๔ เล่ม แต่จะมีกี่เล่มก็จะถอนทั้งหมด” นาโย้กทั่นว่า (ตามบททวี้ตของ Deep Blue Sea @WassanaNanuam)

แต่เมื่อไหร่พรรคเพื่อไทยได้กลับ ‘คืนชีพ’ อย่างที่ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศว่าละก็ จะสามหรือสี่ สีอะไร เขาก็ย่อมได้คืนอยู่แล้ว

รวมทั้งการถอดยศที่ พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษาสัญญาบัตร ๑๐ (สบ.๑๐) บอกว่าดำเนินการตามความผิดหลบหนีโทษจำคุก ๒ ปีคดีเซ็นรับรองภริยาซื้อที่ดินรัชดา ไม่เกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์คลิปวิดีโอวิจารณ์องคมนตรีจากเกาหลีใต้

ก็เป็นเรื่องเก่าที่เอามาใช้ ‘เล่นงาน’ เช่นเดียวกับคนที่ไม่ใช่อยู่ในแถว คสช. อื่นๆ

นัยยะอยู่ที่คดีหมิ่นประมาททางอาญา มาตรา ๓๒๖ กับ ๓๒๘ ฟ้องได้ทันที แต่ว่ามาตรา ๑๑๒ ต้องงุบงิบฟ้อง เพราะหาเหตุโยงองคมนตรี กับพระมหากษัตริย์ พระราชินี องค์รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในเรื่องของการหมิ่นประมาทอาจฟังยาก หากไม่โมเมเอา ซึ่งในอมาตรฐานศาลไทย ทำกันได้อยู่แล้ว

ยึดพาสปอร์ตทักษิณจึงเป็น ‘cover’ บรรเลงนำร่องก่อนเวลา หรือไซ้ด์โชว์เบนความสนใจก่อนถึงลาบเป็ดและแกงฮังเลที่จะตามมา ไม่ว่าการขึ้นเงินเดือนทหารรอตกเบิกงบประมาณใหม่สองแสนล้าน ซึ่งรวมถึงการซื้อเรือดำน้ำ (ไว้ผลักดันโรฮิงญาออกจากน่านน้ำไทย มั้ง)

หรืองบประมาณปราบโกง ๒,๘๐๓ ล้านที่มอบหมายให้ ปปช. ดูแลจัดการ

โดยแบ่งเส้นทางไหลของตัวเงินเป็นสามแนวเรียกว่า ๓ สร้าง คือสร้างกลไกป้องกัน ๙๙๘ ล้าน สร้างความตระหนักรู้อีก ๖๙๔ ล้าน กับสร้างเสริมความเข้มแข็ง อันนี้หนักหน่อย ๑,๑๑๐ ล้าน
(http://www.isranews.org/…/isranew…/38794-pppuuudddd_888.html)

ปปช. ก็แสนจะแข็งขันประเดิมก่อนอาหารจานหลักด้วยสลัดผัก ๗ แสนบาท ในโครงการปลุกจิตสำนึกข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน เปลี่ยนฐานความคิดให้รู้สึกต่อต้านการทุจริต ด้วยการให้นั่งสมาธิ ๕ นาฑีก่อนเริ่มทำงานทุกวัน
(http://www.isranews.org/isranews-news/…/38864-nacc_1169.html)

เรื่องทักษิณก็แค่เรียกแขก ที่มีคนรอเสียบ รับเชิญ และตามแห่อยู่แล้ว โดยเฉพาะพวกสื่อโกยขยะ




รายแรกทันควันตีเหล็กกำลังร้อน ขณะที่คู่ประชันกำลังหงอย เมื่อสนธิ ลิ้ม เพิ่งจะโดนคุก ๒ ปี พร้อมแกนนำพันธมิตร (พธม.) อีกหกคน (http://www.komchadluek.net/detail/20150528/207067.html)

แม้จะได้รับการประกันปล่อยตัวชั่วคราวรออุทธรณ์ ก็คงจะไม่ดี๋ด๋าซ่าหริ่มเท่าที่เคย เป็นช่องให้ ‘ทีนิวส์’ ของสนธิญาน ชื่นฤทัยในธรรม เชิดไพศาล พืชมงคล ออกมาตามขย่มทักษิณว่า ‘แพ้แล้ว’ แพ้ ‘บิ๊กตู่’ ไม่เป็นท่าเลยเชียวละ




ไพศาลเขียนเฟชบุ๊คสบัดลิ้นยกมูล (อุจจาระ) เหตุที่ว่าทักษิณแพ้ ๑๒ ประการ ล้วนแต่มดเท็จทั้งสิ้น ดีกรีอาจต่างกันบ้าง อาทิ ข้อ “๑. คสช. เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ท่านแม้วเป็นนักโทษหนีคดี” นี่เป็นการมุสาอย่างอ่อนที่สุด




(ขออภัยไม่ให้ลิ้งค์ เพราะอ่านทั้งหมดแล้วก่อให้เกิดความเสื่อมทางสติปัญญา เราไม่ทำ)

ไม่เพียงฉกฉวยเบียดแซงแอสทีวีเท่านั้น สนธิญานยังพยายามก่อความรำคาญให้แก่คู่แข่งอีกราย ตามข่าว

“สนธิญานแจ้งความสุทธิชัย หยุ่น และพวก ฐานกล่าวหาครอบงำเนชั่น” ซึ่งสืบเนื่องมาจาก“ที่ผ่านมาตนถูกกล่าวหาจากสื่อของกลุ่มเนชั่น และผู้บริหารกลุ่มเนชั่นบางรายผ่านเครือข่ายสื่อออนไลน์มาอย่างต่อเนื่อง”

ที่ว่า ‘กล่าวหา’ ก็คือ “ว่า มีกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งได้เข้าถือหุ้นของเนชั่นฯ โดยมีเจตนาที่จะร่วมกันครอบงำกิจการของเนชั่นฯ โดยที่มิได้ปฏิบัติให้เป็นไปโดยถูกต้องด้วยกฎหมาย และหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการครอบงำกิจการ”

(http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1432810915)

จะเป็นด้วยว่าขณะนี้กำลังเข้าสู่ระยะ ‘กระเบื้องลอยเฟื่อง’ หรือเปล่า พวกกาไก่ไล่จิกตีกันใหญ่ จะให้หนุกน่าจะมีแนวหน้ากะไทยโพสต์เข้าร่วมวงอีกสักสองราย


เปิดใจหนุ่มพ่นสเปรย์ป้ายศาลอาญา หลังได้ประกัน




https://www.youtube.com/watch?v=METIZwD3rmw&feature=youtu.be

ที่มา ประชาไท
Published on May 28, 2015
คุยกับณัฐพล เข็มเงิน หรือเจเจ วัย 22 ปี หลังนอนคุก 1 วันและได้ประกันตัว โดยความช่วยเหลือของแฟนและเพื่อนๆ นักดนตรีที่รวบรวมเงินประกันผ่านเฟซบุ๊ก

อ่านที่ http://prachatai.org/journal/2015/05/...


ooo

ประชาไท




28 พ.ค.2558 เวลาประมาณ 20.30 น. นายณัฐพล เข็มเงิน หรือ เจเจ อายุ 22 ปีได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลังนอนคุก 1 คืน ท่ามกลางแฟนสาวและเพื่อนนักดนตรีราว 7-8 คนซึ่งมารอรับอยู่ราว 3 ชม. ทั้งนี้คดีดังกล่าวเกิดขึ้นจากกรณีที่มีการพ่นสีสัญลักษณ์อนาธิปไตย 2 จุดที่ป้ายศาลอาญา

ก่อนหน้านี้เวลาประมาณ 15.00 น. เพื่อนๆ ของเจเจดำเนินการยื่นขอประกันตัวเขาที่ศาลอาญา รัชดา อย่างรีบร้อนหลังจากบริษัทประกันอิสรภาพ 3 แห่งปฏิเสธที่จะขายประกันให้เนื่องจากเห็นว่าเป็นคดีใหญ่ แรงกดดันสูง ผู้ต้องหาอาจหลบหนี บริษัทแห่งที่สี่ยอมขายให้ในช่วงเย็นก่อนศาลปิดทำการไม่นานนัก นอกเหนือจากการซื้อประกันอิสรภาพแล้วญาติของผู้ต้องหาแจ้งว่า ญาติต้องนำเงินสด 10,000 บาทเป็นหลักประกันเพิ่มเติมแก่ศาลด้วย ต่อมาเวลาประมาณ 17.30 น. ศาลจึงมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัว

การประกันตัวในวันนี้เป็นส่วนของข้อหาทำให้ทรัพย์ที่ใช้สาธารณประโยชน์เสียหายและความผิดตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ ซึ่งพนักงานสอบสวนนำตัวณัฐพลมาขอฝากขังผลัดแรกเมื่อวานนี้ ( 27 พ.ค.) เนื่องจากยังต้องสอบพยานอีก 4 ปาก ส่วนอีกข้อหาคือละเมิดอำนาจศาล ศาลพิพากษาในวันเดียวกัน (27 พ.ค.) ให้จำคุก 1 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 1 ปีและให้รายงานตัวกับพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง

การพิพากษาโทษในคดีละเมิดอำนาจศาลเกิดขึ้นหลังจากมีการไต่สวนคำร้องที่ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลอาญาขอให้ไต่สวนผู้ต้องหา โดยนายสุนันท์ นาคะ นิติกรชำนาญการพิเศษศาลอาญา ผู้รับมอบอำนาจจากผู้อำนวยการศาลอาญา แถลงต่อศาลว่า เมื่อวันที่ 24 พ.ค. ที่ผ่านมา ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำศาลอาญาว่ามีบุคคลใช้สี สเปรย์พ่นที่ป้ายศาลอาญา 2 จุด คล้ายกับสัญลักษณ์ต่อต้านอำนาจรัฐ ทำให้ป้ายศาลอาญาได้รับความเสียหาย และเป็นการประพฤติไม่เรียบร้อยบริเวณศาลอาญาซึ่งภาพจากกล้องวงจรปิดบันทึกภาพขณะผู้ก่อเหตุ คือนายณัฐพล กระทำการดังกล่าวอาจมีมูลความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล

ด้านนายณัฐพล เบิกความต่อศาลยอมรับว่า เป็นผู้ฉีดพ่นสเปรย์ที่ป้ายศาลอาญาจริง โดยในคืนเกิดเหตุเวลาประมาณเที่ยงคืนเขาเดินออกมาจากห้องพักซอยรัชดาภิเษก 32 และนำกระป๋องสีสเปรย์ติดตัวมาด้วย จากนั้นก็ได้พ่นสีเปรย์ที่สะพานลอยบริเวณปากซอยเป็นสัญลักษณ์รูปตัวเอและมีวงกลมล้อมรอบแบบเดียวกับที่พ่นบนป้ายศาลอาญา จากนั้นก็เดินมาพ่นสีที่ป้ายศาลอาญา สัญลักษณ์ที่ฉีดพ่นนั้นเป็นสัญลักษณ์ของวงดนตรีต่างประเทศ ไม่ได้ต้องการสื่อความหมายใดๆ และไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ส่วนสาเหตุที่พ่นสีสเปรย์ใส่ป้ายศาลนั้นเนื่องจากมีความรู้สึกคับแค้นใจเพราะรุ่นพี่ที่รู้จักกันถูกเจ้าหน้าที่ทหารยิงเสียชีวิต และอยู่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลทหาร แต่ไม่ได้รับทราบความคืบหน้า จึงกระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ทราบว่าจะมีความผิดรุนแรงขนาดนี้ แต่ก็น้อมยอมรับผิดและยินดีช่วยทำความสะอาดศาลอาญาหรือบำเพ็ญประโยชน์ ต่อมาศาลพิพากษาโดยให้เหตุผลว่า เชื่อได้ว่านายณัฐพล ผู้ถูกกล่าวหาได้นำสีสเปรย์สีดำฉีดทับป้ายหลังข้อความศาลอาญาซึ่งป้ายดังกล่าวถือเป็นทรัพย์สินของราชการและป้ายดังกล่าวยังอยู่ในบริเวณศาล การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการผิดกฎหมายและยังเป็นการประพฤติตนไม่เหมาะสม บริเวณศาล ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 33 (1) ให้จำคุก 1 เดือน แต่ทางไต่สวนศาลเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาได้สำนึกผิด ประกอบกับผู้ถูกกล่าวหาไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญา 1 ปี ให้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง โดยให้พนักงานคุมประพฤติเสนอรายงานต่อศาลทุกครั้งที่ผู้ถูกกว่าหามารายงานตัว




อย่างไรก็ตาม โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชนหรือไอลอว์ รายงานว่า เหตุที่ณัฐพลต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ 1 คืน เนื่องจากในวันที่ 27 พ.ค.ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวเขาไปฝากขังกับศาลอาญาในข้อหาทำลายทรัพย์สินสาธารณะนั้น ญาติและเพื่อนของณัฐพลมีหลักทรัพย์ไม่ถึง 90,000 บาทตามราคาที่ศาลเรียก จึงต้องซื้อประกันอิสรภาพจากบริษัทประกัน บริษัทแจ้งว่าจะขายหลักทรัพย์ให้เมื่อศาลมีคำสั่งใน ข้อหาละเมิดอำนาจศาลก่อน เมื่อศาลมีคำสั่งเวลาก็ล่วงถึง 16.30 น. จึงไม่สามารถดำเนินการยื่นประกันได้ทันเวลา

ทั้งนี้ สัญลักษณ์อนาธิปไตย บีบีซี แฟนเพจ ขยายความถึงความเป็นมาของมันว่ามีบันทึกถึงการเริ่มใช้เป็นครั้งแรกในขบวนการแรงงานของสเปนในศตวรรษที่ 19 แต่ได้รับความนิยมแพร่หลายในการประท้วงทางการเมืองทั่วโลกในปัจจุบัน หลังการเกิดขึ้นของขบวนการต่อต้านโลกาภิวัตน์เมื่อช่วงต้นสหัสวรรษนี้ โดยตัวอักษร A แทนคำว่า Anarchy หรือ อนาธิปไตย อยู่ในวงกลมซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนตัวอักษร O ใช้แทนคำว่า Order ซึ่งโดยรวมแล้วมีความหมายเชิงต่อต้านอำนาจรัฐ


ประยุทธ์ ชนะ ทักษิณ แน่นอนฟันธง



ประยุทธ์ ชนะ ทักษิณ แน่นอนฟันธง โดย ต้าร์ เสรีชนคนอีสาน (ภาษาอีสาน)***ประยุทธ์สวนทักษิณ ยังไงผมก็ชนะเขาอยู่แล้วตอนนี...
Posted by Wanchalearm Satsaksit on Tuesday, May 26, 2015
https://www.facebook.com/talearm/videos/10153508114338243/

...

ประยุทธ์ ชนะ ทักษิณ แน่นอนฟันธง
โดย ต้าร์ เสรีชนคนอีสาน (ภาษาอีสาน)

***
ประยุทธ์สวนทักษิณ ยังไงผมก็ชนะเขาอยู่แล้วตอนนี้
http://breakingnews.nationtv.tv/home/read.php?newsid=759302

***
ประยุทธ์ ชนะ ทักษิณ แน่นอนฟันธง

ยังไง ประยุทธ์ก็ชนะทักษิณ เพราะ

1. แก้ปัญหา ยางพารา ที่ราคาตกต่ำ...ยังไม่ได้
2. แก้ปัญหา การขายข้าวของชาวนา ที่ราคาตกต่ำ...ยังไม่ได้
3. แก้ปัญหา สลากกินแบ่งรัฐบาล ที่ขายเกินราคา...ยังไม่ได้
4. แก้ปัญหา การส่งออก ที่ติดลบมาสี่เดือน...ยังไม่ได้
5. แก้ปัญหา การเก็บภาษี ที่ต่ำกว่าเป้า...ยังไม่ได้
6. แก้ปัญหา เงินคงคลัง ที่ลดลงต่ำมาก...ยังไม่ได้
7. แก้ปัญหา การสินค้าประมง ที่โดนแบน...ยังไม่ได้
8. แก้ปัญหา การค้ามนุษย์ ที่ไทยเป็นศูนย์กลาง...ยังไม่ได้
9. แก้ปัญหา การคอรัปชั่น โดย คสช. ...ก็ยังไม่ได้
(เงินโอนให้ลูก 190 ล้าน เงินบัญชีน้องชายประยุทธ์-เมีย โครงการ 2 ล้านๆ เป็น 3ล้านๆ และโครงการน้ำ 3.5 แสนเป็น 9.8 แสนล้าน ตรวจสอบไม่ได้ด้วยนะ)
10. แก้ปัญหา หนี้ครัวเรือน ที่เพิ่มสูงขึ้น...ยังไม่ได้
11. แก้ปัญหา ปากท้องของประชาชน ...ยังไม่ได้ แต่เพิ่มงบกลาโหม ? เอ๊ะยังไง
12. แก้ปัญหา การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ที่ตกต่ำ...ยังไม่ได้
13. แก้ปัญหา คนตกงานที่เพิ่มกว่า 3.7 แสนคน...ยังไม่ได้
14. แก้ปัญหา ความเชื่อถือที่ลดต่ำลงของรัฐบาล...ยังไม่ได้
15. แก้ปัญหา การเมืองและรัฐธรรมนูญ...ก็ยังไม่ได้

ทั้งหมดนี้ บอกได้เลยว่า ประยุทธ์ ชนะทักษิณแน่นอน
ชนะในที่นี้ คือ ปัญหาสะสมจนชนะ แก้ปัญหาต่างๆ ไม่ได้ ดีแต่พูด
และพูดได้เรื่อยๆ พูดไปรายวัน แค่พูดนะ พูดว่าจะแก้ จะดี
แต่ในความเป็นจริง เศรษฐกิจ หรือปัญหาต่างๆ ไม่ได้รับการแก้ไข
หมักหมมปัญหา ทำให้คนจนลง นี่ถือว่า ประยุทธ์ชนะทักษิณ
แต่เป็นชัยชนะ บนความพ่ายแพ้ของประชาชน

และถ้าอยากรู้ว่าประยุทธ์ จะชนะจริงหรือไม่
บักประยุทธ์ มึงกล้าลงเลือกตั้งไหม
แล้วให้ประชาชนทั้งประเทศ เป็นคนตัดสิน
ไม่ใช่รัฐประหารมาพูดจ้อ ตอแหลไปวันๆ

เข้าใจมั้ย

*****

สรุปภาพรวมเศรษฐกิจ ไตรมาสแรก ปี 58 ยุค คสช. หนีหนี้บาน-จ้างงานลด-ว่างงานเพิ่ม
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10153509949193243

คลิป กุล 23 4 58 ขอนแก่น : สัมภาษณ์กลุ่มดาวดิน (เก่าแต่ยังสมสมัย)




https://www.youtube.com/watch?v=Ouo-5O97668&feature=youtu.be

Published on May 26, 2015


ชมคลิปสัมภาษณ์พิเศษ "รังสิมันต์ โรม" ตอบนานาข้อครหา-หน้าที่นักศึกษา = พลเมือง ?



ที่มา มติชนออนไลน์
27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

รังสิมันต์ โรม นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นหนึ่งในนักกิจกรรม 33 คน ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว ภายหลังการร่วมชุมนุมรำลึกวาระครบรอบ 1 ปี รัฐประหาร 22 พฤษภาคม หน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร




ภายหลังได้รับการปล่อยตัว นักศึกษาหนุ่มลูกครึ่งรายนี้ เปิดใจกับทีมข่าวมติชนทีวี ถึงเรื่องราวดังกล่าว และจุดยืนทางการเมืองของเขา






เชิญรับชมโดยพลัน





นิธิ เอียวศรีวงศ์: เขากลัวว่า เขาจะไม่สามารถจัดการเวลาได้



ที่มา ประชาไท
Mon, 2015-05-25

ในงานมุทิตาจิต "75 ปีที่ผ่านและวันข้างหน้าของ นิธิ เอียวศรีวงศ์" ซึ่งจัดเมื่อวันที่ 23 พ.ค. นั้น เดิมมีกำหนดจะจัดงานที่โรงละคร หอศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่ก่อนหน้างานเพียงหนึ่งวัน ทางคณะวิจิตรศิลป์ได้แจ้งว่าโรงละครกำลังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงซ่อมแซม จึงไม่สะดวกให้ใช้สถานที่ ทำให้ผู้จัดงานย้ายมาจัดงานในพื้นที่เอกชนแทน โดยในงานวิทยากรได้กล่าวคนละ 10 นาที เพื่อตอบโจทย์ว่า "หากมองไปในอนาคต ถ้าหากมีรัฐบาลประชาธิปไตย คุณจะทำอะไรได้บ้างเพื่อสร้างการเมืองและประชาธิปไตยที่ดี" นั้น (อ่านข่าวก่อนหน้านี้) และจากนั้นมีการร้องเพลง "Do You Hear the People Sing?" แปลเนื้อร้องโดย สุขุม ยังวัน




เพลง Do You Hear the People Sing?



นิธิ เอียวศรีวงศ์ กล่าวปิดงาน

หลังจบเพลง นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้กล่าวปิดงานว่า พยายามนึกว่าที่ทหารกลัวและทำให้งานนี้จัดที่หอศิลป์ ถ.นิมมานเหมินท์ ไม่ได้นั้น เขากลัวอะไรกันแน่ ทั้งนี้ เขาบอกว่าเขากลัว แต่เขาไม่ได้กลัวผม แต่เขากลัวคนที่มาพูดทั้งหลาย พวกท่านเคยไปทำอะไรไว้ผมก็ไม่ทราบ เขากลัวพวกท่านมากกว่า เขาเห็นชื่อแล้วคงจัดไม่ได้ ผมพยายามจะนึกว่าเขากลัวอะไร ผมก็เลยมานึกออกและอาจจะตอบคำถามนี้ด้วยในตัว คือจริงๆ แล้วเขากลัวว่า เขาจะไม่สามารถจัดการเวลาได้ ในประเทศเป็นเวลาไม่ต่ำกว่าตั้งแต่ปฏิรูปประเทศสมัยรัชกาลที่ 5 สืบมาจนถึงทุกวันนี้ ผมคิดว่าชนชั้นนำหรือชนชั้นปกครองของไทย พยายามในการจัดการเวลาของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง วิธีในการที่ชนชั้นปกครองจะจัดการเวลาในประเทศไทยใช้ คือ จัดการอดีต ให้เป็นเรื่องเล่าที่เขาเป็นฝ่ายเล่า แล้วให้ทุกๆ คน จดจำอดีตของตนเอง ตามเรื่องเล่าของเขา

สืบมาจนกระทั่งถึงเมื่อไม่นานมานี้ ก็มีนักประวัติศาสตร์ ครูสอนประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ตนคนเดียว ที่เริ่มมาตั้งคำถามกับเรื่องเล่าเหล่านั้น ว่ามันเป็นอดีตที่ไม่จริง อดีตที่คับแคบเกินไป ทำให้ทุกคนสูญเสียอดีตที่แท้จริงของตนเอง

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณทำให้ทุกคนมีความทรงจำเกี่ยวกับอดีตอย่างใดอย่างหนึ่งได้ เขาจะไม่มีทางเลือกสำหรับปัจจุบันและอนาคตเลย ฉะนั้นเมื่อไรที่มีคนมาตั้งคำถามว่าอดีตที่เขาเล่ามันไม่จริงหรือคับแคบเกินไป มันคือการท้าทายการจัดเวลา ไม่ใช่อดีตอย่างเดียว แต่การจัดเวลาในปัจจุบันและอนาคตด้วย สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นและรุนแรงขึ้น คงจำคำพิพากษาของศาลในกรณีที่มีดีเจกล่าวว่าปัจจุบันเราไม่ได้มีทาสเหมือนรัชกาลที่ 4 ศาลลงโทษว่าบุคคลผู้นี้หมิ่นประมาทรัชกาลที่ 4 นี่เป็นครั้งแรกที่ ม.112 ถูกตีความถึงพระมหากษัตริย์ที่ไม่ได้ปกครองแผ่นดินอยู่ในเวลานี้ มันแปลว่าการท้าทายเรื่องเล่าในอดีต มันรุนแรงจนคุณต้องขยายให้ม.112 ไปครอบคลุมถึงอดีตพระมหากษัตริย์ นี่เป็นคำพิพากษาที่แสดงความตกใจที่คนอื่นๆ แทรกเข้ามาจัดการเวลาด้วย แล้วจากคำพิพากษาก็กลายเป็นการยึดอำนาจบ้านเมือง

รัฐประหารครั้งนี้เป็นความพยายามของชนชั้นปกครองที่จะจัดเวลาอดีต เวลาปัจจุบันก็ใช้กำลังอำนาจยึดอำนาจรัฐ จัดการปัจจุบัน เช่น ไม่ยอมให้จัดเสวนา จัดพูดต่างๆ ซึ่งเท่ากับว่าพยายามจัดการอนาคตไปด้วย แต่บัดนี้กลวิธีที่เคยใช้ได้ผลมาร้อยกว่าปีคือการยึดกุมอดีตมันใช้ไม่ได้แล้ว จึงต้องใช้อำนาจตรงๆ เลยในการเข้ามายึดกุมปัจจุบันและอนาคตด้วย จึงคิดว่าไม่มีครั้งไหนที่บ้านเมืองจะมืดมิดถึงขนาดนี้ แต่เชื่อว่ามันจะไม่มืดสนิทและมีแสงสว่างขึ้นมา

ooo

เรื่องเกี่ยวข้อง...


ชุมนุมบทบรรยายแสดงมุทิตาจิต "75 ปีที่ผ่านและวันข้างหน้าของ นิธิ เอียวศรีวงศ์"


ที่มา ประชาไท
Mon, 2015-05-25 07:05

งานมุทิตาจิต "75 ปีที่ผ่านและวันข้างหน้าของ นิธิ เอียวศรีวงศ์"โดยมีวรวิทย์ เจริญเลิศ,พวงทอง ภวัครพันธุ์, ภัควดี วีระภาสพงษ์, เก่งกิจ กิตติเรียงลาภ ,ประจักษ์ ก้องกีรติ, ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับภาพยนตร์ ฯลฯ ร่วมตอบโจทย์ว่าหากมองไปในอนาคต หากมีรัฐบาลประชาธิปไตย คุณจะทำอะไรได้บ้างเพื่อสร้างการเมืองและประชาธิปไตยที่ดี

23 พ.ค.58 - ในงานมุทิตาจิต "75 ปีที่ผ่านและวันข้างหน้าของ นิธิ เอียวศรีวงศ์" ซึ่งจัดเมื่อวันที่ 23 พ.ค. นั้น เดิมมีกำหนดจะจัดงานที่โรงละคร หอศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่ก่อนหน้างานเพียงหนึ่งวัน ทางคณะวิจิตรศิลป์ได้แจ้งว่าโรงละครกำลังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงซ่อมแซม จึงไม่สะดวกให้ใช้สถานที่

ต่อมาทางผู้จัดงานจึงได้ย้ายไปจัดงานในลักษณะปิดในพื้นที่ส่วนตัวแทน โดยรูปแบบงานเป็นการกล่าวบรรยายแสดงมุทิตาจิตในโอกาสอายุครบรอบ 75 ปี ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ โดยวิทยากรหลายท่าน เพื่อตอบโจทย์ร่วมกันว่าหากมองไปในอนาคต ถ้าหากมีรัฐบาลประชาธิปไตย คุณจะทำอะไรได้บ้างเพื่อสร้างการเมืองและประชาธิปไตยที่ดี โดยมีเวลากล่าวท่านละ 10 นาที




พวงทอง ภวัครพันธุ์: รัฐบาลจากการเลือกตั้งกับการยุติวัฒนธรรมแห่งการลอยนวล

พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่าวัฒนธรรมแห่งการลอยนวลอยู่กับสังคมไทยมานาน เมื่อผู้มีอำนาจทำผิดต่อชีวิตของประชาชนแล้วไม่ต้องรับผิดชอบ การยุติวัฒนธรรมเรื่องนี้อาจต้องใช้เวลาอีก 20-30 ปี เพราะในหลายประเทศที่เกิดความรุนแรงโดยรัฐก็ใช้เวลารอหลายสิบปีในการเอาผิด แต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะต้องมีเจตจำนงที่จะทำให้มันยุติลงด้วย

พวงทองกล่าวว่าจุดเปลี่ยนทางการเมืองที่สำคัญที่นำไปสู่การเปิดประตูให้การรัฐประหาร คือการผลักดันการนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งที่ผลักดันโดยพรรคเพื่อไทย เหตุการณ์นี้ยังขมวดปมข้อกล่าวหาต่อประชาชนที่พยายามต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในปี 2553 ว่าพวกเขาถูกหลอกมาตายเพื่อผลประโยชน์ของตระกูลชินวัตร เป็นการตอกย้ำการดูถูกเหยียดหยามที่มวลชนอีกฝ่ายหนึ่งกล่าวหา มันยังส่งผลให้การพิจารณาคดีการสลายการชุมนุมที่ดำเนินมาได้ดีพอสมควร การไต่สวนการตายโดยศาลอาญา 17 ราย ศาลยืนยันว่าเสียชีวิตจากกระสุนที่มาจากฝั่งทหาร สิ่งเหล่านี้ชะงักหยุดลงหลังรัฐประหาร

สามเดือนหลังรัฐประหารเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างสำคัญ ศาลอาญาบอกว่าศาลไม่มีอำนาจในการพิจารณาคดีนี้ โยนเรื่องไปให้ปปช. ซึ่งเป็นระบบที่ปิด ประชาชน-สื่อมวลชนไม่สามารถเข้าไปฟังการพิจารณาได้ และยังไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะไปถึงชั้นศาลหรือไม่ หลังรัฐประหารยังเห็นความพยายามทำให้เห็นว่าเหตุการณ์ในปี 53 เป็นฝีมือคนเสื้อแดง เราจะเห็นการจับกุมบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นชายชุดดำ

พวงทองกล่าวว่าการเอาผิดการสลายการชุมนุมปี 53 ต่อให้เริ่มจากการเอาผิดคุณอภิสิทธิ์หรือสุเทพ เพราะในกระบวนการชั้นศาล เราจะได้ข้อเท็จจริงข้อมูลจำนวนมากว่ากระสุนที่ทำให้คนเสียชีวิตบาดเจ็บนั้น มาจากทิศทางไหน กองกำลังทหารไหนที่ตั้งอยู่ เขาได้รับคำสั่งมาอย่างไร จะทำให้เห็นว่ากระบวนการตัดสินใจสลายการชุมนุมนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเอาผู้นำของกองทัพเข้ามามีส่วนรับผิดชอบด้วย

สิ่งที่ประชาชนจะต้องทำในอนาคต คือเรียกร้องจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ให้ต้องเดินหน้ารื้อฟื้นให้เหตุการณ์ความรุนแรงโดยรัฐ กลับคืนสู่กระบวนการยุติธรรมที่เปิดเผยและโปร่งใสอีกครั้งหนึ่ง อาจจะเป็น 5 ปี 10 ปี 20 ปี เพื่อยุติวัฒนธรรมแห่งการลอยนวลในสังคมไทย เป็นบทเรียนให้คนมีอำนาจว่าคุณไม่สามารถตัดสินใจอย่างง่ายๆ ในการปิดชีวิตประชาชน เพราะเชื่อว่าจะลอยนวลได้เหมือนอดีตที่ผ่านมา




เก่งกิจ กิตติเรียงลาภ: ค่าแรงและความมั่นคงในชีวิตของแรงงาน

เก่งกิจ กิตติเรียงลาภ คณะสังคมศาสตร์ ม.เชียงใหม่ กล่าวว่าถ้าดูตัวเลขประกันสังคม คือคนที่ถูกจ้างงานในระบบในภาคอุตสาหกรรมหรือภาคบริการอยู่ที่ 10 ล้านเศษๆ และกำลังแรงงานของประเทศไทยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีประชากรในวันทำงาน 38 ล้านคน นั่นหมายความว่ามีคนกว่า 28 ล้านคนที่ไม่ถูกจ้างงานในระบบ ถูกกันออกจากเข้าถึงสิทธิต่างๆ ในฐานะคนทำงาน นี่ยังไม่นับรวมแรงงานข้ามชาติที่อยู่ในประเทศไทย ซึ่งตัวเลขที่จดทะเบียนมีประมาณ 1 ล้านกว่า แต่จริงๆ อาจมีถึง 10 ล้านคนที่ไม่ได้จดทะเบียน

นอกจากนี้ยังมีการแบ่งช่วงชั้นของการใช้แรงงานหลายระดับ เรามักจะบอกว่าแรงงานที่มีฝีมือ มีสกีลสูง คนที่ทำงานที่เรียกว่า Creative Economy ไม่อยู่ในระบบการจ้างงานแบบประกันสังคม รวมถึงในภาคบริการ ก็อยู่ในการจ้างงานแบบพาร์ททาร์ม หรืองานในโรงงานเองก็อยู่ในสัญญาจ้างแบบชั่วคราว หรือบางส่วนก็นำแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านมาทำงานด้วยค่าแรงที่ถูกกว่า เราอยู่ในสังคมอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานราคาถูก และมีการแบ่งช่วงชั้นในตลาดแรงงานสูงมาก

แนวโน้มของรัฐบาลทุกรัฐบาล ไม่ว่าเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยเฉพาะรัฐบาลที่มาเผด็จการทหาร ก็คือการผลักดันนโยบายที่แปรรูปรัฐวิสาหกิจ หรือการลดสวัสดิการสังคมลง นั่นหมายความว่านโยบายที่จะโยนภาระของการดูแลตัวเอง เช่น การศึกษา การสาธารณสุข จะเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออยู่ใต้เผด็จการทหาร

เก่งกิจกล่าวว่าสิ่งที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งควรจะทำอย่างเร่งด่วนที่สุด คือ รัฐบาลควรลงนามในอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO 87 และ 98) อนุสัญญา 87 คือสิทธิของการรวมตัวของคนงาน และอนุสัญญา 98 คือการให้สิทธิแรงงานมีอำนาจในการต่อรองได้ในหลายรูปแบบและรัฐต้องคุ้มครอง

ขณะเดียวกัน การเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับ GDP หรืออัตรากำไรในบริษัทเอกชนทั้งหลาย หรือกรณีแรงงานข้ามชาติซึ่งได้น้อยกว่าแรงงานขั้นต่ำ ราว 160 บาท แต่ก็ต้องช่วยนายจ้างโกหกว่านายจ้างให้ 300 บาท เพราะรัฐมีแนวโน้มที่จะใช้กำลังในการจับกุมตลอดเวลา ความคิดเรื่องชาตินิยมและการรังเกียจแรงงานข้ามชาตินั้น เป็นอาวุธสำคัญของรัฐที่จะใช้แรงงานข้ามชาติ ทั้งที่เราพึ่งพากำลังแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาก

ดังนั้น สถานการณ์แรงงานไทยคือ หนึ่ง เรามีกำลังแรงงานที่เข้าไม่ถึงสวัสดิการสังคมกว่า 70% สอง ความคิดแบบชาตินิยมซึ่งกำลังครอบงำ รวมถึงการที่ไม่ยอมรับสิทธิการรวมตัวของสหภาพแรงงาน และการใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม มาจำกัดสิทธิการชุมนุม ทำให้โอกาสของแรงงานในการต่อรองเพื่อเพิ่มค่าแรงและสวัสดิการสังคมกลับลดต่ำลงเรื่อยๆ ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้

เวลาเราพูดถึงอาเซียนของสามัญชน สิ่งหนึ่งที่ไม่ค่อยได้พูดคือการเคลื่อนย้ายของมนุษย์ หรือการเพิ่มสิทธิของแรงงาน เป็นไปได้หรือไม่ที่ประเทศอาเซียนจะพูดเรื่องค่าแรงที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อป้องกันการแบ่งช่วงชั้นในตลาดแรงงาน ที่จะกดขี่แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน คิดว่านี่จะเป็นวาระของรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยจะต้องผลักดัน




นพพล ผลอำนวย: การเมืองกับความชอบธรรมทางการเมือง

นพพล ผลอำนวย อดีตนักศึกษาปริญญาโท ม.เชฟฟิลด์ กล่าวว่ารัฐบาลประชาธิปไตยที่ผ่านมาไม่เข้าใจลักษณะของการเมืองไทยสมัยใหม่อย่างหนึ่ง ก็คือเรื่องของความชอบธรรม รัฐบาลจะทำอะไรก็แล้วแต่ จะต้องอ้างความชอบธรรมหรือหาเหตุผลมาสนับสนุนได้ ในทางรัฐศาสตร์คลาสสิกมองแนวคิดความชอบธรรมว่าคือการจัดสรรสิ่งมีคุณค่าโดยสิทธิทางอำนาจ แต่ใครล่ะจะมีความชอบธรรมในการมาจัดสรรสิ่งที่มีคุณค่า แมกซ์ เวเบอร์ นักสังคมวิทยา ได้พยายามแบ่งความชอบธรรมว่ามีที่มาจากสามอย่าง คือประเพณี บุญบารมี และกฎหมาย

เดวิด เบตเทิร์น นักคิดชาวอังกฤษ พยายามอธิบายความชอบธรรมโดยมองถึงสามองค์ประกอบ หนึ่งคืออำนาจจะชอบธรรมหรือไม่ต้องตรงกับกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ กฎเกณฑ์นี้ไม่ใช่เพียงกฎหมาย แต่อาจจะหมายถึงประเพณีที่มีอยู่ในสังคม สอง แล้วกฎเกณฑ์เหล่านั้นมันถูกให้คำอธิบายหรือเหตุผลในสังคมนั้นอย่างไร โดยมันจะชอบธรรมเมื่อคนในสังคมนั้นมันเชื่อว่าชอบธรรม คือกฎเกณฑ์นั้นมันต้องสอดคล้องกับความเชื่อในสังคม สามคือเรื่องการยินยอม (Consent) ของประชาชนต่อการใช้อำนาจรัฐของผู้ปกครอง แต่ในเรื่องการยินยอมก็มีปัญหาว่าบางครั้งมันก็วัดไม่ได้ว่าคนมันมีความยินยอมต่ออำนาจของรัฐนั้นมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะรัฐที่มีการใช้ความกลัว ใช้การปิดหูปิดตาประชาชน นำไปสู่ความเงียบ ซึ่งไม่ได้หมายถึงการยอมรับความชอบธรรมก็ได้

นพพลกล่าวว่าประชาธิปไตยไทยมีอายุค่อนข้างสั้นเหมือนเทียบกับระบอบเดิม กฎเกณฑ์ความชอบธรรมแบบประชาธิปไตยยังไม่สามารถสถิตเสถียรลงในสังคม ทั้งยังถูกท้าทายจากความชอบธรรมแบบจารีตตลอดเวลา และรัฐบาลจากประชาธิปไตยยังไม่คำนึงถึงตรงนี้ ไปผลักดันสิ่งที่ไม่สามารถให้เหตุผลความชอบธรรมได้ ทำให้คนเสื่อมศรัทธากับความชอบธรรมแบบประชาธิปไตย โจทย์ของรัฐบาลประชาธิปไตยคือคิดถึงความชอบธรรมที่สมเหตุสมผลสอดคล้องกับประชาธิปไตย
ประจักษ์ ก้องกีรติ: กระบวนการและสถาบันการเลือกตั้ง พรรคการเมืองและรัฐสภา

ประจักษ์ ก้องกีรติ คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่าสถานการณ์วิกฤติในปัจจุบันสืบเนื่องจากเรามีระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีความบกพร่อง ไม่ใช่ระบอบที่มีความชอบธรรม แต่ว่าภายใต้กฎกติกาในการขึ้นสู่อำนาจยังอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอยู่ แต่ปรากฏว่าสังคมไทยเลือกใช้วิธีการที่เป็นเผด็จการอำนาจนิยมมาแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นการแก้ไขที่ผิดทางและไม่มีทางออกจากวิกฤตินี้ได้

ถามว่ามันเกิดขึ้นเฉพาะสังคมไทยหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ ทั่วโลกมีการเปลี่ยนผ่านกลับไปสู่ระบอบเผด็จการ แต่จากการศึกษาก็พบว่าแม้ก่อนหน้านี้คนไม่พอใจประชาธิปไตย เมื่อเผด็จการเข้ามาแล้วใช้อำนาจไปสักพัก คนพบว่าระบอบเผด็จการอำนาจนิยมไม่ได้มีทางเลือกเชิงนโยบาย หรือไม่ได้มีพฤติกรรมการใช้อำนาจที่ดีไปกว่าระบอบประชาธิปไตยบกพร่องเลย นักวิชาการเรียกมันว่าระบอบเผด็จการที่เปลือยเปล่า คือคุณไม่ได้มีความชอบธรรมที่เหนือกว่า ไม่ได้มีทางเลือกเชิงนโยบายให้ ถามว่ามันดำรงอยู่ได้อย่างไร ก็ดำรงอยู่ด้วยเครื่องมือของการใช้ความรุนแรงกับฝ่ายที่เห็นต่าง และผนวกรวมฝ่ายที่ไม่ได้ยึดอุดมการณ์ มาเป็นพวก

กรณีสังคมไทย มีคนสองกลุ่มที่ปฏิเสธระบอบประชาธิปไตย แล้วมีส่วนร่วมในการทำให้ประชาธิปไตยล่มสลาย ก็คือกลุ่มชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมที่เสียอำนาจและผลประโยชน์ กับกลุ่มชนชั้นกลางซึ่งรู้สึกว่าประชาธิปไตยที่มีมาก่อนหน้านี้ ไม่ใช่แบบที่เขาชอบ

ประจักษ์กล่าวว่าตนคิดว่ากลุ่มแรกเปลี่ยนไม่ได้แล้ว เพราะว่ามันเป็นสงครามที่เขาสู้บนเดิมพันสูง คิดว่าไม่สามารถดึงชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมกลับมาสู้ในเกมประชาธิปไตยได้ ต่างจากในฟิลิปปินส์กับอินโดนีเซีย ที่ชนชั้นนำเขาฉลาดพอที่จะสู้ภายใต้ระบบกติกาประชาธิปไตยเพราะเห็นว่ามีประโยชน์กว่า เหนื่อยและเสียหายน้อยกว่า ประชาธิปไตยจึงมีเสถียรภาพระดับหนึ่ง ส่วนที่คิดว่าสามารถดึงกลับมาและต้องทำคือชนชั้นกลาง ทำอย่างไรที่จะทำให้ชนชั้นกลางไม่ว่าจะระดับไหนก็ตาม ยอมหันกลับมาอยู่ภายใต้ประชาธิปไตย เพื่อจะมีประชาธิปไตยในระยะยาว เราไม่สามารถผลักไสชนชั้นกลางออกไปอยู่ข้างนอกกติกาประชาธิปไตยได้ตลอดไป

โจทย์นี้คือการฟื้นฟูคุณภาพประชาธิปไตย โดยภารกิจนี้ไม่สามารถทำได้โดยรัฐบาลเท่านั้น แต่ทุกคนต้องมีส่วนช่วยกัน ยุทธศาสตร์คือเราเปลี่ยนชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมไม่ได้ แต่เราต้องโดดเดี่ยวชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมในทางการเมือง วิธีทางหนึ่งก็คือการฟื้นฟูคุณภาพประชาธิปไตยแบบตัวแทน แบบรัฐสภา โดยเมื่อระบอบเผด็จการมันไม่มีฐานทางสังคมสนับสนุนใดๆ มันจะอยู่ไม่ได้

ประเด็นหนึ่งที่เราคิดและศึกษากันน้อย คือการปฏิรูปพรรคการเมือง ระบบประชาธิปไตยมันดำรงอยู่ไม่ได้ด้วยการมีพรรคการเมืองที่อ่อนแอและนักการเมืองที่ไร้คุณภาพ ต่อให้มีภาคประชาสังคมที่แข็งแรงขนาดไหน แต่ระบบตัวแทนมันห่วยมาก ระบอบก็ขาดความสมดุล ตราบใดที่เราไม่พูดเรื่องปฏิรูปพรรคการเมือง และระบบเลือกตั้ง มันจะทำให้ประเด็นเหล่านี้ตกไปอยู่ในมือของเนติบริกร รัฐศาสตร์บริการซึ่งผูกขาดองค์ความรู้ตรงนี้ แล้วก็มาออกแบบที่ไม่ได้เรื่องให้ทั้งสังคมใช้

และสังคมไทยต้องเปลี่ยนความคิด จากการที่มองนักการเมือง พรรคการเมืองเป็นสิ่งที่ชั่วช้า แต่ต้องมองเป็นเครื่องมือที่เราต้องใช้ในการขับเคลื่อน ผลักดันวาระของภาคประชาชนให้มันเป็นจริง ฉะนั้นจะทำอย่างไรให้ภาคพลเมืองกับภาคการเมืองเชื่อมต่อกัน เพื่อให้พรรคการเมืองไม่ใช่กลุ่มชนชั้นนำที่หลุดลอยไปจากสังคม แต่มีฐานทางสังคมรองรับ




ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี: กระบวนการสันติภาพที่ยั่งยืนในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะสร้างขึ้นมาได้อย่างไร

ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี คณะรัฐศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กล่าวว่าความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้ เป็นความรุนแรงที่ยืดเยื้อหรือเรื้อรัง รัฐบาลทุกยุคสมัยทั้งประชาธิปไตยและเผด็จการในรอบสิบปีที่ผ่านมา ก็พยายามจะแก้ไข แต่ก็ยังไม่สำเร็จ ตนเห็นว่าปมเงื่อนของการต่อสู้เป็นเรื่องทางการเมือง ดังนั้นวิธีการแก้ปัญหาก็ต้องเป็นวิธีทางการเมือง การต่อสู้ในทางการทหารหรือความรุนแรงไม่สามารถแก้ได้จริงๆ

หลายคนหันมาพูดเรื่องการเปลี่ยนแปลงความขัดแย้ง จากการใช้วิธีที่รุนแรง มาเป็นความขัดแย้งที่ไม่รุนแรง โดยผ่านการพูดคุย การสื่อสารระหว่างฝ่ายที่ต่อสู้กัน กระบวนการสันติภาพที่ผ่านมาก็เริ่มชัดเจนขึ้นสองปีที่ผ่านมา ระหว่างรัฐบาลกับขบวนการ BRN หรือขบวนการอื่นๆ แต่ในอนาคต กระบวนการสันติภาพนี้จะยั่งยืนต่อไปได้อย่างไร

ศรีสมภพนำเสนอว่าข้อเสนอห้าข้อจากสองปีที่แล้ว จากฝ่ายของขบวนการ BRN เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ ที่รัฐบาลประชาธิปไตยในยุคต่อไปต้องนำมาพิจารณา ได้แก่ ประเด็นแรก คือจะต้องยอมรับฝ่ายที่เขาต่อสู้ ยอมรับความเป็นตัวแทนหรือสถานภาพของกลุ่มต่างๆ ที่ต่อสู้ ยอมรับประชาชนที่เข้าไปสู้กระบวนการต่อสู้เพื่อสิทธิหรือความยุติธรรมให้เข้ามาสู่กระบวนการพูดคุย ข้อที่สอง คือต้องยอมรับว่ากระบวนการสันติภาพ ต้องมีผู้เจรจาไกล่เกลี่ย ผู้ประสาน ซึ่งอาจต้องมีฝ่ายคนกลางเข้ามา ประเทศต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่สามารถเข้ามาช่วยทำให้เกิดการพูดคุยอย่างเป็นระบบได้

ข้อเสนอที่สาม คือต้องมีสักขีพยานจากหลายๆ ฝ่าย ทั้งในและนอกประเทศ มาร่วมในการพูดคุยนี้ ข้อที่สี่ คือต้องยอมรับสิทธิความเป็นเจ้าของ สิทธิความเป็นคนอยู่ในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันยาวนานของสามจังหวัดชายแดนใต้ ทั้งของมลายูมุสลิมและคนไทยพุทธ อย่างเท่าเทียมกัน เป็นการยอมรับความแตกต่างในพื้นที่

ข้อสุดท้ายเป็นเรื่องของความยุติธรรม คือเขาต้องการให้ปล่อยตัวผู้ที่ถูกจับกุมคุมขังในคดีการเมือง ความมั่นคงในจังหวัดภาคใต้โดยไม่มีเงื่อนไข เขาไม่ใช่อาชญากรหรือโจร แต่เป็นนักต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม ความเท่าเทียม โดยคิดถึงการยุติธรรมในกระบวนการเปลี่ยนผ่าน อาจจะต้องมีการจัดการในกระบวนการยุติธรรมที่มันเป็นพิเศษ เพื่อให้แก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยสันติเป็นไปได้ เช่น มีการแสวงหาข้อเท็จจริง ให้มีหลักฐานจากทุกๆ ฝ่าย มีการเยียวยา ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐก็ต้องเข้าสู่กระบวนการลงโทษ และอาจมีกระบวนการอภัยโทษหรือนิรโทษกรรม




เวียงรัฐ เนติโพธิ์: ระบอบกระจายอำนาจกับรัฐรวมศูนย์

เวียงรัฐ เนติโพธิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่าเมื่อวิเคราะห์เรื่องการกระจายอำนาจของไทยมันมีลักษณะเฉพาะ หรือส่งผลอะไรบางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จากรัฐธรรมนูญปี 2540 การกระจายอำนาจทำให้รัฐไทยที่มีลักษณะรวมศูนย์หลายประการถูกกัดเซาะหรือเปลี่ยนแปลงไป

ประการแรก รัฐไทยที่มีลักษณะรวมศูนย์มีการครองอำนาจโดยระบบราชการ มีสายการบังคับบัญชารวมศูนย์เข้าสู่ส่วนกลาง แต่การกระจายอำนาจทำให้ข้าราชการถูกแย่งอำนาจ ในการแชร์อำนาจรัฐมาสู่อำนาจของนักการเมือง ซ้ำยังเป็นนักการเมืองในระดับท้องถิ่น พูดง่ายๆ คือไปกัดเซาะอำนาจรัฐที่มีข้าราชการครองอำนาจ

ประการที่สอง การกระจายอำนาจไปกัดเซาะการเป็นรัฐที่อาศัยระบบอุปถัมภ์เป็นตัวกลางในการส่งผ่านอำนาจระหว่างประชาชนกับรัฐ ซึ่งรัฐไทยเริ่มต้นจากการสร้างรัฐด้วยการรวมศูนย์ และมีการอาศัยพึ่งพาเสริมสร้างเครือข่ายผู้มีอิทธิพลให้เข้มแข็ง แล้วก็สร้างการรวมศูนย์ตัวเองด้วยการอาศัยบารมีอิทธิพลของเจ้าพ่อ เพราะตัวเองไม่มีประสิทธิภาพพอ แต่กระจายอำนาจเอาอำนาจไปให้ผู้นำชุมชนท้องถิ่น ทำให้อำนาจที่เป็นทางการมาแทนที่อำนาจที่ไม่เป็นทางการ จากเจ้าพ่อเพียงไม่กี่คนกระจายมาสู่เจ้าพ่อตัวเล็กๆ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าระบบอุปถัมภ์แบบเดิมอ่อนแอลงไป

ประการที่สาม การกระจายอำนาจไปกัดเซาะความเข้าใจว่าเรามี sphere อำนาจอันเดียวกัน ในนามของชาติศาสนา เมื่อประชาชนทุกคนสามารถเลือกผู้ปกครอง สามารถเปลี่ยนผู้ปกครอง และสามารถที่จะบอกได้ว่าใครสร้างถนนหน้าบ้านตัวเอง มันทำให้เกิดคำถามสำคัญคือ ใครเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้อย่างแท้จริง นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้การกระจายอำนาจถูกท้าทายและกดทับ โดยความพยายามจะดึงอำนาจรวมศูนย์กลับ

ต่อคำถามที่ว่าหากเป็นรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยจะทำอย่างไร คิดว่าคำตอบอยู่ที่กระบวนการกระจายอำนาจ เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ระบอบที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด แต่จะส่งผลเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของรัฐในระยะยาว โดยเห็นว่านักการเมืองในระบอบการเลือกตั้งจำเป็นต้องสร้างพันธมิตรกับนักการเมืองท้องถิ่น แต่ไม่เป็นการสร้างพันธมิตรเพื่อผลประโยชน์ในการได้รับการเลือกตั้งเท่านั้น แต่ต้องจริงใจมุ่งมั่นให้การกระจายอำนาจสัมฤทธิผลที่สุด ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะของรัฐที่เป็นประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน




เสียงของเยาวชนกับการต่อรองอำนาจระบบการศึกษาไทย

เรวดี งามลุน, นันณิชา ศรีวุฒิ และสลิล อาวุธ นักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ ม.เชียงใหม่ กล่าวร่วมกันถึงปัญหาที่นักศึกษาปัจจุบันเจอ คือระบบการจัดการต่างๆ เป็นแบบบนลงล่าง ส่งตรงมาทางเดียว เป็นการจัดการแบบเสร็จสรรพ โดยกว่านักศึกษากว่าจะรู้ว่างบหรือโครงการต่างๆ จะมาถึงโดยผ่านอะไรมาบ้าง โดยไม่มีพื้นที่ในการเสนอความคิดเห็น

ในเรื่องสวัสดิการต่างๆ ที่มหาวิทยาลัยจัดการไว้ ก็ไม่ได้มีการพูดคุยกันมาก่อน บริการต่างๆ ไม่ตรงจุดตรงประเด็น บางครั้งสวัสดิการเราได้รับก็จริง แต่เรากลายเป็นฝ่ายต้องแก้ไขสวัสดิการต่างๆ เหล่านั้นเองด้วยซ้ำ เช่น ตอนอยู่หอใน ก็เผชิญกับการไฟดับ น้ำไม่มา เอารถมาจอดก็ไม่มีที่จอดหรือมีปัญหารถหาย โดยไม่มีบุคลากรเข้ามาดูแลตรงนี้ นักศึกษาก็ทำได้แค่รอ หรือสวัสดิการต่างๆ เองก็มีการแบ่งสำหรับอภิสิทธิ์ชน เช่น ในพื้นที่ห้องสมุดเองกลับมีธุรกิจร้านกาแฟ ที่มีการกั้นพื้นที่ของห้องสมุด คนที่จะเข้าถึงที่นั่งหรือประโยชน์นั้นได้ก็ต้องซื้อกาแฟราคาแพง

ทั้งสามเห็นว่ามหาวิทยาลัยควรจะเปิดเป็นพื้นที่สาธารณะอย่างเต็มตัว โดยเฉพาะการทำให้การเมืองหรือเรื่องในมหาวิทยาลัยออกมาให้คนนอกรับรู้บ้าง ไม่ใช่อยู่เพียงในมือของหน่วยงานที่กุมผลประโยชน์หรือบังคับทิศทางของมหาลัย นักศึกษาควรมีสิทธิในการเฝ้าดูหรือสังเกตการณ์การทำงานของมหาลัย และการทำให้มหาลัยเป็นจุดนัดพบกันของทั้งนักศึกษา อาจารย์ ชุมชนชาวบ้าน ให้มีส่วนรวม ทั้งในแง่ของพื้นที่ทางความคิด และพื้นที่ทางกายภาพ การเปิดพื้นที่ทางความคิดจะนำไปสู่เสรีภาพในความรู้ ซึ่งแหล่งการเรียนรู้สามารถอยู่รอบตัว สามารถดึงทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนต่อการเรียนรู้ในมหาลัย การเปิดเป็นพื้นที่สาธารณะจะทำให้มหาลัยเชื่อมโยงกับชุมชนโดยรอบมากขึ้น ทำให้คนภายในมหาลัยเห็นคนอื่นๆ เท่าเทียมกับเรา




ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล: สังคมแห่งความฝัน

ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับภาพยนตร์ กล่าวว่าอาชีพสื่อมวลชนเกี่ยวข้องอย่างยิ่งในการกำหนดความคิดของคนในสังคม โดยเฉพาะละครหลังข่าวต่างๆ วนเวียนอยู่กับการแย่งผัวเมีย ความดีชนะความชั่ว โลกที่แยกชัดเจนระหว่างขาวกับดำ คนดีก็ดีโดยกำเนิด ชั่วก็ชั่วโดยกำเนิด แล้วระบบสื่อสารมวลชนของไทยอยู่ภายใต้กฎของคณะรัฐประหารมาโดยตลอด

คนที่ทำงานสื่อรู้ดีว่าตนทำอะไรอยู่ ตนได้พูดคุยกับผู้บริหารช่องสถานีหลายช่อง ทุกคนอยากนำเสนอสิ่งใหม่ๆ เข้าสู่วงการ แต่อำนาจของสื่อมวลชนที่ถูกกำหนดมาแสนนาน มันกำหนดความคิดของการชมละคร คนพยายามเปลี่ยนแปลงเนื้อหาละครหลังข่าวก็เป็นเหตุให้เรตติ้งไม่ดี โฆษณาไม่เข้า แต่การเข้ามาของทีวีดิจิตัล ก็นำไปสู่ความพยายามจะนำเสนอสิ่งใหม่ๆ นำสังคมให้เปลี่ยนแปลง สิ่งที่น่าเศร้าคือหลังรัฐประหาร มีความพยายามนำกสทช.เข้าไปอยู่ในการควบคุมของรัฐบาลเผด็จการอีกครั้ง เหมือนกับย้อนหลังกลับไป

ในฐานะคนทำงานเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ เราพบว่าผู้คนในสังคมปัจจุบันอยู่กับความกลัว เราถูกหล่อหลอมให้กลัว กลัวสอบไม่ติด กลัวไม่มีงานทำ กลัวบางอย่างที่จะเกิดขึ้นกับเรา แปลว่าสังคมเรามันไม่มีความแน่นอน ไม่มีความมั่นคง เพราะมันไม่มีความหวังและความฝัน คนถูกขุดความฝันไปตั้งแต่แรกด้วยระบบ censorship แล้วไม่ใช่เซ็นเซอร์แค่ในสื่อ แต่ในความคิดของเราเอง พอมีความคิดอะไรนอกกรอบปรากฏขึ้นมา เราจะถูกอะไรบางอย่างกดดันให้เราไม่คิดไม่ฝันต่อ พอไม่มีความหวังและความฝัน เราเลยดำรงชีวิตโดยความกลัว และดำเนินชีวิตแบบเห็นแก่ตัว มันไม่มีพลังในจิตวิญญาณที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างเพี่อความฝันของตัวเอง อำนาจนิยมที่อยู่ในสื่อมวลชนมันกำหนดสังคมมาโดยตลอด

ชูเกียรติกล่าวถึงประเด็นว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง คือ อันดับแรก พยายามทำทุกวิถีทางที่จะบอกว่าเรามีสิทธิเสรีภาพที่จะคิดและแสดงออก ที่จะพูดและถกเถียงกันอย่างเป็นคนเท่าๆ กัน ต้องทำให้แนวคิดนี้ต้องเข้าไปอยู่ในสื่อสารมวลชน และสื่อก็ต้องเป็นอิสระจากการครอบงำของรัฐบาล เมื่อสร้างความฝันได้แล้ว รัฐบาลก็ควรจะสร้างโอกาส ที่จะเข้าถึงการศึกษา เข้าถึงเศรษฐกิจให้เท่าเทียมมากขึ้น




วรวิทย์ เจริญเลิศ: ประเทศไทยจำเป็นต้องมีนโยบายรัฐสวัสดิการ


วรวิทย์ เจริญเลิศ คณะเศรษฐศาสตร์ ม.เชียงใหม่ กล่าวว่าเหตุผลในเรื่องการสนับสนุนรัฐสวัสดิการ ประเด็นแรกคือบริบทโลกมันก็เปลี่ยนไป ทั้งโลกาภิวัตน์สูงและเป็นทุนนิยมการเงิน วิกฤติของทุนนิยมวงรอบมันก็สั้นลง เกิดถี่ขึ้น สองคือปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย ที่อาศัยแรงงานราคาถูก ทำให้ขยับขึ้นไปแข่งขันในตลาดแรงงานคุณภาพที่ดีกว่าไม่ได้ สามคือวิกฤติทางการเมือง รัฐประหารครั้งนี้ดึงสังคมไทยให้ถอยกลับไปสู่หลุมดำ ความอับจนของอำนาจและปัญญา

วิกฤติเหล่านี้ ชนชั้นล่างและแรงงานกลายเป็นผู้รับภาระนี้ จำนวนมากถูกเลิกจ้าง เกิดสภาวะการตกงานถาวร ในสังคมที่มีการแข่งขันสูง แล้วคนก็มีความเสี่ยงสูงขึ้น ทั้งปัญหาสุขภาพ การต้องทำงานอย่างหนัก การถูกจ้างงานแบบชั่วคราว หรือในกลุ่มเกษตรกรเองก็ต้องมาขายแรงงานนอกฤดูเพาะปลูก หรือทำงานรับจ้างต่างๆ ไปด้วยในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดความจำเป็นต้องทำให้คนเหล่านี้มีพื้นที่ยืนในความเสี่ยงเหล่านี้ ระบบสวัสดิการสังคมแบบเบ็ดเสร็จน่าจะเข้ามาตอบโจทย์ตรงนี้

ไทยจำเป็นต้องมีนโยบายรัฐสวัสดิการ รัฐในมิติทางสังคม ไม่ใช่รัฐในมิติของการแข่งขันอย่างเดียว เรามีประกันสังคมครอบคลุมแรงงาน 13 ล้าน ให้สิทธิประโยชน์ 7 อย่าง แต่คนที่เหลืออีกประมาณ 25 ล้านคน เราบอกว่ามีระบบประกันสุขภาพ 30 บาทอยู่ แต่ก็เฉพาะสิทธิในการรักษาพยาบาล ไม่มีอย่างอื่น จะทำอย่างไรให้คนมีสิทธิขั้นต่ำทั้งประกันสังคมและประกันสุขภาพ น่าจะมีการบูรณาการกัน ยังต้องพัฒนาการศึกษาฟรี ที่พักอาศัยฟรี เงินน่าจะมาจากการเก็บภาษี ทั้งภาษีมรดก ภาษีทรัพย์สิน อีกทั้ง รัฐสวัสดิการคงไม่เกิดขึ้นจากการปฏิรูป จำเป็นต้องต่อสู้ในเรื่องประชาธิปไตยและเสรีภาพการแสดงออกด้วย เราถึงจะปฏิรูปในเรื่องนี้ได้




จีรนุช เปรมชัยพร: คอร์สติวเข้มสื่อเรื่องเสรีภาพประชาชน

จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการสำนักข่าวประชาไท กล่าวว่าเดิมคิดจะกล่าวในเรื่องการติวสื่อเรื่องเสรีภาพ ซึ่งมาจากความอึดอัดคับข้องใจในฐานะสื่อ ในรอบหลายปีมันมีความรู้สึกกระดากเขินอายที่จะบอกว่าเราเป็นสื่อมวลชน ในทั่วโลก สื่อมวลชนเป็นกลุ่มคนแรกที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้และปกป้องเรื่องเสรีภาพ แม้เสรีภาพสื่อไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกับเสรีภาพประชาชน แต่มันก็ต้องสอดคล้องและสนับสนุนกัน ไม่ใช่ในลักษณะการบอกว่าสถานะเสรีภาพสื่อเหนือกว่าเสรีภาพประชาชน

ความขัดแย้งในสังคมไทยหลายปีที่ผ่านมา กลายเป็นการส่งเสริมและประนีประนอมให้การลิดรอนเสรีภาพของประชาชน การยอมจำนนด้วยการเลือกจะเซ็นเซอร์ตัวเองกลายเป็นเรื่องปกติวิสัย แต่สื่อไทยสมัยก่อนก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ สื่อไทยเคยเชิดหน้าชูตาในแถวหน้าของการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ เราเคยเห็นความพยายามของพี่น้องสื่อในยุคพฤษภา 35 ที่พยายามรวมตัวกันในการส่งข่าวเล็ดรอดออกมาจากการปิดกั้น แต่ดูเหมือนบทบาทนั้นก็เหมือนจะน้อยลงไปมาก เกียรติภูมิของคนสื่อมันหายไป ความรักหลงใหลในเสรีภาพมันหายไป

สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความคิดอุตริจะพูดในเรื่องสอนสื่อเรื่องเสรีภาพ แต่พอมาคิดก็พบว่าเราสามารถสอนใครเรื่องเสรีภาพได้จริงๆ ไหม เสรีภาพเป็นเรื่องที่สอนกันได้หรือเปล่า แล้วจะสอนกันอย่างไร เสรีภาพเป็นเรื่องที่สอนกันไม่ได้ แต่เป็นเรื่องที่สร้างให้เกิดและเติบโตงอกงามได้ แต่เป็นสภาวะแห่งความเป็นอิสระ สามารถตัดสินใจเองได้ว่าจะทำไม่ทำ ชอบไม่ชอบ รักไม่รัก โดยไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจบังคับหรือความหวาดกลัว สภาวะแห่งเสรีภาพเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าสังคมขาดความสามารถในการเคารพในศักดิ์ศรีและความเท่าเทียมกันของมนุษย์

เสรีภาพเกิดขึ้นได้โดยการส่งเสริมให้คนเรียนรู้และรักในเสรีภาพ การส่งเสริมการเรียนรู้ความหลากหลายของทางเลือก เห็นถึงความอยุติธรรมและความเอารัดเอาเปรียบของโครงสร้างสังคมสูงต่ำ การเปิดประตูแห่งอิสรภาพในการสื่อสารของทั้งสื่อมวลชนและประชาชนคือวิถีทาง ซึ่งไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในรัฐบาลเผด็จการทหาร




ภัควดี วีระภาสพงษ์: การปฏิรูปกองทัพ


ภัควดี วีระภาสพงษ์ นักแปลอิสระ มีการนำเสนอในลักษณะการแสดงถึงการไม่สามารถพูดในหัวข้อปฏิรูปกองทัพได้ แต่ได้มีการเปิดให้ดาวน์โหลดข้อเขียนในเรื่องนี้แทน




นิธิ เอียวศรีวงศ์: ความพังทลายของการจัดการเวลา

นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้กล่าวปิดงานว่าตนพยายามนึกว่าสิ่งที่ทหารกลัวและทำให้จัดงานนี้ที่หอศิลป์ไม่ได้นั้น เขากลัวอะไรกันแน่ ตนคิดว่าเขากลัวว่าจะไม่สามารถจัดการเวลาได้ โดยในประเทศไทยตั้งแต่ปฏิรูปประเทศรัชกาลที่ 5 มาจนถึงปัจจุบัน ชนชั้นนำของไทยพยายามในการจัดการเวลาของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง วิธีในการจัดการเวลาคือจัดการอดีต ให้อดีตเป็นเรื่องเล่าที่เขาเป็นฝ่ายเล่า แล้วบังคับให้ทุกคนจดจำอดีตตามเรื่องเล่าของเขาสืบมา เมื่อไม่นานมานี้ ก็มีนักประวัติศาสตร์ ครูสอนประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ตนคนเดียว ที่เริ่มมาตั้งคำถามกับเรื่องเล่าเหล่านั้น ว่ามันเป็นอดีตที่ไม่จริง อดีตที่คับแคบเกินไป ทำให้ทุกคนสูญเสียอดีตที่แท้จริงของตนเอง

เมื่อไรก็ตามที่คุณทำให้ทุกคนมีความทรงจำเกี่ยวกับอดีตอย่างใดอย่างหนึ่งได้ เขาจะไม่มีทางเลือกสำหรับปัจจุบันและอนาคตเลย ฉะนั้นเมื่อไรที่มีคนมาตั้งคำถามว่าอดีตที่เขาเล่ามันไม่จริงหรือคับแคบเกินไป มันคือการท้าทายการจัดเวลา ไม่ใช่อดีตอย่างเดียว แต่การจัดเวลาในปัจจุบันและอนาคตด้วย สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นและรุนแรงขึ้น คงจำคำพิพากษาของศาลในกรณีที่มีดีเจกล่าวว่าปัจจุบันเราไม่ได้มีทาสเหมือนรัชกาลที่ 4 ศาลลงโทษว่าบุคคลผู้นี้หมิ่นประมาทรัชกาลที่ 4 นี่เป็นครั้งแรกที่ ม.112 ถูกตีความถึงพระมหากษัตริย์ที่ไม่ได้ปกครองแผ่นดินอยู่ในเวลานี้ มันแปลว่าการท้าทายเรื่องเล่าในอดีต มันรุนแรงจนคุณต้องขยายให้ม.112 ไปครอบคลุมถึงอดีตพระมหากษัตริย์ นี่เป็นคำพิพากษาที่แสดงความตกใจที่คนอื่นๆ แทรกเข้ามาจัดการเวลาด้วย แล้วจากคำพิพากษาก็กลายเป็นการยึดอำนาจบ้านเมือง

รัฐประหารครั้งนี้เป็นความพยายามของชนชั้นปกครองที่จะจัดเวลาอดีต เวลาปัจจุบันก็ใช้กำลังอำนาจยึดอำนาจรัฐ จัดการปัจจุบัน เช่น ไม่ยอมให้จัดเสวนา จัดพูดต่างๆ ซึ่งเท่ากับว่าพยายามจัดการอนาคตไปด้วย แต่บัดนี้กลวิธีที่เคยใช้ได้ผลมาร้อยกว่าปีคือการยึดกุมอดีตมันใช้ไม่ได้แล้ว จึงต้องใช้อำนาจตรงๆ เลยในการเข้ามายึดกุมปัจจุบันและอนาคตด้วย ตนจึงคิดว่าไม่มีครั้งไหนที่บ้านเมืองจะมืดมิดถึงขนาดนี้ แต่เชื่อว่ามันจะไม่มืดสนิทและมีแสงสว่างขึ้นมา

เรื่องที่เกี่ยวข้อง:

ภัควดี วีระภาสพงษ์: การปฏิรูปกองทัพ