การสืบความพยานจำเลยนัดสุดท้าย
ในคดีชูป้ายค้านรัฐประหารซึ่งนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน เป็นหนึ่งในผู้ต้องหาขัดคำสั่ง
คสช. ร่วมกับเพื่อนๆ กลุ่มนักศึกษา ‘ดาวดิน’
เมื่อวันที่ ๑๘ ก.ย. มีนัยยะทั้งทางการเมืองและด้านกฎหมายอันสำคัญ เพื่อการปักหลักมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตยสำหรับประเทศไทย
เมื่อศาสตราจารย์ ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์
ในฐานะพยานจำเลย ตอบข้อซักถามของ ไผ่ ดาวดิน
จำเลยซึ่งทำหน้าที่ทนายซักพยานด้วยตนเองว่า
“คณะรัฐประหารทุกคณะสับสนระหว่างอำนาจของตนเองกับอำนาจของรัฐ
การคัดค้าน คสช.ของจำเลยกระทบต่อความมั่นคงของ คสช.
ไม่ใช่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ”
นั้นเป็นการให้ข้อคิดเห็นต่อคำถามของผู้ซักความที่ว่า
“หากมองในมุมประวัติศาสตร์สังคมศาสตร์ การกระทำของจำเลยสมควรได้รับโทษหรือไม่”
ดร.นิธิเป็นนักวิชาการภาควิชาประวัติศาสตร์
สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มาเป็นเวลายาวนาน หลังจากจบปริญญาเอกสาขาประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ในสหรัฐอเมริกา เมื่อศาลทหารย้ำถามถึงความแน่ใจหรือ ว่าต้องการให้ศาลบันทึกคำตอบเช่นนี้
ทั้งพยานและจำเลยผู้ซักตอบพร้อมกันว่า ‘ใช่’
คดีวันนี้เป็น ๑ ใน ๕
คดีเกี่ยวเนื่องกับการต่อต้านรัฐประหาร
และการทำกิจกรรมตามสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยของ ไผ่ ดาวดิน
ซึ่งเมื่อสิ้นสุดการซักพยาน ศาลยินยอมให้มารดาของไผ่
ยื่นประกันขอปล่อยตัวชั่วคราวในสองคดีที่เหลือ ในวงเงินประกันคดีละ ๑ หมื่นบาท
หากแต่ไผ่ยังไม่ได้รับการปล่อยตัวจากการคุมขังในเรือนจำพิเศษขอนแก่น
เพราะคำตัดสินจำคุก ๒ ปี ๖ เดือน จากการรับสารภาพในข้อกล่าวหาความผิดตาม ม.๑๑๒
ที่เขาแชร์บทความพระราชประวัติรัชกาลที่ ๑๐ ของสำนักข่าว บีบีซีไทย
ขณะนี้ไผ่ถูกคุมขังมาแล้วเกือบสองปี การได้ประกันตัวในสองคดีคัดค้านรัฐประหาร
(อีกคดีหนึ่งยังไม่ได้เริ่มสืบพยาน)
ทำให้นำไปใช้อ้างในการยื่นขอพักโทษจากเรือนจำก่อนกำหนดได้
เนื้อหาการถามตอบในการซักพยานของไผ่
จัดว่าเป็นบันทึกหลักการในทางปกครองประชาธิปไตยไว้อย่างลุ่มลึก
ในการพิจารณาคดีของศาลทหาร มทบ.๒๓
ต่อคำถามว่าไทยมีการรัฐประหารมาแล้วกี่ครั้ง
พยานตอบว่า ๑๓ ครั้ง แต่มีนัยยะสำคัญเพียงสองครั้ง คือรัฐประหาร ๒๔๗๖ และ ๒๕๕๗ โดยครั้งแรกพลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาเข้ายึดอำนาจ
“เพื่อรื้อฟื้นระบอบการปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญกลับคืนมา
เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า กองทัพมีหน้าที่รักษารัฐธรรมนูญ ถือเป็นตัวอย่างที่ดี”
แต่การรัฐประหาร ๒๒ พ.ค. ๒๕๕๗
โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “เป็นการตัดโอกาสอนาคตที่สำคัญของประเทศไทย ผลของการรัฐประหารทำให้เกิดความทรุดโทรมทางเศรษฐกิจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน”
และยัง
“เป็นการตัดโอกาสที่ประชาชนจะได้เรียนรู้การใช้สิทธิและเสรีภาพ เนื่องจากรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี ๒๕๕๗ จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน และเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ก็ริดลอนอำนาจประชาชนในการกำกับควบคุมการบริหารประเทศ” ด้วย
นอกนั้น ดร.นิธิได้ตอบคำถามของจตุภัทร์ถึงบทบาทของเยาวชนและนักศึกษาในประวัติศาสตร์ไทยว่า
คนหนุ่มคนสาวมีบทบาทมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ในการแย่งอำนาจการปกครองมาจากขุนนาง
และมาเด่นชัดในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง “ในการร่วมมือกับนายปรีดี พนมยงค์
ในการสร้างขบวนการเสรีไทย
เพื่อต่อต้านและขับไล่ญี่ปุ่นที่ยึดครองประเทศไทยในขณะนั้น”
ต่อบทบาทของนักศึกษาในการต่อต้านรัฐประหาร
อจ.นิธิตอบไผ่ว่า นักศึกษาได้ร่วมมือกับประชาชนขับไลเผด็จการจอมพลถนอม กิตติขจร
ในเหตุการณ์เดือนตุลาคม ๒๕๑๖ ต่อมาก็ต่อต้านการรัฐประหารโดยคณะ รสช.
“ดังนั้นแม้ปัจจุบัน คสช.
จะเห็นว่าการคัดค้านรัฐประหารเป็นความผิด
แต่ในระยะยาวแล้วอาจจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม” และโดยความจริงคำสั่ง
คสช.ที่เอาผิดจำเลยเป็นเพียงกฎหมายชั่วคราว
“การชูป้ายคัดค้านรัฐประหารของจำเลย
ไม่ได้ก่อให้เกิดความรุนแรงหรือกระทบต่อความมั่นคงของรัฐแต่อย่างใด
เป็นเพียงการแสดงให้เห็นว่า จำเลยไม่อยากเห็นประเทศไทยเดินถอยหลัง”
การคัดค้านรัฐประหารจึงไม่กระทบความมั่นคงชาติ
เว้นแต่ว่าจะให้ต้องยอมรับว่า คสช. คือชาติ
(เรียบเรียงจากบทความโดย TLHR -19/09/2018 http://www.tlhr2014.com/th/?p=8953 และโดยประชาไท https://prachatai.com/journal/2018/09/78756)