ดูจากประโยคนี้ในข้อเขียนที่ ทักษิณ ชินวัตร นำลงในหน้าเฟชบุ๊ค 'Thaksin Shinawatra' ในโอกาสครบรอบวันที่เขาถูกทหารยึดอำนาจ จะตีความว่าอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งตะลอนไปตามประเทศต่างๆ กว่าสิบปีหลังจากที่ถูกรัฐประหารเมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ และดูเหมือนจะแข็งแรงและร่ำรวยมากกว่าเดิม
ได้ประกาศตนเพื่อรุกทางการเมือง อุปมาอุปมัยดั่งกลยุทธ์ในการศึกหรือไม่
"แล้ววันนี้เราช้ำกันพอแล้วหรือยัง ประเทศช้ำพอแล้วหรือยัง รอยยิ้มของไทยที่เรียกว่ายิ้มสยามหายไปไหนหมด แล้วเราจะอยู่กันแบบนี้ ในขณะที่โลกเขากำลังเอาสมองไปคิดค้นสิ่งใหม่ นำความเจริญให้ประเทศเขาแต่เรากำลังล้าหลังในทุกๆ ด้าน" เป็นทั้งข้อคิดและข้อเสนอระลอกใหม่ของเขาใช่ไหม
สำรวจตรวจสอบและพิจารณากันได้ที่ https://www.facebook.com/thaksinofficial/photos/a.133931153458111/941996225984929/?type=3&theater
เนื้อความเต็ม ดังนี้
6 hrs ·
12 ปี จาก 19 กันยายน 2549
ถึง 19 กันยายน 2561
วันนี้ผมอยากให้ทุกท่านลองวางใจให้เป็นกลาง
แล้วหลับตานึกว่าจากวันนั้นถึงวันนี้ ท่านคิดว่าประเทศไทยเจริญขึ้นแล้วหรือไม่
ไม่ว่าจะเป็นระบบการศึกษา ระบบราชการบริการประชาชน ยาเสพติด การสาธารณสุข
กระบวนการยุติธรรม เศรษฐกิจของท่านเองรวมถึงความสุขของท่านและคนรอบตัวท่าน
สุดท้ายคือศักดิ์ศรีประเทศและความภูมิใจของท่าน
เรามีการปฏิวัติ 2 ครั้งใน
12 ปี
ปฏิวัตินายกฯที่เป็นพี่น้องกันและได้รับความนิยมสูงสุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
แน่นอนมีคนได้ดีและร่ำรวยจากการปฏิวัติทั้ง 2 ครั้ง
แต่คนที่แย่ลงในหลายมิติมีมากกว่า และไม่สำคัญเท่ากับประเทศไทยที่เรารักถูกมองแย่ลงในสายตาคนทั้งโลก
เราถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะหันหน้ามาปรึกษาหารือกันเพื่อบ้านเมือง
หรือว่าเราจะตะแบงฟาดฟันกันฝ่ายเดียว ทั้งๆที่เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นที่ต่างกัน
ชอบไม่เหมือนกัน บางคนต้องถึงกับชีวิต บางคนเจ็บป่วย บางคนติดคุก
บางคนถูกกลั่นแกล้งทางธุรกิจ ทางอาชีพและตำแหน่งหน้าที่ราชการ จนอยากจะตะโกนแรงๆ
ว่าเราคนไทยด้วยกันไม่ใช่หรือ
แล้ววันนี้เราช้ำกันพอแล้วหรือยัง
ประเทศช้ำพอแล้วหรือยัง รอยยิ้มของไทยที่เรียกว่ายิ้มสยามหายไปไหนหมด
แล้วเราจะอยู่กันแบบนี้ ในขณะที่โลกเขากำลังเอาสมองไปคิดค้นสิ่งใหม่
นำความเจริญให้ประเทศเขาแต่เรากำลังล้าหลังในทุกๆด้าน ถ้าเราเปิดใจกว้าง
ไม่เป็นกบน้อยในกะลา เราจะรู้ว่าเราต้องปรับปรุงและพัฒนาอีกเยอะ
เทคโนโลยีที่ทั้งโลกกำลังใช้ประโยชน์มันกำลังจะไล่ล่าประเทศที่ปรับตัวไม่ทันและไม่คิดปรับตัว
ในโอกาสครบรอบ 12 ปีนี้ ผมขอเปิดอกว่าผมเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้นผมต้องสูญเสียความสุข ความอบอุ่นในครอบครัวผม ที่พ่อแม่ลูกเราอยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่นมาตลอด ต้องมาพรากจากกัน ผมเสียใจที่คนที่รักผม สนับสนุนผมถูกรังแก แต่คงไม่เสียใจเท่าประเทศที่ผมรัก แผ่นดินที่ผมเกิด และเติบโตมา ซึ่งครั้งหนึ่งได้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ต้องมาตกอยู่ในสภาวะแบบนี้ ถึงแม้ว่าผมมีอายุที่กำลังก้าวเข้าปีที่ 70 แล้ว แต่ผมเสียดายประสบการณ์ที่สั่งสมมาทั้งชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 12 ปีที่ออกมา ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ 12 ปี แล้วยังไม่ลืมผม ยังส่งผ่านความรักความปรารถนาดีมาถึงกันเสมอมา สุดท้ายนี้ผมขออโหสิกรรมให้กับทุกคนที่ให้ร้ายกลั่นแกล้งผมมา ณ ที่นี้ด้วย