วันอังคาร, มีนาคม 31, 2563

รู้แระ ที่การสู้ไวรัสไล่ไม่ทันโควิด เพราะ "ผู้ใหญ่กังวล" และ "กลัวผู้ใหญ่จะว่า"


ดังที่แอนดรูว์ โคโม ผู้ว่าฯ นิวยอร์ค บอกน่ะนะ ไม่ใช่เวลาที่จะพะวงกับการเมืองในเวลานี้* (ไม่จำเป็นต้องจ้องหาเสียงไปทุกจังหวะก้าว เหมือนรัฐบาลไทย –ผู้เขียน) ขนาดต้องหยุดรายงานข่าวไฟไหม้หนักที่เชียงใหม่ เพราะทำให้ “ผู้ใหญ่กังวล”

จากโพสต์บนเพจ I Green เมื่อวาน “มีคำสั่งด่วน! จากส่วนราชการในเชียงใหม่ ห้ามเผยแพร่ภาพมุมสูงไฟป่าในทุกพื้นที่และทุกกรณี ทีมโดรนอาสาฯ แจ้งรองผู้ว่าฯ ขอถอนตัวจากภารกิจ...เพื่อให้ราชการสบายใจ”

หลังจาก ผู้ใหญ่ บอกว่าเห็นภาพมุมสูงจากโดรนแล้ว “กังวลกับความรุนแรงของภาพ” จากนั้น “ได้มีการตั้งด่านสกัดไม่ให้ทีมโดรนอาสาเข้าไปในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ” นัยว่า “สื่อมวลชนแขนงอื่นๆ นำไปเสนอต่อนั้น อาจส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่”
 
บทความวิเคราะห์ความน่าจะเป็น ที่ทีมโดรนและหน่วยงานเกี่ยวข้องในกลุ่ม บินดับไฟดอยสุเทพโดนห้าม เพราะ “ภาพไฟเหล่านั้นมันฟ้องว่า นั่นคือความล้มเหลวในการแก้ปัญหา” และ “เป็นแนวทางการซุกขยะไว้ใต้พรม หรือปกป้องหน้าตาของผู้ใหญ่บางคนที่ไร้ประสิทธิภาพ”

อีกข้อ “(บางคนอ้าง) อาจมีผู้ไม่หวังดีนำภาพไปเรี่ยไรขอรับบริจาคหรือหาประโยชน์อื่น” นั่นอาจเนื่องจาก วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล นักเขียนและพิธีกรชื่อดัง เปิดรับบริจาคเงินช่วยดับไฟป่าที่เชียงใหม่ แล้วถูกตำรวจนายหนึ่งโทรศัพท์ไปสั่งห้าม

“โดยบอกว่าเป็นคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่...ตั้งข้อสงสัยว่าผมได้เอาชื่ออุทยานมาอ้างเพื่อเรี่ยไรเงินบริจาคอย่างไม่โปร่งใสหรือไม่...แจ้งว่าการเรี่ยไรเงินบริจาคและการกระจายเงินกันเองโดยภาคประชาชน เป็นเรื่องไม่สมควรทำ”
สิงห์ลูกชายเสกสรรค์ เขียนเล่าเหตุการณ์เพื่อแจงว่า “ได้รับการติดต่อจากผู้ว่าเชียงใหม่แล้วว่าไม่ได้สั่งการมา เลยกำลังสอบสวนอยู่ว่าเรื่องมันเป็นยังไง ตำรวจท่านนั้นทำงานตามคำสั่งใคร” ลงท้าย ทราบแล้วตำรวจที่โทรมาหาเขาเป็นใคร

นั่นก็แบบเดียวกับที่มีการสั่งภายใน ห้ามโรงพยาบาลและบุคคลากรการแพทย์โพสต์ขอรับบริจาคอุปกรณ์ป้องกันและต่อสู้เชื้อไวรัส เช่นที่ผู้ใช้นาม Jerng Wichak Kanchanauthai เขียนบ่น “น้องๆ แผนกอายุรกรรมหลายคนโทรมาปรึกษา โทรมาระบาย

ถึงความไม่พร้อมในการดูแลผู้ป่วย เราขาดอาวุธครับ ทุกๆ คนรับรู้บ้างมั้ย...ผู้บริหารบางคนไม่เคยช่วยอะไรเลย นอกจากมือไม่พาย เอาเท้าราน้ำไปวันวัน...ผมเห็นใจท่าน ผอ.มากนะครับ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ขอบริจาคก็โดนกดดันอย่างหนักให้ปิดบัญชี ปิดการรับของ”

อีกราย ‘1412 Cardiology’ ว่า “เค้าไม่กล้าโพสต์กันเพราะกลัวผู้ใหญ่จะว่า กลัวจะโดนเรียกไปคุย โทรมาหา และสั่งให้ลบ...ความจริงคือโรงพยาบาลรัฐ รวมถึงโรงเรียนแพทย์หลายแห่ง ตอนนี้ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐแต่อย่างใดเลย”

จึงต้องให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขออกมาแถลงแก้ไข “ก็เห็นด้วยที่ต้องสนับสนุนให้เพียงพอ ขาดเหลืออะไร หากเขาหาของในท้องตลาดไม่ได้ เราก็ต้องสนับสนุนให้เต็มที่ ก็สามารถบริจาค ผ่านศูนย์โควิด หรือ ผอ.โรงพยาบาลต่างๆ”


นี่แหละวิธีการบริหารแบบจักรพรรดิ เอาตัวเองเป็นที่ตั้งไว้ก่อน นึกอะไรก็โพล่งออกไป พอดูคลิปไฟไหม้หวาดเสียวก็สั่งห้ามฉาย หรือพอเห็นผู้ว่าฯ คนหนึ่งทำได้ดีก็นึกว่าจะมาแข่งบารมี ผู้นำปากเสีย ปากพล่อย ส่ายปากหาส้น ให้มันเสียกระบวนนั่นละ
 
*(หมายเหตุ –แอนดรูว์ตอบข้อซักถามที่ว่าประธานาธิบดีพูดถึงตน-จะเป็นคู่ชิงดีกว่าโจ ไบเด็น-ก็ขอบใจ และเรื่องโรงเก็บอุปกรณ์การแพทย์ในนิวเจอร์ซี่ย์ที่ทรั้มพ์แซะ ก็เพื่อมาตรการต่อสู้เมื่อถึงขีดสุดต้องพร้อมนำออกมาใช้ได้ทันที ถ้าอยากจะกล่าวโทษก็ว่ามา

ขณะที่ในการแถลงความคืบหน้ากรณีการระบาดของไวรัส ทรั้มพ์ได้เชิญซีอีโอของบริษัท มายพิลโล่ผู้ผลิตหน้ากากอนามัย ขายให้ไปโฆษณาฟรีสรรพคุณการผลิตของตน จากที่เคยได้แสนชิ้นต่อวัน เดี๋ยวนี้ ๒ แสน ต่อไปจะได้ ๕ แสน

นอกจากนั้นยังกล่าวชื่นชมทรั้มพ์ว่าเป็นผู้นำเยี่ยมยอดในการต่อสู้ โคโรน่าข่าวโพลิติโกระบุว่าเขาบอกกับพนักงาน ประธานาธิบดีหนุนให้เขาลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐมินเนโซตา “เพื่อให้มินเนโซต้าเป็น แดง–รีพับลิกัน- ต่อไปหลังการเลือกตั้ง ๒๐๒๐)

ไม่ใช่สลิ่มคิดไม่ได้ เลยไม่ถูกใจสิ่งนี้ 555




เมื่อวันที่ 30 มีนาคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ โดยชื่นชมความเสียสละของบุคลากรทางการแพทย์ โดยระบุว่า

การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ ทำให้ทุกคนตกอยู่ในความหวาดกลัวและวิตกกังวล แต่สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ที่ถือว่าเป็นหน่วยหน้าที่ต้องรับภาระหนักหนาสาหัส โดยเฉพาะในปัจจุบันอุปกรณ์ที่ใช้ในการป้องกันและรักษาโรคยังไม่เพียงพอ อีกทั้งวัคซีนยังอยู่ในระหว่างการคิดค้นอยู่นั้น แต่ด้วยจรรยาบรรณในวิชาชีพ แพทย์ พยาบาล รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านยังคงทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถในการดูแลรักษาผู้ป่วย ทั้งที่หลายท่านต้องอยู่ห่างจากครอบครัว และบางท่านต้องติดเชื้อ

ดิฉันขอขอบคุณและชื่นชมในความเสียสละของบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่าน และขอส่งกำลังใจให้กับทุกท่านนะคะ พวกเราคนไทยทุกคนรับรู้ได้ด้วยใจว่าพวกท่านคือวีรบุรุษในยามยากของคนไทยค่ะ

พวกเราทุกคนควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นการลดภาระแก่บุคลากรทางการแพทย์ เราควรดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ด้วยการรักษาความสะอาด รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะได้ต้านโรคและมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการออกจากบ้านโดยไม่จำเป็น หรือการรักษาระยะทางสังคม Social Distancing ก็เป็นเรื่องที่สำคัญนะคะ ส่วนผู้ป่วยติดเชื้อ ดิฉันขอส่งกำลังใจให้ทุกท่านหายจากโรคโดยเร็วค่ะ

ในช่วงนี้ก็ขอให้ติดตามข่าวสารจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ตระหนักรู้กับข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างมีสติ จะทำให้ทุกท่านรู้ทันกับโรคโควิด-19 ค่ะ แล้วเราจะผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปด้วยกัน ด้วยรักและห่วงใยพี่น้องคนไทยทุกคนค่ะ


Thanapol Eawsakul โพสต์ข้อมูลน่าสนใจที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณที่สนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์



อาจจะมีงบกลางที่ไม่ถูกเปิดเผยอีก

..................

รายงานข่าวที่น่าสนใจในปี 2563 ของประชาไท เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2563

เปิดงบประมาณปี 2563 ส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.9 หมื่นล้านบาท
https://prachatai.com/journal/2020/03/86761

ผลสะเทือนของข่าวชิ้นนี้ มีอย่างมากแม้แต่ในเพจ รอนัลลิสต์อย่าง Royal World Thailand - รอยัล เวิลด์ ประเทศไทย ได้ตระหนักถึงเรื่องนี่ดี ในกรณ๊ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ได้ระบุว่า

"สมเด็จหญิงได้ทรงแกรนด์โอเพนนิ่งเสื้อผ้าคอลเลกชั่นใหม่ของแบรนด์ในพระองค์ “SIRIVANNAVARI BANGKOK” คอลเลกชั่นฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2020 ซึ่งเป็นโอกาสวาระพิเศษฉลองครบ 15 ปีของการก่อตั้งแบรนด์นี้ ซึ่งงานนี้ถึงแม้จะจบลงอย่างสวยงามด้วยเสียงปรบมือในงานและกระแสดีงามในสื่อแฟชั่นที่บรรยายถึงพระปรีชาสามารถและผลงานไปตามเนื้อผ้า แต่...เสมือนว่ามีโลกสองใบ ยังมีดราม่าระลอกใหม่เกิดขึ้น ประดุจภูเขาไฟกรากะตัวเคลื่อนมาอยู่ใกล้ๆ

โลกทั้งสองใบนี้มาป๊ะกันชนิดที่ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือตั้งใจ เมื่อสื่อสำนักข่าวดังได้เผยแพร่เอกสารออนไลน์เกี่ยวกับการงบประมาณที่สนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์ในเงินจำนวนมาก และหนึ่งในนั้นคือการสนับสนุนงบประมาณกระทรวงพาณิชย์ ในโครงการจัดแสดงสินค้าสำหรับแบรนด์ของพระองค์ด้วยในจำนวนเงินถึง 13 ล้านบาท ประเด็นนี้เอง ทำให้เกิดความหฤหรรษ์บันเทิงในโลกออนไลน์อีกระลอก เมื่อประชาชนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันอย่างกว้างขวาง และตั้งข้อกังขาว่าแบรนด์ส่วนพระองค์ใช้ภาษีจากประชาชนมาตลอดหรือไม่? เมื่อมียอดขายจากสินค้าในแบรนด์นี้จะมีการจัดการด้านรายได้อย่างไร?"

https://www.facebook.com/…/a.91883632822…/2569934253111612/…

..........................

กลับมาที่ งบประมาณปี 2563 ส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.9 หมื่นล้านบาท

ได้ระบุว่าในข้อ 2 มี งบกลาง 6,528 ล้าน แบ่งเป็น

2.1 การเสด็จพระราชดำเนินและต้อนรับประมุขต่างประเทศ 1,000 ล้าน

2.2 (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ได้รับความสะดวกปลอดภัยสูงสุด การถวายปฏิบัติการบินได้รับการตอบสนองอย่างสมพระเกียรติเมื่อได้รับการร้องขอ 5,528 ล้าน*

*หมายเหตุ ข้อ 2.2ในส่วนวัตถุประสงค์ของแผนงานพื้นฐานด้านความมั่นคง ผลผลิตที่ 1 การบริการจัดการของรัฐบาลด้านความมั่นคง สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ระบุว่า "เพื่อตอบสนองภารกิจของนายกฯในการปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัยและอารักขาพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ รวมทั้งผู้บัญชาชั้นสูง" งบประมาณ 5,538,537,700 บาท

ขณะที่ในส่วนตัวชี้วัดเชิงคุณภาพระบุ ร้อยละ 100 คือ "การถวายการปฏิบัติการบินได้รับการตอบสนองอย่างสมพระเกียรติเมื่อได้รับการร้องขอ" (ดูหน้า 317 ฉบับที่ 3 งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เล่มที่ 1) (เพิ่มเติมหมายเหตุ เวลา 23.45 น.วันที่ 12 มี.ค.63)

......
ข้อ 2.1 จำนวน 1,000 ล้านบาท นั้นตรงกับเอกสารที่เผยแพร่ของกรมบัญชีกลาง
แต่ข้อ 2.2 จำนวน 5,528 ล้าน ยังไม่เปิดเผย


4คลิปซอยย่อยสั้นๆ อ.สุนัย - 1.รปห.ต่อเนื่อง 10ปีมีแต่ซื้ออาวุธ หมดตูดเมื่อเจอวิกฤตโควิด 2.ผ่าตัดใหญ่ใช้ทหารทำ... 3.งบกลางไอ้ยุทธ์เอาไปใช้อะไร “ตายปายก็พูกม่ายล่าย” 4.อำมาตย์หมอใหญ่สายไอ้ยุทธ์ไม่ธรรมดา...



*แปลกดี 4คลิปซอยย่อยสั้นๆผ่านหมด แต่รีรันชุดยาวยังไม่ผ่าน รีบนำมาเสนอท่านก่อนครับ

1)รปห.ต่อเนื่อง 10ปีมีแต่ซื้ออาวุธ หมดตูดเมื่อเจอวิกฤตโควิด
https://youtu.be/lJCxb_4L0m0

2)ผ่าตัดใหญ่ใช้ทหารทำ คนระยำยืดเวลาไปคนไข้ตายแน่
https://youtu.be/4yGfUsaqPEA

3)เพื่อไทยประสานเสียงนักวิชาการ ถามงบกลางไอ้ยุทธ์เอาไปใช้อะไร “ตายปายก็พูกม่ายล่าย”
https://youtu.be/wzGeqB8FWt0

4)อำมาตย์หมอใหญ่สายไอ้ยุทธ์ไม่ธรรมดา ทำผิดยังกล้าสหบาทารัฐมนตรี
https://youtu.be/qJSv0G3AD1k


'แพทย์' โพสต์ฉะยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ ย้ำหน้ากาก N95 ขาดแคลนหนัก



'แพทย์' โพสต์ฉะยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ ย้ำหน้ากาก N95 ขาดแคลนหนัก

Mar 30, 2020
CH3Thailand News
269K subscribers


สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยขณะนี้ ทางด้านบุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะประเด็นของอุปกรณ์ในการป้องกันตัวทางการแพทย์ ซึ่งขณะนี้มีไม่เพียงพอกับกรใช้งาน จนบุคลากรทางการแพทย์ ต่างแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมากนั้น 

ล่าสุดทางเพจเฟซบุ๊ก 1412 Cardiology ซึ่งเป็นเพจของหมอผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ ได้โพสต์ข้อความโดยระบุว่า เค้าไม่กล้าโพสต์กันเพราะกลัวผู้ใหญ่จะว่า กลัวจะโดนเรียกไปคุยโทรมาหาและสั่งให้ลบ ไม่เป็นไรผมโพสต์ให้เอง เพจผมสร้างขึ้นมาจาก 0 โดยไม่ได้ยึดโยงกับโรงพยาบาล สมาคม หรือหน่วยงานใดทั้งสิ้น 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://ch3thailandnews.com/news/179520
...


...


...


#ประชาชนคือเจ้าของภาษีอากร
เราขอเรียกร้องให้นายกตู่
#คืนความสุขให้คุณหมอ ทุกคน

ด้วยการเจียดเงินมาซื้ออุปกรณ์
ให้หมออย่าง ”เพียงพอ” ด้วยค่ะ
#รัฐบอกพอทำไมหมอต้องขอบริจาค

เราควรจัดลำดับงบประมาณ
ในการซื้ออุปกรณ์การแพทย์
ก่อนซื้อรถถัง, เรือดำน้ำ นะคะ

#ถ้าหมอตายเราจะตายกันหมด ค่ะ
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย
30 มีนาคม 2563
#COVID19
#ไขลานความคิด


สุดสิ้นหวังไม่มีงานทำ ชายวัย 37 ก้มหน้าหอบถุงปุ๋ยใส่เสื้อผ้า เดินเท้ากลับบ้าน หลังไม่มีผู้จ้างงาน เพราะพิษโควิด




ชายวัย 37 ก้มหน้าหอบถุงปุ๋ยใส่เสื้อผ้า เดินเท้ากลับบ้าน หลังไม่มีผู้จ้างงาน เพราะพิษโควิด

Joey
2020-03-24
Baterk.com

สุดสิ้นหวังไม่มีงานทำ ส่งเงินให้ที่บ้านไม่ได้ ตังค์ติดตัวไม่กี่สิบบาท พอซื้อน้ำกินดับกระหาย...

ที่จังหวัดปราจีนบุรี มีผู้พบเห็นชายหนุ่มวัยกลางคน เดินก้มหน้าก้มตาแบกถุงปุ๋ยเดินฝ่าแสงแดนร้อนระอุบ่าย 2 โมง บนถนนสาย 304 กบินทร์บุรี - นครราชสีมา ขาล่องฉะเชิงเทราก่อนถึงโรงพยาบาลกบินทร์บุรี

เมื่อเข้าไปสอบถาม ทราบชื่อนายสมชาย ทองหล่อ อายุ 37 ปี อยู่บ้าน ต.สวาย อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ โดยอาศัยอยู่กับพ่อและพี่น้อง 5 คน ตนเป็นคนโตทางบ้านมีอาชีพทำไร่อ้อย 4 ไร่ หลังจากทำไร่อ้อยเสร็จไม่มีงานทำ ตัดสินใจเดินทางออกจากบ้านเพื่อที่จะไปหางานทำวัดบ่อเงินบ่อทอง ต.หนองแหน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา

นายสมชายเผยว่า เมื่อก่อนเคยบวชและศึกษาอยู่ที่นั่นราวๆ 5- 6 ปี โดยมีพระมหาแผน ฐิติธรรมโม เจ้าอาวาสวัดอบรมสั่งสอนมาเสมือนดั่งพ่อคนหนึ่งและลาสิกขาไปช่วยพ่อแม่ทำไร่อ้อย ออกจากบ้านมีเงินติดตัวมา 500 บาท ขึ้นรถทัวร์มาแต่พนักงานบอกตีตั๋วปลายทางได้แค่กบินทร์บุรี เหลือเงิน 100 กว่าบาท และซื้อน้ำของกินบ้างเหลือเงินติดตัว 80 บาท

จึงตัดสินใจมาลงที่บขส.กบินทร์บุรี และเดินเท้าต่อไป 1-2 วันคงถึงวัดฯ และได้ให้เบอร์โทรศัพท์เจ้าอาวาสวัดให้สอบถาม ผู้สื่อข่าวได้โทร.หาเจ้าอาวาสได้รับคำตอบว่า รู้จักนายสมชายดีเคยบวชและมาช่วยทำงานที่วัดมาก่อน ทางวัดเองมีงานก่อสร้างอยู่บ้างหากจะมาก็ยินดีต้อนรับ

ขณะเดียวกันแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวชายสี่ คุณสมหมาย ภู่แพง ทราบจึงสงสารเพราะเป็นคนไทยด้วยกัน ยิ่งมีข่าวโรคระบาดคิดว่าอาจจะถูกเลิกจ้างในพื้นที่ปราจีนบุรีแต่ทราบจึงให้เงิน 1,000 บาทและลูกจ้างในร้านให้อีก 200 บาท และทำข้าวกล่องให้กินระหว่างทางอีกด้วย ผู้สื่อข่าวจึงไปส่งขึ้นรถที่ บขส.ไปยังที่หมาย จากนั้นจึงกลับไปทำข่าวในพื้นที่ต่อไป...



ข้อมูลและภาพจาก PoliceMagazine2
...

ข่าวในหลวงในสื่อนอก... "Everyone has his own lockdown"







ดูโลโก้ก็รู้ว่าเอียง




โลโก้ใหม่ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ


#ทู่เรด ภาพที่ทำให้ผู้ใหญ่ไม่สบายใจ








ไฟไหม้ต้องแจ้งใคร
รัฐอยู่ไหน มาช่วยที

ไหม้แล้วหลายพันไร่
ฝุ่น ควันไฟ มีมากมาย

ไฟไหม้ จ้า ไฟไหม้
พวกผู้ใหญ่ ทำอะไรกัน...
.

วันจันทร์, มีนาคม 30, 2563

หน่วงเหนี่ยวอย่างไรคงไม่อยู่ จะกู้สองแสนล้านทั้งที่โยกโอนงบฯ ปัจจุบันได้พอ


ทั้งฝ่ายค้านและพวก ไม่เชิง แฟนคลับประยุทธ์ พยายามเหนี่ยวรั้งอย่าเพิ่งด่วน กู้เงินสองแสนล้าน ล้วนแนะให้ผันงบประมาณส่วนยังไม่จำเป็นต่างๆ มาใช้ก่อน น่าจะได้แล้วสองสามแสนล้าน แต่ดูท่ารัฐบาลไม่ฟังอย่างเคย

ในการประชุม ครม.เมื่อ ๒๔ มีนา มีมติออกมาให้ปรับปรุงรายละเอียดในการใช้จ่ายงบประมาณบางกระทรวงเพื่อการต่อสู้กับโคโรน่าไวรัส กระทรวงที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับการนี้บางแห่ง เช่น มหาดไทย คลัง และคมนาคม ได้รับการปรับเพิ่มรวมกัน ๕ พันกว่าล้าน

กระทรวงสำคัญที่เป็นด่านหน้าอย่าง สาธารณสุข พัฒนาสังคมฯ เกษตรฯ และแรงงาน ไม่มีการปรับเพิ่มแต่อย่างใด เป็นสัญญานว่าการสร้างหนี้ใหม่มาแน่ ส่วนจะเป็นกู้จากไอเอ็มเอฟ ที่ประชาชนหวาดผวาเพราะตราบาปครั้งก่อนยังมีแผลเป็นตำตา หรือไม่เดี๋ยวรู้

งบประมาณปี ๖๔ แม้จะวางงบกลางไว้สูงถึง ๕ แสน ๗ หมื่น ๔ พันล้าน ก็ทำอะไรไม่ได้เท่าไรนัก ในเมื่อรัฐบาลประยุทธ์จัดเตรียมนำออกมาใช้เป็นส่วนใหญ่แล้ว ส่วนงบกลางปีนี้ที่คนถามหา ก็แจกแถมโดยไม่ก่อผลกระตุ้นภายในระบบเศรษฐกิจ ไปแล้วเยอะ

ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.พรรคก้าวไกลเข้าไปสอดส่องดูงบกลางปี ๒๕๖๓ จำนวนร่วม ๕๒๐,๐๐๐ ล้านนั้นพบว่า ส่วนใหญ่จัดสรรไว้เกือบหมดแล้วสำหรับสวัสดิการ เบี้ยหวัดและบำนาญของข้าราชการ เหลือวงเงินเพื่อการฉุกเฉินเพียง ๙๖,๐๐๐ ล้านบาท

แต่อนิจจังของสังคมไทย เงินส่วนนั้นก็ถูกใช้ไปแล้ว ๙๔,๐๐๐ ล้านเช่นกันภายในระยะ ๖ เดือนที่ผ่านมา แน่ละรวมถึงจำนวน ๔๕,๐๐๐ ล้านสำหรับโครงการ #เราไม่ทิ้งกัน ที่ไม่พอแน่ๆ เพราะมีผู้ลงทะเบียนมากกว่ากำหนดเดิมหลายเท่า จาก ๓ ล้านเป็น ๑๐ ล้านคน
ศิริกัญญาชี้ว่ายังมี “เงินสำรองอีกก๊อกที่กำหนดไว้ตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ” ราว ๕ หมื่นล้านบาท ที่จะเอามาใช้เป็นก๊อก ๒ ไว้สู้ โควิด-๑๙ ได้ ซึ่งก็ยังจิ๊บจ้อยสำหรับวิกฤตยักษ์ครั้งนี้ ที่นักวิชาการบางคน เช่น อนุสรณ์ ธรรมใจ บอกว่าสองแสนล้านไม่มีทางพอ ต้องมากกว่านั้น

ส.ส.หญิงฝ่ายค้านผู้นี้แนะให้ “โยกงบประมาณจากหน่วยงานที่ไม่ได้มีภารกิจแก้ปัญหาโควิด-๑๙ โดยตรง มาไว้ที่งบกลางหรือกระทรวงสาธารณสุข ตามความจำเป็นและความสะดวกในการใช้” ในขณะที่งบกลางขณะนี้เหลืออยู่เพียง ๓๓๐,๐๐๐ ล้าน

และยังมีภาระอื่นๆ เช่น ภัยแล้ง ฝุ่นพิษพีเอ็ม ๒.๕ และไฟป่าในภาคเหนือ (ที่กำลังไหม้ใกล้ถึงดอยสุเทพเวลานี้)* ทำให้เหลือเงินงบกลางที่จะโยกไปให้การต่อสู้โควิดแค่ ๘ หมื่นล้าน หรืออย่างเก่งถึงแสนเดียว เธอแนะว่าโอนส่วนนี้มาใช้เฉพาะหน้าเสียก่อน
 
*เรื่องไฟป่าเชียงใหม่ที่ไหม้มาหลายวันแล้วนี่ “คืนนี้ (๒๙ มี.ค.๖๓) ไฟยังคงไหม้และลุกลาม ขยายพื้นที่เป็นวงกว้าง” Kowit_Boondham @kowit_ThaiPBS รายงานว่าใกล้วัดพระธาตุดอยสุเทพฯ เข้าไปแล้ว มิหนำซ้ำทำให้ค่า พีเอ็ม๒.๕ ถีบขึ้นไปทะลุพัน

เช่นเดียวกัน เลขาธิการพรรคเพื่อไทยออกความเห็นว่ารัฐบาล “ควรใช้เงินในกระเป๋าตัวเองก่อนดีกว่าหรือไม่” ด้วยการนำงบกลางที่ยังเหลืออยู่บวกกับชะลอการใช้จ่ายงบประมาณปี ๖๓ ที่ยังไม่จำเป็นเร่งด่วน เอามาสมทบสู้โควิด น่าจะได้เกือบสองแสนล้าน

ด้านคนในรัฐบาลที่เหยียบแคม ไซ้ด์ไลน์ ไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด อย่างเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ เห็นด้วยกับ “ข้อเสนอให้กันงบประมาณแผ่นดินมาสู้กับไวรัสโควิด-๑๙” โดยเฉพาะ “ที่ต้องการให้นำงบลงทุนของกระทรวงกลาโหมมาใช้เยียวยาทางด้านเศรษฐกิจ และแก้ปัญหาเชื้อไวรัส”
 
ส่วนนักวิชาการ อย่าง รศ.ยุทธพร อิสรชัย สาขารัฐศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช เห็นว่าการที่รัฐจะกู้ถึง ๒ แสนล้าน “เยอะพอสมควร เพราะอันที่จริงยังมีกลไกอื่นๆ ที่จะทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายภาคส่วน ซึ่งเราก็ยังไม่ได้ใช้อย่างเต็มที่”

เขามีความห่วงใยตรงที่กู้มาแล้ว จะต้องไม่กำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจในแบบเดิม “ที่เอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนและระบบราชการ” และ “การตอบสนองต่อประชาชนก็จะได้รับความสำคัญน้อยกว่า” อันจะทำให้ยังมีอาการรวยกระจุกจนกระจายอยู่ ไม่กระตุ้นเศรษฐกิจระดับฐานราก


นั่นถ้าจะเรียกว่าเป็นความไร้เดียงสาทางการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลประยุทธ์ติดต่อกันมา ๕-๖ ปี ก็ไม่ผิดหรอก แต่จะทำตัวเป็นเฒ่าทารกต่อไปในสถานการณ์โควิดอีกอย่างน้อยๆ ปีกว่า แก้ผ้าเอาหน้ารอด ใช้หมดก็กู้ใหม่ ทั้งที่ผ่านมาไม่ได้ผล มันไม่เคยตัวไปหน่อยเหรอ

ตอนนี้ใครคือวีรบุรุษตัวจริง



ตอนนี้ใครคือวีรบุรุษตัวจริง

1.พนักงานเก็บขยะ พวกเขาทำงานหนักมากขึ้นเพราะการเก็บตัวอยู่บ้านทำให้อัตราการบริโภคส่วนบุคคลสูงขึ้น คนกลุ่มนี้บางกลุ่มเป็นการจ้างเหมา จ้างรายวัน ไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน ค่าจ้างเท่าค่าจ้างขั้นต่ำ ไม่มีโบนัส เลื่อนขั้น ครบปีเลิกจ้างสัญญาใหม่ แต่คนกลุ่มนี้คือด่านหน้าของเรา

2.บุคลากรสาธารณสุขไม่ได้มีแค่หมอ แต่รวมถึง พยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล นักเทคนิกการแพทย์ คนกลุ่มนี้ในยามปกติ ทุกรัฐบาลประวิงเวลาที่จะบรรจุพยาบาลที่ขาดแคลน อ้างว่าไม่มีเงิน พยาบาลทำงานหนักมาก ส่วนผู้ช่วยพยาบาลต้องทำงานวันละเกิน 12 ชั่วโมง เพื่อรายได้ 20,000 บาท/เดือน เราควรลดนายพล นายพัน และเพิ่มพยาบาลได้แล้ว

3.พนักงานส่งวัสดุผ่าน platform รายได้ไม่แน่นอน ลงทุนทุกอย่างเอง บริษัทพวกนี้กินส่วนต่างง่ายๆ พนักงานส่งรับความเสี่ยงจากโรค เพราะเจอผู้คนมากมาย เราควรรณรงค์ให้พวกเขาสามารถตั้งสหภาพได้ตามกฎหมาย และให้บริษัท platform เลิกตั้ง algorithm ที่กดขี่พวกเขาราวกับเป็นทาส

4.สหภาพแรงงาน ในยามวิกฤติ สหภาพจะเหลือง แดง ส้ม แต่คือผู้ที่จะพยายามรักษางานให้แก่พนักงาน ป้องกันการกดขี่ขูดรีด ยามนี้บริษัทไหนมีสหภาพแรงงานย่อมอุ่นใจกว่า เพราะการบังคับลาออก หรือเซ็นอะไรที่กดขี่ผู้ใช้แรงงานย่อมเกิดน้อย กว่า 'บริษัทนายจ้างใจดีทรงศีลธรรมเป็นพี่น้อง' ถึงเวลาจริงๆมันก็ตัดญาติอย่างไม่สนใจ ถ้าไม่มีสหภาพค้ำคอ

วันนี้เป็นโอกาสที่เราจะสนับสนุนคนเหล่านี้ด้วยการสร้างรัฐสวัสดิการและปฏิรูปกฎหมายแรงงาน ยกเลิกพนักงานรายวันเพิ่มความมั่นคงเป็นพนักงานรายเดือน

คนที่ค้ำจุนประเทศยามวิกฤติคือพวกเขาเหล่านี้ หาใช่พวกเจ้าสัวเหลือบไร พวกนักเทศน์ศีลธรรม หรือพวก CEO หรือทุนการเงินที่ดีแต่นั่งนับเงิน

ขณะนี้ พรบ. แรงงานฉบับ (อดีต) พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งได้เสนอโดยปีกแรงงานเข้าสู่ขั้นตอนเปิดรับฟังสาธารณะโดยรัฐสภาแล้ว นับเป็นกฎหมายฉบับเดียวของอดีตพรรคอนาคตใหม่ที่อยู่ในกระบวนนี้
เราสามารถช่วยให้การทำงานของคนที่แบกรับสังคมต่างๆดีขึ้นได้ด้วยการสนับสนุน ให้ พรบ.ฉบับนี้ผ่านสภาฯโดยไวครับ

https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/ewt_news.php?nid=65525&filename=Section_77

รูปไม่เกี่ยวกับ พรบ. แต่สองคนนี้คือ สส สองชื่อแรกที่ลงนามยื่น พรบ.แรงงาน ฉบับใหม่ครับ



รัฐบาลหัวดอ




ที่มา
ผู้หญิง ตัวคนเดียว
..



THNIC Foundation
17 hrs ·
#THNIC #ทีเอชนิค ผู้ให้บริการรับจดทะเบียนชื่อโดเมน ".th" และ ".ไทย" ขอชี้แจงกรณีมีการรายงานข่าวว่า มีเว็บไซต์ปลอม และเว็บไซต์เลียนแบบ เว็บไซต์ www. #เราไม่ทิ้งกัน .com ที่ใช้ในการลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการเยียวยาแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค #โควิด19 #Covid19 สำหรับลูกจ้างชั่วคราวและผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม โดยมีการระบุถึงเว็บไซต์ที่ใช้ชื่อโดเมนที่ลงท้าย ".th" จำนวน 23 เว็บไซต์นั้น

ทีเอชนิค ในฐานะผู้ให้บริการรับจดทะเบียนชื่อโดเมน ".th" และ ".ไทย" ขอยืนยันว่า ไม่เคยมีการจดทะเบียนชื่อโดเมนดังกล่าว และไม่สามารถจดได้ เนื่องจากปัจจุบันไม่เปิดให้จดทะเบียนชื่อโดเมน "ภาษาไทย" ที่ลงท้ายด้วย ".th"

มีเพียงชื่อโดเมนภาษาไทย ที่ลงท้าย .ไทย (ซึ่งจะควบคู่กับ .th ตามหมวดหมู่ต่าง ๆ)

จึงขอเรียนชี้แจงเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องมา ณ ที่นี้

**นโยบายการรับจดทะเบียนชื่อโดเมน .th และ .ไทย ปี 2562

https://www.thnic.or.th/domain-registration

**เกี่ยวกับชื่อโดเมน .th และ .ไทย

https://www.thnic.or.th/cctld_th
...
สลิ่มบอกวินาทีนี้ต้องช่วยกันให้กำลังใจรัฐบาล ลุงตู่ทำดีที่สุดแล้ว
ก็ถ้าตอนทักษิณกับยิ่งลักษณ์ สลิ่มช่วยกันให้กำลังใจจะมีวันนี้ไหม ฟาย !!!
Arunwatee Kong Li Chattay

การแบ่งปัน ในภาวะวิกฤติ Covid -19 ที่เยอรมันนี ประชาชนต่างนำของกินของใช้ออกมาวางข้างถนน แบ่งให้กัน คนไม่มีก็มาหยิบ ส่วนใหญ่จะหยิบสิ่งที่ต้องการและเท่าที่จำเป็น




การแบ่งปัน ในภาวะวิกฤติ Covid -19 ที่เยอรมันนี
.......
คลิปนี้ในประเทศเยอรมัน ประชาชนต่างนำของกินของใช้ออกมาวางข้างถนน แบ่งให้กัน คนไม่มีก็มาหยิบ ส่วนใหญ่จะหยิบสิ่งที่ต้องการและเท่าที่จำเป็น ต้องเผื่อแผ่กับคนอื่นๆ นี่เป็นอีกตัวอย่างดีๆ ครับ

Wijarn Simachaya


ทหารสำคัญกว่าประชาชนสินะ ครม.บิ๊กตู่ ไม่รื้องบกลาโหม


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: https://www.isranews.org/article/isranews-news/86960-gov-5-2.html
...
..
หยุดซื้ออาวุธชั่วคราว!




โดย สุรชาติ บำรุงสุข
มติชนออนไลน์
28 มีนาคม 2563

หลังจากรัฐบาลได้ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือ การออก พ.ร.ก.กู้เงินสองแสนล้านบาท ซึ่งก็อาจจะไม่อยู่นอกเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด เพราะสภาวะหลังจากรัฐประหาร 2557 แล้ว เห็นได้ชัดว่า สถานะทางเศรษฐกิจของประเทศทรุดลงมาเป็นลำดับ และแม้หลังจากการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2562 รัฐบาลทหารที่มาจากการเลือกตั้งจะพยายามใช้นโยบายประชานิยมแบบแจกเงิน แต่ผลที่เกิดขึ้นกลับไม่สามารถช่วยพยุงสถานะทางเศรษฐกิจของประเทศได้มากอย่างที่รัฐบาลคาดหวังไว้ ความหวังว่านโยบายแบบแจกเงินจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไม่ประสบความสําเร็จเท่าใดนัก

ดังนั้นเมื่อประเทศไทยต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่แพร่กระจายมาจากประเทศจีน จึงส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจทั้งในระดับมหภาคและจุลภาคของไทย และแน่นอนว่า ความรุนแรงของผลกระทบที่เกิดขึ้น จึงต้องการงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อเข้ามาช่วยแบกรับสภาวะ “วิกฤตเศรษฐกิจ” ที่ในขณะนี้เป็นผลสืบเนื่องโดยตรงจาก “วิกฤตเชื้อโรค”

ในความพยายามที่จะหางบประมาณเพิ่มเติมนั้น รัฐบาลได้เลือกทางออกที่เป็นความคุ้นเคยของรัฐบาลทหาร เพราะนับจากการรัฐประหารที่ผ่านมา รัฐบาลได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงวิธีการหารายได้เข้าประเทศด้วยการ “กู้เงิน” ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบันก็เป็นไปในทิศทางเดิม คือการแสวงหาแหล่งเงินกู้จากภายนอก

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ว่า การกู้เงินของประเทศไทยครั้งนี้ไม่มีปัญหา เพราะ “ฐานะการคลัง[ของประเทศ]แข็งแกร่ง” และรัฐบาลไม่เลือกวิธีที่จะนำเงินจากงบประมาณที่ผ่านสภาแล้วกลับมาใช้อีก เพราะ “ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องทำผ่านพระราชบัญญัติโอนเงินงบประมาณ”

ท่าทีที่ชัดเจนคือ รัฐบาลจะไม่เข้าไปปรับย้ายงบประมาณปี 2563 ที่เพิ่งผ่านการรับรองจากรัฐสภาเป็นอันขาด ดังนั้นบทความนี้จะขอชวนให้มองต่างมุมว่า รัฐบาลควรปรับใช้งบประมาณบางส่วนในการแก้ปัญหาของประเทศ

ปิดประตูสภา

ก่อนการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น รัฐบาลไม่มีท่าทีตอบรับข้อเสนอของฝ่ายค้านที่จะขอเปิดสภานอกสมัยการประชุม จึงเท่ากับส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า รัฐบาลไม่ต้องการใช้กระบวนการทางรัฐสภาเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาวิกฤตเชื้อโรคในครั้งนี้

ดังนั้นการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน อาจจะถูกอธิบายว่าเป็นความจำเป็น และเป็นความเร่งด่วน เมื่อประเทศเผชิญกับปัญหาขนาดใหญ่ที่รุนแรงจึงต้องการรวมศูนย์การตัดสินใจของผู้นำรัฐบาลแต่เพียงผู้เดียว ดังจะเห็นถึงการยุติการใช้โครงสร้างการเมืองแบบปกติในการแก้ปัญหา และหันไปใช้กลไกของ “รัฐราชการ” โดยมีปลัดกระทรวงเข้ามารับบทบาทแทนรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง (อาจจะเทียบได้กับโครงสร้างอำนาจรัฐในช่วงการรัฐประหาร ที่บทบาทของรัฐมนตรีได้สิ้นสุดลง)

การยุติกลไกแบบปกติจึงมีนัยว่า รัฐบาลจะไม่ใช้รัฐสภาเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา อันทำให้โอกาสที่จึงเกิดการปรับลดงบประมาณที่ผ่านไปแล้ว ไม่อาจเกิดขึ้นได้ อีกทั้งอย่างไรเสียงบประมาณใหม่ก็อยู่ในความควบคุมของรัฐบาลอยู่แล้ว หรืออาจกล่าวได้ว่า รัฐบาลคือผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากงบประมาณปี 2563 ฉะนั้นรัฐบาลจึงไม่ต้องการให้ฝ่ายนิติบัญญัติเข้ามาปรับเปลี่ยนใดๆ ทั้งสิ้น เพราะการปรับดังกล่าวอาจจะกระทบต่อโครงการที่ผู้นำทหารผลักดันมาโดยตลอดนับจากความสําเร็จของการรัฐประหาร ซึ่งก็คือ โครงการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของกองทัพ

การไม่ยอมเปิดสภา อาจอธิบายในอีกด้านได้ว่า รัฐบาลไม่ต้องการให้เกิดการปรับเปลี่ยนงบประมาณ เพราะรัฐบาลย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า หากสภาเปิดในแบบวิสามัญแล้ว รัฐบาลจะต้องเผชิญกับเสียงเรียกร้องในสองเรื่องหลักอย่างแน่นอน ได้แก่

1) เรียกร้องให้รัฐบาลนำเงินจากงบกลางที่อยู่ในความควบคุมของนายกรัฐมนตรีออกมาใช้

2) เรียกร้องให้มีการปรับลดงบประมาณในโครงการที่ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน โดยเฉพาะในกรณีของงบทหารที่อยู่ในส่วนของงบซื้ออาวุธ (งบผูกพันของเหล่าทัพต่างๆ ในโครงการจัดหายุทโธปกรณ์)

หนี้ทหาร

ดังที่ปรากฏในโครงสร้างงบประมาณของประเทศว่า กระทรวงกลาโหมได้งบประมาณมากเป็นอันดับ 4 มีจำนวน 233,353.43 ล้านบาท (2 แสน 3 หมื่น 3 พัน 3 ร้อย 53.43 ล้านบาท) ซึ่งในงบประมาณทั้งหมดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นงบประมาณซื้ออาวุธแบบผูกพัน ที่จัดทำขึ้นเพื่อเตรียมเงินไว้ใช้จ่ายในการซื้ออาวุธที่เกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งในงบผูกพันเช่นนี้ กระทรวงกลาโหมมีมากเป็นอันดับ 2 รองจากกระทรวงคมนาคม (ที่งบผูกพันส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายในการเส้นทางถนนสายต่างๆ) และยังมีงบประมาณของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ในงบส่วนนี้เป็นจำนวน 6,774.78 ล้านบาท

งบผูกพันเช่นนี้ก็คือ “หนี้ทหาร” ที่รัฐบาลจะต้องเตรียมเงินสำรองเอาไว้สำหรับจ่ายค่าซื้ออาวุธในอนาคต ซึ่งงบที่ปรากฏเป็นหนี้ทหารจากงบประมาณปี 2563 ถึงปี 2566 และยังรวมถึงงบสำรองเพิ่มเติมอีกมีดังนี้

– ปี 2563 = 10,991.2 ล้านบาท
– ปี 2564 = 19,910.2 ล้านบาท
– ปี 2565 = 16,541.1 ล้านบาท
– ปี 2566 = 4,664.5 ล้านบาท
– งบผูกพันเพิ่มเติมปีต่อๆ ไป = 9,213.7 ล้านบาท
– งบสำรองเผื่อขาด = 3,062.9 ล้านบาท
– รวมทั้งหมด = 64,383.7 ล้านบาท

ตัวอย่างของงบประมาณที่ถูกเตรียมไว้เพื่อจ่ายค่าอาวุธในอนาคต เช่น งบซื้อเรือดำน้ำจากจีนเพิ่มเติมอีก 2 ลำ มีมูลค่า 22,500 ล้านบาท และเป็นงบสำรองอีก 1,125 ล้านบาท (โครงการที่ 284 ของกองทัพเรือ) [รายละเอียดของงบประมาณดูจากรายงานของสำนักข่าวอิศรา] และดังที่ทราบกันดีว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำนี้เป็นหนึ่งในประเด็นที่มีข้อถกเถียงอย่างมากในสังคมไทย จนต้องถือเป็น “เรื่องอื้อฉาวด้านอาวุธ” (arms scandal) ของผู้นำทหารกลุ่มนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อจัดหา และความไม่ชัดเจนที่เกิดขึ้นในกระบวนการเหล่านี้



ทบทวนใหม่!

งบทหารที่เป็นการสร้างหนี้ในอนาคตเช่นนี้ อาจต้องการการทบทวนใหม่ โครงการทางทหารที่ไม่มีความจำเป็นควรจะต้องยุติลง อย่างไรก็ตามมิได้หมายความว่า จะต้องยุติงบผูกพันทางทหารทั้งหมด แต่อย่างน้อย วันนี้เห็นได้ชัดเจนว่า ความจำเป็นในการมีเรือดำน้ำเป็นเรื่องที่ควรจะต้องทบทวนอย่างมาก และในอีกด้านก็ควรที่จะต้องดึงเอางบที่ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนออกมาจากงบประมาณของกระทรวงต่างๆ ตลอดรวมถึงการใช้งบกลางของรัฐบาล เพราะด้วยระยะเวลาที่เหลืออยู่และเงื่อนไขของสถานการณ์จะทำให้โอกาสการใช้งบของภาครัฐมีความจำกัดอย่างมากด้วย

การเปิดสภาวิสามัญเพื่อให้เกิดการทบทวนงบประมาณใหม่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่แสดงถึง “ความจริงใจ” ของรัฐบาลในการแก้ปัญหา และหากมีความจำเป็นมากขึ้น ก็จะทำให้เกิดความชอบธรรมในการกู้เงินจากภายนอก แต่มิใช่รัฐบาลใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อไม่ให้กระบวนการทบทวนการใช้งบประมาณเกิดขึ้นได้ และขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสของการลดทอนบทบาทของรัฐสภาและพรรคการเมืองลง และอาศัยกลไก “รัฐราชการ” แก้ปัญหาแทน อีกทั้งการทำเช่นนี้อาจตีความได้ว่า เป็นการปิดกั้นไม่ให้งบซื้ออาวุธถูกกระทบ หรืออธิบายได้ง่ายๆ ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น กองทัพไทยก็จะเดินหน้าซื้ออาวุธต่อไป

ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้นำเหล่าทัพไม่จำเป็นต้องทำ “รายการเรียลิตี้โชว์” ด้วยการคืนเงินตอบแทนประจำตำแหน่งในวุฒิสภา เพื่อช่วยเหลือในการแก้ปัญหาไวรัสโควิดเลย เพราะไม่ได้มีมูลค่ามากมายอะไร … วันนี้ผู้นำทหารอาจจะไม่ตระหนักว่า กองทัพ “ไม่ได้ใจ” ประชาชน ภาพลักษณ์ของทหารมีแต่ลบมากขึ้น ตัวอย่างจากโคราชถึงสนามมวยลุมพินี มีความชัดเจนในเชิงภาพลบที่กำลังเกิดกับสถาบันทหาร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรับผิดชอบทางสังคม หรือลัทธิพาณิชย์นิยมในกองทัพ

ดังนั้น ผู้นำทหารในวันนี้อาจจะต้องเลิกคิดทำงาน “พีอาร์” ที่ไม่มีสร้างผลบวก เพราะการทำเช่นนั้นอาจกลายเป็นเรื่องตลกให้สื่อเอามาหัวเราะเล่นลับหลัง เช่น ในขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ประสบความขาดแคลนในอุปกรณ์ต่างๆ ผู้นำเหล่าทัพกลับแต่ “ชุดป้องกันตัวเองสมบูรณ์แบบ” ออกมาเดินฉีดพ่นสารป้องกันเชื้อโรค ผู้นำเหล่าทัพต้องแสดงบทเป็น “ผู้นำทหาร” ไม่ใช่มีบทเป็นกำลังพลในระดับล่างที่ทำงานสนาม ต้องแยกบทบาทความเป็นผู้นำเหล่าทัพจากการเป็นผู้บังคับหน่วยขนาดเล็กทางยุทธวิธีให้ชัดเจน เป็นต้น

วันนี้ถ้ากองทัพอยากช่วยเหลือสังคมไทยจริงๆ ก็น่าจะถึงเวลาแล้วที่จะต้องหยุดซื้ออาวุธชั่วคราว … ด้วยความปรารถนาดีต่อสถาบันทหารครับ !


ILAW : ในช่วงวิกฤติการระบาดของไวรัส #โควิด19 เสนอปล่อยตัว นักโทษที่เหลือโทษน้อยกว่า 1 ปี ผู้ต้องขังระหว่างรอพิจารณาที่ไม่ได้ประกันตัว หรือ ไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ ผู้ต้องขังอายุเกิน 60 ผู้ต้องขังคดีความเล็กๆ น้อยๆ




ในช่วงวิกฤติการระบาดของไวรัส #โควิด19 ทุกคนต่างวิตกกังวลว่า ตัวเองจะเป็นผู้ได้รับเชื้อมาโดยไม่รู้ตัว นโยบาย Social Distancing หรือการรักษาระยะห่างจากผู้อื่นเป็นวิธีเอาตัวรอดเฉพาะหน้าเท่านั้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีโอกาสเลือกวิธีการนี้ได้

นักโทษและผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำ เป็นกลุ่มคนที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับบุคคลอื่นอย่างใกล้ชิดได้เลย แม้ว่า จะต้องหวาดกลัวโรคระบาดเพียงใดก็ตาม เพราะสภาพความแออัดในเรือนจำที่มีมายาวนานเรื้อรัง แม้ว่า ทางเรือนจำจะระมัดระวังเพียงใด แต่ทุกๆ วันก็จะต้องมีสมาชิกใหม่เดินเข้าไปเพิ่ม หรือมีสมาชิกเดิมที่ออกไปศาล/ทำงาน/เยี่ยมญาติ ที่ต้องพบปะกับผู้คน ถ้าหากมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดเข้าไปในเรือนจำแห่งใดแห่งหนึ่งแม้แต่คนเดียว การแพร่ระบาดภายในเรือนจำย่อมเกิดขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้

จากเหตุจราจลในเรือนจำ จ.บุรีรัมย์ล่าสุด พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า เบื้องต้นได้รับรายงานว่า กลุ่มนักโทษ 100 ราย ได้รวมตัวกันประท้วง เนื่องจากวิตกกังวลเรื่องไวรัสโควิด รวมทั้ง มีภาวะเครียดประกอบด้วย

แม้ว่า นักโทษที่ถูกศาลพิพากษาแล้วว่า กระทำความผิด จะเป็นผู้ที่ต้องได้รับโทษเพื่อชดเชยสิ่งที่เขาเคยทำผิดมาก่อน แต่การรับโทษก็ต้องเป็นเพียงการจำกัดเสรีภาพในการเดินทางเท่านั้น รัฐยังมีหน้าที่ต้องดูแลรักษา ป้องกันโรคติดต่อ และรับประกันเรื่องการเข้าถึงสุขภาพที่ดีของทุกคนด้วย

ก่อนเกิดเหตุจราจลเพียงสองวัน กิตติพงษ์ กิตติยารักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) เพิ่งโพสต์เฟซบุ๊กแสดงความกังวลต่อสภาพความแออัดในเรือนจำที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและรุนแรงขอไวรัสโควิด และอาจกระทบต่อสวัสดิภาพของทั้งผู้ถูกคุมขังและเจ้าหน้าที่หากไม่มีแนวทางการป้องกันที่รัดกุมเพียงพอ

"ขณะนี้มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ผู้เกี่ยวข้องต้องเข้ามาการจัดการปัญหา "ผู้ต้องขังล้นเรือนจำ" อย่างเป็นระบบทั้งระยะเฉพาะหน้าและระยะยาว เพราะปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ของเรือนจำในบ้านเราอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเจอกับสถานการณ์โรคระบาด จึงทำให้เห็นว่าเป็นปัญหาที่รอไม่ได้อีกต่อไป" กิตติพงษ์ เขียนไว้

ข้อความต่อไปนี้ เป็นการคัดลอกมาจากโพสต์เฟซบุ๊กของกิตติพงษ์ทั้งหมด ซึ่งเป็นข้อเสนอเฉพาะหน้าต่อการแก้ปัญหาความแออัดในเรือนจำ และป้องกันก่อนที่การระบาดของไวรัสโควิดจะเข้าไปสู่พื้นที่อันตรายแห่งนี้ และสถานการณ์จะสายเกินแก้

"

"จากข้อมูลผู้ต้องขังในเรือนจำในปัจจุบัน ผมเห็นว่ามีกลุ่มที่ควรได้รับการปล่อยชั่วคราว หรือควรได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษในการปล่อยตัว ประกอบด้วย

- นักโทษเด็ดขาด (หมายถึงคดีถึงที่สุดแล้ว) ที่เหลือโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี กลุ่มนี้มีจำนวน 72,000 คน

- "ผู้ต้องขังระหว่างพิจารณา" ซึ่งหมายถึงผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างการต่อสู้คดี ต้องถูกคุมขังทั้งๆ ที่คดียังไม่ถึงที่สุด เพราะไม่ได้รับประกันตัว รวมทั้งมีบางรายถูกกักขังแทนค่าปรับ เนื่องจากไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ กลุ่มนี้มีราวๆ 67,000 คน นับเป็นสถิติที่สูงมากแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว

- ผู้ต้องขังสูงอายุ ซึ่งมีความเสี่ยงได้รับอันตรายถึงชีวิตหากโควิดระบาด ทุกเรือนจำมีผู้ต้องขังอายุเกิน 60 ปีที่คดีถึงที่สุดแล้วรวมกันราวๆ 5,800 คน

- กลุ่มผู้ต้องขังคดีลหุโทษ หรือความผิดเล็กๆ น้อยๆ เช่น กระทำผิด พ.ร.บ.ป่าไม้ กระทำผิด พ.ร.บ.การพนัน หรือเข้าเมืองผิดกฎหมาย กลุ่มนี้มีอีก 9,000 คน ซึ่งเป็นสถิติติดอันดับโลกเช่นเดียวกัน

ผู้ต้องขังเหล่านี้ กรมราชทัณฑ์และหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมอาจพิจารณาร่วมกัน เพื่อใช้วิธีการปล่อยชั่วคราว (ให้ประกันตัว) หรือปล่อยก่อนกำหนด หรือพักโทษ หรือใช้มาตรการอื่นแทนการคุมขัง เช่น สวมกำไลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งกระทรวงยุติธรรมได้เริ่มดำเนินการแล้ว เพื่อลดจำนวนผู้ต้องขัง อันจะเป็นการช่วยลดความแออัดในเรือนจำไปในตัว

ทั้งหมดนี้เป็นมาตรการที่สามารถดำเนินการได้ทันที ถือเป็นมาตรการระยะสั้นเพื่อแก้วิกฤตไปก่อน และต้องพิจารณาเพิ่มเติมไปถึงห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง รวมถึงสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนด้วย"

ดูโพสต์ต้นฉบับของกิตติพงษ์ ได้ทาง https://www.facebook.com/133672886723529/posts/2893043514119772/?d=n

ข้อมูลจากเว็บไซต์กรมราชทัณฑ์เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563 ระบุว่า ทั่วประเทศมีผู้ต้องขังในเรือนจำทั้งสิ้น 377,834 ราย เป็นชาย 329,850 ราย หญิง 47,984 ราย นักโทษเด็ดขาดชายที่คดีถึงที่สุดแล้ว 270,515 ราย หญิง 40,022 ราย เป็นผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีชั้นอุทธรณ์ ฎีกา เป็นชาย 26,538 ราย หญิง 3,634 ราย และประเภทอื่นๆ เช่น ผู้ต้องกักกัน และผู้ต้องขังระหว่างการไต่สวน และสอบสวน เป็นชาย 3,2797 ราย หญิง 4,319 ราย http://www.correct.go.th/stathomepage/ ขณะที่ตัวเลขของผู้ต้องขังในกรุงเทพมหานครอยู่ที่ 37,158 ราย

ในวันที่ 25 มีนาคม 2563 โพสต์ทูเดย์รายงานว่า พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวภายหลังศูนย์แถลงข่าวโควิดแห่งชาติ ทำเนียบรัฐบาล แถลงข่าวว่า พบผู้ต้องขังติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 1 ราย ว่า กรมราชทัณฑ์ยังไม่มีรายงานผู้ต้องขัง ป่วยติดเชื้อโควิด-19 แต่จะเร่งตรวจสอบข้อมูลโดยละเอียด เบื้องต้นยังไม่ปรากฏข้อมูลชัดเจนว่า เป็นผู้ต้องขังในการควบคุมของหน่วยใด อยู่ในการควบคุมตัวของตำรวจหรือเรือนจำ

ขณะที่ นพ.อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีกรมควบคุมโรคก็ระบุว่า ยังไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลรายบุคคลเกี่ยวกับผู้ต้องขังที่ติดเชื้อว่า เป็นผู้ต้องคุมขังในสถานที่ใด แต่ยืนยันว่ากระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญกับผู้ต้องขังในเรือนจำ โดยกรมควบคุมโรคร่วมกับกรมราชทัณฑ์วางมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด ทุกเรือนจำประกาศปิดงดเยี่ยมญาติ กรณีผู้ต้องขังเข้าใหม่ ผู้ต้องขังย้ายเรือนจำต้องคัดกรอง รายใดพบว่ามีไข้หรือมีความเสี่ยงจะใช้พื้นที่แยก เพื่อป้องกันการติดต่อไปยังผู้ต้องขังรายอื่นๆ

https://www.posttoday.com/social/general/618709


iLaw



Coronavirus Horse race



...




วันอาทิตย์, มีนาคม 29, 2563

ตอนนี้ #เราไม่ทิ้งกัน ๑๐ ล้านแล้ว ต่อไปจำนวนติดเชื้อจะเท่าไหร่ ในเมื่อวิถีเส้นกร๊าฟ 'พุ่งจี๊ด'


โคโรน่าไวรัสในไทยยังจะไปอีกยาว ดูจากวิถี (trajectory) เส้นกร๊าฟเมื่อวันที่ ๒๘ มีนา พุ่งจี๊ดเกือบเป็นแนวตั้ง (vertical) เหมือนอิตาลีและอเมริกา แถมจำนวนผู้ติดเชื้อในต่างจังหวัดแซงหน้ากรุงเทพฯ (๕๙%) ผลของมาตรการปิดเมืองแล้วคนแห่กลับบ้านเดิม

ส่วนที่คึกคักตอนนี้ก็เป็นการเยียวยา ๕ พันบาท สำหรับคนตกงานและแรงงานนอกระบบซึ่งไม่ได้อยู่ในโครงการประกันสังคม ที่ตั้งชื่อเก๋ไก๋ว่า #เราไม่ทิ้งกัน เปิดให้ตั้งแต่เมื่อวาน เพิ่งเริ่มลงทะเบียนได้เมื่อราวทุ่มกว่าๆ เพราะปัญหา “เปิดปุ๊บล่มปั๊บ”

จนถึงวันนี้เมื่อเกือบเจ็ดโมงครึ่ง จำนวนผู้ลงทะเบียนทะลุ ๑๐ ล้านแล้ว ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อเกิน ๑,๒๐๐ คน ไม่ว่า หอการค้าไทยจะออกมาพยายามสร้างขวัญกำลังใจอย่างใดๆ ว่ามาตรการเยียวยานี้ได้ผลดี เสียแต่ถ้า

“บุคคลที่มีศักยภาพในด้านการเงิน โดยเฉพาะมหาเศรษฐีที่ติด ๑๐ อันดับของประเทศ ออกมาช่วยสนับสนุน เพราะการที่บุคคลเหล่านี้รวยได้ ก็มาจากคนในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงอยากให้ทำอะไรดีๆ คืนสู่สังคมบ้าง” ก็เถอะ

ความจริงก็คือการรับมือ โควิด-๑๙ ในไทยยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ อุปกรณ์การแพทย์สำหรับใช้ทั้งในการปกป้อง ตรวจหาเชื้อไวรัส กับการรักษาผู้ป่วย ยังไม่เพียงพอ และจะยิ่งสากรรจ์เมื่อต่อไปพบว่าการติดเชื้อเพิ่มในอัตราเร่ง (exponentially)
 
กระทั่งในขณะที่อัตราติดเชื้อพุ่งอย่างนี้ ยังไม่สามารถเชื่อใจได้ว่าตัวเลขตรงกับความเป็นจริงแค่ไหน เอ้วเอ้ว ชาวนนทะบูลลี่ @youcallmeels ทายทักตารางผู้ติดเชื้อของทางการ “ตรวจวันละไม่ถึงพันเคส ก็ว่า ทำไมยอดไม่ขึ้น หึหึ”

ทางด้าน ‘Thirdd Sapol’ เสริม “เมื่อวานอธิบดีกรมวิทย์ฯ บอกว่าถึงปัจจุบันตรวจมาแล้ว ๔๐,๐๐๐ คน แต่จากตัวเลขมันได้แค่ ๑๐,๐๐๐ คนเอง (= PUI ลบด้วย Under Exam.) อีก ๓๐,๐๐๐ ไปไหน” แล้วตัวเลขรอตรวจ หรือ Under Exam. เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“การรายงานตัวเลขรายจังหวัดก็มีปัญหา...แถมยังมีตัวเลขไม่ตรงอีก เช่น เมื่อวานนนทบุรีรายงาน ตัวเลขเพิ่ม ๑๔ คน แต่ในการแถลงของกระทรวงเลขไม่เห็นขึ้น” จากเหตุไปหาผล “การตัดสินใจที่ถูกต้องฉับไว ย่อมต้องเกิดขึ้นจากข้อมูลที่แม่นยำ”

กุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่นี้อยู่ที่ การเปิดฉากรับมืออย่างทันควันและทำการตรวจหาผู้ติดเชื้อแต่แรกเริ่มทันที อย่างที่ไต้หวันและเยอรมนีทำ เชื่องช้าเพราะคิดไม่ถึงอย่างอิตาลี หรือเพราะอวดดีอย่างสหรัฐและไทย รอดได้ก็สวรรค์โปรด

ในสหรัฐยังดีที่เสียงจากประชาชนและบุคคลากรการแพทย์ ดังพอให้ทรั้มพ์ยอมรับฟังในเวลาไม่นานนัก (เดี๋ยวนี้เอาไปใช้หาเสียงสำหรับการเลือกตั้งปลายปีแล้วนี่ ขณะที่คู่แข่งหมดโอกาส) แต่ว่า ไอทู้บ ของไทยอาจไม่ เขี้ยว เท่าทรั้มพ์ เลยเอาแต่เงียบปล่อยให้ ‘Hear Noooo’ เล่นอยู่คนเดียว

ก็เลยมีแฮ้สแท็ก #อนุทินออกไปเหอะ ออกมาแซง #รัฐบาลส้นตีน อยู่ขณะนี้ ด้วยเหตุว่า “จริงจ้า แพทย์ต้องมานั่งตัดชุด ทำแมสเองอ่ะ แล้วตอนนี้คือทำไม่ทัน ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน” เสียงบ่นก่นด่าจาก @sumaterh
 
พร้อมกันไปกับโรงพยาบาลหลายแห่งออกประกาศ ขอรับบริจาคบ้างระบุต้องการเพียงวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็น แต่แห่งอื่นถ้ามาเป็นตัวเงินก็โอเค จนมีคนเซี้ยวเฮี้ยวเสียจนน่าโขก เหน็บว่า “บุคคลากรทางการแพทย์...ยามนี้ช่างมีความอดทนสูงเสียเหลือเกิน”

หรือจะเป็นเพราะจากที่ “หมอ รพ.รัฐใน ตจว.เล่ามาตอนนี้เหลือหน้ากากกับชุด PPE ใช้ไม่ถึงเดือน ถูกสั่งจาก ผญ.ว่าต้องรายงานเข้าส่วนกลางว่าของมีพอใช้ตลอด” orawan ข่าวเข้ม @tukorawan ทวี้ตเมื่อวันก่อน

“ส่วนที่ว่า สธ.จะส่งของให้ ขอไปสองอาทิตย์แล้วยังไม่ได้ พอเอกชนจะบริจาคก็ถูกห้ามถ่ายรูปเกรงเสียภาพพจน์ ถ้าโวยผ่านโซเชียลถูกขู่สั่งย้าย เพราะนโยบายสั่งมาห้ามทำคนแพนิค” อ่า แก้โรคระบาดด้วย ศอฉ. ก็อย่างนี้แหละ

เห็นภาพแล้วปวดใจ




ในขณะที่เรากำลังหลับสบาย ร.๑๐ ได้เสด็จออกทำความสะอาด ร่วมกับทหารของพระราชา... Fake News ??? Andrew ฟันธง ไม่จริงอย่างเด็ดขาด







มีคนไทยบางพวกออกมาอ้างว่า กษัตริย์วชิราลงกรณ์ได้ออกมาทำความสะอาดถนนในกรุงเทพฯอย่างลับๆ เพื่อช่วยต่อต้านโรคระบาดจากไวรัสโควิด-19 เรื่องนี้มีคนโพสต์วนไปในโซเชียลมีเดีย และบนไลน์ โดยเฉพาะในหมู่ผู้สูงอายุคนไทย
มันเป็นเรื่องไม่จริงอย่างเด็ดขาด...

Andrew MacGregor Marshall

https://www.facebook.com/photo/?fbid=10157674264666154&set=pcb.10157674264941154&__cft__[0]=AZX0fYZOMR0dXhqIN9Q32d9F-W_99436BcxNQoRBgxvdUUJiMI1__R-GUeTOGg1wLOrdfHWiZy-O85M40KudHhOrZvPbUEG1Qdp3RB_SX8X0BElX3ct52WuwfvKzP9enkyA&__tn__=*bH-R
..



2 ภาพนี้....
และ อีกหลายๆภาพ ชัดๆ ไม่เบลอ
อยู่ในเพจ ของ ทบ.
Smart Soldier Strong Army
เมื่อ 19 มีนาคม 2563
ระบุ เป็นการปฏิบัติการล้างสารปนเปื้อน ตามท้องถนน การพ่นน้ำยาBKC ของ กำลังพลของ ทบ. ในคืนแรก
มีทั้งใส่หน้ากาก และตอนถอดหน้ากาก กันสารเคมี ออก
ตามลิ้งค์ ....
https://www.facebook.com/328146857869427/posts/508261466524631/?d=n
ส่วน บิ๊กแดง พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ออกปฏิบัติการ ในคืน 23 มีนาคม 2563 คืนวันเกิด
...



ARMY : JUST DO IT ONE TEAM ONE FIGHT
=====================

กองทัพบกสนับสนุนรัฐบาล ร่วมใจต่อสู้​ ฝ่าวิกฤติ COVID​ - 19

ทหารต้องพร้อมที่จะต่อสู้ในสงครามทุกรูปแบบ แม้ว่ากำลังพลทุกนาย จะไม่ได้มีความเชี่ยวชาญ ไม่ได้มีความรู้ทางการแพทย์ เท่าเทียมกันหมด ในการรบกับเชื้อโรค

ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา COVID-19 ที่เป็นวิกฤตการณ์ไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยอย่างที่ทุกท่านทราบกันดี

บุคลากรทางการแพทย์ของไทย ถือเป็นนักรบชุดขาว ที่เสียสละ เหน็ดเหนื่อย และเป็นแนวหน้าในสงครามการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19

กองทัพบก ขอเป็นส่วนหนึ่งของทีมประเทศไทย ในการต่อสู้เอาชนะในสงครามครั้งนี้ พร้อมจะสนับสนุน ใช้สรรพกำลังทั้งหมดที่มี ต่อสู้กับเชื้อโรคร้าย ปกป้องคนในชาติ โดยยึดถือแนวทางที่รัฐบาลได้ออกมาตรการไว้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวของรัฐบาลก็เป็นสิ่งที่ผ่านกระบวนการคิด ผ่านการระดมสมอง จากบุคลากรผู้เชี่ยวชาญในทุกแขนงทุกสาขาที่เกี่ยวข้อง จนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ยกย่องประเทศไทยว่าเป็นประเทศอันดับต้นๆ ของโลกที่สามารถรับมือกับวิกฤตการณ์ไวรัสโคโรนา COVID-19 ได้อย่างยอดเยี่ยม

ท้ายที่สุดนี้ กองทัพบก จะขอเป็นแขนขา เป็นกำลัง และเป็นส่วนหนึ่งของทีมประเทศไทย ที่จะร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ไปกับทุกคนในชาติ ให้ประเทศไทยผ่านวิกฤติในครั้งนี้ไปให้จงได้...

#ArmyOneTeamOneFight
#TeamThailand
#ประเทศไทยต้องชนะ
#StrongerTogether
#SMARTsoldiersstrongARMY
#วินัยทหารต้านโควิด19
ooo