วันอังคาร, ตุลาคม 07, 2568

กรณีรองนายกฯ ธรรมนัส พรหมเผ่า ให้ทนายของตนเป็นตัวแทนเบ็น สมิธ ฟ้องรังสิมันต์ โรม ๑๐๐ ล้าน มาวันนี้เหมือนกับ ‘Anti-Climax’

ชาวบ้านที่ตามข่าว รังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชนถูกฟ้องว่าอภิปรายเท็จ เรียกค่าเสียหายร้อยล้าน ตามมาสองสามวัน เอ๊ะวันนี้เหมือนกับ ‘Anti-Climax’ ซะแล้ว คนถูกฟ้องไม่เพียงบอกไม่เป็นไร “Bring it on.” ซ้ำถามย้อนอย่างนะจังงัง

กรณีรองนายกฯ ธรรมนัส พรหมเผ่า ให้ทนายซึ่งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีแจ้งสื่อว่าจะฟ้องรังสิมันต์ ๕๐ ล้าน ฐานพาดพิงตนกับ เบ็น สมิธ ที่ปรึกษาธุรกิจของสะเด็ดฮุนเซน บุพการีรัฐบาลกัมพูชา แล้วเปลี่ยนใจไม่ฟ้องเพราะ “หลักฐานบาง”

และเปลี่ยนเป็นให้ เบ็นจามิน มาวเอร์เบอร์เกอร์ ฟ้องเรียกร้อยล้านแทนนั้น รังสิมันต์นอกจากตอบข้อกล่าวหาของทนาย ธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ทุกช็อตแล้ว ยังพาดพิงไปถึงธรรมนัสเต็มเปาด้วย ว่าจุดยืนของเขาเองคือปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ของทั่นรองฯ น่ากังวล

“หลังจากที่ผมเปิดเรื่องนี้ ก็มีคนส่งข้อมูลมาเยอะ เมื่อวานเพิ่งได้ข้อมูลมา ๔๘ หน้า เกี่ยวกับที่ปรึกษาสมเด็จฮุนเซน และมีแถมมาว่าให้ไปถามข้อมูลจากร้อยเอกธรรมนัส เรื่องจีนเทา ท่านน่าจะมีข้อมูลเหล่านี้อยู่เยอะ รังสิมันต์เผยล่าสุดวันนี้ (๗ ตุลา)

แม้นว่าข้อกล่าวหาของทนายธนดลจะฟังแล้วน่าเกรงขาม ที่ว่ารังสิมันต์ไปเอาข้อมูลมาจากทอม ไร้ท์ ซึ่งไม่รู้เป็นความจริงหรือไม่ แต่พูดออกไปล้วทำให้ผู้อื่นเสียหาย ดังนั้นเขาได้รับมอบหมายจากนายเบ็น ให้ดำเนินคดีกับทอม ไร้ท์ ด้วย

อีกคนที่แจงเป็นลายลักษณ์อักษรบนทวิตเตอร์ (เอ็กซ์) ว่า “ที่อยากพูดก็คือ ความไม่ถูกต้องในข้อมูลที่ รังสิมันต์ โรม นำเสนอ ว่าบางข้อมูลก็ไม่ถูกต้อง และว่าร้ายใส่ความที่ไม่อยู่บนข้อเท็จจริง” ถือแถน @pran2844 นายแบกเพื่อไทยระบุตอนหนึ่ง

ทอม ไร้ท์ เองก็ลงข้อความภาษาไทยในบัญชีเอ็กซ์ว่ากำลังถูกรองนายกฯ ไทยขู่ฟ้อง และ “ขู่ใช้ระบบหมายแดงของตำรวจสากล...นี่ไม่ใช่แค่เรื่องบาดหมางทางการเมืองธรรมดา ๆ เราได้เปิดเผยภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นรองนายกฯ คนดังกล่าวอยู่กับเบนจามิน”

เขายังยืนกรานว่า นายมาวเออร์เบอร์เกอร์เป็น “อาชญากรหลบหนีคดี ซึ่งเครือข่ายของเขาถูกกล่าวหาว่าฟอกเงิน ให้กับศูนย์หลอกลวงที่สร้างความเสียหายให้กับเหยื่อชาวอเมริกัน หลายพันล้านดอลลาร์ในแต่ละปี...เดิมพันในครั้งนี้สูงมาก”

รังสิมันต์เองก็พาดพิงถึงนายจามิน โดยชี้เป้าให้ ปปง.ไปตรวจสอบเส้นทางการงิน สาวไปถึงภรรยาของเขาที่ชื่อ แคธรียา บีเวอร์ ว่าไปร่ำรวยมาจากไหน ซื้อหุ้นเต็มไปหมด เช่นบริษัทศรีตรัง อีกทั้งเบ็นจามินนี้เอง

ตอนที่ขอสัญชาติไทยนั้น มหาดไทยไม่เซ็นอนุมัติ แล้วยังส่งไปให้สันติบาลตรวจซ้ำ

(https://x.com/MorningNewsTV3/status/1975101695307997323, https://prachatai.com/journal/2025/10/114978 และ https://www.matichon.co.th/politics/news_5400693)

“ป้าอัญชัญ” อดีตผู้ต้องขัง #ม112 เจ้าของสถิติโทษจำคุกสูงสุด รับรางวัล ‘จารุพงษ์ ทองสินธุ์‘ งานรำลึก 49 ปี 6ตุลา19 - รู้หรือไม่ในประวัติศาสตร์เคยมีการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 มาแล้วหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519

https://www.facebook.com/watch/?v=1182419427274637
.....


iLaw 
8 hours ago
·
รู้หรือไม่ในประวัติศาสตร์เคยมีการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 มาแล้วหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
หากดูข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ จะเห็นว่า เคยมีการนิรโทษกรรมคดีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาก่อนแล้ว หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
ในเหตุการณ์ ฝ่ายความมั่นคงอ้างว่าในวันที่ 4 ตุลาคม 2519 นักศึกษาที่กำลังชุมนุมประท้วงการกลับมาของจอมพลถนอม กิตติขจร ได้จาบจ้วงสถาบันกษัตริย์โดยทำการเล่นละครแขวนคอซึ่งบุคคลที่เล่นละครมีใบหน้าคล้ายกับเจ้าฟ้าชายฯ หรือรัชกาลที่ 10 ในปัจจุบัน
ทั้งที่ละครนั้น ตั้งใจสื่อถึงเหตุการณ์ที่ได้มีการอุ้มฆ่าพนักงานการไฟฟ้าสองคน คือ วิชัย เกษศรีพงศ์ษา และชุมพร ทุมไมย ที่ไปติดป้ายประท้วงการกลับมาของจอมพลถนอม กิตติขจร ศพของทั้งสองถูกแขวนคอไว้ที่ประตู นักศึกษาจึงเอาเหตุการณ์นั้นมาฉายซ้ำให้เห็นว่ามีความรุนแรงเกิดขึ้นกับการใช้สิทธิเสรีภาพ
อภินันท์ บัวหภักดี หนึ่งในนักศึกษาผู้เล่นละครในเหตุการณ์นั้นให้สัมภาษณ์ประชาไทว่า เหตุการณ์นั้นถูกนำไปปลุกปั่นสร้างความเข้าใจผิดจนนำไปสู่การปิดล้อมและใช้อาวุธสงครามโจมตีนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 6 ตุลาม 2519 เขาและนักศึกษาจำนวนหนึ่งพยายามหลบหนีและไปพบหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมทย์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น แต่พลเอกสงัด ชะลออยู่ก็ได้รัฐประหารรัฐบาลเสนีย์ ทำให้จากการไปเข้าพบ ตนกลับถูกฝากขังแทน ในข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการ ฆ่าและพยายามฆ่า วางเพลิง เป็นคอมมิวนิสต์ เป็นกบฏ และที่สำคัญถูกดำเนินคดีในฐาน “หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
อภินันท์ถูกขังระหว่างพิจารณาคดีถึงสองปี ก่อนที่คดีของเขาทั้งหมดจะถูก “นิรโทษกรรม” ด้วยพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2519 พ.ศ. 2521 คำปรารภของกฎหมายฉบับนี้ ส่วนหนึ่งระบุว่า “รัฐบาลมีความแน่วแน่ที่จะให้เกิดความสามัคคีของชนในชาติ จึงเป็นการสมควรให้อภัยกากระทำดังกล่าวนั้น” ซึ่งมาตรา 3 ก็กำหนดให้บรรดาการกระทำทั้งสิ้นของทุกคนในเหตุการณ์ตั้งแต่ 4 – 6 ตุลาคม 2519 ไม่ว่าจะในหรือนอกธรรมศาสตร์ หากการกระทำเหล่านั้นผิดกฎหมาย ให้พ้นจากความผิดและความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง และยังกำหนดให้ศาลปล่อยตัวจำเลยที่อยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีด้วย และให้จำเลยพ้นความรับผิดตามกฎหมายดังกล่าว
กฎหมายฉบับนี้ นิรโทษกรรม “เหมาเข่ง” ทั้งหมด ผู้ที่กระทำความผิดฐานฆ่าหรือทำร้ายผู้ชุมนุม ก็ได้นิรโทษกรรมด้วย โดยมีบทบัญญัติเพียงหกมาตรา และไม่มีมาตราใดที่ระบุยกเว้นไม่นิรโทษกรรม มาตรา 112
แต่อย่างใด อภินันท์ได้รับการนิรโทษกรรมตามร่างกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งนอกจากเขาแล้วประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่ใช้ความรุนแรงต่อนักศึกษาในเหตุการณ์ก็ได้รับการนิรโทษกรรมด้วย
ข้อโต้แย้งที่บอกว่าในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยไม่เคยมีการนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ถูกดำเนินคดีในฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ ตามมาตรา 112 จึงไม่เป็นความจริง
นอกจากจะเคยมีการนิรโทษกรรมให้คดีมาตรา 112 ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 แล้วคณะรัฐประหารยังฉวยโอกาสแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา เพิ่มโทษจำคุกมาตรา 112 จากไม่เกินเจ็ดปี เป็นตั้งแต่สามถึง 15 ปี
 
อ่านทั้งหมดได้ที่ https://www.ilaw.or.th/articles/53196





เนื่องด้วยวาระ 6 ตุลา เวียนมาอีกครั้ง แชร์หนังทดลองของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี เรื่อง มนัส เศียรสิงห์


มนัส เศียรสิงห์

เดอะวิน สตูดิโอ

Oct 6, 2012

เนื่องด้วยวาระ 6 ตุลา เวียนมาอีกครั้ง ซึ่งปีนี้ครบรอบ 36 ปี จึงขอนำเสนอหนังทดลองของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี เรื่อง มนัส เศียรสิงห์ ที่ผมเป็นผู้ตัดต่อมาให้ชม และขอไว้อาลัยแด่วีรชนทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ 

หนังทดลอง โดย สุชาติ สวัสดิ์ศรี 
ART FILM By SUCHART SAWASDSRI 
สุชาติ สวัสดิ์ศรี เขียนบท ถ่ายภาพ กำกับการตัดต่อ 
นาวิน อินทร์ศร ลำดับภาพ 
โมน สวัสดิ์ศรี ผู้ช่วยเทคนิคตัดต่อ

https://www.youtube.com/watch?v=_cK8_5XmhMY



คนที่เจ้าฟ้าทีปังกรจูงมือเป็นใคร ⁉️


Ep.2คนที่เจ้าฟ้าทีปังกรจูงมือเป็นใคร ⁉️ สังเกตจากภาพ#เจ้าฟ้าของคนไทย

Royal News update

Jun 12, 2025

Ep.2คนที่เจ้าฟ้าทีปังกรจูงมือเป็นใคร ⁉️ สังเกตจากภาพ#เจ้าฟ้าของคนไทย

https://www.youtube.com/watch?v=uAHWuZQrljI



จะคิดยังไงกับสนธิก็ตาม แต่ข้อมูลเขาก็น่าสนใจมากกกกก


คุยทุกเรื่องกับสนธิ
October 4
·
ตราบาปยุคลุงตู่

https://www.facebook.com/watch/?v=3708011635997781
https://www.facebook.com/reel/3708011635997781


https://www.facebook.com/reel/1299473201372623


ชิคาโกโต้กลับทรัมป์



Mayor Brandon Johnson signs executive order declaring 'ICE-Free Zones' in Chicago

WGN News

Oct 6, 2025

A new executive order issued Monday by Chicago Mayor Brandon Johnson prohibits U.S. Immigration and Customs Enforcement (ICE) agents from operating on city-owned property. Johnson signed the "ICE-Free Zones" executive order during a morning news conference at the Westside Justice Center. It comes days after President Donald Trump authorized sending hundreds of National Guard troops to Chicago, a move that's prompted a legal challenge from Illinois Gov. JB Pritzker's administration. 


https://www.youtube.com/watch?v=3dUdkn1_8eo


State of Illinois and Chicago sue Trump administration over National Guard deployment

CBS News

Oct 6, 2025

Illinois Gov. JB Pritzker and Chicago Mayor Brandon Johnson announced on Monday a lawsuit against the Trump administration over plans to deploy the National Guard to Chicago. CBS News justice correspondent Scott MacFarlane breaks down the legal battle.

https://www.youtube.com/watch?v=FIXTiAO3pWo


เป็นปฎืบัติการที่ป่าเถื่่อน ถ่อย สถุลมาก สำหรับการทำหน้าที่ของ จนท. ICE ที่ไอ้ ทรัมป์ ตั้งมาเพื่อกวาดจับกุมอิมมิเกรนด์ ไม่ต่างอะไรกับ อันธพาล มาเฟีย - แชร์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับคนไทยในอเมริกา โดยเฉพาะในชิคาโก หากคุณเห็น ICE operation

https://www.facebook.com/watch/?v=787647540541067

Jom Petchpradab
15 hours ago
·
เป็นปฎืบัติการที่ป่าเถื่่อน ถ่อย สถุลมาก สำหรับการทำหน้าที่ของ จนท. ICE ที่ไอ้ ทรัมป์ ตั้งมาเพื่อกวาดจับกุมอิมมิเกรนด์ ไม่ต่างอะไรกับ อันธพาล มาเฟีย เพราะถ้ามีความซื่อตรงต่อการทำหน้าที่ เพื่อรักษาปกป้องประโยชน์ของสาธารณะอย่างแท้จริง ก็ควรที่จะแสดงตัว เปิดหน้าเปิดตาให้ได้เห็น รถที่ใช้ก็ควรมีสัญญลักษณ์ที่บ่งบอกสังกัดที่ชัดเจน ถ้าเป็นอย่างนี้อยู่ต่อไป เจ้าหน้าที่รัฐคนอื่น ๆ ก็จะพลอยหมดความน่าเชื่อถือ หมดความไว้วางใจไปด้วย แทนที่จะได้รับกำลังใจหรือคำขอบคุณที่ช่วยกันดูแล รักษา ช่วยเหลือประชาชน... น่าเศร้า และน่าสังเวช รวมทั้งน่าอับอายชาวโลกจริง ๆ กับสภาพสังคมอเมริกันที่แปรเปลี่ยนไปจาก ประเทศแห่งโอกาส กลายเป็นประเทศที่ปกคลุมไปด้วยความหวาดกลัว และวิตกกังวลในการดำเนินชีวิตไปเสียแล้ว
.....

แชร์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับคนไทยในอเมริกา โดยเฉพาะในชิคาโก หากคุณเห็น ICE operation 

.....
























ทำไมแม้ในรัฐที่เป็นประชาธิปไตย สังคมในรัฐดังกล่าวย่อมไม่อาจจะใช้กระบวนการออกเสียงของประชาชนในการตัดสินใจในทุกๆ เรื่องได้


Noppadon Sun Detsomboonrut 
Yesterday
·
แม้ในรัฐที่เป็นประชาธิปไตย สังคมในรัฐดังกล่าวย่อมไม่อาจจะใช้กระบวนการออกเสียงของประชาชนในการตัดสินใจในทุกๆ เรื่องได้
ชัดเจนว่า กระบวนการออกเสียงของประชาชนย่อมจะไม่นำมาใช้กับการตัดสินใจเกี่ยวกับข้อเท็จจริง (เช่น โลกนี้กลมหรือแบน)
เช่นกัน กระบวนการลงคะแนนเสียงของประชาชนก็จะไม่ควรนำมาใช้ในเรื่องที่ต้องอาศัยความรู้ทางเทคนิคหรือองค์ความรู้เฉพาะทางสูง เพราะกระบวนการตัดสินใจของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยเพื่อเคารพเจตนาของประชาชนไม่ได้มีเพียงแต่เงื่อนไขที่ว่าให้ประชาชนมีส่วนในการตัดสินใจเท่านั้น แต่การตัดสินใจนั้นจะต้องเป็นไปอย่างอิสระ (free) และ บนพื้นฐานของข้อมูลที่พอเพียง (informed) (ซึ่งในแง่หนึ่งคือต้องเข้าใจผล(ที่เป็นไปได้)ของการตัดสินใจ (และหากจะให้ดีไปกว่านั้นคือรัฐต้องส่งเสริมให้ประชาชนจะต้องมีการใช้เสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความเห็นเพื่อก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนถกเถียงบนฐานของข้อมูลและเหตุผลอันจะเอื้อให้มนุษย์เข้าถึงหรือเข้าใกล้คำตอบที่เหมาะสมในเรื่องนั้นๆ )
หากมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ประชาชนตัดสินใจในเรื่องที่ต้องอาศัยความรู้ทางเทคนิคหรือองค์ความรู้เฉพาะทางสูงผ่านการออกเสียง รัฐจะต้องจัดให้มีการเผยแพร่ข้อมูลในลักษณะที่ครบถ้วน เข้าใจได้และเข้าถึงได้แก่ประชาชนอันทำให้ประชาชนมีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจใช้เจตนาของตน หากไม่สามารถทำให้เกิดภาวะการณ์เช่นว่า การตัดสินใจผ่านการออกเสียงของประชาชนจะไม่ใช่หนทางที่เหมาะสม และการตัดสินใจของประชาชนนั้นจะไม่ได้เป็นไปตามเจตนาอันอิสระและบนพื้นฐานของข้อมูลที่ครบถ้วน
ซึ่งการใช้กระบวนการออกเสียงของประชาชนตัดสินในเรืองที่ประชาชนมีข้อมูลไม่เพียงพอย่อมเป็นไปได้ที่จะทำให้ประชาชนตัดสินโดยไม่เป็นไปตามเจตจำนงของตนเหมือนดั่งกรณีที่ประชาชนมีความเข้าใจและข้อมูลตามสมควร การใช้กระบวนการออกเสียงของประชาชนตัดสินในเรื่องที่ไม่มีความเหมาะสมจึงไม่ใช่สิ่งที่สนับสนุนความเป็นประชาธิปไตย และอาจจะนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ได้สอดคล้องกับเจตนาที่แท้จริง และอาจจะมีประเด็นของการแอบอ้างหรือสร้างความชอบธรรมแก่ผลที่บิดเบือนเจตนาของประชาชนเช่นว่า

https://www.facebook.com/noppadon.detsomboonrut/posts/10168549365118990



6 ตุลาปีนี้ คนเยอะขึ้น วันนี้เยอะจริงขนาดเป็นวันจันทร์ ที่น่าสนใจคือเป็นคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่สูงขึ้นจนมีนัยยะสำคัญ 6 ตุลาไม่ใช่เช็งเม้ง เรามาส่งต่อให้คนรุ่นใหม่


Atukkit Sawangsuk 
13 hours ago
·
6 ตุลาไม่ใช่เช็งเม้ง
เรามาส่งต่อให้คนรุ่นใหม่

iLaw
14 hours ago
·
ช่วงเวลานี้ เรากำลังนับถอยหลังเพื่อมุ่งไปสู่ความท้าทายที่น่าตื่นเต้นที่สุดของประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยครับ
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กำลังต้องกความร่วมไม้ร่วมมือ และพลังอันเข้มแข็งจากประชาชนที่เชื่อมั่นว่าอำนาจสูงสุดต้องเป็นของประชาชน อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ขณะที่ถ้าเราเดินพลาดอีกสักครั้ง หรือถ้าเราไม่ได้จับมือก้าวเดินกันให้มั่นคง อาจจะเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ที่ไม่อาจย้อนกลับไปเยียวยาได้อีกแล้วนะครับ

ทุกท่านครับ สถานการณ์การเมืองในเดือนตุลาคม 2568 เป็นสภาพที่เราไม่อาจเห็นได้บ่อยนัก

เรามีรัฐบาลเสียงข้างน้อย มีรัฐมนตรีหน้าตาเดิมๆ เรามีฝ่ายค้านที่ใหญ่ และมีฝ่ายค้านที่คอยค้านฝ่ายค้านอีก

เรามีสส. ฝ่ายรัฐบาลที่พร้อมยกมือผ่านกฎหมายที่ฝ่ายค้านเสนอ ส่วนฝ่ายรัฐบาลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับ สว.และเหล่าองค์กรที่ไม่ได้เป็นอิสระ

เรามีทั้งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องการตั้งสสร. จากสามพรรคการเมืองใหญ่ รอพิจารณาอยู่ในสัปดาห์หน้า และเราก็มีร่างกฎหมายนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง รอพิจารณาวาระสองและสามอยู่ในสัปดาห์ถัดไป

ทุกท่านครับ ปฏิทินทางการเมืองถูกกำหนดขึ้นชัดแล้วเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน ถ้าทุกอย่างเดินตามแผน วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2569 จะมีการเลือกตั้งใหม่ และมีการทำประชามติพร้อมเลือกตั้ง ซึ่งเราไม่เคยทำมาก่อนเลย

รัฐบาลใหม่ตั้งเป้าว่า จะทำประชามติสองประเด็น สามคำถาม

ประเด็นที่หนึ่ง เรื่องรัฐธรรมนูญใหม่

คำถามแรกถามว่า ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ... ถ้าถามกันแบบนี้ตรงๆวันนี้ ท่านจะตอบอะไรกันครับ??

คำถามที่สองถามว่า ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับระบบการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และกรอบการร่างตามที่รัฐสภาพิจารณาผ่านมา … อันนี้เรายังไม่เห็น จึงยังตอบไม่ได้

ประเด็นที่สอง เรื่องข้อตกลงกิจการชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน
ซึ่งเราไม่เคยทำมาก่อนเลยนะครับ

รัฐบาลใหม่ประกาศว่า เมื่อประชาชนไปเข้าคูหา จะได้บัตรลงคะแนนสี่ใบ

ใบที่หนึ่ง เลือกสส. แบบแบ่งเขต
ใบที่สอง เลือกสส. แบบบัญชีรายชื่อ
ใบที่สาม ถามเรื่องรัฐธรรมนูญ อาจจะมีสองคำถาม หรือสามคำถามก็ได้
ใบที่สี่ ถามเรื่องกิจการชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน
ซึ่งเราไม่เคยทำมาก่อนเลย

นี่เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและท้าทายมากนะครับ

การเลือกตั้งปี 2569 นั้นสำคัญมาก จะเป็นการเลือกตั้งครั้งที่สามภายใต้รัฐธรรมนูญหนึ่งฉบับ ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน และหลังจากสภาชุดนี้ได้สลับสับขั้ว ข้ามไปข้ามมาจนเริ่มงง ว่าตกลงใครยืนอยู่จุดไหน ก่อรูปแบบการเมืองสามก๊กขึ้นมาอย่างชัดเจน และประชาชนกำลังจะได้ตอบคำถามว่า สิ่งที่พรรคการเมืองต่างๆ ตัดสินใจเลือกแนวทางการจัดตั้งรัฐบาลครั้งแล้วครั้งเล่าภายใต้สภาชุดนี้ จริงๆ แล้วประชาชนรับได้หรือรับไม่ได้กับการตัดสินใจไหนอย่างไร ข้อถกเถียงที่รุนแรงและรุงรังก็กำลังจะได้คำตอบ

การทำประชามติยิ่งสำคัญ เพราะหากเราสามารถเดินหน้าไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ โอกาสที่จะยืนยันเสียงของเจ้าของประเทศ โอกาสที่จะออกแบบระบบการเมืองใหม่ โอกาสที่จะสร้างกลไกตรวจสอบอำนาจรัฐขึ้นใหม่ จะเปิดกว้างรออยู่
แต่ถ้าประชามติบอกว่า ไปต่อไม่ได้ ต้องอยู่กับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ต่อไป

… ขออนุญาตไม่พูด เพราะยังคิดไม่ออก … ไม่ค่อยอยากจะคิดถึงมันครับ

.

ลองชวนมองโลกในแง่ดีกันนะครับ

นี่จะเป็นโอกาสที่เราจะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แทนที่ฉบับปี 2560 ซึ่งเรารณรงค์เรียกร้องเรื่องนี้กันมานาน หลายยก หลายกิจกรรมเหลือเกิน และโอกาสแบบนี้ไม่เคยมาถึงครับ
นี่จะเป็นโอกาสที่เราจะได้ทำประชามติ และถามประชาชนหลายเรื่อง หลายคำถาม เพื่อคืนอำนาจให้เจ้าของประเทศได้ตัดสินใจ ว่าจะไปข้างหน้ากันต่ออย่างไร

นี่จะเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 100 ปี นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ประชาธิปไตย ที่เราจะได้เริ่มต้นก้าวไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญ ที่เปิดประตูได้โดยเสียงของประชาชนที่ไปออกเสียงกันโดยตรง จะไม่ใช่การริเริ่มยกร่างรัฐธรรมนูญของคณะรัฐประหาร ไม่ได้มาจากผู้มีอำนาจต่อรองกันในรัฐสภา

โคตรเท่ห์เลยครับ เป็นเรื่องโคตรจะฝัน ที่จะได้มีชีวิตอยู่ร่วมในจังหวะที่สวยงามแบบนี้

แล้วลองมองโลกในแง่ร้ายกันบ้างนะครับ
การทำประชามติพร้อมเลือกตั้ง ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ช่วงเวลาก่อนถึงวันออกเสียง พรรคการเมืองก็จะใช้พลังทั้งหมดไปกับการขายนโยบาย ทุ่มเทหาเสียง สื่อมวลชนจะรายงานข่าวการเมือง โดยโฟกัสไปที่พรรคการเมือง การดีเบตว่าที่นายกฯ และกระแสการเลือกตั้ง ไม่แน่ใจว่าจะเหลือพื้นที่มากน้อยเท่าไรในการสื่อสารเรื่องการทำประชามติ และการรณรงค์ไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่

การทำประชามติพร้อมเลือกตั้ง จะเกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลผสมของฝ่ายสืบทอดอำนาจ มีคณะรัฐมนตรีผู้กำหนดรายละเอียดในการทำประชามติ ที่นำโดยพรรคภูมิใจไทย ตามด้วยพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ​ และพรรคอื่นๆ อีกมากที่เข้าสู่อำนาจได้ด้วยความบิดเบี้ยวของกลไกในรัฐธรรมนูญนี้ และพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องมัน พวกเขาจะคุมเกม คุมอำนาจในกระทรวงมหาดไทย ที่มีอำนาจบังคับบัญชาผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน พวกเขาจะคุมอำนาจในกระทรวงศึกษาธิการที่มีอำนาจบังคับบัญชาข้าราชการครูในโรงเรียน พวกเขาจะคุมอำนาจในกระทรวงสาธารณสุข ที่มีอำนาจบังคับบัญชา หมอ พยาบาล สาธาณสุขประจำหมู่บ้าน และอื่นๆ อีกมากมาย

การทำประชามติพร้อมเลือกตั้ง โดยมีบัตรสี่ใบ จะเกิดขึ้นโดยการจัดการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือกกต.​ ที่ตอนปี 66 มีบัตรสองใบยังจ่าหน้าซองส่งบัตรผิดเขต ตอนปี 62 มีบัตรใบเดียวยังนับคะแนนและรายงานผลคะแนนผิด โดยกกต. ห้าคนจากเจ็ดคนที่กำลังจะมาใหม่ จะมาโดยการคัดเลือกของสว. สีน้ำเงิน สว. ชุดที่โกงการเลือกเข้ามา เพื่อที่จะมาขัดขวางการแก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้อีกเช่นกัน

ยังไม่พอครับ การทำประชามติพร้อมเลือกตั้งโดยรัฐบาลนี้ ยังมีความคิดจะเอาเรื่องสนธิสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน เรื่องปัญหาชายแดน ที่รัฐบาลใหม่ควรจะเข้ามาแก้ไขให้เรียบร้อยได้ภายในเวลาอันสั้น ยกมาเป็นเรื่องที่ต้องให้ประชาชนลงประชามติ ยิ่งจะทำให้ข้อถกเถียงบนโต๊ะกินข้าวของประชาชนกระจัดกระจาย ไปอยู่ที่เรื่องการปกป้องดินแดนอธิปไตยของชาติจาก ... จากอะไรสักอย่างก็ไม่แน่ใจ ... มากกว่าภาพฝันไปสู่วันที่มีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

นี่มองร้ายพอหรือยังครับ
เวลาที่เราลองมองในแง่ร้ายร้าย มักจะมองได้ยาวและเห็นภาพได้ละเอียด กว่าตอนที่มองโลกในแง่ดี ...

.

ทุกท่านครับ ผมเกิดไม่ทันเหตุการณ์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อ 49 ปีที่แล้ว และเมื่อ 52 ปีที่แล้ว จริงๆ ผมก็เกือบจะไม่ได้เกิดมาเพราะพ่อของผมก็อยู่ที่นี่ในคืนวันที่ 5 ตุลาคม 2519 แต่ชีวิตผมอยู่ร่วมในเหตุการณ์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อห้าปีที่แล้วครับ ซึ่งภาพ เรื่องราว ความรู้สึกมันยังสดใหม่ คงไม่ต่างกับที่อาจารย์ธงชัย รู้สึกกับเหตุการณ์ในปี 2519 ได้ชัดเจนราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้น

จากปี 2563 วันที่พวกเราจำนวนมากมายมหาศาลมาชุมนุมกันที่นี่ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และที่ท้องสนามหลวง ในวันที่เราชูสามนิ้ว ทวงอำนาจคืนราษฎร วันนั้นผมตั้งโต๊ะถ่ายเอกสาร ให้คนมาลงชื่อเพื่อเดินหน้าสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โจทย์เดียวกันกับวันนี้เป๊ะเลย เราได้มากกว่า 16,000 รายชื่อ พร้อมสำเนาบัตรประชาชน ในเวลาประมาณ 12 ชั่วโมง เริ่มตั้งโต๊ะก่อนเที่ยงคนก็รีบมาเข้าคิวต่อแถวกันยาว พอจะกลับบ้านใกล้เที่ยงคืนคนก็ยังวิ่งมาขอลงชื่อไม่เคยขาดสาย

ต่อมาปี 2566 ครับ เรารวบรวมรายชื่อเพื่อเสนอคำถามประชามติ Con for All มีคนจากที่ไหนก็ไม่รู้ปริ้นท์เอกสารไปยืนจากฝนขอรายชื่ออยู่หน้าสถานีรถไฟฟ้าหลายต่อหลายแห่ง แล้วก็มีคนจากไหนไม่รู้ที่เดินผ่านแล้วก็มาช่วยกันลงชื่อ จนเราได้มากกว่า 200,000 รายชื่อภายในเวลาแค่สามวัน นั่นคือวันที่ประชาชนผู้ไร้อำนาจลุกขึ้นมาทำสิ่งที่พอจะทำได้ด้วยสองมือนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ภาพและความรู้สึกเหล่านั้นมันยังแจ่มชัดเจนในหัวสมองและหัวใจครับ

ช่วงเวลานั้น มองไปทางไหนก็มีแต่ความรู้สึกอบอุ่นครับ
ออกจากม็อบ จะเดินไปที่ไหน ทำกิจกรรม เปิดโต๊ะ ก็มีแต่คนมาช่วยกันต่อคิวสนับสนุน
รอบตัวมีแต่เพื่อนเต็มไปหมด

“เพื่อน” ที่หมายถึงคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน คนที่เงยหน้ามอง “ดวงดาว” ดวงเดียวกัน และพร้อมจะทำทุกอย่าง เพื่อบุกตะลุยฟันฝ่าอุปสรรคไปสู่เป้าหมายปลายทางเดียวกัน

แต่ทุกท่านครับ สองปีเศษๆ มานี้ ผมรู้สึกว่า เพื่อนหายไปเยอะเลย

หลายคนติดคุกอยู่ครับ หลายคนไปใช้ชีวิตในต่างประเทศครับ หลายคนตัดสินใจขอพักจากการเมืองที่หนักหนาไปก่อน แล้วเท่าที่ยังเหลือกันอยู่ ซึ่งก็น้อยลงๆ อยู่แล้ว ก็ยังอยู่ในบรรยากาศที่ไม่อาจไว้วางใจกันได้อีกต่อไป

เวลาจะพูดเรื่องการเมืองขึ้นมาสักเรื่องนึง ก็ต้องมองซ้ายมองขวา กลัวว่าถ้าขยับทับเส้นกันไปนิดหน่อย เดี๋ยวก็จะโดนทัวร์ลง แล้วเรื่องที่อยากจะสื่อสารก็จะถูกกลบลบหายไปด้วยคนที่สนใจแต่เรื่องทัวร์ หรือบางวันพูดหนึ่ง ไม่พูดสอง แล้วอีกวันก็พูดสอง ไม่พูดหนึ่ง ทั้งที่มันก็ถูกทั้งหนึ่งทั้งสอง แล้วก็กลับถูกตราหน้ากันว่าเป็นศัตรู ทันทีที่มีบางเรื่องไม่เข้าหู ก็กลายเป็นว่า ที่พูดเช่นนั้นเพราะเป็นฝ่ายตรงกันข้าม ต้องถูกไล่ด่าไล่สาปแช่งกันเหมือนไม่อยากจะร่วมทางกันอีกต่อไป

นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ท้าทายและยากลำบากที่สุด
แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เราอ่อนแอที่สุด

อย่างไม่เคยคิดว่าจะมาถึงวันแบบนี้ได้

ที่เราอ่อนแอ ไม่ใช่เพราะเราไม่มีความสามารถหรือเพราะเรามีจำนวนน้อย แต่เพราะเราใช้พลังงานมากมายไปกับการด่ากันไปด่ากันมาในระหว่างประชาชน กองเชียร์และพรรคการเมือง แล้วเราก็เหลือพลังงานน้อยลงมาก ที่จะได้เอามาใช้กับการพูดเรื่องรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ในระบอบประชาธิปไตย เราเห็นไม่เหมือนกันได้ เราคิดต่างกันได้
เราวิพากษ์วิจารณ์กันได้ เราชี้หน้าด่ากันได้
บางวันก็มีเหตุผลนำ บางวันใช้อารมณ์นำ ก็ได้ทั้งนั้น

แต่ผมไม่แน่ใจครับว่า เราเห็นต่างกันขนาดนั้นจริงไหม??

.

สำหรับคนที่เป็นเพื่อนร่วมทางกัน เงยหน้ามองดาวดวงเดียวกัน
บางครั้งเราอาจไม่ได้ชอบพรรคการเมืองเดียวกันครับ ไม่เป็นไร
บางครั้ง อาจมีคนด่าพรรคการเมืองที่เราชื่นชอบ ก็ไม่เป็นไรครับ
บางครั้ง อาจมีคนโยนความผิดทั้งหมด ให้พรรคการเมืองที่เราชื่นชอบ โดยที่คนพูด มันไม่ได้ดูตัวเองเลย ว่ามันดีกว่าเขาตรงไหน ... แต่ก็ไม่เป็นไรนิครับ

พรรคการเมือง และนักการเมือง เป็นเครื่องมือของประชาชนครับ
ในวันที่ต้องการแก้ไขปัญหาบางเรื่องด้วยระบบกลไกของสภา พรรคการเมืองก็จะทำหน้าที่เป็นยานพาหนะ นำความหวังของประชาชนที่ฝากฝังผ่านการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งไปทำให้เกิดขึ้นได้จริงในสภา
�ยานพาหนะ บางทีก็เลี้ยวผิด
ยานพาหนะ บางทีก็วิ่งอ้อม
ยานพาหนะ บางครั้งที่รู้ตัวว่า หลงก็ยังยูเทิร์นได้
มาถึงวันนี้ยานพาหนะ แต่ละลำต่างก็มีบาดแผล ไม่ได้เพอร์เฟก ไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่อง�ในบางวันเราก็แค่จำเป็นต้องเลือกกระโดดขึ้นลำใดลำหนึ่ง อาจจะเป็นลำที่เราลำบากใจน้อยกว่า เพื่อที่ใช้เดินทาง เพราะเราจะเป็นต้องเดินทาง�

ในช่วงเวลาหนึ่ง เราอาจจะลุกขึ้นมาด่ายานพาหนะลำอื่นแบบจะเป็นจะตาย แล้วที่เราลุกขึ้นมาด่ากับคนที่ด่ายานพาหนะที่เราเลือกแบบจะเป็นจะตาย นั่นก็เพราะว่า เราอยากให้ยานพาหนะที่เราเลือกมันพาเราไปถึงเป้าหมายปลายทางได้ เพราะเราอยากจะไปไขว่คว้า “ดวงดาว” ดวงนั้น เราอยากจะเห็นวันที่อำนาจเป็นของประชาชน วันที่ประเทศนี้ไม่ได้ปกครองด้วยอำนาจนอกระบบ วันที่การเมืองทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากรอย่างทั่วถึงเป็นธรรม ซึ่งวันนั้นจะเป็นวันที่พวกเราทุกคนได้อยู่ดีกินดี

คนที่กำลังเลือกนั่งยานพาหนะ คนละลำกันในวันนี้
บางทีก็อาจจะกำลังมองไปหาดาวดวงเดียวกัน
จริงๆ แล้ว เราอาจจะไม่ได้กำลังคิดต่างกันในเป้าหมายปลายทาง ก็เป็นได้

.

ถ้าหากรัฐบาลชุดใหม่รักษาสัญญาตามกรอบเวลาที่ประกาศไว้ เวลาของเราก็กำลังนับถอยหลังครับ
อีกไม่ถึงหกเดือนข้างหน้า เรากำลังจะต้องเผชิญหน้าความท้าทายครั้งสำคัญที่สุด ภายใต้ข้อจำกัดและอุปสรรคเต็มไปหมด แต่เราอาจจะต้องอ่อนแอลงไปอีกครับ เมื่อมีการเลือกตั้งพร้อมประชามติ พรรคการเมืองต่างๆ ก็จะออกมาหาเสียง และในสนามนี้ก็จะต้องโจมตีกันและกัน

พรรคการเมืองต้องทำหน้าที่ของพวกเขา โดยการหาเสียงเลือกตั้งอย่างเต็มที่ เพื่อลากพาหนะที่เขาดูแลรับผิดชอบไปให้ได้ไกลที่สุด พรรคการเมืองและคนของพรรคการเมืองจะทะเลาะกันครับ เพราะระบบที่นักการเมืองหลายพรรคมาจากการเลือกตั้ง ออกแบบมาโดยจงใจให้พวกเขาต้องเห็นไม่เหมือนกัน ถึงจะเห็นเหมือนกันเป็นส่วนใหญ่ เป้าหมายปลายทางเดียวกัน ก็ยังต้องทะเลาะกันในส่วนที่เห็นต่างกันแม้จะส่วนน้อย เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของพวกเขา

แต่สำหรับประชาชนคนที่ยังพอมีดวงดาวระยะไกลที่เหมือนกัน ไม่ได้มีหน้าที่ทะเลาะกันเรื่องพรรคการเมือง

ในวันออกเสียงประชามติ เราจะไม่ต้องเลือกยานพาหนะครับ และเราไม่ต้องมียานพาหนะแล้ว

ในการทำประชามติ จะมีแต่หลักการหนึ่งคน หนึ่งสิทธิ หนึ่งเสียง ที่จะต้องรวมกันเป็นจำนวนให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะฟันฝ่าอุปสรรคแล้วไปให้ถึงดวงดาวเท่านั้น และเมื่อไม่มียานพาหนะใดให้นั่งเพื่อจะเอาเสียงของเราไปส่งให้ถึงเป้าหมาย จึงมีแต่สองมือ สองเท้าของทุกคนเท่านั้นว่าจะร่วมกันเดินไปบนเส้นทางนี้��ในวันที่กระแสเลือกตั้งกำลังพุ่งแรง อาจจะไม่เหลือใครมากนักที่ลุกขึ้นมาบอกว่าจะต้องทำอย่างไรกับบัตรประชามติอีกสองใบ สามคำถาม จะทำอย่างไรไม่ให้บัตรเสีย จะทำอย่างไรให้ทุกคนเข้าใจข้อมูลได้เต็มที่ก่อนเดินทางเข้าคูหา นี่ไม่ใช่หน้าที่ของยานพาหนะลำเดิมอีกต่อไป

ถ้าก่อนวันทำประชามติ มีข้อมูลเท็จ จงใจนำเสนอออกมาเพื่อปกป้องรัฐธรรมนูญนี้ ผมก็อยากเห็นคนจำนวนมากลุกขึ้นมาช่วยกันตอบโต้กันออกไปในทันทีว่า มันเป็นความเท็จ อย่าให้ใครไปหลงเชื่อ ไม่ได้อยากเห็นการไปมัวโทษกันว่าพรรคไหนกลุ่มไหนทำให้เกิดสิ่งนี้

ถ้าก่อนวันทำประชามติ มีกติกาอันแปลกประหลาดใดๆ ออกมาใช้ เพื่อหวังให้ผู้มีสิทธิเดินทางไปออกเสียงได้น้อย ผมก็อยากเห็นนายจ้างให้ลูกจ้างหยุดงานเพื่อไปใช้สิทธิ อยากเห็นคนบ้านเดียวกันชวนกันติดรถกันไป อยากเห็นประชาชนลุกขึ้นมาช่วยเหลือกัน ส่งข่าวสาร ส่งข้อมูลต่อกัน ให้คนได้ไปใช้สิทธิกันให้ได้มากที่สุด

ถ้าก่อนวันทำประชามติ รัฐบาลไม่พยายามให้ความรู้ ให้ข้อมูล ให้เพียงพอต่อการตัดสินใจ หรือให้ข้อมูลได้ไม่เป็นกลาง การสื่อสารข้อมูลนี่แหละที่เป็นพื้นที่และโอกาสที่จะทำได้โดยประชาชนคนธรรมดาทั่วไป�
ถ้าวันทำประชามติ มีบัตรต้องกาหลายใบ มีคูหาต้องหยอดหลายกล่อง และมีคนหลักล้านถูกเกณฑ์กันมาให้ยืนนับคะแนนกันจนฟ้ามืดและแสงอาทิตย์หมดไป ผมก็หวังว่า พลังจากคนธรรมดาจะช่วยกันยกมือถือขึ้นมาส่องแสงไฟ ไปยืนดูการนับคะแนนที่หน้าคูหา ไปอยู่ยืนยันให้ทุกคะแนนถูกนับและถูกรายงานอย่างถูกต้อง ตั้งแต่คะแนนแรก จนยันคะแนนจากบัตรใบสุดท้าย

ถ้าก่อนวันทำประชามติ เรื่องรัฐธรรมนูญใหม่ ไม่มีใครสนใจ
เราก็ไม่มีทางเลือก นอกจากจะต้องใช้สองเท้าออกก้าวเดินไปบนท้องถนน
และป่าวร้องไปด้วยเสียงเท่าที่มีให้ดังที่สุด
เมื่อเราเลือกเส้นทางที่ต้องเดินโดยไม่มียานพาหนะใดๆ ก็หวังว่า จะมียังมี “เพื่อน” อีกมากมายที่มาออกเดินไปด้วยกัน�
โอกาสเดียวที่เราจะได้เห็นภาพฝันอันสวยงามในช่วงชีวิตนี้ หรือในรอบเกือบ 100 ปีนี้ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราจะหันซ้ายหันขวา แล้วได้เห็นสองมือสองเท้าของประชาชนที่ยังเดินไปด้วยกัน ประชาชนที่หมายถึงคนไม่ใช่พรรค ประชาชนที่ในภาพความทรงจำเมื่อไม่กี่วันก่อนก็เคยร่วมกันออกแรง ลงไม้ลงมือ ด้วยกันอย่างเต็มที่ ประชาชนที่ในบางวันอาจจะเลือกขึ้นพาหนะลำเดียวกันเพื่อไปให้ถึงบางเป้าหมาย หรือในบางวันอาจจะเลือกขึ้นยานพาหนะคนละลำเพื่อเลือกทางวิ่งคนละเส้นทาง แต่สำหรับการทำประชามติที่จะต้องถามทุกเสียงของประชาชนโดยตรง เราจะต้องเดินเข้าคูหา เพื่อไปกาให้ถูกต้องในช่องเดียวกันนะครับ

.
ทุกท่านครับ ถ้าหากว่าวันนั้นมีประชามติถามแค่กว้างๆ เพียงว่า ท่านเห็นชอบหรือไม่ที่จะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผมจะโหวต YES เห็นชอบ ท่านจะโหวตยังไงดีครับ

ถ้ามีประชามติถามว่า เห็นชอบหรือไม่กับระบบการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ที่ให้ประชาชนได้ออกเสียงเลือกตัวแทนไปร่างรัฐธรรมนูญด้วย ผมจะโหวต YES เห็นชอบ ท่านจะโหวตยังไงดีครับ

ถ้ามีประชามติถามว่า เห็นชอบหรือไม่กับระบบการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ที่ให้คนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดียวเป็นผู้เลือก ประชาชนไม่ได้เลือก แต่สว. ชุดนี้ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งจะได้เลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ผมจะโหวต NO ไม่เห็นชอบ ท่านจะโหวตยังไงดีครับ

ในวันที่ 6 ตุลาคม 2569 งานรำลึก 50 ปีเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ เราอาจได้มาที่นี่เพื่อเฉลิมฉลองกันได้อย่างไม่ต้องอายพี่ๆ วีรชน เพราะจะเป็นครั้งแรกที่ประชาชน กำลังเดินหน้าเขียนกติกาใหม่ด้วยมือของเราเองจริงๆ ครับ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1219681196872164&set=a.625664036273886



จดหมายจาก “เก็ท โสภณ”: ความลำบากในการพูดถึง 6 ตุลา – ตั้งคำถามกล่องแพนดอร่าที่อำนาจไม่อยากเปิด


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
12 hours ago
·
จดหมายจาก “เก็ท โสภณ”: ความลำบากในการพูดถึง 6 ตุลา – ตั้งคำถามกล่องแพนดอร่าที่อำนาจไม่อยากเปิด
.
.
เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2568 ทนายความเข้าเยี่ยม “เก็ท” โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง นักกิจกรรมกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ และผู้ต้องขังในคดีมาตรา 112 ที่ถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในวาระครบรอบ 49 ปี เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 หรือวันมหาวิปโยคจากเหตุการณ์สังหารหมู่นักศึกษาและประชาชนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งต่อต้านการเดินทางกลับประเทศของจอมพลถนอม กิตติขจร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเป็นสัญลักษณ์ของเผด็จการทหาร
.
จากห้องขัง เก็ทเขียนจดหมายเพื่อสื่อสารเรื่องนี้อีกครั้ง ถึงความลำบากในการพูดถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา ไม่ใช่เพราะเรื่องราวซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจ แต่เพราะความจริงบางอย่างยังคงถูกปิดกั้นมากกว่าจะเปิดเผย
.
เก็ทฉายภาพว่าในสังคมที่ว่ากันว่ามีประชาธิปไตย แต่เสรีภาพในการพูดคุยถกเถียงกลับถูกจำกัดด้วยกำแพงที่มองไม่เห็น คำถามที่เขาตั้งขึ้นจึงไม่ได้ต้องการคำตอบง่าย ๆ แต่ท้าทายให้สังคมตรวจสอบตัวเองว่า เราพร้อมจะเผชิญหน้ากับความจริงที่สมบูรณ์หรือยัง ทั้งในวันข้างหน้าเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 จะถูกหยิบมาพูดถึงได้อย่างมีเสรีภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ได้อย่างไร
.
-------------------------
.
“ถึงเพื่อนและผู้คนมีสายสัมพันธ์อันเชื่อมโยงกันโดยอุดมการณ์”
เรื่อง ขอพูดถึงความลำบากในการพูดถึง 6 ตุลา
.
ก่อนอื่นผมอยากพูดถึงใบปอ ขอบคุณที่ต่อสู้ร่วมกันมา ตอนไปศาลผมเห็นตารางงาน และตารางเรียนแน่นมาก งานส่วนใหญ่ก็เป็นงานเพื่อสังคม วันจันทร์ที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา ศาลมีคำพิพากษาคดี 112 จำคุกพวกเราคนละ 2 ปี พอลงไปใต้ถุนศาล เราก็ยังนั่งเกาะลูกกรงคุยกัน ถามกันว่าจะเอายังไง จะทำอะไร ขอบคุณใบปอมาก ๆ ที่เข้มแข็ง ขอบคุณใบปอและทุกคนที่ร่วมกันจัดงาน 6 ตุลาในปีนี้
.
สำหรับ 6 ตุลาปีนี้ ผมขอขยับมาพูดถึงประเด็นอื่นที่ไม่ใช่รายละเอียดเรื่องราวเหตุการณ์ในช่วงนั้น เพราะมั่นใจว่ามีคนทำหน้าที่นั้นอยู่แล้ว 6 ตุลา แม้เป็นประวัติศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าซับซ้อน แต่เราก็ไม่ควรจบการศึกษาวิเคราะห์เพียงเพราะความซับซ้อนของมัน ยิ่งเหตุการณ์นั้นซับซ้อนเรายิ่งต้องช่วยกันวิพากษ์คลี่คลายให้เห็นภาพ 6 ตุลาให้ชัดขึ้น ให้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
.
แน่นอนว่าใคร ๆ ก็รู้ว่า 6 ตุลา 2519 เป็นเหตุการณ์นักศึกษา ประชาชนถูกสังหารหมู่ ผู้ชุมนุมหลายคนถูกจับ มีการใช้ความรุนแรงจนไม่น่าเชื่อว่านี่คือสิ่งที่มนุษย์กระทำต่อกัน การเล่าถึงเหตุการณ์ดังกล่าวให้เห็นภาพชัดจากหลายมุมมองจึงไม่ใช่เพียงการกวนน้ำให้ขุ่น แต่เป็นความจำเป็นเพื่อถอดบทเรียนไปปรับใช้ ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ใช้ความรุนแรงแบบที่เกิดขึ้น
.
เมื่อเราดูหนังเกาหลี เรามักได้เห็นการพูด การแสดงถึงสถาบันกษัตริย์ ขุนนาง ผู้มีอำนาจ อย่างแหลมคม จนบางครั้งเกิดคำถามว่า “ทำไมเขาถึงพูดได้ขนาดนั้น” บางคนก็ตอบว่า “เพราะบ้านเขาไม่มีกษัตริย์แล้วไง” แต่ผมเห็นว่าไม่น่าใช่ เกาหลีก็พูดถึงรัฐบาลประธานาธิบดีได้ แม้ประเทศเขายังมีประธานาธิบดี เฉกเช่นเดียวกับประเทศสหรัฐอเมริกาที่หนังฮอลลีวูดหยิบประธานาธิบดี รัฐบาล ทหาร เอฟบีไอ ซีไอเอ และ องค์ประกอบสำคัญอื่นของรัฐมาเป็นวัตถุดิบในหนังเป็นประจำ
.
ขยับออกจากมณฑลของสื่อบันเทิงบ้าง มาดูที่การเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ประเทศอังกฤษแม้ยังมีสถาบันกษัตริย์อยู่ แต่กลับมีการรณรงค์ให้เปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐอย่างเปิดเผย กษัตริย์บ้านเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นเรื่องปกติ
.
ข้อสรุปที่ว่า “หากไม่มีสถาบันใดแล้ว เราถึงพูดถึงสถาบันนั้นได้อย่างเสรี” จึงเป็นข้อสรุปที่ไม่ถูกต้องนัก ผมมองว่าขอบเขตเสรีภาพของประเทศเหล่านั้นกว้างก็เลยพูดอะไรได้มาก ระบอบประชาธิปไตยของเขามีอยู่จริงไม่ได้เป็นแค่ในนาม
.
สำหรับประเทศไทยคงต้องถามว่าเรามีเสรีภาพมากเพียงใด? ข้อจำกัดของวงการบันเทิง วงการวิชาการ ข้อจำกัดในการพูดความจริงมีมากแค่ไหน จดหมายฉบับนี้ผมเขียนอยู่ที่ไหนนี่คงเป็นคำตอบที่ชัดเจน
.
อภิสิทธิ์ชนมักใช้อำนาจบิดเบือนลบเลือนความจริง แล้วแทนที่ด้วยประวัติศาสตร์อันประเสริฐ ชูเรื่องราวอันเจ็บปวดของการเสียดินแดน แต่กลับไม่พูดถึงสมัยก่อนว่าเราได้ไปล่าอาณานิคมรุกรานบ้านเรือนคนอื่นมา เรื่องเล่าจึงเป็นเรื่องอำนาจของมหาวีรบุรุษผู้ทรงธรรม แต่ไม่ได้เล่าเรื่องที่ไปต้อนรับการกลับมาของสามเณรถนอมอย่างดิบดี ทั้งทหารผู้ได้ชื่อว่าเป็นรั้วของชาติและตำรวจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ก็คือองค์กรที่เข้ามาพิฆาตราษฎรเช่นกัน
.
ในเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ฝั่งอนุรักษ์นิยมผู้ยกย่องตนว่ามีเกียรติ ปกป้องชาติ และราชบัลลังก์ แต่ไม่พูดถึงเรื่องที่กลุ่มกระทิงแดง ลูกเสือชาวบ้านและกลุ่มฝั่งขวาอื่นไปร่วมฆ่าคนไทยด้วยกันอย่างโหดเหี้ยม
.
ภาพนักศึกษาที่ถูกแขวนคอที่ต้นมะขามบริเวณสนามหลวง ถูกรุมประชาทัณฑ์รายล้อมไปด้วยผู้คนที่มีรอยยิ้มหัวเราะชอบใจ คงเป็นรูปที่คนได้เห็นกันทั่วแล้ว ทั้งที่คนไทยที่ชุมนุมเขาก็เรียกร้องความเจริญของชาติบ้านเมือง น่าแปลกที่ความรักชาติกลับผูกขาดไว้ที่กลุ่มคนบางกลุ่ม และความรัก (จนคลั่ง) ชาตินี้เองเป็นตัวปลุกเราให้เกิดการสังหารหมู่โดยคนในชาติเดียวกัน น่าคิดว่า การพูดความจริงแต่พูดไม่หมดนั้น คือการโกหกหรือเปล่า?
.
แม้ว่า 6 ตุลา เป็นประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อน แต่หากสังคมเราไม่ถูกปิดกั้นก่อน เรื่องซับซ้อนนี้คงถูกคลี่คลายแล้ว แต่เหตุที่ 6 ตุลา ยังไม่มีข้อสรุปและถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางนั้น เพราะเหตุการณ์ความรุนแรงนั้นมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับทั้งองค์กรของรัฐและสถาบันทางการเมืองต่าง ๆ การนำความจริงมาพูดย่อมสั่นคลอนความมั่นคง ความมั่นคงนี้ก็ไม่ใช่ความมั่นคงของประชาชนหรือชาติตามที่เขากล่าวอ้าง หากแต่เป็นความมั่นคงในตำแหน่งแห่งที่ทางอำนาจของพวกเขานั่นเอง 6 ตุลา จึงเป็นเรื่องราวของ Pandora ที่หากเปิดออกมาเมื่อไหร่ ก็จะบังเกิดวิกฤตศรัทธาต่ออภิสิทธิ์ชนและระบบข้าราชการ
.
น่าคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่ทหาร ตำรวจ รัฐบาล และสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุการสังหารหมู่ครั้งนั้นจะมารำลึกแสดงความเสียใจ และแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519
.
แม้จะอยู่ในคุก แต่ขอแสดงจุดยืนเคียงข้างวีรชนหกตุลาที่จากไปแล้วและที่ยังอยู่ ความเป็นวีรชนไม่ได้ขึ้นอยู่กับการต่อสู้ว่าแพ้หรือชนะ แต่อยู่ที่ความจริงใจต่ออุดมการณ์
.
ผมได้อ่านบทความของอาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล ได้ฟังเรื่องเล่าจากพี่ด่าง (กฤษฎางค์ นุตจรัส) และอีกหลายคน มันเป็นเหตุการณ์ที่โหดร้ายจนบางส่วนก็ยากบรรยายเป็นตัวอักษร เรื่องเบื้องต้นที่ผมทำได้ก็คือการยืนเคียงข้างพวกเขา คอยพูดถึงเหตุการณ์นั้น คอยศึกษา และช่วยตีแผลคลี่คลายปมความซับซ้อนให้สาธารณะชนเห็นภาพชัดขึ้น และหวังว่าในอนาคต 6 ตุลา 2519 จะหยิบมาพูดถึงได้อย่างมีเสรีภาพมากกว่าที่เป็นอยู่นี้
.
โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง
เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
.
------------------------------
.
ถึงปัจจุบัน ( 6 ต.ค. 2568) เก็ทถูกคุมขังมาแล้ว 774 วัน เก็ทถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 จำนวน 4 คดี โดยเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2568 ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาในคดีอ่านแถลงการณ์ในกิจกรรมเดินขบวนไปงาน APEC2022 จำคุก 2 ปี เป็นผลให้รวมโทษของเก็ทในคดีมาตรา 112 ทุกคดีที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว เป็นระยะเวลา 10 ปี กับอีก 6 เดือน
.
.
อ่านบนเว็บไซต์
https://tlhr2014.com/archives/79046

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1211308770839591&set=a.656922399611567


ปอกเปลือกฟาสซิสต์


KruBen WarHistory
6 hours ago
·
ปอกเปลือกฟาสซิสต์

คำว่า “ฟาสซิสต์” (Fascism) มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินคำว่าฟาสเซส fasces ซึ่งหมายถึง “มัดไม้” ที่มักจะมัดรวมกันรอบขวานเหล็ก เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความเป็นเอกภาพในจักรวรรดิโรมันโบราณ โดยผู้ถือ ฟาสเซส fasces มักจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายและลงโทษผู้ฝ่าฝืน ซึ่งแสดงถึงอำนาจของรัฐที่รวมศูนย์และการยอมสยบต่ออำนาจสูงสุด สัญลักษณ์นี้ถูกนำมาใช้ใหม่ในศตวรรษที่ 20 โดยกลุ่มการเมืองในอิตาลีที่มีแนวคิดชาตินิยมสุดโต่งและต่อต้านลัทธิเสรีนิยม เพื่อสื่อถึงพลังของความสามัคคีแห่งชาติและการรวมตัวของประชาชนภายใต้อำนาจเดียว
.
.
เบนิโต มุสโสลินี (Benito Mussolini) เป็นผู้ที่นำคำนี้มาใช้เป็นชื่อพรรคของตน คือ Partito Nazionale Fascista หรือ “พรรคชาตินิยมฟาสซิสต์” ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มุสโสลินีต้องการสื่อว่าการรวมชาติและความแข็งแกร่งของประชาชนสามารถเกิดขึ้นได้จากการยอมรับอำนาจของผู้นำและรัฐที่มีความเด็ดขาด การเลือกใช้คำนี้จึงมีความหมายทางสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้งและมีเจตนาทางการเมืองที่ชัดเจน
.
.
นอกจากนี้ ฟาสเซส ยังสื่อถึงแนวคิดของการรวมพลังที่แต่ละส่วนเล็กไม่อาจต้านทานได้ แต่เมื่อรวมกันแล้วจะเกิดพลังมหาศาล ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของลัทธิฟาสซิสต์ที่มองว่าความเข้มแข็งของรัฐและชาติสำคัญกว่าสิทธิปัจเจกชน แนวคิดนี้จึงมุ่งเน้นการรวมศูนย์อำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมให้อยู่ในมือของรัฐและผู้นำเพียงผู้เดียว
.
.
ในช่วงศตวรรษที่ 20 คำว่า ฟาสซิสต์ ได้กลายเป็นคำที่มีนัยทางการเมืองอย่างรุนแรง ไม่เพียงหมายถึงลัทธิการเมืองเฉพาะของอิตาลีเท่านั้น แต่ยังถูกนำไปใช้เรียกกลุ่มอำนาจนิยมในประเทศอื่นๆ ที่ยึดแนวทางชาตินิยมสุดโต่ง ต่อต้านประชาธิปไตย และนิยมความรุนแรงในการรักษาความสงบของรัฐ
.
.
ปัจจุบันคำว่า ฟาสซิสต์ ยังถูกใช้ในเชิงลบเพื่อโจมตีบุคคลหรือรัฐบาลที่มีลักษณะเผด็จการหรือใช้อำนาจกดขี่ แม้ว่าหลายครั้งอาจไม่เกี่ยวข้องกับแนวคิดดั้งเดิมของลัทธิฟาสซิสต์โดยตรง แต่ความหมายที่ฝังรากลึกในประวัติศาสตร์ได้ทำให้คำนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการใช้อำนาจโดยปราศจากการตรวจสอบและการปฏิเสธเสรีภาพของประชาชน
.
.
ระบอบการปกครองแบบฟาสซิสต์เป็นลัทธิทางการเมืองที่เน้นการรวมศูนย์อำนาจในรัฐและผู้นำ โดยมีลักษณะต่อต้านเสรีประชาธิปไตย ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ และต่อต้านเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ ลัทธินี้ถือว่ารัฐมีความสำคัญสูงสุดเหนือปัจเจกชน และประชาชนทุกคนต้องทำงานเพื่อประโยชน์ของชาติภายใต้การนำของผู้นำที่มีอำนาจเด็ดขาด แนวคิดดังกล่าวปฏิเสธการแบ่งแยกอำนาจและมองว่าการรวมศูนย์อำนาจคือหนทางแห่งความมั่นคง
.
.
นักวิชาการบางคนอธิบายว่าฟาสซิสต์คือการผสมผสานระหว่างแนวคิดชาตินิยมแบบสุดโต่งกับอำนาจนิยมทางการเมือง โดยรัฐมีอำนาจควบคุมทั้งสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม เพื่อสร้างเอกภาพและกำจัดความเห็นต่าง ในมุมมองของฟาสซิสต์ “ความแตกต่าง” คือภัยต่อความมั่นคงของชาติ ดังนั้นเสรีภาพในการพูดหรือการแสดงความคิดเห็นจึงถูกจำกัดอย่างเข้มงวด
ฟาสซิสต์ยังเน้นแนวคิด “ผู้นำสูงสุด” หรือที่ฟาสซิสต์อิตาเลียนจะเรียกผู้นำว่า ดูเช่ (Duce) ซึ่งมุสโสลินีถือว่าตนเองเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดที่ประชาชนต้องเชื่อฟังโดยไม่ตั้งคำถาม แนวคิดนี้มองว่าผู้นำเป็นตัวแทนของชาติทั้งหมด และการวิจารณ์ผู้นำจึงเท่ากับการทรยศต่อชาติ
.
.
นอกจากนี้ฟาสซิสต์ยังมีองค์ประกอบของการโฆษณาชวนเชื่ออย่างเข้มข้น โดยใช้สื่อมวลชน ศิลปะ และการศึกษาเพื่อปลูกฝังแนวคิดเรื่องความยิ่งใหญ่ของชาติ การภักดีต่อรัฐ และการเสียสละเพื่อส่วนรวม การปลูกฝังทางวัฒนธรรมจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการคงไว้ซึ่งอำนาจ
.
.
ลัทธิฟาสซิสต์ถือกำเนิดขึ้นในอิตาลีภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศตกอยู่ในภาวะวิกฤตทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ความไม่พอใจของทหารผ่านศึก ความขัดแย้งทางชนชั้น และความหวาดกลัวต่อการปฏิวัติแบบคอมมิวนิสต์ ทำให้ประชาชนบางส่วนหันไปหาขบวนการการเมืองที่เสนอความมั่นคงและความยิ่งใหญ่ของชาติ มุสโสลินีซึ่งเคยเป็นนักสังคมนิยมได้ปรับแนวคิดของตนเองและก่อตั้งพรรคฟาสซิสต์ขึ้นในปี 1919
.
.
มุสโสลินีใช้กำลังของ “กองกำลังเชิ๊ตดำ” (Blackshirts) ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธของพรรค เข้าปราบปรามฝ่ายซ้ายและกลุ่มแรงงาน เขาได้รับความสนับสนุนจากชนชั้นกลางและชนชั้นสูงที่หวาดกลัวลัทธิคอมมิวนิสต์ จนสามารถยึดอำนาจได้ในปี 1922 หลังจากการเดินขบวนที่กรุงโรม (March on Rome) เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีโดยกษัตริย์วิกเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 และเริ่มสร้างระบอบเผด็จการอย่างเป็นระบบ
.
.
หลังจากนั้นมุสโสลินีได้สถาปนารัฐฟาสซิสต์อย่างเต็มรูปแบบ โดยกำจัดฝ่ายค้าน ควบคุมสื่อมวลชน และสร้างระบบองค์กรของรัฐที่แทรกซึมทุกด้านของสังคม แนวคิดฟาสซิสต์ยังถูกเผยแพร่ผ่านการศึกษาและการโฆษณาชวนเชื่อที่ส่งเสริมภาพลักษณ์ของผู้นำว่าเป็น “บิดาแห่งชาติ”
.
.
ความสำเร็จของมุสโสลินีได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับลัทธิฟาสซิสต์ในประเทศอื่น โดยเฉพาะในเยอรมันซึ่งอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้นำแนวคิดนี้มาปรับใช้กับลัทธินาซีที่มีองค์ประกอบของการเหยียดเชื้อชาติและลัทธิต่อต้านยิวอย่างรุนแรง การขยายตัวของลัทธิฟาสซิสต์ในยุโรปจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สอง
.
.
หลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลงในปี 1945 ระบอบฟาสซิสต์ในอิตาลีและพันธมิตรทั้งหลายล่มสลาย มุสโสลินีถูกจับและประหารชีวิตโดยฝ่ายต่อต้าน การล่มสลายของลัทธินี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ยุโรปตะวันตกหันกลับมาสู่แนวทางประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน
.
.
อย่างไรก็ตาม แนวคิดของฟาสซิสต์ไม่ได้สูญหายไปโดยสิ้นเชิง หลังสงครามยังคงมีขบวนการ “นีโอฟาสซิสต์” (Neo-Fascist) เกิดขึ้นในหลายประเทศ โดยพยายามฟื้นฟูแนวคิดชาตินิยมสุดโต่งและอำนาจนิยม แต่โดยทั่วไปถูกต่อต้านจากประชาคมระหว่างประเทศและสังคมส่วนใหญ่
.
.
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 21 นักวิเคราะห์บางคนยังใช้คำว่า “ฟาสซิสต์ใหม่” เพื่ออธิบายการเมืองที่มีลักษณะชาตินิยมรุนแรง การต่อต้านคนต่างชาติ และการรวมศูนย์อำนาจในผู้นำเดียว แม้จะไม่เหมือนฟาสซิสต์ยุคมุสโสลินี แต่ก็สะท้อนความกลัวต่อการกลับมาของแนวคิดอำนาจนิยมในรูปแบบใหม่
.
.
ในความเป็นจริงแล้ว ลัทธิฟาสซิสต์มีรากฐานอยู่บนความเชื่อในเรื่องชาตินิยมสุดโต่ง โดยถือว่าชาติเป็นสิ่งสูงสุดเหนือทุกสิ่ง ทุกคนต้องยอมเสียสละเพื่อความรุ่งเรืองของรัฐ ความเป็นปัจเจกถูกมองว่าเป็นภัยต่อเอกภาพและความมั่นคง แนวคิดนี้ทำให้ฟาสซิสต์ยกย่องการมีระเบียบวินัย ความภักดี และการเชื่อฟังผู้นำโดยปราศจากข้อสงสัย
.
.
อีกหลักสำคัญคือการรวมศูนย์อำนาจในรัฐและผู้นำสูงสุด ฟาสซิสต์ปฏิเสธแนวคิดการแบ่งแยกอำนาจตามหลักประชาธิปไตย แต่เชื่อว่าความมั่นคงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีผู้นำที่เด็ดขาดและมีอำนาจควบคุมทั้งประเทศ โดยผู้นำจะถูกยกให้เป็นตัวแทนของเจตจำนงแห่งชาติ
.
.
ฟาสซิสต์ยังส่งเสริมแนวคิดของสงครามและความรุนแรงว่าเป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้มแข็งของชาติ การต่อสู้ถูกมองว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการหล่อหลอมจิตวิญญาณของประชาชน และเป็นหนทางสู่เกียรติยศของประเทศ จึงไม่น่าแปลกที่ระบอบฟาสซิสต์มักขยายอำนาจด้วยการรุกรานและการพิชิต
.
.
ในด้านเศรษฐกิจ ฟาสซิสต์ไม่ยึดตามแนวทางทุนนิยมหรือคอมมิวนิสต์ แต่เน้นระบบ “corporatism” ซึ่งรัฐควบคุมภาคเศรษฐกิจทั้งหมดโดยให้แต่ละภาคส่วนทำงานร่วมกันภายใต้การกำกับของรัฐ ระบบนี้ถูกออกแบบเพื่อหลีกเลี่ยงการขัดแย้งระหว่างนายทุนกับแรงงาน และสร้างเอกภาพทางเศรษฐกิจเพื่อผลประโยชน์ของชาติ
.
.
อัตลักษณ์ที่สำคัญที่สุดของลัทธิฟาสซิสต์คือ “การยกชาติและรัฐให้เป็นสิ่งสูงสุดเหนือปัจเจกบุคคล” แนวคิดนี้มองว่าความสำเร็จของชาติยิ่งใหญ่กว่าความต้องการหรือเสรีภาพของประชาชนแต่ละคน ฟาสซิสต์เชื่อว่าประชาชนทุกคนเป็นเพียง “ฟันเฟือง” ของกลไกรัฐ ที่มีหน้าที่สนับสนุนความมั่นคง ความเป็นเอกภาพ และความรุ่งเรืองของชาติ การคิดต่างหรือการตั้งคำถามต่อรัฐถือเป็นการทรยศต่อผลประโยชน์ของส่วนรวม จึงเกิดการเน้นความสามัคคีแบบบังคับ และการลดทอนเสรีภาพเพื่อแลกกับความเป็นระเบียบ
.
.
อีกอัตลักษณ์สำคัญคือ “การมีผู้นำสูงสุดที่เด็ดขาดและเป็นสัญลักษณ์ของชาติ” ฟาสซิสต์มองว่าผู้นำเป็นตัวแทนของเจตจำนงแห่งชาติ ผู้ที่มีวิสัยทัศน์และพลังทางจิตใจเหนือคนทั่วไป เช่น มุสโสลินีในอิตาลี หรือฮิตเลอร์ในเยอรมัน ภาพลักษณ์ของผู้นำจึงถูกสร้างขึ้นอย่างศักดิ์สิทธิ์และไร้ข้อผิดพลาด ประชาชนถูกปลูกฝังให้เชื่อฟังโดยไม่ตั้งคำถาม เพื่อให้รัฐสามารถดำเนินนโยบายได้โดยไม่ถูกขัดขวาง อัตลักษณ์นี้ทำให้ฟาสซิสต์มีลักษณะเป็นระบอบบุคคลนิยม (Cult of Personality) อย่างชัดเจน
.
.
ลัทธิฟาสซิสต์ยังมีอัตลักษณ์ด้าน “ความชาตินิยมสุดโต่งและการเชิดชูสงคราม” ฟาสซิสต์เชื่อว่าสงครามเป็นสิ่งที่หล่อหลอมความเข้มแข็งของชาติ และเป็นวิถีธรรมชาติของมนุษย์ การยอมจำนนหรือหลีกเลี่ยงความขัดแย้งถือเป็นความอ่อนแอ การรุกรานประเทศอื่นจึงถูกมองว่าเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของชาติที่แข็งแกร่ง แนวคิดนี้นำไปสู่การขยายอาณาเขตและการก่อสงครามในยุโรปช่วงทศวรรษที่ 1930 และกลายเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของสงครามโลกครั้งที่สอง
.
.
อัตลักษณ์อีกด้านหนึ่งคือ “การควบคุมวัฒนธรรมและความคิดของประชาชน” ฟาสซิสต์ใช้สื่อ ศิลปะ และระบบการศึกษาเป็นเครื่องมือในการปลูกฝังอุดมการณ์ รัฐเป็นผู้กำหนดสิ่งที่ควรเชื่อ ควรพูด และควรทำ ศิลปะในยุคฟาสซิสต์มักยกย่องภาพลักษณ์ของชาติ ความเข้มแข็งของชายชาติทหาร และการเสียสละเพื่อรัฐ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความคิดถูกมองว่าเป็นภัยต่อเอกภาพ การโฆษณาชวนเชื่อจึงมีบทบาทสำคัญในการสร้าง “จิตสำนึกร่วมแห่งชาติ”
.
.
อัตลักษณ์ที่ขาดไม่ได้คือ “การต่อต้านประชาธิปไตยและเสรีนิยม” ฟาสซิสต์มองว่าระบอบประชาธิปไตยทำให้ชาติอ่อนแอเพราะเปิดโอกาสให้มีความเห็นต่าง การประนีประนอม และการถกเถียง ซึ่งถูกมองว่าเป็นการสิ้นเปลืองเวลาและเป็นภัยต่อความมั่นคง รัฐฟาสซิสต์จึงปฏิเสธระบบพรรคการเมือง การเลือกตั้งเสรี และสิทธิมนุษยชนในรูปแบบตะวันตก เพื่อให้การตัดสินใจทั้งหมดอยู่ในมือของผู้นำผู้เดียว อัตลักษณ์นี้สะท้อนถึงแก่นแท้ของฟาสซิสต์ที่มุ่งสร้างรัฐที่มีพลังเด็ดขาดโดยแลกกับอิสรภาพของประชาชนทั้งหมด
.
.
อัตลักษณ์ที่สำคัญซึ่งถูกสร้างโดยฟาสซิสต์อิตาลีภายใต้การนำของเบนิโต มุสโสลินี คือแนวคิด “รัฐคือนิรันดร์ และชาติคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์” มุสโสลินีสร้างภาพลักษณ์ของอิตาลีให้เชื่อมโยงกับความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิโรมันโบราณ โดยเน้นความเป็นชาติที่เข้มแข็ง มีระเบียบ และมีผู้นำผู้ยิ่งใหญ่เป็นศูนย์กลาง รัฐฟาสซิสต์จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นคืนอำนาจแห่งอดีต มุสโสลินีใช้สถาปัตยกรรมแบบโรมัน การสวนสนามทางทหาร และพิธีกรรมทางการเมือง เพื่อปลูกฝังความภาคภูมิใจในชาติ และให้ประชาชนรู้สึกว่าตนคือส่วนหนึ่งของ “จักรวรรดิใหม่แห่งอิตาลี”
.
.
ในด้านสังคม ฟาสซิสต์อิตาลีได้สร้างอัตลักษณ์ของ “ชายชาติทหาร” (uomo fascista) ซึ่งเป็นแบบอย่างของประชาชนในอุดมคติ บุรุษในระบอบนี้ต้องมีวินัย แข็งแกร่ง เชื่อฟัง และพร้อมเสียสละเพื่อชาติ ผู้หญิงในทางกลับกัน ถูกกำหนดบทบาทให้เป็น “ผู้ให้กำเนิดชาติ” ผ่านการเลี้ยงดูลูกหลานเพื่ออนาคตของรัฐ ฟาสซิสต์อิตาลีจึงสร้างสังคมที่ยึดถือเพศบทบาทแบบเข้มงวดและมองประชาชนเป็นเครื่องมือของอุดมการณ์แห่งชาติ
.
.
ส่วนในเยอรมัน อัตลักษณ์ที่สำคัญที่สุดซึ่งถูกสร้างโดยพรรคนาซีคือแนวคิดเรื่อง “เผ่าพันธุ์อารยันบริสุทธิ์” (pure Aryan race) ฮิตเลอร์และพรรคนาซีเชื่อว่าชาวเยอรมันเชื้อสายอารยันคือเผ่าพันธุ์สูงส่งที่สุดในโลก และมีหน้าที่นำมนุษยชาติไปสู่ความยิ่งใหญ่ แนวคิดนี้ถูกใช้เพื่อสร้างเอกภาพของชาติผ่านการกีดกันและทำลาย “ศัตรูของชาติ” เช่น ชาวยิว ชาวสลาฟ และกลุ่มคนที่ถูกมองว่า “ไม่บริสุทธิ์” การโฆษณาชวนเชื่อและนโยบายของรัฐถูกออกแบบให้ยกย่องเชื้อชาติอารยันในทุกมิติ ตั้งแต่ศิลปะ กีฬา ไปจนถึงวิทยาศาสตร์
.
.
อัตลักษณ์อีกประการหนึ่งของนาซีเยอรมันคือ “ผู้นำผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งชาติ” หรือ Führerprinzip ที่ยกฮิตเลอร์ขึ้นเป็นศูนย์รวมของเจตจำนงแห่งเยอรมัน ผู้นำไม่ได้เป็นเพียงนักการเมือง แต่ถูกมองว่าเป็นบุคคลเหนือมนุษย์ ผู้มีภารกิจทางจิตวิญญาณในการฟื้นฟูเกียรติของชาติ หลังความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ฮิตเลอร์ถูกสร้างภาพให้เป็นผู้กอบกู้เยอรมันจากความอัปยศของสนธิสัญญาแวร์ซาย และเป็น “บิดาแห่งชาติ” ที่ประชาชนต้องภักดีและถวายชีวิตให้โดยไม่ลังเล
.
.
ด้วยเหตุนี้ ทั้งฟาสซิสต์อิตาลีและนาซีเยอรมันต่างสร้างอัตลักษณ์ร่วมคือ “ชาติที่มีความยิ่งใหญ่เหนือปัจเจก” ผ่านพิธีกรรม การโฆษณาชวนเชื่อ และการควบคุมวัฒนธรรมทุกด้าน รัฐทั้งสองใช้ศิลปะ สถาปัตยกรรม และสื่อ เพื่อย้ำความรู้สึกแห่งความเป็นหนึ่งเดียวและความศักดิ์สิทธิ์ของชาติ ภาพการสวนสนาม การชูสัญลักษณ์มือแบบฟาสซิสต์ และการจัดงานเฉลิมฉลองรัฐ ล้วนมีเป้าหมายเพื่อสร้างสำนึกแห่งชาติที่เหนือตัวตนส่วนบุคคล อัตลักษณ์เหล่านี้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความภักดีอย่างลึกซึ้งต่อผู้นำและรัฐ ซึ่งท้ายที่สุดนำพายุโรปเข้าสู่สงครามครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
.
.
อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการควบคุมทางวัฒนธรรมของฟาสซิสต์ได้ทิ้งร่องรอยสำคัญไว้ในประวัติศาสตร์ ทั้งในเชิงศิลปะ สถาปัตยกรรม และแนวคิดเรื่อง “ความเป็นชาติ” ที่ยังคงส่งอิทธิพลต่อการเมืองและสื่อในยุคต่อมา แม้จะอยู่ในรูปแบบที่แตกต่างกัน
.
.
ลัทธิฟาสซิสต์ถูกวิพากษ์อย่างรุนแรงจากนักวิชาการและนักการเมืองทั่วโลก เนื่องจากเป็นระบบที่ปฏิเสธเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ทั้งเสรีภาพในการพูด การแสดงความคิดเห็น และสิทธิปัจเจกชน การรวมศูนย์อำนาจในมือผู้นำเพียงคนเดียวเปิดโอกาสให้เกิดการใช้อำนาจโดยมิชอบและการปราบปรามอย่างกว้างขวาง
.
.
นักปรัชญาและนักสังคมวิทยามองว่าฟาสซิสต์เป็นผลผลิตของความหวาดกลัวและความไม่มั่นคงในสังคม โดยใช้ความกลัวเป็นเครื่องมือในการควบคุมประชาชน ผ่านการสร้างศัตรูสมมุติ เช่น คอมมิวนิสต์ ชนกลุ่มน้อย หรือชาติอื่น เพื่อรวมความเกลียดชังให้มุ่งไปในทิศทางเดียวกับรัฐ
ในเชิงเศรษฐกิจ ลัทธิฟาสซิสต์ถูกวิจารณ์ว่าขัดขวางกลไกตลาดและสร้างระบบที่อำนวยประโยชน์แก่ชนชั้นนำและรัฐบาลมากกว่าประชาชน ระบบ “corporatism” ที่อ้างว่าเป็นการประสานผลประโยชน์กลับกลายเป็นเครื่องมือในการกดขี่แรงงานและเพิ่มอำนาจรัฐเหนือภาคเอกชน
.
.
นอกจากนี้ ฟาสซิสต์ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นรากฐานของการก่อสงครามและการล้างเผ่าพันธุ์ เนื่องจากแนวคิดที่ยกย่องสงคราม ความรุนแรง และความบริสุทธิ์ของชาติ ทำให้มันกลายเป็นแรงผลักดันให้เกิดการรุกรานประเทศอื่นและการทำลายล้างชีวิตมนุษย์อย่างมหาศาลในสงครามโลกครั้งที่สอง
.
.
กล่าวโดยสรุป ลัทธิฟาสซิสต์เป็นดั่งเงามืดที่ถือกำเนิดจากความสิ้นหวังของยุคสมัย มันเกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ผู้คนเหน็ดเหนื่อยจากความโกลาหลของสงคราม ความยากจน และความสับสนทางอุดมการณ์ ฟาสซิสต์เสนอคำมั่นแห่งความยิ่งใหญ่ ความเป็นหนึ่งเดียว และระเบียบอันเข้มแข็ง ทว่าในความงดงามของถ้อยคำเหล่านั้น กลับซ่อนความโหดร้ายของการปฏิเสธเสรีภาพและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ไว้เบื้องหลัง มันคือภาพลวงตาที่ทำให้ผู้คนศรัทธาว่าการก้มหัวต่ออำนาจคือหนทางแห่งความรุ่งเรือง
.
.
และเมื่อเงาแห่งฟาสซิสต์จางหายไปจากซากปรักของสงคราม สิ่งที่หลงเหลือไม่ใช่เพียงบทเรียนทางการเมือง แต่คือเสียงสะอื้นของยุคสมัยที่ตระหนักว่า ไม่มีอุดมการณ์ใดสูงส่งกว่าคุณค่าของชีวิตและเสรีภาพของปัจเจกชน ฟาสซิสต์จึงกลายเป็นอนุสรณ์แห่งความหลงใหลในอำนาจ ที่สอนมนุษย์ให้เข้าใจว่าความยิ่งใหญ่แท้จริงมิได้อยู่ในการบังคับผู้อื่นให้ศรัทธาเหมือนตน แต่อยู่ในการยอมรับความหลากหลายแห่งหัวใจมนุษย์ที่แตกต่างกัน และยังคงเต้นอย่างอิสระในโลกที่เคยถูกพันธนาการด้วยความกลัว

https://www.facebook.com/photo/?fbid=887952380405540&set=a.850442700823175



ปรากฏการณ์ความรุนแรงในยุคทรัมป์ ดูเหมือนจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บ้านของผู้พิพากษา Diane Goodstein ไฟไหม้หลังตัดสินไม่เห็นด้วยกับทรัมป์ โดยระงับไม่ให้ South Carolina ส่งมอบข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ลงคะแนนเสียงหลายล้านคนให้กับรัฐบาลทรัมป์ เมื่อเดือนที่แล้ว









https://x.com/CollinRugg/status/1974944691008495645


 

ภาพเก่าในอดีต ประวัติศาสตร์ที่ถูกทำให้เงียบ 6 ตุลาคม 2519

https://www.facebook.com/arun.kennedy.75/posts/1227662962724228

https://www.facebook.com/preecha.photi/posts/pfbid0EUc4hVPe1sxZMqDNDhQPN4fmc3iXahhDc5WKNiJ4vhx81kynMps8NXNKHTa39iehl

Preecha Photi at คณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์.
4 hours ago
·Bangkok, Thailand ·

ประวัติศาสตร์ที่ถูกทำให้เงียบ
6 ตุลาคม 2519
บ่ายวันนี้ ผมไปนั่งในห้องบรรยาย ร.103 อีกครั้ง
หลังจากเรียนจบไป 34 ปี เพื่อร่วมงานเปิดตัวหนังสือแปลเล่มสำคัญของพี่แหม่ม สุภัตรา ภูมิประภาส เรื่อง 6 ตุลาคม ห้วงแห่งความเงียบงัน แปลจาก Moments of Silence: The Unforgetting of the October 6, 1976, Massacre in Bangkok เขียนโดย ศ.ดร. ธงชัย วินิจจะกุล
วันนี้ห้อง ร.103 แน่นขนัดไปด้วยผู้คนมากหน้า
หลายวัย ผู้คนที่ตื่นตัวทางการเมืองเพื่อมาร่วมรับฟังเรื่องราวอาชญากรรมโดยรัฐ ที่ก่อเหตุความรุนแรง
ต่อนิสิตนักศึกษาขณะที่ประท้วงการกลับมาของจอมพลถนอม กิตติขจร จนนำไปสู่โศกนาฏกรรมและสร้างความเงียบงันจนถึงปัจจุบัน
รุ่งสางของวันที่ 6 ตุลาคม เสียงปืนนัดแรกดังขึ้น ตามมาด้วยห่ากระสุนระดมยิงเข้ามา ล้อมปราบนักศึกษาที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เจตนาล้มล้างสถาบัน นำไปสู่การใช้ความรุนแรงและเข่นฆ่านักศึกษาอย่างไร้ความปราณี ผู้ใช้ความรุนแรงเป็นตำรวจ ลูกเสือชาวบ้าน และกลุ่มคนนิยมขวา ขณะที่สร้างความเกลียดชังโดยทหาร ผ่านไป 49 ปี ความเงียบงันของเหตุการณ์ยังคงปกคลุมสังคมไทยด้วยการเลือกที่จะนิ่งเงียบ
ไม่พูดถึง แม้กระทั่งเจ้าของร่างที่ถูกลากออกไปแขวนกับต้นมะขามที่สนามหลวงก็ยังไม่ทราบว่าเป็นใคร
คนที่ยกเก้าอี้ขึ้นออกแรงฟาดไปยังร่างที่ไร้ลมหายใจ
ก็ยังไม่ทราบว่าเป็นใคร ทั้งๆที่มีภาพถ่ายจากสำนักข่าวแห่งหนึ่งซึ่งได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ ก็ตาม
เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ควรจะได้รับการบอกเล่าเพื่อเป็นบทเรียนของสังคมไม่ควรถูกปล่อยให้เงียบ อาชญากรรมโดยรัฐเมื่อ 49 ปีก่อน ยังคงมีอยู่ในสังคมไทย เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบจากการใช้ความรุนแรง เป็นการใช้กฎหมายกักขังผู้คนที่เห็นต่าง ยัดเยียดความอยุติธรรมด้วยกระบวนการยุติธรรม
หนังสือเล่มนี้ จะช่วยส่งเสียงอันเงียบงันให้ดังขึ้น
ในการรับรู้ของผู้คนในสังคมได้

https://www.facebook.com/themomentumco/posts/pfbid0MkhhEoSaAQknWjxwLJtihMewB1tzaGA3eVPDVJR1C1yQj4PeCfxXAv1fcPRsRDZQl

The Momentum
5 hours ago
·
530 ราย คือจำนวนผู้เสียชีวิตจากการเข้าไปเก็บศพของมูลนิธิร่วมกตัญญู
.
100 รายขึ้นไป คือจำนวนผู้เสียชีวิตจากการคาดการณ์โดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
.
46 ราย คือจำนวน ‘ขั้นต่ำ’ ของผู้เสียชีวิตที่ตรวจสอบและรวบรวมโดยโครงการ ‘บันทึก 6 ตุลา’
.
การล้มตายครั้งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากภัยพิบัติธรรมชาติครั้งใหญ่ แต่เกิดจากกระสุนปืนและอาวุธหนักของเจ้าหน้าที่รัฐและมวลชน ‘ฝ่ายขวา’ ที่ร่วมกันปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมืองภายในรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 จนเกิดเป็นภาพของชายและหญิงในชุดนักศึกษาขาดรุ่งริ่ง เต็มไปด้วยคราบเลือด กับภาพของมวลชนทั้งผู้ที่กำลังง่วนอยู่กับการใช้อาวุธทุบตีร่างของเยาวชน และผู้เฝ้ามองการกระทำไร้มนุษย์ด้วยรอยยิ้ม
.
หากจะตอบคำถามว่า อะไรคือปัจจัยสำคัญที่พาการชุมนุมอย่างสันติไปสู่การนองเลือด คำตอบคงมีไม่มากนัก และหนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นการรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ยุคนั้น ที่มีอิทธิพลตั้งแต่การสร้างความเป็นอื่นให้กับผู้ชุมนุมด้วยการกล่าวหาว่าเป็น ‘คอมมิวนิสต์’, การ ‘บิดเบือน’ เจตนารมณ์ในการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความเกลียดชัง ไปจนถึงการ ‘ปลุกระดม’ ให้เกิดการปราบปรามคนเห็นต่างอย่างเหี้ยมโหด
.
เมื่อสื่อมวลชนถูกมองว่าเป็นเครื่องมือชี้นำสถานการณ์บ้านเมืองได้ หลังการสังหารหมู่ในเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519 คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินจึงเข้าควบคุมสื่ออย่างเบ็ดเสร็จ โดยสั่งปิดหนังสือพิมพ์และสื่อทุกแขนง พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข่าวสาร เพื่อเซนเซอร์เนื้อหาที่ตัวเองไม่อยากให้เผยแพร่ ไปจนถึงออกคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 5 ซึ่งคำสั่งตอนหนึ่งระบุว่า
.
“ให้หนังสือพิมพ์รายวัน และสิ่งตีพิมพ์ต่อประชาชนอื่นๆ ที่เสนอข่าวและข้อเขียนแสดงความคิดเห็นทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ หยุดทำการพิมพ์ออกจำหน่ายจ่ายแจก ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้จนกว่าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น”
.
นี่คือเหตุผลว่า เหตุใดหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคมจบลง จึงไม่มีการนำเสนอข่าวอย่างต่อเนื่อง และกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งในวันที่ 9 ตุลาคม 2519 ภายใต้คณะกรรมการตรวจสอบข่าวสาร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นใหม่ เพื่อ ‘เซนเซอร์’ การรายงานข่าวเหตุการณ์ 6 ตุลาคมโดยเฉพาะ
.
The Momentum พาไปสำรวจการกล่าวถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 บนหน้าหนังสือพิมพ์ทั้งของไทยและของต่างประเทศ เพื่อให้เห็นกันชัดๆ ว่า ความสูญเสียทางการเมืองถูกพูดถึงด้วยถ้อยคำใด ความแตกต่างของเนื้อข่าวระหว่างหนังสือพิมพ์ที่ถูกควบคุมโดยกองทัพฝ่ายขวา กับหนังสือพิมพ์ที่เป็นอิสระ ไปจนถึงการลงรายละเอียดของเหตุการณ์ว่า พวกเขาให้ความสำคัญกับ ‘ข้อเท็จจริง’ มากน้อยเพียงใด
.
อ่านบทความ กบฏ พวกทำลายชาติ นักศึกษา หนังสือพิมพ์ไทย-ต่างประเทศ กล่าวถึงวัน ‘นองเลือด’ 6 ตุลาฯ อย่างไร ได้ทาง https://themomentum.co/feature-6-oct-2519

Atukkit Sawangsuk ·
10 hours ago
·
ขนุน บอกว่าอ่านหนังสือ 6 ตุลาคม ห้วงแห่งความเงียบ ไม่จบ
อ่านไม่ไหว (หยุดสะอื้น)
“ยุคอาจารย์มันคือการประหัตประหาร
ยุคผมมันคือการจองจำ ใช่ มันเบามาก แต่อย่างพี่อานนท์ 27 ปี…“