วันพฤหัสบดี, กันยายน 13, 2561

นับถอยหลังสู่เลือกตั้ง เข้าโหมด 'เกียร์ว่าง'

วานนี้ (๑๒ ก.ย.) Thanapol Eawsakul ฟันธงไว้หลายขนาน ตั้งแต่เรื่อง ป๋า อาจป่วยจริง หลังอายุครบ ๙๘ ปี ไปถึง ศรีวราห์กับวัชรพล จะหมดอำนาจและบารมีลง เมื่อร่มไทร ประวิตร วงษ์สุวรรณ รีไทร์

ทั้งนี้ทั้งนั้น อันเนื่องมาแต่ประกาศราชกิจจานุเบกษา พรป. สองฉบับ เรื่องการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. แล้วก็นับถอยหลังไปสู่วันเลือกตั้ง

ฟันธงว่าหลังจากนี้ประเทศไทยจะเกียร์ว่างกันหมด จนไปถึง ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒

นักธุรกิจก็จะเกียร์ว่าง รอความชัดเจนจากรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง จะไม่มีการลงทุนใด ๆ เกินความจำเป็น ข้าราชการก็จะเกียร์ว่าง รอความชัดเจนผู้บริหารชุดใหม่ ไม่กล้าทำอะไรที่จะเป็นคุณ เป็นโทษ เนื่องจากไม่รู้ว้่าใครจะมาหลังเลือกตั้ง

ส่วนทหารนั้นเกียร์ว่างมาตั้งแต่ตั้ง ผบ.ทบ. คนใหม่แล้ว”


ต่อประเด็นนักธุรกิจเกียร์ว่างนั้น ดูจะไม่เป็นประเด็นเท่าไรนัก เพราะนักธุรกิจที่ไม่ใช่เจ้าสัวใหญ่ๆ และไม่ใช่ธุรกิจรับเหมาที่มีสำนักงานอยู่ในค่ายทหาร หรือธุรกิจจัดอีเว้นต์ที่เป็นนักพูดเชิดชูสถาบัน เกียร์ของพวกเขาหลุดมาอยู่ตรง นูว์ทรอลนานหลายปีแล้ว

สำหรับธุรกิจเจ้าสัวก็ยังคงหน้าชื่นต่อไป ไม่ช้าไม่นานจะได้ขายยาในร้านสะดวกซื้อ นอกเหนือจากแบ๊งกิ้ง และบริการรับค่าทำเนียมสาธารณูปโภค พวกธุรกิจภาครัฐและวิสาหกิจยิ่งวิ่งฉิวสบายบรื๋อ ดูตัวอย่างได้กับการบินไทย

ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ที่มีที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธาน เคาะ แล้วเมื่อวาน (๑๒ ก.ย.) ให้การบินไทยจัดซื้อเครื่องบินใหม่อีก ๒๓ ลำ ตามแผนงานเพื่อให้เป็น National Premium Airline

ไม่เข้าใจทำไมไอ้การเป็นสายการบิน พรีเมี่ยม เนี่ยเพิ่งจะมาดันกันตอนนี้ ทั้งที่การบินไทยโดนสายการบินเพื่อนบ้านแซงหน้ามาหลายปีแล้ว แน่นอนเทียบสิงคโปร์ไม่ติดนานแล้ว เดี๋ยวนี้สู้เกาหลี ไต้หวันจะไม่ได้ เผลอๆ จะโดนฮ่องกงที่เพิ่งเปิดใหม่เบียดอีกราย
 
ถึงการบินไทยขาดทุนติดต่อกันมาหลายปี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีประกาศแกร่งกล้าว่า “การซื้อฝูงบินเป็นเรื่องที่ต้องทำ และเรื่องการเงินไม่ใช่ปัญหา เพราะรัฐบาลอยู่ข้างหลังอยู่แล้ว” ทุ่มอีกเท่าไหร่ไว้รอดู


ด้านข้าราชการเกียร์ว่างนี่แหงๆ จะให้แน่ต้องดูที่ อจ.เดชรัต สุขกำเนิด คณะเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตร แฉไว้แล้วยิ่งเข้าใจ จากการสืบค้นงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล คสช.ประจำปี ๒๕๖๒ อจ.เดชรัตพบว่า

ทางฝั่งประชาชน ๕๓.๕ ล้านคน ซึ่ง “รวมจากผู้ใช้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและกองทุนประกันสังคม” นั้นสิ้นเปลืองงบประมาณทั้งสิ้น ๒๔๙,๓๕๙ ล้านบาท ครั้นไปดูฝั่งข้าราชการบ้าง

“มีผู้ได้รับประโยชน์รวมครอบครัวด้วยประมาณ ๖ ล้านคน” กลับใช้งบประมาณที่ได้มาจากการเก็บภาษีอากรกับประชาชนถ้วนหน้าเหมือนกัน ๓๔๘,๖๐๗ ล้านบาท เท่ากับ “มากกว่าฝั่งประชาชนเกือบหนึ่งแสนล้านบาท”

ดูรายละเอียดที่ อจ.เดชรัตแยกแยะ ก็เจอรายจ่ายสำหรับสวัสดิการของข้าราชการ นั้นกินงบประมาณด้านสวัสดิการของประเทศทั้งหมดไปร้อยละ ๕๘ ในขณะที่ผู้ได้รับประโยชน์ (ขี้ข้าราชการ แต่เป็นนายชาวบ้าน) มีไม่ถึงร้อยละ ๑๐
 
ทำให้ อจ.เดชรัตต้องสรุปไว้บนหน้าเฟชบุ๊ค Decharut Sukkumnoed ว่า “เราอยู่ในประเทศที่คนส่วนใหญ่ใช้งบสวัสดิการส่วนน้อยของประเทศ”

และข้อสำคัญที่ทำให้ อจ.เดชรัตไปค้นตัวเลขพวกนี้ที่ข้าราชการ ผลัดกันชมออกมาให้ฝั่งประชาชนได้เห็นบ้าง “เนื่องจากนายกรัฐมนตรีดูจะเป็นห่วงและหงุดหงิดกับเรื่องภาระงบประมาณด้านสวัสดิการสังคมของประชาชน”


มาถึงประเด็นเกียร์ว่างของทางฝ่ายทหารหาญแห่งชาติ คงต้องดูจากกรณี ราชสีห์แจ้งวัฒนะ สุวิทย์ ทองประเสริฐ อดีตทหารยศจ่าที่เคยโดนคดียิงเสาอากาศไทยคม ออกจากคุกแล้วไปบวชพร้อม เล่นที่ ซื้อโน่นขายนี่จนได้ตั้งวัดอ้อน้อย

มาเริ่มโด่งดังตอนที่ลงนะหน้าทองให้พวกขุนศึกนักยึดอำนาจทีมบูรพาพยัคฆ์ ดังสุดขีดก็ตอนตั้งเวทีแจ้งวัฒนะเสริมพวกเป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ เพราะกิติศัพท์ การ์ดพุทธะอิสระนั้นระบือลือลั่นขนาดต้องจุดธูปกราบไหว้กรวยจราจรกันละ

ชื่อเสียงระบือขนาดตึ๊บตำรวจ (นอกเครื่องแบบ) ปางตายก็แล้วกัน สุวิทย์ซึ่งเป็นผู้สั่งการ กำกับปฏิบัติการของการ์ดผ่านว้อคกี้ท้อคกี้ สก้อตฟรี ปราศจากมลทินมาตั้งเกือบห้าปี จนกระทั่งถึงยุคเกียร์ว่างนี่ละ
วานนี้เช่นกัน อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม และแกนนำ กปปส.เวทีแจ้งวัฒนะ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา “ความผิดฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังหรือกระทำด้วยการใดให้เจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ฯ ให้รับอันตรายสาหัส,

ร่วมกันตั้งแต่ ๕ คนขึ้นไปข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายฯ หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙, ๓๑๐ ประกอบมาตรา ๘๓”

ตอนนี้ได้แต่รอการสืบเสาะโดยสำนักงานคุมประพฤติ “ประวัติการกระทำผิด พฤติการการณ์กระทำผิด อายุ อาชีพ นำมาเพื่อให้ศาลพิจารณาประกอบคำวินิจฉัยในการเขียนคำพิพากษา” ซึ่งศาลจะอ่านในวันที่ ๒๙ ตุลาคมนี้


ว่ากันว่าเหตุที่สุวิทย์ยอมรับสารภาพ ก็เพื่อผ่อนหนักเป็นเบา โทษจำหลังจากที่มีสัญญาน เกียร์ว่างของพวกพยัคฆ์ที่คุ้มหัวมาตั้งแต่โดนหน่วยคอมมานโดจู่โจมจับแต่เช้าตรู่ และศาลไม่ยอมให้ประกันต้องติดคุกอยู่เป็นเดือนนั่นแล้ว