วันเสาร์, กันยายน 15, 2561

คุ้มดีหรือว่าคุ้มร้าย เศรษฐกิจไทยสมัย ‘I-5-Tube’ แกว่งแท่งดิลโด้

สถานะเศรษฐกิจช่วงเปลี่ยนผ่านจากยุค คสช. แย่งอำนาจมา กับยุค คสช.จัดเลือกตั้งนี่คุ้มดีคุ้มร้าย chips หายเลยนะ

คุ้มดี จากปาก ม.หอการค้า บอกว่า “เศรษฐกิจไทยเติบโตเกินคาด” แน่ะ อ้างความเชื่อมั่นผู้บริโภคถีบตัวสูงสุดในรอบ ๖๔ เดือน นับแต่พฤษภา ๕๖ เป็นต้นมา

เช่นนี้ อ่านเอาเรื่องระหว่างบรรทัดได้ความว่า ตลอด ๕ ปี ๔ เดือนที่ผ่านมาห่วยแตกตลอด แถมในช่วง ๓ เดือนที่แล้วก็ “ปรับตัวลงชั่วคราว” เสียอีก
 
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจของ ม.หอการค้า ออกมาแถลงว่าข่าวดีทั้งนั้น “การส่งออกและการท่องเที่ยวของไทยยังขยายตัวดีต่อเนื่อง...ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการเริ่มปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะข้าวเปลือก อ้อย และข้าวโพด”

ส่งผลให้รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น มิหนำซ้ำการจับจ่ายและการลงทุนก็มากขึ้นตามไปด้วย โดยมีตัวเลขเดียวที่ทั่น ผอ. ใช้อ้าง “เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเด่นชัดขึ้น หนุนให้เศรษฐกิจไทยตลอดทั้งปีนี้ ขยายตัวได้เฉลี่ย ๔.% มากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโตที่ ๔.%

แต่แล้วมาลงเอยว่า “อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยลบในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๖๑ ที่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด” เขาอ้างความเสี่ยงต่างๆ ทั้งเรื่องดอกเบี้ย ค่าเงิน และสถานการณ์น้ำท่วม


รวมความแล้วเห็นท่าอาจจะไม่ดีจริงเหมือนอย่างน้ำเสียงบ่ง ของจริงต้องนี่ นางมิ่งขวัญ พุกเปี่ยม ประธานชมรมโรงสีข้าว จ.พิจิตร ออกมาปรารภว่าเกิดเหตุอาเพชอะไรหรือเปล่า สมัยก่อนชมรมมีโรงสีเป็นสมาชิกอยู่ถึง ๓๔ โรง

พอเข้าปี ๖๑ สมาชิกลดลงไปเหลือ ๒๙ โรง ก็ยังแค่ใจรุมๆ แต่ตอนนี้มีแค่ ๘ โรงเท่านั้น มันน่าใจหาย “ทุกวันนี้โรงสีที่หยุดกิจการก็มีการบอกเลิกจ้างคนงานจะเหลือคนงานไว้ในโรงสีก็แค่เพียงไม่กี่คน”

นางมิ่งขวัญเล่าแจ้งถึงสถานะการค้าข้าวด้วยว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎา ราคาข้าวแห้งความชื้น ๑๕% อยุ่ที่ตันละ ๗,๕๐๐ บาท “จากวันนั้นถึงวันนี้ราคาข้าวมีแต่ทรงกับทรุด สีข้าวเปลือกเป็นข้าวสารขายก็มีแต่ขาดทุน จึงเป็นเหตุให้โรงสีหลายแห่งหยุดแปรรูปและหยุดรับซื้อข้าวจากชาวนา”

ทางด้านนายวิรัตน์ ลิ่มทองสมใจ กรรมการผู้จัดการบริษัทโรงสีสิงโตทองไรซ์อินเตอร์เทรด ซึ่งแม้จะเป็นโรงสีขนาดใหญ่ ผลิตได้วันละ ๒ พันตัน ก็ยังต้องออกมาประกาศขอหยุดรับซื้อข้าวจากชาวนาชั่วคราว เพราะตอนนี้มีข้าวเปลือกค้างสต็อตอยู่ ๓ หมื่นตัน ขายไม่ออก เก็บยาวมาสามเดือนแล้ว

ราคาข้าวที่รับซื้อมาเมื่อสามเดือนที่แล้ว ข้าวสดตันละ ๖,๖๐๐ บาท ข้าวแห้ง ๗,๘๐๐ บาท ตอนนี้ข้างสดราคาตันละ ๖,๔๐๐ บาท ข้าวแห้ง ๗,๕๐๐ บาท เท่ากับขาดทุนแหงๆ ตันละ ๒๐๐-๓๐๐ บาท
 
เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเป็นห่วงโซ่ธุรกิจของวงการค้าข้าวที่อาจต้องมีผลกระทบมาถึงชาวนาไม่มากก็น้อย เพราะว่าปลูกข้าวแล้วไม่มีผู้รับซื้อ” นายวิรัตน์เปรยพร้อมทั้งรำพึง “เหตุการณ์จะเป็นเช่นไรต่อไป” ก็ไม่รู้ได้


อ๋อ ไม่เป็นไร เดี๋ยวนั่งดูทีม เอบีเค๔๘ทั้งร้องทั้งเต้นจุ๋มจิ๋มน่ารัก ยิ้มย่องผ่องใส มือกำแท่ง ดิลโด้ (คำของ ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์) เรืองแสง แกว่งไปแกว่งมา สบายอารมณ์ เพราะรู้แก่ใจประเดี๋ยวได้รวยอีกแล้ว

เนื่องจากนายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง เพิ่งเปิดเผยถึงแผนการระดมทุนของรัฐบาล คสช. ในวงเงินถึง ๑.๑๖ ล้านล้านบาท ส่วนจะระดมอย่างไรนั้นลองฟังเขาดู

ปรากฏว่าการระดมทุนนี่ก็คือการ กู้ นั่นเอง โดยแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นการ กู้ใหม่หรือจะเรียกว่ากู้สด กู้เพิ่มก็ได้ ส่วนนี้จำนวน ๕.๙๒ แสนล้านบาท อันเป็นการกู้มาเพื่อชดเชยการขาดดุลเสีย ๔.๕ แสนล้านบาท

ที่เหลือ ๙.๒๓ หมื่นล้านบาทนั่นกู้มาให้รัฐวิสาหกิจกู้ต่อ (ใครบางคนคิดได้ทันที อ้อ การบินไทยฟันธงแล้วต้องซื้อเครื่องบินใหม่ ๒๓ ลำ มาแก้ปัญหาขาดทุนสะสมหลายปี)

สำหรับการกู้ส่วนที่สองนั่น เป็นการกู้เพื่อมาปรับโครงสร้างหนี้เดิม จำนวน ๕.๗๑ แสนล้านบาท จะเรียกว่า กู้อีจู้ ก็โอเค ส่วนหนึ่งเอาไปใช้ “เพื่อชดเชยขาดดุลงบประมาณ ๓.๔๖ แสนล้านบาท” กับ “เพื่อชดใช้ความเสียหายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือ เอฟไอดีเอฟ ๑.๖๗ แสนล้านบาท”


เห็นหรือยังว่าอันที่จริง สถานะเศรษฐกิจและการเงินรัฐบาลไทยสมัย ‘I-5-Tube’ นี้ คุ้มร้าย มากกว่า คุ้มดี แต่ที่ยังนั่งยิ้มกริ่มแกว่งแท่งเรืองแสงอยู่ได้ เพราะนโยบาย ระดมทุนชั้นวิเศษ ไม่คุ้มดีไม่คุ้มร้าย แต่ คุ้มกบาล คสช. ได้ดีเชียวละ