ต้องเฮนะนี่ พวกมีความสุขอยู่แล้ว เพราะ คสช.คืนให้
แบบเจ้าสัวเงี้ย โดยเฉพาะลูกไล่ (อย่างยะใส ไพบูลย์ หมอวรงค์ และสุเทือก) แม้แต่พวกสลิ่ม
(ที่ยังไม่รู้สึกรู้สา) ก็ได้ฮากับเขาด้วย
เมื่อนางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า หรือ สนค. กระทรวงพาณิชย์
เปิดเผยถึงสถิติการส่งออกของประเทศในช่วงเดือนสิงหาคม ๒๕๖๑ พบว่า
“การส่งออกขยายตัวร้อยละ ๖.๖๘ คิดเป็นมูลค่า ๒๒,๗๙๔.๔ ล้านเหรียญสหรัฐ
ซึ่งเป็นมูลค่าการส่งออกที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์” แต่การนำเข้าเดือนเดียวกันกลับสูงกว่า
ที่อัตรา ๒๒.๘ เปอร์เซ็นต์ วงเงิน ๒๓.๓ ล้านดอลลาร์
เท่ากับว่าเมื่อเดือนที่แล้วเศรษฐกิจการพาณิชย์ไทยยุค
คสช. ยังขาดดุลที่ ๕๘๘.๑ ล้านเหรียญ หรือ ๑๘,๘๐๐ ล้านบาท
หรือไม่เช่นนั้น
ถ้าจะเอาสถิติปีนี้ทั้งปีตั้งแต่มกราคม การขยายตัวด้านส่งออกอยู่ที่ ๑๐
เปอร์เซ็นต์ ขณะที่การนำเข้ายังโตเอาโตเอา เกือบ ๑๖ เปอร์เซ็นต์ แต่มีมูลค่าน้อยกว่าส่งออกจำนวน
๒,๓๕๑.๓ ล้านดอลลาร์
เป็นผลให้ดุลการค้าต่างประเทศของไทยปี ๒๕๖๑
ถึงเดือนสิงหาคม เกินดุลราว ๔,๗๐๐ ล้านบาท
นี่ละทำให้ประดาพวกคนดีๆ
ที่ชอบเสียสิทธิอิสรภาพเพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
ไม่ต้องออกมาเป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ แล้วแวะกิน ‘ลั้นช์’ กันที่สยามอินเตอร์คอนติเน็นตัล พากันหน้าชื่น
ทั้งที่ระดับชาวบ้านต้องกินกลางวันรถเข็นข้างทาง
ยังหน้าเหี่ยว เพราะไอ้การส่งออกที่ว่ามากขึ้นเป็นประวัติการณ์ ทั้งนั้นทั้งนี้น่ะส่วนหนึ่งมาจากราคาสินค้าเกษตรกรรม
‘ต่ำกว่า’ และเฉือนตลาดโลกได้ จึงมีคนซื้อเพิ่ม
แต่มันไม่ได้สะท้อนมาถึงการครองชีพของประชากรส่วนใหญ่ที่ยังฝืดเคืองกันอยู่
ดังที่ Thuethan
Prasobchoke แจงเอาไว้ เช่น “มะพร้าวถูกแต่กะทิแพง” กับ “ราคาข้าวเปลือกถูกลง
แต่ข้าวสารแพง” หรือ “ราคาอ้อยจะลดลง แต่ราคาน้ำตาลเท่าที่เคยเห็น ไม่เคยลด”
อย่างนี้เป็นต้น
แต่ถ้าหากไม่มองให้ถ้วนทั้งขอบฟ้า อย่าง panorama
view จะไม่เห็นแง่มุมที่แฝงเร้น เช่นที่ว่าดีขึ้นนั้น
ดีกว่าเมื่อสี่ห้าปีที่แล้วก่อน คสช.ยึดอำนาจไหม ถ้าดีกว่าดีเท่าไหร่ พอกลบลบอัตรา
inflation เงินเฟ้อได้เพียงใด
ประเด็นสำคัญอยู่ที่สภาพปากท้องของประชาชนส่วนใหญ่ขณะนี้เป็นอย่างไรแน่นั่นต่างหาก
จะให้หวังกับวาทกรรมประชารัฐหรือไทยนิยมต่อไปอีกสี่ห้าปี ไม่ไหวแน่ โดยเฉพาะในสภาพที่
ถือแถน ประสพโชค ว่า
“เลวร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือ ไปเอื้อฝ่ายที่ได้เปรียบ
ให้ได้เปรียบยิ่งขึ้นเพราะเป็นพวกเดียวกัน”