วันอาทิตย์, มิถุนายน 30, 2562

ถ้ารัฐบาลทำชั่วอย่างช้าๆ จะเรียกว่ารัฐบาลชั่วช้าได้มะ ?





ทำชั่วอย่างช้าๆ

หลังจากประยุทธ์ ยึดอำนาจ2557 ใช้เทคนิคทำทุกอย่างให้เกิดการเลื่อนกำหนดการตามคำสัญญาออกไป ไม่ว่าจะต้องผลาญงบประมาณรัฐไปมากมายเท่าไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น ให้บวรศักดิ์ยกร่างรัฐธรรมนูญแล้วให้สนช.คว่ำตัั้งคนใหม่มีชัยร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาอีก เสียเงินไปนับพันล้านบาททีเดียว แต่ได้ทำให้ประยุทธ์อยู่ในอำนาจต่อไปอีกโดยไม่มีใครออกมาต่อต้าน

หลังเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ก็เช่นกันจนถึงบัดนี้3 เดือนแล้วยังตั้งครม.ไม่แล้วเสร็จ

ถ่วงเวลาตั้งรัฐบาลให้ช้าเข้าไว้ ส่งผลต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจากที่คาดไว้ 4.5 % ล่วงหล่นลงมาแค่ 3.5 % การเติบโตที่ร่วงลงมาสร้างความเสียหายไปอีกนับหมื่นล้านบาททีเดียว

ทำทุกอย่างให้เชื่องช้าเข้าไว้ ขนาดจะทำความชั่วก็ยังทำแบบช้าๆ อย่างนี้ต้องเรียกว่ารัฐบาลชั่วช้า


Somyot Pruksakasemsuk
..



พวกคุณจะบีบคั้นพวกเราถึงไหนจึงจะพอใจ รู้ไม๊ สื่อ​เยอรมัน​ยังลงข่าวเรื่องจ่านิวเลย !




เปิดคลิปจากกล้องวงจรปิด เห็นนาที 4 คนร้ายขี่จยย.มา 2 คัน ใช้กระบองเหล็กแบบยืดหดได้กระหน่ำตี #จ่านิว คนร้าย 2 คนไปจอดดักข้างหน้า อีก 2 คนปิดท้ายแล้วรุมกระหน่ำตี + ประกาศ รางวัลนำจับคนร้าย


ท่านที่เห็นเหตุการณ์ โปรดแจ้งเจ้าหน้าที่


‘พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย’ มั่นใจรัฐบาลตู่2 จะมีอายุไม่เกิน 8 เดือน ถึง 1 ปี





“รัฐบาลชุดนี้ที่จะมีปัญหาจริงๆหลังจากที่มีการฟอร์มทีมรัฐบาลขึ้นมาและทำหน้าที่แล้ว ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจะมีอายุไม่เกิน 8 เดือน ถึง 1 ปี อันนี้คือให้สุดๆแล้วนะ คุณไม่ได้โดนแค่ฝ่ายค้านเล่นงาน โครงสร้างรัฐธรรมนูญก็เล่นงานคุณด้วย” ผศ.ดร.พรสันต์ กล่าว

ผศ.ดร.พรสันต์ ให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ในเชิงหลักการการเป็นรัฐบาลผสมโดยมีลักษณะพรรคการเมืองที่เต็มไปด้วยกลุ่มก้อน มันน่าจะมีปัญหาอายุของรัฐบาล มี 3 ปัจจัยสำคัญทำให้รัฐบาลมีอายุไม่เกิน 8 เดือน ถึง 1 ปี คือ

1.ข้อตกลงที่มีการคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลในช่วงแรกๆ ทั้งเรื่องการให้ตำแหน่งรัฐมนตรี การปฎิบัติตามนโยบายต่างๆ ที่ตกลงกัน จะค่อยๆหายไป งานวิจัยของรัฐธรรมนูญทั่วโลกเห็นตรงกันว่า สภาวการณ์แบบนี้จะอยู่ราวๆ 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนนี้เรียกว่า honeymoon period พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคจะพยายามประคับประคองไม่ให้มีการโต้แย้ง ไม่ให้มีการขัดแย้งกัน เป็นอาการลักษณะของการเพิ่งแต่งงาน หลังจากนั้นจะเจอสภาพความเป็นจริง เมื่อเข้าไปบริหารราชการ ต่างคนต่างทำหน้าที่ตัวเอง นโยบายของตัวเองจะเริ่มงอกขึ้นมาเรื่อยๆ การบริหารตรงนี้จะเริ่มขัดแย้งกัน ด้วยนโยบายการทำงานที่แตกต่างกัน ตรงนี้คือปรากฎการณ์ความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลเอง นี่คือเหตุผลที่ตนคาดการณ์อายุของรัฐบาลว่าไม่น่าจะเกิน 8 เดือนถึง 1 ปี ว่ารัฐบาลชุดนี้จะต้องมีปัญหายุบสภา

2.เป็นเรื่องความขัดแย้งภายในตัวพรรคเอง กลุ่มก๊วนต่างๆ เพราะพรรคการเมืองที่เต็มไปด้วยกลุ่มก้อน มันชัดเจนว่า คุณควบคุมมันลำบาก และหากพิจารณาตามความเป็นจริงจะพบว่าวันนี้มันเกิดขึ้นแล้ว กลุ่มต่างๆก็โวยวายว่าไม่ได้โควต้ารัฐมนตรี เหล่านี้ จะทำให้พรรคพลังประชารัฐมีปัญหาอย่างยิ่ง และจากงานวิจัยทั่วโลกชี้ว่า ปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้รัฐบาลผสมอยู่ไม่ได้ คือความขัดแย้งภายในพรรคเอง ไม่ใช่เรื่องของพรรคร่วมรัฐบาลเลยด้วยซ้ำ

3.ประเด็นสุดท้าย คือลักษณะการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ภายในของพรรคพลังประชารัฐเอง เช่นการเปลี่ยนทิศทางของพรรค หรือพรรคร่วมรัฐบาลเปลี่ยนทิศทางการเดินหมากทางการเมือง ก็จะส่งผลให้เกิดการแตกขั้ว หรือถอนการสนับสนุน ซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลานั้นจากนี้


ช็อกหรือใจเด็ด ชายาเจ้านครดูไบ หลบหนีพระสวามี ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เยอรมนีแล้ว เลือกเยอรมนีเพราะไม่ไว้ใจเจ้าหน้าที่สหราชาอาณาจักร อาจส่งตัวเธอกลับไปยังดูไบ



(ภาพAFP)


ช็อก ชายาเจ้านครดูไบ หลบหนีพระสวามี ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เยอรมนีแล้ว


ไทยรัฐออนไลน์
29 มิ.ย. 2562


สื่ออังกฤษ เผย เจ้าหญิงฮายา พระชายาชีค โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มักตูม เจ้านครดูไบ ได้ทรงหลบหนีจากพระสวามี ไปอยู่เยอรมนีแล้ว พร้อมทั้งพาโอรส ธิดาไปด้วย เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่

เมื่อ 29 มิ.ย.62 เว็บไซต์ เดอะ ซัน รายงาน เจ้าหญิงฮายา พระชายาของชีค โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มักตูม เจ้านครดูไบ ได้ทรงหลบหนีจากพระสวามี พร้อมทั้งนำทรัพย์สินราว 31 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,200 ล้านบาท) ไปประทับอยู่ที่เยอรมนี เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้ว หลังจาก ไม่มีใครพบเห็นเจ้าหญิงฮายาเลยตั้งแต่ ก.พ.62 โดยคาดว่าเจ้าหญิงฮายา ซึ่งทรงพาโอรสและธิดาไปอยู่ที่เยอรมนีด้วยนั้น ได้ดำเนินการยื่นขอลี้ภัยอยู่ในเยอรมนีทันที พร้อมกับยื่นคำฟ้องขอหย่าขาดจากชีค โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มักตูมด้วย

เดอะ ซัน รายงานว่า การตัดสินพระทัยจากพระสวามี ไปอยู่ที่เยอรมนีของเจ้าหญิงฮายา ได้ก่อให้วิกฤติทางการทูตระหว่างเยอรมนีกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งชีคโมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มักตูม ทรงดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เนื่องจากชีค โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มักตูม ทรงร้องขอให้เจ้าหน้าที่เยอรมนีในนครเบอร์ลินส่งตัวเจ้าหญิงฮายา พระชายา พระชันษา 45 ปี พร้อมทั้งโอรส ซาเยด พระชันษา 7 ปี และธิดา อัล จาลิลา พระชันษา 11 ปี กลับมายังสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ทว่าทางการเยอรมนีปฏิเสธที่จะทำตามคำร้องขอของโมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัลมักตูม ขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของเยอรมนียังกล่าวว่าจะให้การอารักขาคุ้มกันเจ้าหญิงฮายา โอรสและธิดาด้วย

เจ้าหญิงฮายาเคยเปิดเผยกับพระสหายสนิทว่า พระองค์เลือกที่จะหนีมาอยู่ที่เยอรมนี เพราะไม่ไว้ใจเจ้าหน้าที่สหราชาอาณาจักร (UK) เกรงว่าอาจส่งตัวเธอกลับไปยังดูไบ เนื่องจากชีคโมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มักตูม ทรงเป็นเจ้าของสนามแข่งม้าแห่งหนึ่งใน UK ที่มีมูลค่ากว่า 9,000 ล้านปอนด์

เดอะ ซัน เผยด้วยว่า ชีคโมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มักตูม ได้ทรงประณามพระชายาผ่านทางอินสตาแกรม ว่า ‘ทรยศ’ และ‘ไปกับคนที่ติดต่อด้วยใช่มั้ย?’ ทั้งนี้ ข่าวเจ้าหญิงฮายา ทรงหลบหนีจากชีค โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มักตูม นับเป็นข่าวร้ายในครอบครัวของพระองค์ครั้งที่ 2 หลังจากปีที่แล้ว มีข่าวใหญ่ เจ้าหญิงลาติฟา โมฮัมเหม็ด อัลมักตูม พระธิดาองค์หนึ่งของชีค โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มักตูม ได้พยายามหลบหนีออกจากดูไบ ทว่าถูกติดตามจับตัวกลับมาได้

อ่านข่าว

เจ้าหญิงดูไบ ถูกเก็บตัวเงียบ หลังวางแผนหนี 7 ปีอย่างกับหนังเจมส์บอนด์


หมดตัวช่วย…สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยปัจจัยลบ 4 เเศรษฐกิจครึ่งปีหลังน่าห่วง





หมดตัวช่วย…เศรษฐกิจครึ่งปีหลังน่าห่วง


บทบรรณาธิการ
ประชาชาติธุรกิจ
29 June 2019

ครึ่งแรกปี 2562 ข่าวดีที่ทุกภาคส่วนคาดหวังและรอคอยถูกแทนที่ด้วยข่าวร้ายที่ประดังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เศรษฐกิจ การค้า การเมือง ภายในและนอกประเทศสุ่มเสี่ยงเพิ่มขึ้น จากปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบทั้งทางตรง ทางอ้อม หากครึ่งปีหลังยังไม่มีปัจจัยบวกหนุนจะยิ่งฉุดความเชื่อมั่นในการบริโภค การลงทุนดิ่งกว่าที่เป็นอยู่ขณะนี้

ไม่แปลกที่นักวิเคราะห์วิจัยจากหลายสำนักจะทยอยปรับลดดัชนีชี้วัดสำคัญ ๆ ลง โดยเฉพาะการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ปีนี้ถูกปรับลดผลการคาดการณ์ซ้ำ ๆ ล่าสุดวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา แม้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับเดิมที่ 1.75% ต่อปี แต่ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ลงจาก 3.8% เหลือ 3.3%

ขณะที่การส่งออกแหล่งสร้างรายได้หลักเข้าประเทศ กำลังเผชิญกับความท้าทายจากปัญหาการกีดกันทางการค้า และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก มูลค่าการส่งออกเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาหดตัวลง 5.8% ขยายตัวติดลบสูงสุดในรอบ 34 เดือน ส่วนการส่งออก 5 เดือนแรกปีนี้มูลค่าลดลง 2.7% อีก ช่วงครึ่งปีหลังยังต้องรอลุ้นให้ยอดส่งออกโตได้ 3% ตามเป้า

ไม่ต่างไปจากภาคการท่องเที่ยวที่อยู่ในภาวะชะลอตัวอย่างหนัก โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างภูเก็ตยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งชาวจีน ยุโรป สแกนดิเนเวีย ลดลงชัดเจน กระทบถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งระบบ ส่วนหนึ่งมาจากลูกค้าคนจีนลดวูบจากพิษเศรษฐกิจ สงครามทางการค้า และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น

นอกจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก ซึ่งอยู่เหนือการควบคุมแล้ว การเมืองภายในประเทศแม้จะเริ่มชัดเจน และตามไทม์ไลน์

แม้รัฐบาลจากการเลือกตั้งจะเข้ามาบริหารประเทศราวกลางเดือน ก.ค.นี้ แต่กว่าจะแถลงนโยบายต่อสภา เข้าทำหน้าที่เป็นทางการอาจล่วงเลยไปถึงเดือน ส.ค.

น่าห่วงสุดคือการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่จะล่าช้าออกไป 4-5 เดือน เท่ากับปีนี้วงเงินงบประมาณ 3.2 ล้านล้านบาท ซึ่งปกติจะจัดสรรให้ส่วนราชการ หน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ ใช้จ่ายลงทุนตั้งแต่วันเริ่มต้นปีงบประมาณ 1 ต.ค. 2562 จะถูกเลื่อนออกไปถึงต้นปีหน้า

ช่วง 6 เดือน ครึ่งปีหลังเม็ดเงินที่จะถูกอัดฉีดเข้าไปหมุนเวียนในระบบกระตุ้นเศรษฐกิจจึงมีน้อยกว่าปีก่อน แม้กระทรวงการคลังกับสำนักงบประมาณจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ใช้งบประมาณปี 2562 ไปพลางก่อน

ท่ามกลางสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยปัจจัยลบ 4 เครื่องยนต์หลัก ทั้งการบริโภค ลงทุนรัฐ ลงทุนเอกชน ส่งออก อ่อนแรงลงส่ออาการสะดุด แถมตัวช่วยภาคการท่องเที่ยวเริ่มมีปัญหา เศรษฐกิจครึ่งหลังปีนี้จึงน่าห่วงยิ่ง
...


อย่าปล่อยให้เหตุการณ์ ชัยภูมิ ป่าแส เกิดขึ้นกับกรณีจ่านิว! แรกๆ ตร.บอก มีกล้องวงจรปิด สักพักบอกไม่มี สักพักบอก ฮาร์ดดิส ข้อมูลหาย... จนปัจจุบัน เราก็ยังไม่รู้ความจริง



...


จับตัวคนทำได้ยัง ?


ชวนฟัง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ในงานมหกรรมดนตรี ฝ่ายประชาธิปไตยในวันที่ 29 มิ.ย. 2562





ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. เป็นแขกรับเชิญขึ้นร้องเพลงเป็นคนสุดท้าย แถลงเล็กน้อยในงานมหกรรมดนตรี ฝ่ายประชาธิปไตยในวันที่ 29 มิ.ย. 2562 ใจความว่า

ณัฐวุฒิพูดถึงผู้ร่วมงานที่หลายคนก็เห็นหน้าค่าตากันมาตั้งแต่สมัยชุมนุม นปช. โดยกล่าวว่า งานนี้จ่านิวเป็นคนจัด และน้องๆ อีกหลายคน จริงๆ ก็ไม่อย่างจะมา เพราะมาแล้วรู้สึกว่าตัวเองแก่ แต่ไม่ได้แก่แค่ผม หน้าเวทีนี่ก็พอกัน เด็กๆ เขาจะแร๊ป จัดฟังก์ ก็ยังตามกันมา แต่คนรุ่นเรามากันแล้วก็อยู่กันยาวเพราะลูกไม่ยอมมารับ เอามาส่งตอนเย็น แล้วมารับอีกทีเย็นพรุ่งนี้พวกเราก็ไม่ไปไหน (หัวเราะ)

ก่อนมาก็ไปเยี่ยมจ่านิว ทราบว่ามีผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนคอยประสานช่วยเหลือ จะส่งไปยังโรงพยาบาลรามาธิบดีเพื่อรักษาตาโดยเฉพาะ

“จริงๆ นิวไม่ควรเลือดออกเลย ไอ้คนสั่งกับคนทำน่ะควรเอาเลือดหัวมันออกเสียบ้าง ผมไม่ได้บอกว่าจะไปตีหัวใครนะครับ แต่ผมคิดว่าเลือดชั่วมันไม่ควรอยู่ในตัวคน มันควรไหลออกมาเองได้ บ้นาเมืองใดก็ตาม ถ้าคนหนุ่มคนสาวที่เป็นอนาคตของประเทศกล้าออกมายืนบนหลักการที่ถูกต้อง กลับถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยกลไกของกฎหมายไม่สามารถจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้ แล้วจะให้คนคิดยังไงนอกจากผู้มีอำนาจสั่งการหรือยังไง น้องๆ หน่วยข่าวฟังดีๆ นะ พี่เต้นไม่ได้โจมตีรัฐบาลนี้ พี่เต้นไม่ได้ด่ารัฐบาลนี้ พี่เต้นด่ารัฐบาลที่แล้ว รัฐบาลนี้มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ไปว่าไม่ได้หรอก เขายังไม่มีรัฐมนตรี ต้องให้ความเป็นธรรมกับ พล.อ.ประยุทธ์ด้วย แต่รัฐบาลที่แล้วอยู่มาห้าปี เด็กถูกตีหัวแต่ไม่มีปัญญาจับ อยู่ทำหอกอะไร”

ณัฐวุฒิกล่าวต่อไปว่า ได้คุยกับแม่นิว แกอายุน้อยกว่า 1 ปี เจอกันทุกทีแกก็เรียกผมว่าพี่ ไอ้นิวมันก็นักเคลื่อนไหวรุ่นน้อง เจอกันมันก็เรียกผมพี่ สรุปเป็นน้องผมทั้งสองคน ผมก็บอกแม่นิวว่าห่วงใย คุณหมอบอกว่าอาการไม่ถึงทุพพลภาพ แต่สิ่งที่ห่วงคือหลังจากนิวหายดีแล้ว ความปลอดภัยของนิวจะเป็นอย่างไรเพราะหมาบางพันธุ์มันงับแล้วมันไม่ปล่อย

“นี่เป็นหน้าที่ที่พวกเราทั้งหลายต้องช่วยกันดูแลปกป้อง ผมพูดไปยังพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศเลยนะครับ ท่านอย่าไปคิดว่าจ่านิวเป็นข้างไหน ท่านอย่าไปเข้าใจว่าจ่านิวเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองว่าต้องถูกตี ถูกทุบ ถูกทำร้ายได้ ไม่ใช่ครับ การปกป้อง การดูแลและการให้ความปลอดภัยกับคนเหล่านี้เท่ากับปกป้องสังคมไทยให้พ้นจากความอำมหิต ความรุนแรงและการใช้อำนาจมืดจัดการคนเห็นต่างทางการเมือง กระบองที่ทุบลงบนหัวนิวคือกระบองที่ทุบลงบนคำว่าเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ” ณัฐวุฒิกล่าว

ถ้าลูกชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่งอย่างจ่านิวเดินอยู่กลางถนนในกรุงเทพฯ กลางวันแสกๆ แล้วถูกคนตีปางตายโดยจับคนร้ายไม่ได้ ลูกเราจะปลอดภัยได้ยังไงในประเทศนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องการเมือง นี่คือเรื่องอาชญากรรมต่อประชาชน และนี่คือหน้าที่ของประชาชนที่จะต้องดูแลเคียงข้าง และปกป้องซึ่งกันและกัน ผมขอให้กำลังใจกับนักสู้ทุกคน”

ณัฐวุฒิกล่าวว่า บ้านเมืองในสภาพแบบนี้ โดยทั่วไปผู้มีอำนาจบริหารต้องรับผิดชอบแต่เนื่องจากรัฐบาลนี้ยังไม่มีอำนาจบริหาร จึงยังเป็นความชั่วของรัฐบาลที่แล้วล้วนๆ ที่ไม่รับผิดชอบอะไรเลย และรัฐบาลนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะตั้ง ครม. เสร็จเมื่อไหร่ อ่านหนังสือพิมพ์จนเหนื่อยใจ ไม่ได้เกรงอกเกรงใจประชาชน แต่นี่เขาก็คงอ้างว่ายังไม่มี ครม. ยังไม่มีอำนาจบริหาร

อดีตแกนนำ นปช. ยังแสดงความกังวลไปยังกลุ่มคนที่สะใจหรือยินดีกับการที่จ่านิวถูกทำร้ายว่าสังคมเช่นนี้จะไม่ทำให้เกิดสันติสุขและสันติภาพได้ หวังว่าสังคมไทยจะตั้งสติ อย่าข้ามความเป็นมนุษย์จนยิ้มย่องไปกับความรุนแรง

“มีเรื่องจะสื่อสารไปยังใครก็ตามที่มีความคิดเห็นทางการเมืองต่างกับจ่านิว แล้วกำลังแสดงความสุขีปรีดา สะใจ หรือชื่นชมยินดีกับสิ่งที่นิวกำลังประสบ ผมคิดว่านี่เป็นเรื่งองที่สังคมไทยต้องตั้งสติร่วมกันดีๆ

“เมื่อใดก็ตามที่สังคม ประเทศที่มีคนชื่นชมกับชะตากรรมของผู้คนที่ถูกกระทำอย่างอยุติธรรมและอำมหิต สังคมนี้ไม่ใช่สังคมที่จะนำพาไปสู่สันติสุขและสันติภาพแล้ว

“สังคมแบบนี้มันอาจจะเกิดกลายเป็นสังคมที่ผู้คนหันมาเผชิญหน้าและห้ำหั่นกัน เราอย่าปล่อยให้ประเทศไทย สังคมนี้ไปถึงขั้นนั้น ต่อให้สิ่งที่เกิดขึ้นกับจ่านิวไปเกิดขึ้นกับคุณสุเทพ เทือกสุบรรณผมก็ชื่นชมยินดีไม่ได้ ไปเกิดขึ้นกับใครก็ตามที่เราเห็นต่างกันทุกวัน ผมก็ไปสุขีปรีดากับสิ่งที่เกิดกับพวกเขาไม่ได้

"ผมหวังใจว่าสังคมไทยจะตั้งสติ ผมหวังใจว่าสังคมไทย แม้จะโกรธแค้นชิงชัง แต่อย่าข้ามเส้นความเป็นมนุษย์จนกระหยิ่มยิ้มย่องกับโลหิตของเพื่อนมนุษย์ในสังคมที่หลั่งออกมา


ประชาไท Prachatai.com
.


...



วันเสาร์, มิถุนายน 29, 2562

"บ้านเถื่อน เมืองเถื่อน อนารยะ" "ทำนิ่งเงียบ ดูดาย ไม่รู้เห็น" "รัฐก่ออาชญากรรมประชาชน สุดท้ายไฟ ไหม้ตน ก็ถึงตัว"





บ้านเถื่อน เมืองเถื่อน อนารยะ
แดงเลือด เดือดระดะ ระรินไหล
กี่รายแล้ว เลือดรวม ที่ท่วมไทย
เบื้องหลัง ใครสั่งใคร ไล่ล่าคน
ทำนิ่งเงียบ ดูดาย ไม่รู้เห็น
มันจะเป็น เช่นใด ฉันไม่สน
รัฐก่ออาชญากรรมประชาชน
สุดท้ายไฟ ไหม้ตน ก็ถึงตัว


Visa Khanthap
...

การคุกคามจ่านิว ในระบอบรัฐประหารเท่าที่จำได้มีอย่างน้อย 4 เคส

1 การจับคลุมถุงดำแล้วเอาตัวไปปล่อยในที่มืด บริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต
2 การระดมมวลชนมาปิดล้อมและจับกุมตัวกรณีนั่งรถไฟไปตรวจสอบคอรัปชั่นอุทยานราชภักดิ์ บริเวณสถานีบ้านโป่งจังหวัดราชบุรี
3 การดักตีหัวในเวลาค่ำคืนแถวรัชดา
4. การ ยกระดับ ความรุนแรง ดักตีหัว บริเวณปากซอยหน้าบ้านในเวลากลางวันแสกๆ

ทั้งหมดจบลงด้วยการลอยนวลของผู้ก่อเหตุในทุกครั้ง

Thanapol Eawsakul
...




สื่อต่างประเทศเช่น Reuters จับข่าวจ่านิวถูกทำร้าย เป็นข่าวระดับโลกเรียบร้อยแล้ว !!! Thai anti-junta activist attacked, latest in 'pattern' of violence



FILE PHOTO: Student activist Sirawith Seritiwat, an anti-coup activist, is detained by the police while demonstrating alone against a military-backed draft constitution in Bangkok, Thailand, May 1, 2016. REUTERS/Jorge Silva/File Photo


Thai anti-junta activist attacked, latest in 'pattern' of violence


JUNE 28, 2019
Reuters


BANGKOK (Reuters) - Unknown assailants attacked and wounded a Thai pro-democracy activist on Friday, apparently the latest victim of what rights groups call a systematic campaign of violence against critics of the army following a disputed election.


Sirawith Seritiwat, 27, was attacked by four men wielding clubs near his home in a Bangkok suburb leaving him in hospital with serious head injuries, his mother said.

“The doctor says they are concerned about his eyes because of the impact on the optic nerve,” Sirawith’s mother, Patnaraee Charnkit, told reporters.

“His eyes are open but he is unresponsive,” she said.

A police officer confirmed the late morning attack, saying the number of assailants was not known and police were investigating.

Rights groups say there have been seven violent attacks on activists since a March 24 election that resulted in former junta leader Prayuth Chan-ocha staying on as a civilian prime minister under election rules written by the junta.

A similar number of attacks on activists took place in the year before the vote, they say. Patnaraee said it was the second time this month that her son had been assaulted.

“What we’re seeing is a pattern,” Sunai Phasuk, senior Thai researcher for Human Rights Watch, said of the attacks on critics of the military’s involvement in politics.

“It shows that after the election, Thailand remains in a climate of fear and the country is not on a path towards a return to democratic rule.”

The military seized power in a 2014 coup and remains in charge until a new cabinet is sworn in, something that Prayuth says will likely happed by mid-July.

Opposition parties say the electoral system was designed to extend and legitimise military domination of civilian government.

A government spokesman was not immediately available for comment.


Reporting by Panu Wongcha-um and Panarat Thepgumpanat; Editing by Robert Birsel


กลางวันแสก ๆ ผู้เห็นเหตุการณ์ ต้องช่วยจ่านิว แจ้งตำรวจตามจับให้ได้ เพื่อความเป็นธรรม🙏🙏🙏🙏



“จอน อึ้งภากรณ์” ผุดแคมเปญ บริจาคคนละ 247.5 บาท ช่วย “จ่านิว” #จ่านิว คือเพื่อนของเรา เราไม่ทิ้งเพื่อน ครั้งนี้ถือว่า 'ประชาชน' ถูกคุกคามหนักมาก เพียงเพราะเห็นต่างทางการเมือง ...




ขอชวนไปร่วมงาน "ดนตรีประชาธิปไตย" เย็นวันเสาร์นี้ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา เพื่อเป็นกำลังใจให้ #จ่านิว เพื่อยืนยันการต่อสู้กับเผด็จการด้วยสันติวิธี เพื่อยืนยันอุดมการณ์ประชาธิปไตย เพื่อยืนยันว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน



บ้านป่าเมืองเถื่อน นักเลงหมาลอบกัด เพื่อไทยต้องไล่บี้ตร.และประยุทธ์รับผิดชอบ




มาถึงแล้ว 'บรรยากาศ' ก่อน ๖ ตุลา ทำร้ายจ่านิว คล้ายๆ แขวนคอช่างไฟฟ้านครปฐม "ฆ่าตี ก็ตามอำเภอใจพาล"

มาถึงแล้วบรรยากาศก่อน ๖ ตุลา ร่ำๆ สองสามเดือนที่ผ่านมาตั้งเค้าว่ากำลังจะกลับ ถึงก่อนเวลาเล็กน้อยนี่เพิ่งจะเข้ากรกฎา การรุมทำร้าย จ่านิว รอบสอง ชวนให้รำลึกถึงเมื่อตอนคนงานไฟฟ้าโดนแขวนคอกับประตูรั้วที่นครปฐม

รำพังการรุมทำร้ายเยี่ยงนี้ ทั้งกรณี เอกชัย หงส์กังวาน และจ่านิว โดยไม่มีการขยับเขยื้อนจากฝ่ายปกครอง เป็นที่กล่าวขานกันว่า คสช.ก็รู้แกว จึงได้ไม่มีการจับคนร้ายยกเว้นครั้งเดียวที่กระทำโดยส่วนตัว นอกนั้นก็คือ  ‘state encouraged/sponsored’ สมรู้

จากการให้สัมภาษณ์ของ หมอเลี้ยบ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี (ที่ไปเยี่ยมยังโรงพยาบาลมิสชั่นพร้อมกับ นิธินันท์ ยอแสงรัฐ ผู้สื่อข่าวอาวุโส) อาการบาดเจ็บของนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ครั้งนี้หนักกว่าครั้งที่ผ่านมาเมื่อไม่นาน
 
แพทย์ตรวจสมองแล้วมีความหวังว่าจะกลับสู่ปกติได้ แต่แผลที่เบ้าตาขวายังต้องรอดูผลว่าจะร้ายแรงขนาดใช้การไม่ได้หรือไม่ เพราะการรุมตีด้วยไม้จากชายสี่คนนั้นกระทำอย่างตั้งใจให้ถึงชีวิต หรือเบาะๆ ก็พิการได้ สะใจฝ่ายสนับสนุนคณะทหารที่แห่กันไปซ้ำเติมตามเว็บข่าวส้องสุม อย่างไทยโพสต์ และเนชั่น

ทำให้เห็นบรรยากาศของการโหมประโคมเมื่อปี ๒๕๑๙ โดยหนังสือพิมพ์ ดาวสยาม และวิทยุ ยานเกราะ ครั้งนี้อาจมีมากกว่า นอกจากไทยโพสต์ เนชั่น (เครือเดียวกับ ที-นิวส์) แล้วมีแนวหน้าและเดลินิวส์แจมเป็นระยะๆ และ บลูสกายได้วิญญานของยานเกราะกลับมาสิง

ยังดีที่มีสื่ออย่าง สุทธิชัย หยุ่น (ซึ่งขายเนชั่นให้สปริงนิวส์ไปแล้ว) กับโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ อุตส่าห์แสดงออกต่อสาธารณะไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงต่อผู้ที่เห็นต่างทางการเมือง โดยเฉพาะราเมศนั้นเน้นว่า

“คนที่ถูกทำร้ายสองครั้งในเวลาที่ใกล้เคียงกัน ต้องจับคนที่ทำผิดมาให้ได้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนต้องแสดงบทบาทกับเรื่องนี้เพื่อตรวจสอบ” นอกเหนือไปกว่านั้น องค์กรเกี่ยวกับจริยธรรมและวัฒนธรรม ต้องเริ่มเข้าไปหาหนทางลดความขัดแย้งและขจัดจิตสำนึกเกลียดชังต่อกันได้แล้ว

สังคมไทยกำลังกลับเข้าสู่การนิยมความโหดเหี้ยม และตั้งหน้าห้ำหั่นกันอีกครั้ง ดังที่เคยเป็นมาในยุค ขวาพิฆาตซ้ายที่ใช้วาทกรรมจงรักภักดีสถาบันกษัตริย์เป็นข้อกล่าวหา มาบัดนี้ดูเหมือนจะเพี้ยนเปลี่ยนไปเป็นความภักดีต่อสถาบันทหาร และ/หรือ ตลก. ด้วย
“เพราะบมีปากเสียงเวียงรมย์ จึงเลยรันทม บอาจจะถ้อพาที เพราะทวยราษฎร์ล้วนเสรี ขายค้าฆ่าตี ก็ตามอำเภอใจพาล เพราะทรงธรรมรัชย์ชัชวาลย์ แผ่นดินจึงดาล ประดุจประดงกำเดา” บทประพันธ์ดั้งเดิมโดย นายผี (ลายแทงจาก อานนท์ นำภา)

ลักษณะเช่นนี้สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดมิคสัญญีในสังคม ที่สมาชิกต่างแว้งกัดซึ่งกันและกัน ต้องดูตัวอย่างถึงจะรู้สึกขนลุกว่าเห็นท่ามันมาแน่ คัดจากที่ @sureyameecha รวบรวมไว้ เฉพาะแก่นๆ ชนิดเหลือขอ เริ่มเบาะๆ ที่ Supakit Chongtaveetham ว่าถึงข่าว “เจริญอาหารเที่ยง...ตายมั้ย”

แต่ว่าอาการขำขันของ อนุชาติ บุนนาค หนักกว่าหน่อย “ไม่ต้องรีบรักษาก็ได้ครับคุณหมอ ปล่อยมันไว้แบบนี้สักสี่ห้าวัน พอขำๆ” อันมีผู้ที่รู้จักเขาระบุว่าคนนี้ สูงส่ง ขนาด “จบ ม.เกษตร จบสวีเด็น ผอ.สถาบันศึกษายุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ” เสียด้วย

ข่าวที่เขาว่านั้นเอาโพสต์พร้อมภาพจ่านิวขณะหมดสติบนเตียงโรงพยาบาล ของ โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา มาเล่น ซึ่งผู้ใช้นาม Jacky Tan สนองว่า “ใครหนอช่างทำร้ายได้ลง จึงขอขอบคุณอย่างสุดซึ้ง” ขณะที่ Ratchapol Deejriya ขยับไปไกลกว่านั้นนิด “แผ่นดินจะสูงขึ้นแล้ว”

ด้าน Tato Vivach Vivach ฉีกประเด็นเล็กน้อย “รอบนี้ลงทุนมากกว่าครั้งที่แล้ว ยอมให้เสื้อยับและเปื้อนเลือด...หวังว่ารอบนี้ยอดเงินจะเข้าบัญชีสูงกว่าครั้งก่อน” สุธี ยรรยงชัยกิจ ต่อเติมให้ว่า “มันต้องมีการเสียสละกันบ้างครับ...ต้องให้ถึงแห่โลงระดับแกนนำ มันถึงจะสะเทือนใจ”
 
อันการขอบริจาคเงินช่วยเหลือนักกิจกรรมที่ตกทุกข์ได้ยากนี่ เห็นทำกันมาทุกขั้วละนะ เมื่อก่อนนี้ พธม.ก็มีบ่อยๆ ไป พวก กปปส.ฉีกแนวหน่อยเพราะผู้บริจาคขาใหญ่เยอะ ทว่ากรณีจ่านิวครานี้มีกลุ่ม อุเชนทร์ เชียงเสน เปิดรณรงค์

โดยให้เชิญเพื่อน ๔ คนรวมบริจาคพร้อมๆ กัน คนละ ๒๔๗.๕๐ บาท ไปที่แม่จ่านิว พัฒน์นรี ชาญกิจ บัญชี ธ.กรุงไทย 488-031-7020 โดยอ้างเหตุผลบางข้อว่า นอกจากจะช่วยผู้เสียหายในการพักฟื้นแล้ว ยังเป็นการรวบรวมผู้คน “ให้พร้อมสำหรับรับเหตุการณ์ที่จะหนักกว่านี้”

หนักแค่ไหนกลับไปดูคอมเม้นต์ของกระสือกระหายเลือดอีกก็ได้ ไพบูลย์ พรหมคง เขียนบนหน้าไทยโพสต์ “คนตีน่าจะได้รับรางวัล ที่เอาเลือดชั่วมันออก อิอิ” โดย Paphawarin Phithacharonekul แถมว่า “ตีวนไปๆๆ คิวต่อไปจะใครอีก เอกชัยมั้ย 55555

เอกชัยน่ะโดนไปหลายรอบแล้ว หวยไปออกที่คำแนะของ พงษ์ชัย ไชยบุญลือ “...อีโบ๋วน่าจะโดนด้วย ไม่รู้ใครเป็นใคร ศัตรูเยอะนี่พวกแก” เช่นเดียวกับ Chakkarin Phudpong ฟันธง “โบว์ You are next target.!!!”

คนเหล่านี้ตัวจริง เสียงจริงทั้งนั้น ที่กระเหี้ยนกระหือต้องการเห็นความวิบัติ บาดเจ็บและถึงตายของฝ่ายที่ปากกล้าขาแข็งยืนหยัดต้านอำนาจเผด็จการกัน จึงได้เห็นว่าบรรยากาศไม่ต่างกับเมื่อครั้งที่มีการก่อกระแสจนนำไปสู่การฆ่านักศึกษาเมื่อ ๖ ตุลาคม ๑๙

“หยุดมันก็ไม่ทันแล้ว มาถึงขนาดนี้” แม่จ่านิวกล่าวกับนักข่าวที่หน้าโรงพยาบาลในตอนหนึ่ง “ก็ต้องสู้ต่อ น้องนิวเองเขาก็ไม่เคยท้อถอดใจ เขาไม่เคยพูดว่าจะหยุดหรือเลิก เขาเคยบอกว่าทุกวันนี้มันเล่นกันเกินไป รุมกันแบบหมาหมู่”
 
หมาหมู่ สไตล์เผด็จการทหารไทยๆ งั้นหรือ มิหนำซ้ำระหว่างที่ส่งตัวจ่านิวไป รพ.นวมินทร์หลังถูกรุมทำร้ายที่ปากซอยเข้าบ้าน ก่อนส่งต่อ รพ.มิชชั่น มารดาของจ่านิวได้เดินทางไปแจ้งความยัง สน.มินบุรี “ปรากฏว่ามี จนท.ทหารในเครื่องแบบ ๓ นายอยู่บริเวณหน้า สน.ด้วย

โดยไม่ทราบวัตถุประสงค์การมาแน่ชัด” น่าสงสัย “มาทำไม” ดังที่ ดาวดิน สามัญชน @daodin_commoner เขียนคอมเม้นต์รายงานของ @TLHR2014

อนุชาติเป็นได้แค่"คน" ที่ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน ‘พล.ต.ดร.อนุชาติ’ เม้นต์ปม ‘จ่านิว’ บอกหมอไม่ต้องรีบรักษา ปล่อย4-5วันขำๆ












Nick Humanoid‏ @thmaroynee 9h9 hours ago
Replying to @pui_tuangporn @teeratr
ตามหลักมนุษยวิทยา อนุชาติเป็นได้แค่"คน"ที่ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน ที่เห็นคุณค่าของชีวิตและลมหายใจคนอื่นเป็นเรื่องน่าหัวเราะ ซึ่งเขาไมใช่"มนุษย์"ได้ที่ได้รับการขัดเกลาและพัฒนาจิตใจแล้วที่ย่อมจะเห็นคุณค่าของชีวิตและลมหายใจคนอื่นมีค่าเหมือนกับตัวเอง

Winone‏ @Berlin45776811 8h8 hours ago
Replying to @pui_tuangporn
ควรร่วมลงชื่อถอดถอนออกจากตำแหน่ง ผ.อ.ยุทธศาสตร์แห่งชาติ ไปเลยคนแบบนี้มีความคิดอย่างนี้ จะมาเขียนยุทธศาสตร์อะไรได้ มิน่าเค้าถึงบอก ปท.ไทยป่วยอยู่ เฮ้อ #RIPThailand

leo-dent‏ @dent_max 9h9 hours ago
Replying to @pui_tuangporn
ในฐานะหมอคนนึง​ ขอตอบแทนหมอทั่วโลกว่า​คงทำอย่างที่ท่านกล่าวไม่ได้​ ทำไม่ได้จริงๆ


วันศุกร์, มิถุนายน 28, 2562

รองประธานสภาคนที่สอง ที่หักดิบตีตกญัตติตรวจสอบสรรหา สว. นี่ 'ภูมิใจไทย' เต็มตัว มิน่าตึกสภาใหม่จ่อขยายเวลาสร้างหนที่สี่

สภาผู้แทนฯ วันนี้ฝ่ายค้านทำงานสะใจแฟนคลับประชาธิปไตยยิ่งนัก หลังจากที่รองประธานฯ คนที่ ๒ ทำตัวเป็นแขนขา คสช. หักดิบญัตติด่วนให้จัดตั้งกรรมาธิการตรวจสอบการสรรหา สว. ไม่ยอมนำเข้าวาระการประชุมเสียงั้น

นายศุภชัย โพธิ์สุ ส.ส.นครพนมพรรคภูมิใจไทย รองประธานคนที่สองแจ้งว่าตนเป็นผู้กลั่นกรองญัตติ เห็นว่าการสรรหา สว.เป็นอำนาจของ คสช. สภาไม่สามารถตรวจสอบได้ “เพราะหน้าที่ของสภาฯ คือการตรวจสอบกระบวนการทำงานของรัฐบาล แต่ คสช.ไม่ใช่รัฐบาล”

สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคามพรรคเพื่อไทย อภิปรายดุ เรียก สว.ชุดตู่ตั้งนี้ว่า ลูกไม่มีพ่อ(ถ้าเป็นสภาฝรั่งคงเรียกว่า ‘bastard’) เพราะป่านนี้ยังไม่รู้ที่มา “ชาวบ้านเขาสงสัยที่ไปที่มา มันสะเทือนใจ เขาเลือกผู้แทนแทบเป็นแทบตาย...มาได้ยังไง ๒๕๐”

นายสุทินยันว่าถ้ายังไม่ยอมรับญัตติจะต้องแจ้งความดำเนินคดี ตามความผิดมาตรา ๑๕๗ ละเว้นปฏิบัติหน้าที่“วันก่อนประธานสรรหาออกมาบอกไม่มีการตรวจสอบ สว.ที่ถือหุ้นสื่อ เพราะไม่ได้มีกรรมการสรรหา...พอวันนี้บอกอีกว่า คสช.ตรวจสอบไม่ได้” อีกละ

พอรุ่งขึ้น (๒๗ มิ.ย.) ๗ พรรคร่วมฝ่ายค้านออกแถลงข่าวทันใจ ให้รู้ว่าคำอภิปรายไม่ใช่ขู่ ประกาศแจ้งความดำเนินคดีต่อนายชวน หลีกภัย ในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎร ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ให้รายละเอียดว่า พรรคฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติเรื่องที่มา สว.นี้ไปแล้วถึง ๓ ญัตติ กลับถูกรองประธานคนที่ ๒ ยับยั้งไว้ไม่ยอมบรรจุเข้าวาระการประชุม อ้างว่า ส.ส.ไม่มีอำนาจ จะเสนอญัตติตั้งกรรมาธิการก็ไม่ได้

“สภาผู้แทนฯ เป็นองค์กรที่มาจากการเลือกตั้งเพียงองค์กรเดียว เราจำเป็นต้องใช้อำนาจที่ได้รับมาจากประชาชนในการทำงานตรวจสอบต่างๆ ตามที่ประชาชนสงสัย”

การที่รองประธานสภาฯ บอกว่า คสช.มีอำนาจสูงสุดเป็นรัฏฐาธิปัตย์ “ความเห็นแบบนี้เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย”

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่านพรรคเพื่อไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า การใช้อำนาจตัดสิทธิการยื่นญัตติเช่นนั้น “เป็นเจตนาที่จะละเมิดรัฐธรรมนูญ” ผิดข้อบังคับ ในเมื่อผ่านไป ๘ วันแล้วยังไม่มีการแจ้งตอบต่อผู้ยื่น ทั้งที่ระเบียบกำหนดให้แจ้งภายใน ๕ วัน

หมอชลน่านระบุว่าเป็นความผิดที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตต้องเข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบ ในวันที่ ๑ ก.ค.นี้กลุ่มพรรคฝ่ายค้านจะยื่นคำร้องให้ ปปช.ดำเนินการทั้งประธานและรองประธานคนที่ ๒ และจะยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง เอาผิดตามมาตรา ๑๕๗ ต่อไป

อย่างไรก็ดีมีข้อน่าสังเกตุว่า นายศุภชัยอ้างการวินิจฉัยของเขาได้แจ้งต่อนายชวน หลีกภัย ทราบแล้ว ในฐานะที่นายศุภชัยเป็น ส.ส.นครพนม เป็นท้องที่หนึ่งที่ในยุค คสช.นี้มียาเสพติดทะลักจำนวนมาก ชนิดที่ ส.ส.ฝ่ายค้านผู้หนึ่งเปรียบเปรยว่าเป็น สินค้าโอท็อป ของจังหวัด

อีกทั้งพรรคภูมิใจไทยที่เขาสังกัดได้เข้าร่วมรัฐบาลอย่างมีเลสนัย “คือดีลที่ปฎิเสธไม่ได้ และสมประโยชน์กันทุกฝ่าย” (คำของ Thanapol Eawsakul) เนื่องจากบริษัทซีโนไทยของนายอนุทิน ชาญวีรกูล “ได้ประโยชน์เต็ม ๆ จากการยืดการส่งมอบอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ โดยไม่ต้องเสียค่าปรับใด ๆ เลย”

รายงานข่าวไทยรัฐออนไลน์ แจงว่า “ผ่านมายาวนานกว่า ๖ ปี ยืดเวลาก่อสร้างมาแล้วถึง ๓ ครั้ง สถานที่ประกอบแต่กรรมดี มูลค่ากว่าหมื่นล้านที่ประชาชนเฝ้ายลโฉมยังคงไม่แล้วเสร็จ บรรดา ส.ส. และ ส.ว. จำต้องระหกระเหินทำงานที่ ออฟฟิศชั่วคราว ค่าเช่าวันละ ๓ แสนบาท”

งานก่อสร้างรัฐสภามูลค่า ๑.๒ หมื่นล้านบาทแห่งนี้แต่เดิมกำหนดแล้วเสร็จใน ๙๐๐ วัน แต่ล่าช้ามากสภาเลยขยายเวลาให้เป็นทั้งสิ้น ๒,๓๘๒ วัน เพิ่งเสร็จไปราว ๖๔% ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียง ๑๘๔ วัน เสร็จไม่ทันแน่ ในเมื่อ ณ วันที่ ๑๔ มิ.ย. ได้งานน้อยกว่าเป้าถึง ๑๓.๖๒%
ไทยรัฐคำนวณให้โดยละเอียด บริษัทของตระกูลชาญวีรกูลผู้รับเหมาก่อสร้างควรต้องจ่ายค่าปรับวันละ ๑๒ ล้านบาท รวมทั้งหมด ๑.๘ หมื่นล้านบาท แต่นี่สำนักงานรัฐสภาที่เพิ่งเปลี่ยนมือการกำกับจากนายพรเพชร พิชิตชลชัย (อดีต) ประธาน สว. มาเป็นนายชวน หลีกภัย มาหมาดๆ

ยอมขยายเวลาง่ายๆ ๓ ครั้งแล้วไม่พอ ทำท่าจะขยายต่อเป็นครั้งที่สี่ ทั้งที่ “สารพัดปัญหา (ฉาว) ไม่ได้มีแค่การก่อสร้างที่ยืดแล้วยืดอีก แต่มีทั้งกรณีการใช้ไม้สัก ๕,๐๐๐ ต้น เพื่อประกอบการก่อสร้าง ลานจอดรถ

หรืออย่างระบบไอซีที ๘ พันล้าน ก็เกิดปัญหาเฉกเช่นเดียวกัน ราคาไมโครโฟนล่อไป ๑.๒ แสนบาท นาฬิกาเรือนละ ๗ หมื่นบาท ทีวีเครื่องละ ๑.๗ แสนบาท เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทั่วโลกโซเชียล ซัดราคาแพงเว่อร์เกินราคาตลาดกว่าครึ่ง”


แล้วอย่างนี้ “จะให้สภาผู้แทนฯ” ที่ได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชน “นั่งเฉยๆ หรือ” อย่างที่ปิยบุตรบอกไว้ในแถลงข่าว

ขบวนการต่อต้านชนชั้นล่าง





ขบวนการต่อต้านชนชั้นล่าง : วีรพงษ์ รามางกูร


27 มิถุนายน 2562
วีรพงษ์ รามางกูร
มติชนออนไลน์


ขบวนการต่อต้านและสนับสนุนพรรคเพื่อไทย ซึ่งเชื่อว่าเป็นพรรคการเมืองของผู้สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ที่ยืดเยื้อยาวนานมากว่า 10 ปี เป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนการแบ่งชนชั้นในสังคมไทย ที่สังคมไทยไม่อาจก้าวข้ามได้สักที เพราะใช้ทักษิณ ชินวัตร เป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นล่าง ตรงกันข้ามกับชนชั้นบน

หลายคนพยายามบอกว่าการแบ่งชนชั้นในสังคมไทยในสมัยนี้ไม่มี แต่ในความเป็นจริงการแบ่งชนชั้นในสังคมไทยนั้นปรากฏออกมาอย่างชัดเจนในขบวนการการเมืองของประเทศไทย บางครั้งก็แสดงออกมาอย่างล่อนจ้อนในการปราศรัย ในการจัดตั้งขบวนการ “มวลมหาประชาชน” เพื่อต่อต้านบดขยี้ขบวนการทักษิณ ซึ่งมีหรือไม่มีก็ไม่ชัดเจน แต่เป็นวาทกรรมของตัวแทนของชนชั้นปกครอง ที่ได้รับการสนับสนุนจากขบวนการทุนขนาดใหญ่และขนาดกลาง ทั้งจากในกรุงเทพฯ ในภาคใต้ ในเขตเทศบาลของเมืองใหญ่ที่ประกอบอาชีพค้าขาย ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีเชื้อสายจีนทั่วประเทศ

ผู้ที่ประกอบอาชีพเป็นนายทุนขนาดใหญ่และขนาดกลางเหล่านี้ มีความรู้สึกทางชนชั้นหรือ class consciousness สูงมาก มีความรู้สึกดูถูกเหยียดหยามชนชั้นกรรมกร ชาวนาและชาวประมง ในภาคอีสานเวลาพูดคุยกันเองเรียกพวกเดียวกับตนเป็นภาษาแต้จิ๋วว่าตนเป็น “ตึ่งนังเกี้ย” หรือ “ลูกจีน” เรียกกรรมกร ชาวนาหรือลูกจ้างตนเองว่า “เหลาเกี้ย” หรือ “ลูกลาว” ซึ่งเป็นคำดูถูก จะภูมิอกภูมิใจมากถ้าได้ลูกเขยหรือลูกสะใภ้ที่มีนามสกุลเก่าแก่ของขุนนาง หรือนามสกุลที่ใช้บรรดาศักดิ์ เช่นบริรักษ์บุรีภัณท์ หรือปราณีพุทธบริษัท หรือประจญปัจจานึกพินาศ เป็นต้น แต่ไม่ค่อยสบายใจถ้าได้เขยหรือสะใภ้ที่นามไทยแท้หรือนามสกุลท้องถิ่นในภูมิภาค เช่น คำสุก บ้านก้อง คำเล็ก หรือทองใส เป็นต้น

หรือถ้าจะได้เขยหรือสะใภ้ที่นามสกุลสั้นๆ เชยๆ แล้วถ้ามียศตำรวจทหารนำหน้าชดเชยก็จะพอใจ นอกจากนั้นสถานะการศึกษา ซึ่งขณะนี้เกือบร้อยละ 95 ก็จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยของรัฐ หรือมหาวิทยาลัยชั้นนำของเอกชน ที่สอบเข้าเป็นข้าราชการได้ก็เป็นคนไทยเชื้อสายจีนหรือตึ่งนังเกี้ยทั้งนั้น คนพื้นเมือง อีสาน กลาง เหนือ ใต้ มีเหมือนกันแต่น้อยกว่า คนไทยเชื้อสายจีนก็ไม่นิยมใช้แซ่อีกต่อไป

แต่นิยมเปลี่ยนเป็นนามสกุลเป็นภาษาสันสกฤตยาวๆ 4-5 พยางค์

กิจการธุรกิจ การค้า การเงิน การธนาคาร การนำเข้าส่งออก การค้าปลีก ค้าส่ง การขนส่ง ฯลฯ ล้วนอยู่ในมือของคนไทยเชื้อสายจีนทั้งสิ้น แต่เนื่องจากลูกหลานจีนในเมืองไทยมักจะเกิดจากมารดาเชื้อสายไทยหรือคนพื้นเมือง ส่วนลูกสาวจีนก็นิยมแต่งงานกับข้าราชการไทย ผสมปนเปกันไปจนกลายเป็นคนไทยในรุ่นที่ 3 แม้จะฟังภาษาแต้จิ๋วออกแต่ก็พูดไม่ได้หรือพูดได้ก็ไม่ชัด คนญวนหรือเวียดนามใน 6-7 จังหวัดทางภาคอีสาน อันได้แก่ หนองคาย อุดรธานี นครพนม มุกดาหาร สกลนคร อำนาจเจริญและอุบลราชธานี ก็มีลักษณะเดียวกันคือพยายามให้ตัวเองถูกกลืนเข้าไปในสังคมท้องถิ่น

ไม่เหมือนลูกหลานจีนในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย พม่า เวียดนาม กัมพูชา ซึ่งครั้งหนึ่งมีนโยบายกีดกั้นคนจีนและลูกหลานจีน จีนจึงยังคงเป็นจีนอยู่จนถึงปัจจุบัน ไม่สามารถกลืนลูกหลานจีนเข้าไปอยู่ในสังคมนั้นได้

อย่างไรก็ตาม บรรดานายทุนต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นจีนเก่าจีนใหม่ ญวนเก่าญวนใหม่ ต่างก็ถือตัวว่าเป็นชนชั้นนายทุนและพยายามเปลี่ยนฐานะของตนเป็นชนชั้นปกครองผ่านทางการศึกษาและระบบราชการ หรือเปลี่ยนจากแซ่เป็นนามสกุล โดยเป็นภาษาบาลีสันสกฤตแต่ยาวหลายพยางค์ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

สําหรับชนชั้นกรรมกรชาวนาก็มีค่านิยมที่จะเปลี่ยนฐานะของรุ่นลูกรุ่นหลาน ให้สามารถเปลี่ยนจากการสังกัดชนชั้นกรรมการชาวนาผ่านทางการศึกษา ให้เป็นไปตามคำอวยพรที่นิยมกล่าวกันว่า “ขอให้เป็นเจ้าคนนายคน” ซึ่งก็หมายถึงเปลี่ยนฐานะชนชั้น แต่ก็ทำได้ยากลำบากเพราะการเข้าถึงระบบการศึกษาของรัฐ ต้องมีพื้นฐานการศึกษา จากชั้นประถมศึกษาจนถึงชั้นมัธยมศึกษา ซึ่งก็เสียเปรียบลูกหลานของคนในเมืองอยู่แล้ว ยิ่งถ้าสามารถสอบได้เข้าเรียนสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาในกรุงเทพฯและจังหวัดใหญ่ในภูมิภาค เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา แม้จะทำได้ก็ต้องมีความสามารถพิเศษและน้อยคนจะทำได้ จะทำได้ก็เพียงสามารถสอบเข้าในมหาวิทยาลัยราชภัฏ ซึ่งเดิมเป็นวิทยาลัยครู แต่ก็ยังดีกว่าเมื่อก่อนที่เข้าศึกษาได้แต่วิชาชีพครูเท่านั้น วิชาอื่นไม่มีการเรียนการสอน

ขบวนการต่อสู้ดิ้นรนระหว่างชนชั้นผู้ปกครองและนายทุนใหญ่และนายทุนขนาดกลางในต่างจังหวัดกับชนชั้นถูกปกครอง อันได้แก่ เหลาเกี้ย กรรมกร ชาวนา ถูกสะท้อนให้เห็นในขบวนการการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ สะท้อนความเป็นตัวแทนของชนชั้นปกครองของคนในเมืองกรุงเทพฯและภาคใต้ เพราะประชาชนภาคใต้ส่วนใหญ่มีฐานะดี แม้บางครั้งจะแพ้เลือกตั้งในกรุงเทพฯและภาคใต้บ้างบางโอกาส แต่ในระยะยาวก็จะชนะการเลือกตั้งในพื้นที่ดังกล่าว ด้วยเหตุผลทางชนชั้นสังคมและเป็นพันธมิตรกับทหาร ซึ่งมีบทบาททางการเมืองสูงและสังกัดชนชั้นสูงสำหรับประเทศไทย

เนื่องจากจำนวนประชากรที่สังกัดชนชั้นนี้มีน้อยกว่าชนชั้นล่าง พรรคประชาธิปัตย์จึงไม่เคยชนะการเลือกตั้งเลย ไม่ใช่เฉพาะเดี๋ยวนี้แต่เป็นมาตลอด ตั้งแต่ต่อสู้กับพรรคทหารอย่างจอมพล ป. พิบูลสงคราม จนกลายมาเป็นพรรคที่เป็นพันธมิตรกับทหาร ต่อสู้กับพรรคที่ได้รับความนิยมจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เช่นพรรคไทยรักไทยหรือพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน

เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีโอกาสชนะการเลือกตั้งเลย น่าจะเป็นเพราะมีภาพเป็นตัวแทนของชนชั้นสูงในเมือง จึงทำให้พรรคกลายเป็นพรรคการเมืองของภูมิภาค หรือเมื่อเป็นรัฐบาลหรือเข้าร่วมรัฐบาลก็ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน สนใจแต่ประดิษฐ์วาทกรรมแปลกๆ เอาไว้อภิปรายปราศรัยทำลายฝ่ายตรงข้าม ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเรื่อยมาตั้งแต่สมัยนายควง อภัยวงศ์ สมัย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายชวน หลีกภัย มาถึงยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ต่างก็ลอกแบบกันมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เล่นงานพรรคแนวรัฐธรรมนูญและพรรคสหชีพของนายปรีดี พนมยงค์ เรื่อยมา

ประชาธิปัตย์จึงกลายเป็นพรรคพันธมิตรของฝ่ายเผด็จการทหารในการต่อสู้กับฝ่ายประชาธิปไตยอย่างพรรคแนวรัฐธรรมนูญและพรรคสหชีพของนายปรีดี พนมยงค์ คอยสนับสนุนจอมพลผิน ชุณหะวัณ ในการทำรัฐประหารให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้กลับคืนสู่อำนาจ แต่จอมพล ป. เกรงว่าประเทศฝ่ายพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 จะไม่ยอมรับ จึงขอให้นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรีขัดจังหวะ อยู่คั่นเวลาให้กับคณะทหารที่ทำปฏิวัติก่อนที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม จะกลับมาจากการไปเลี้ยงไก่อยู่ที่อำเภอลำลูกกา

นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็ยอมเป็นนายกรัฐมนตรีให้คณะปฏิวัติในเดือนมกราคม 2490 และถูกจอมพล ป. จี้ออกจากตำแหน่งในเดือนเมษายนในปีเดียวกัน

ประวัติของพรรคประชาธิปัตย์จึงเป็นพรรคพันธมิตรของฝ่ายเผด็จการทหารและต่อต้านฝ่ายประชาธิปไตยมาโดยตลอด

ที่อยู่มาได้ดี ไม่เคยถูกยุบพรรคเหมือนพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยอื่นๆ ก็เพราะเป็นฝ่ายสนับสนุนเผด็จการทหารมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะยุคไหนก็ไม่เคยชนะการเลือกตั้งเลยเป็นเวลาเกือบ 20 ปีแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม เคยพูดดูถูกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นายควง อภัยวงศ์ อย่างเปิดเผยว่าเป็น “จำอวดการเมือง” ทั้งๆ ที่เป็นสมาชิกคณะราษฎรมาด้วยกัน

ส่วนพรรคที่หาเสียงและได้รับการสนับสนุนจากประชาชนระดับรากหญ้า ซึ่งแปลมาจากคำภาษาฝรั่งว่า grass root เพราะเป็นรากฝอยเล็กๆ
ขึ้นทั่วไป แต่เมื่อ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ทำรัฐประหาร ดัดจริตเรียกเสียใหม่เป็น “ฐานราก” ซึ่งไม่รู้แปลว่าอะไร รังเกียจที่จะใช้คำเดิมเพียงเพราะว่าพรรคไทยรักไทยใช้คำนี้ ซึ่งแปลกลับไปเป็นภาษาฝรั่งว่า “root base” ฝรั่งฟังแล้วก็คงจะงง ไม่รู้หมายถึงใครหรืออะไรที่ไหน

ประชาชนระดับรากหญ้าหรือ grass root น่าจะหมายถึงคนที่สังกัดชนชั้นล่าง ซึ่งเป็นกรรมการ ชาวนา พ่อค้าแม่ขายขนาดเล็กที่ได้รับการดูถูกดูหมิ่นจากชนชั้นสูงว่าโง่เขลา ถึงกับกล่าวว่าชนชั้นนี้ไม่ควรมีสิทธิมีเสียงทางการเมือง ไม่เคยเสียภาษี ชนชั้นตนเท่านั้นที่เป็นผู้เสียภาษี ทั้งๆ ที่ภาษีที่วงศ์ตระกูลของตนเสียคือภาษีสรรพสามิตกับภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีทางอ้อม ตนผลักภาระภาษีให้กับผู้บริโภค ซึ่งเป็นชนชั้นกลางที่ถูกมอมเมาด้วยเหล้าและเบียร์ที่ครอบครัวของตนผลิตนั้นเอง

เราจึงไม่ควรแปลกใจว่าการพัฒนาประชาธิปไตยที่มั่นคง การพัฒนาพรรคการเมืองให้มั่นคงแข็งแรง จึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง จะถูกขัดขวางจากชนชั้นนี้ที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวแทน มีกองทัพเป็นพันธมิตร แต่มักจะท่องบ่นอยู่เสมอว่าตน “เชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา” แม้ในความเป็นจริงแล้ว

พวกตนสนับสนุนระบอบเผด็จการทหารมาโดยตลอด


‘ปิยบุตร’ อภิปรายแผนปฏิรูปประเทศเป็นการปฏิรูปที่ไม่เห็นหัวประชาชน เป็นการอภิปรายที่ดีมาก อย่าพลาด !





‘ปิยบุตร’ อภิปรายแผนปฏิรูปประเทศเป็นการปฏิรูปที่ไม่เห็นหัวประชาชน

พรรคอนาคตใหม่ - Future Forward Party
Published on Jun 27, 2019


[ กองทัพ - ศาล - คสช. ควรต้องถูกปฏิรูปที่สุด ชี้แผนปฏิรูปประเทศปัจจุบัน ทำให้เกิด ซุปเปอร์รัฐบาล - สร้างอุตสาหกรรมปฏิรูป - ส.ว. อยู่เหนือ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้ง ] 

ปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ 

อภิปรายรายงานผลการดำเนินการตามแผนปฏิรูปประเทศตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 ที่ให้ ครม. แจ้งความคืบหน้าการปฏิรูปประเทศให้สภาผู้แทนราษฎรรับทราบทุก 3 เดือน 

ระบุว่า 3 หน่วยงานหลักๆ ที่ไม่ถูกพูดถึงในการปฏิรูปทั้งๆ ที่ผ่านมาทั้ง 3 หน่วยงานนี้ ถูกตั้งคำถามอย่างมากจากประชาชนและสื่อมวลชน คือ 1.กองทัพ ที่ออกมาทำรัฐประหารบ่อยครั้ง เราต้องปฏิรูปว่าทำอย่างไรให้กองทัพสอดคล้องกับประชาธิปไตย เคารพหลักสิทธิมนุษยชน 2.ศาลถูกตั้งคำถามตลอด 13 ปีที่ผ่านมา 3. คสช. ซึ่งหัวหน้า คสช. นั้นเป็นบุคคลที่ควรถูกปฏิรูปที่สุด 

นอกจากนี้แผนการปฏิรูปเป็นน่าสังเกตอยู่ 3 ข้อ ดังนี้ 

1.ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าซุปเปอร์รัฐบาล ตามปกติคือมีการเลือกตั้ง ส.ส. เข้าไปตั้งรัฐบาล มีสภาพัฒน์ไว้ร่วมกันเข้าไปหารือเรื่องการปฏิรูป แต่ปัจจุบันมีการปฏิรูปในระบบพิเศษ คือเมื่อการรัฐประหารเกิดขึ้น มีการอ้างการปฏิรูป ในการปฏิรูปก็มีการตั้งคณะกรรมการปฏิรูป แล้วก็จะเกิดระบบรัฐซ้อนกัน เรียกว่า รัฐซ้อนรัฐ (Dual State/Deep State) รัฐหนึ่งคือรัฐปกติที่มาจากเสียงพี่น้องประชาชน แต่มีอำนาจน้อยมากเมื่อเทียบกับรัฐที่เกิดขึ้นมาโดยคณะรัฐประหาร เป็นกระบวนการ militarization of the state คือแปลงรัฐปกติให้เป็นรัฐทหารมากขึ้น มีหัวหน้าคณะรัฐประหาร และนายทหารจำนวนมากนั่งในตำแหน่งดังกล่าว พวกเขาเหล่านี้ก็มากำกับรัฐบาลจากการเลือกตั้ง 

2. สร้างอุตสาหกรรมการปฏิรูป โดยหลังจากมีการรัฐประหารเกิดขึ้น จะมีการตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งขึ้นมา มีการตั้งหน่วยงาน มีการประชุม มีการจ่ายเงินเดือน จ่ายเบี้ยประชุมต่างๆ ทำรายงานออกมาปึกๆ ซึ่งจะวนเวียนอยู่อย่างนี้ โดยได้ผลลัพธ์ของการปฏิรูปคือกองกระดาษโตๆ และมีคนเดิมๆ ที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาในอุตสาหกรรมการปฏิรูป 

3. ทำให้วุฒิสภามีอำนาจขึ้นมาขี่คออยู่เหนือสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 บอกว่าคณะรัฐมนตรีต้องมีการรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนปฏิรูปประเทศต่อสภาผู้แทนราษฎรทุกๆ 3 เดือน ส.ส. ทำได้เพียงนั่งและอภิปรายแบบนี้ 3 เดือนต่อมาค่อยมาพบกันใหม่ แต่วุฒิสภา (ส.ว.) กลับมีอำนาจติดตามเสนอแนะและเร่งรัด ที่สำคัญคือเวลาที่มีการออกกฎหมายปฏิรูปก็ใช้กระบวนการนิติบัญญัติแบบพิเศษ คือใช้ที่ประชุมร่วมกันของ 2 สภา ปกติเริ่มสภาผู้แทนราษฎรแล้วไปที่วุฒิสภา ส.ว. ทำได้เพียงถ่วงดุลเล็กๆ น้อยๆ สุดท้ายอำนาจอยู่ที่ส.ส. นี่คือการริดรอนอำนาจ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนอย่างชัดเจน รวมถึงหาก ส.ว. เกิดมีข้อสงสัยว่าเป็นกฎหมายปฏิรูปใช่หรือไม่ ก็สามารถเข้าชื่อประธานร้องต่อสภา ให้ตั้งกรรมาธิการพิจารณาร่วมกัน โดยที่ประธานกรรรมาธิการชุดนั้นคือประธานวุฒิสภา นี่คือตัวอย่างที่ ส.ว. เข้ามาครอบงำ ส.ส. มากขึ้นเรื่อยๆ 

“ทุกวันนี้ ส.ส. กำลังถูกลิดรอนอำนาจ เราถูกดูถูก ถูกกล่าวหาตลอดเวลาว่าไม่ดี จนทำให้เกิดการยึดอำนาจโดยอ้างว่าต้องเข้ามาปฏิรูปประเทศ ผมอยากบอกกับ ส.ส.ทุกท่านว่า นักการเมืองจากการเลือกตั้ง เรามาจากการเลือกตั้งของประชาชน ต้องผนึกกำลังป้องกันไม่ให้องค์กรแปลกปลอมเข้ามา มิใช่ คอยเปิดประตูให้เขาเข้ามาแทรกแซงอยู่เรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดาย เช่น การที่ไม่มีการบรรจุญัติตรวจสอบที่มา ส.ว.ในการพิจารณา” 

“ผมอยากเชิญชวน ส.ส.ทุกท่าน เราเป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐเพียงองค์กรเดียวที่มาจากการเลือกตั้ง ใช้อำนาจแทนประชาชน นี่คือความศักดิ์สิทธิ์ จึงต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเราสามารถปฏิรูปได้ในระบบปกติ ไม่ต้องใช้ระบบพิเศษ ไม่ต้องเปิดประตูเชิญคณะรัฐประหารเข้ามาปฏิรูป เราแข่งขันกันในระบบปกติ รณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ได้เสียงข้างมากมาเป็นรัฐบาล เสียงข้างน้อยเป็นฝ่ายค้าน มีรัฐบาลเข้าบริหารประเทศ ฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบ นี่คือการปฏิรูปในระบบปกติ เราต้องปฏิรูปโดยใช้แรงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากประชาชน ไม่จำเป็นต้องอาศัยทหาร ไม่จำเป็นต้องอาศัย ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้ง”

"Do you hear the people sing?" Protesters in Hong Kong sang this song last night. Are you watching, Thailand?




https://www.facebook.com/zenjournalist/videos/10156920132266154/
.

Hong Kong protesters chant 'Do you hear the people sing?'

...



Do you hear the people sing? - Les Miserables - High res, w/ lyrics
..

ร้องเพลง Do You Hear the People Sing? (ฉบับแปลภาษาไทย) ในงาน "75 ปีที่ผ่านและวันข้างหน้าของนิธิ เอียวศรีวงศ์" เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2558



prachatai
Published on May 23, 2015

แปลกนิ กรณี ส.ส. - ส.ว. ถือหุ้นสื่อ มีคำร้องส่งถึง กกต.เกือบ 100 เผย พิจารณาแล้วเสร็จคนเดียวคือ “ธนาธร”






Overview - เชือดธนาธร : แผนร้ายที่ไม่เคยเปลี่ยนของผู้มีอำนาจ
VOICE TV 21
Published on Jun 27, 2019

สถิติประเทศพอเพียง คน 1% ของประเทศ ถือครองทรัพย์สินกว่า 66.9% หมายความว่าคน 1% นี้ ถือครองทรัพย์สินมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ





3@LL.III.‏ @wor215 hours ago

ประเทศกำลัง ด้อยพัฒนา... หมดอนาคต..?? พรรคครูไทยเพื่อประชาชน เสนอให้รัฐบาลจัดทำ 'บัตรคนดี ปลดหนี้ประชาชน' ใครทำความดี ก็สะสมแต้ม ไปแลกเป็นเงินไปปลดหนี้สิน


ธปท.หั่นศก.ไทยโต 3.3% ส่งออกวูบหนักโต 0% "เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวชะลอได้อีก... การส่งออกมีโอกาสขยายตัวติดลบได้"





ธปท.หั่นศก.ไทยโต3.3%ส่งออกวูบหนักโต0%


26 มิ.ย. 2562
โพสต์ทูเดย์


ธปท.คาดเศรษฐกิจไทยทรุดได้อีก เนื่องจากผลกระทบสงครามการค้า ค่าเงินบาทแข็ง ทำส่งออกวูบหนัก และงบประมาณปี 2563 ล่าช้า


นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และในฐานะ เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า กนง. ปรับลดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้เหลือ 3.3% จากเดิมคาด 3.8% ด้านปี 2563 ปรับลดลงเหลือ 3.7% จากเดิม 3.9% ขณะที่ส่งออกปรับลดลงเหลือโต 0% จากเดิม 3% ขณะที่ปี 2563 ปรับเพิ่มขึ้นโต 4.3% จากเดิม 4.1%





ทั้งนี้ การส่งออกขยายตัวชะลอลงกว่าที่ประเมินจากผลกระทบสงครามการค้า ด้านการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง แต่ยังได้รับแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงรายได้และการจ้างงานที่มีสัญญาณชะลอลงในภาคการผลิตเพื่อส่งออก

สำหรับการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง ด้านการใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ จากการใช้พ.ร.บ.งบประมาณ 2563 ได้ต้นปีหน้า 2563 จากเดิมที่ต้องเริ่มในวันที่ 1 ต.ค. 2563

ด้านค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน จึงต้องติดตามใกล้ชิด ซึ่งธปท.จะมีการบริหารจัดการที่เข้มข้นมากขึ้น ส่วนมาตรการที่จะออกมาดูแลนั้น ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาและนำมาใช้เมื่อมีความจำเป็น

นายทิตนันทิ์ กล่าวว่า กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ต่อปี เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ การดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายจะและเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้น

"เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวชะลอได้อีก จากเศรษฐกิจโลกกระทบการส่งออกทำให้มีโอกาสขยายตัวติดลบได้" นายทิตนันทิ์ กล่าว

Financial Times สื่อยักษ์อังกฤษวิเคราะห์ว่าไทยเป็น’คนป่วยแห่งเอเชียตะวันตกเฉียงใต้’




วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 27, 2562

มาตรฐาน 'เดี่ยว' ศาลรัฐธรรมนูญคดีหุ้นสื่อ ต่างจากมาตรฐานศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง

สภาเปิดเต็มพิกัดแล้ว ให้สมาชิกอภิปรายกันอึกทึก แต่ล้วนเป็นพรรคฝ่ายค้านทั้งนั้น พรรค ว่าที่รัฐบาลประชารัฐโหรงเหรง กระทั่งพรรคร่วมฯ ยังทำเหนียม จนโดน ส.ส.เพื่อไทยเหน็บว่าพวกเขารอ ม.๔๔ หมดก่อน

คสช.ยืนหยัดรัฐบาล ๑ ไม่ยอมไปต่อ ๒ (แพลมๆ ว่าให้รอกลางกรกฎา) ช่วงนี้ยังคงกระตุกใบไม่ยั้ง มันมือรายการถลุงงบประมาณ ไหนจะแจกบัตรสวัสดิการงวด ๓ ตามด้วยอัดงบฯ เพิ่มโครงการบ้านมั่นคงอีก ๖ พันกว่าล้าน


กระทู้ต่างๆ บานเบอะที่ฝ่ายค้านขออภิปรายไม่มีคนตอบ อย่างเรื่อง “การก่อสร้างถนนสาย ๒๒๖ เรื่องมาตรการการแก้ปัญหาข้าราชการครู และเรื่องการขุดลอกอ่างเก็บน้ำบ้านเกาะแก้ว” ทั้งสามกระทู้ของครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย

ซ้ำทั่นประธานฯ ชวน หลีกภัย แก้ตัวแทนรัฐมนตรีที่ขอเลื่อนตอบกระทู้ ครูมานิตย์ก็เลยต้องบ่น “ทั่นประธานฯ ครับ “ตั้งแต่ทำหน้าที่เป็นผู้แทนฯ มา ไม่เคยสับสนเท่ายุคนี้ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ในรัฐบาลไหน ใครเป็นนายกฯกันแน่”

 
ทั่นประธานฯ ก็อ้างสิทธิพิเศษ คสช.ในบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๖๔ ต้องรอจนกว่าเขาจะมาเอง จน จาตุรนต์ ฉายแสง ตั้งข้อสังเกตุ “ความจริงคงไม่ได้ติดภารกิจสำคัญอะไรหรอก ครม.ชุดนี้เขาไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภานี้ไว้ เขาไม่มีความรับผิดอะไรต่อสภานี้ เขาจึงไม่มา มาก็จะตอบคำถามยากๆ ไม่ได้”

ทว่า เพื่อไทย บอกไม่รอละ “การประชุมสภาในสัปดาห์นี้ มีการบรรจุญัตติด่วนเรื่องปัญหาพืชผลการเกษตรราคาตกต่ำ...แม้จะยังไม่มีรัฐบาลใหม่และรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ แต่ความทุกข์ยากของพี่น้องเป็นเรื่องที่รอไม่ได้” (ตามแถลงการณ์ของพรรคจากโพสต์ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ)

ส่วนพรรคอนาคตใหม่ไปก่อนแล้ว รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พร้อมกับอีกสาม ส.ส.ประกาศ “เสนอญัตติด่วนขอตั้งกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบการใช้อำนาจ คสช.” พาดพิงถึงหัวหน้า คสช.ว่ายังคงใช้อำนาจมาตรา ๔๔ ไม่หยุดหย่อน

เหตุนั้น “พรรคร่วมฝ่ายค้านจึงมีความประสงค์อยากตั้งกรรรมาธิการเพื่อวินิจฉัยผลกระทบดังกล่าว” เอากันตั้งแต่รัฐประหาร มิถุนายน ๒๕๕๗ มาเลย ว่ามีการข่มขู่คุกคามเกิดขึ้นต่อเนื่อง ยกตัวอย่างกรณี เอกชัย หงส์กังวาน และ จ่านิว สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ถูกทำร้ายร้างกาย

ส.ส.อนาคตใหม่อีกคน ปิยบุตร แสงกนกกุล อภิปรายในวาระถึงเรื่องการตั้งงบประมาณให้เบี้ยประชุมผู้พิพากษา ว่าเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณมากเกินไป ในการประชุมแต่ละครั้งของคณะผู้พิพากษา “ประธานได้ ๑ หมื่นบาท องค์ประชุมได้ ๖-๘ พันลดหลั่นกันไป”

เขาอ้างว่าเมื่อต้นปี ๒๕๖๑ มีการประชุมวิปรัฐบาลในเรื่องนี้โดยให้เจ้าหน้าที่สำนักงบประมาณไปชี้แจง สำนักงบฯ ไม่เห็นด้วยว่าเป็นการสิ้นเปลืองมากเกินไป อีกราว ๒๐๗ ล้านบาทต่อปี ซ้ำซ้อนกับที่ผู้พิพากษาได้รับเงินเดือนสูงเป็นแสนๆ กันอยู่แล้ว

“ยิ่งกว่านั้นมันเกิดความไม่เสมอภาคกับส่วนราชการต่างๆ” แม้กระทั่งตัวเลข ๑ หมื่นนี่เท่ากับครึ่งหนึ่งของเงินเดือนของคนจำนวนมาก เช่น พนักงานบริษัทได้แค่เดือน ๑ หมื่นถึง ๒ หมื่นบาท ไม่นับว่าพวกผู้พิพากษามีเงินเดือน “แสนกว่าบาท พร้อมสวัสดิการ พร้อมรถประจำตำแหน่ง เพียงพอแล้ว”


นอกจากนี้ปิยบุตรยังได้แถลงถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องของกลุ่ม ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ๖๖ คน ที่ส่งผ่านประธานรัฐสภา กรณีมี ส.ส.พรรคต่างๆ ๔๑ คนถือหุ้นสื่อ ขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๑๐๑(๖) ประกอบมาตรา ๙๘(๓) หรือไม่

ศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณา ๓๒ ราย และปล่อย ๙ ราย มีคนเด่นๆ ที่รอด เช่น กรณ์ จาติกวนิช และ ปารีณา ไกรคุปต์ ด้วยเหตุว่าในหนังสือบริคณห์สนธิ (แบบ บอจ.) ระบุเป็นการจัดพิมพ์หนังสือแบบเรียน ไม่เข้าข่าย สื่อโดย ๓๒ รายที่ศาลรับพิจารณาไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่เหมือนกรณีของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

ปิยบุตรชี้ให้เห็นถึงประกาศข่าวของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ มี อนึ่งวรรคสุดท้ายพาดพิงถึงความต่างกับคดีของธนาธรว่า ที่ไม่สั่งพักงาน ๓๒ ส.ส.เพราะในคำร้องไม่ได้มีแบบ สสช.๑ และแบบนำส่งงบการเงินของบริษัทแนบไปด้วย จึงยังไม่อาจชี้ชัดว่าผู้ถูกร้องผิดจริง

แต่กับคดีของธนาธร ได้ผ่านการไต่สวนของ กกต.แล้ว พร้อมด้วยแบบแสดงกิจกรรมการเงิน ทำให้สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที ปิยบุตรชี้อีกว่านี่เป็นมาตรฐานที่ศาลรัฐธรรมนูญ (เพิ่ง) กำหนด (โดยปริยาย) ว่าการยื่นร้องเรียนเรื่องนี้ต้องผ่าน กกต.ก่อน

อันต่างจากมาตรฐานที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งได้ใช้ตัดสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งของสองผู้สมัครก่อนหน้านี้ (คดี ภูเบศวร์ เห็นหลอด และ คมสัน ศรีวนิช) ซึ่งพิพากษาจากเจตนาหรือวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิ


นั่นละ คงจะเป็นการลุ้นเรื่องมาตรฐานศาลรัฐธรรมนูญว่าเชื่อมือได้ไหม จะไม่สั่งให้ ส.ส.ที่ถูกร้องว่าถือหุ้นสื่อหยุดปฏิบัติหน้าที่ พรรค คสช.จึงได้โหรงเหรงไม่ยอมไปสภากัน วันนี้รู้แล้วว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ยั่นใดๆ ใช้มาตรฐานเดี่ยวของตนเอง กลางเดือนหน้าคงได้เห็นพลังประชารัฐคึกคัก