วันจันทร์, กันยายน 17, 2561

โฆษกฯ วินธัยตาบอดตาใส แถไถกรณียูเอ็นขึ้นบัญชีสิทธิมนุษยชนไทย 'น่าละอาย' หาว่าฝ่ายการเมืองปั่น

คนไทยโล่งใจได้นิดเมื่อไต้ฝุ่นมังคุดเลยไปถล่มฮ่องกง แต่อย่าไว้ใจทางอย่าวางใจ คสช. ช่วงนี้คอการเมืองในกรุงฯ ใส่ใจเรื่องเลือกตั้งกันมาก จนเผลอลืมไปว่ายังมีสถานการณ์น้ำท่วมบ้านนอกอยู่

ดูเหมือนสิ่งที่ คสช.เป็นห่วงก็แต่ภาพลักษณ์ ทั้งที่ผ่านมาหลายวัน ทั่นโฆษกฯ ยังติดใจแถลงของยูเอ็นเรื่องไทยติดรายชื่อ น่าละอาย ด้านสิทธิมนุษยชนอยู่ ออกมาโต้ด้วยข้อแก้ตัวเสล่อๆ

ไปดูสถานการณ์น้ำท่วมกันก่อน จากแถลงจากกรมป้องกันสาธารณภัยล่าสุดเมื่อ ๑๖ ก.ย. ๑๖.๑๖ น. ว่าสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ๑๔ จังหวัด แต่ยังมัดขมึงเกลียวอยู่อีก ๖ ได้แก่ บึงกาฬ นครพนม สกลนคร นครนายก ปราจีนบุรี และเพชรบุรี
 
“นายชยพล ธิติศักดิ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า อิทธิพลมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ตั้งแต่วันที่ ๑๗ สิงหาคม – ๑๕ กันยายน ๒๕๖๑ ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง และดินถล่มในพื้นที่ ๒๐ จังหวัด”

ก่อผลกระทบผู้คน ๒๐๘,๙๐๐ รายใน ๖๕,๕๗๙ ครัวเรือน และมีผู้เสียชีวิตแล้ว ๔ ราย ส่วนที่ยังไม่คลี่คลายอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำโขง ๒ จังหวัด ลุ่มน้ำอูนและลุ่มน้ำสงคราม ๑ จังหวัด ลุ่มน้ำปราจีน ๒ จังหวัด และลุ่มน้ำเพชรบุรีอีก ๑ จังหวัด

(รายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://news.mthai.com/general-news/672044.html)

วันเดียวกัน พ.อ.วินธัย สุวารี จวกแหลก ฝ่ายการเมืองกล่าวหาว่าช่วยโอกาสนำแถลงการณ์ขององค์การสหประชาชาติ “มาใช้ขยายผลเพื่อให้ดูเป็นผลลบต่อประเทศไทย”

อันนี้ต้องเรียนทั่นโฆษกฯ ว่าความรู้สึกช้าจัง ผลกระทบที่เป็นลบต่อประเทศไทยนั้นมันเกิดตั้งแต่นาย อันโตนิโอ กูแตร์เรส ออกมาแถลงเมื่อ ๑๒ กันยาโน่นแล้ว ทั่วโลกเขาได้ยินแม้ในกองบัญชาการทหารไทยจะไม่ได้ฟัง

และยังจะสร้างแรงกระแทกกระทั้นอีกระลอกเมื่อมีการรายงานทางการต่อที่ประชุมใหญ่ในวันที่ ๑๙ กันยานี้ จะอ้างอย่างไรว่า “ไม่น่าเกี่ยวข้องกับความร่วมมือในด้านสิทธิมนุษยชน เพราะรัฐบาลให้ความสำคัญในการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนมาตลอด” นั้นพูดได้ แต่ฟังไม่ขึ้น

โฆษกฯ วินธัยแถไถอย่างตาบอดตาใสอีกว่า “ข้อมูลในรายงานมีที่มาอยู่ในกรอบที่จำกัด หรืออาจมีที่มาจากเพียงบุคคลเฉพาะกลุ่มเท่านั้น” ทั่นได้ฟังรายงานของเขาหรือเปล่า ฟังแล้วเข้าใจไหม หรือแค่ คัมๆ โกๆ

นายกูแตร์เรสเขาบอกว่าข้อมูลได้มา “จากการเดินทางไปค้นหาข้อเท็จจริงในประเทศไทยของคณะตัวแทนพิเศษสหประชาชาติเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐” เขาลงพื้นที่เสาะหาข้อเท็จจริงเหล่านี้ทั่วโลกอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เอาฟังแต่ฟังรายงาน ไอโอ ของศูนย์ไซเบอร์ทัพบก

ข้อมูลเจ๋งๆ จริงๆ อย่างที่เอ่ยข้างต้น ถ้าทั่นไม่บล็อค ไทยอีนิวส์ ที่นี่ https://thaienews.blogspot.com/2018/09/blog-post_68.html ละก็ ป่านนี้ทั่นจะไม่ต้องเผยอขี้เท่อให้ชาวโลกเห็น)

รวมทั้งข้อมูลความจริงเรื่องเก่าที่พยายามปกปิดบิดเบือนมานานแล้ว อย่างไรก็ปิดไม่มิดเรื่องการใช้กำลังทหาร รถถัง สลายชุมนุมเรียกร้องการเลือกตั้งเมื่อปี ๒๕๕๓ มีประชาชนมือเปล่า (อย่างดีแค่หนังสติ๊กและไม้รวกเหลา) ตายด้วยกระสุนจริง ๙๙ ราย
 
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หนึ่งในแกนนำ นปช. ของการชุมนุมนั้นตั้งข้อเกตุจากบทความที่เขาอ่านหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับ ๖ กันยา ว่า “มีนายทหารระดับนายพลเดินทางไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสำนวนคดีสลายการชุมนุมกลุ่มนปช. เมื่อปี ๒๕๕๓...

โดยนายพลขอให้ผู้ใหญ่ฝ่ายอัยการยุติเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะกรณีเกือบ ๒๐ ศพที่ศาลไต่สวนสาเหตุการตายเป็นที่ยุติแล้วว่าเสียชีวิตเพราะถูกกระสุนปืนความเร็วสูงจากฝั่งเจ้าหน้าที่ ให้ทำเป็นสำนวนมุมดำ หาตัวผู้กระทำความผิดไม่ได้ จึงไม่ต้องส่งฟ้องศาล”

แกนนำ นปช. ยังปรารภด้วยว่า “ผมพยายามระมัดระวังไม่ให้การติดตามเรื่องนี้ก่อกระแสความขัดแย้งระหว่างคนต่างความคิด และพร้อมร่วมมือกับทุกฝ่ายสร้างสังคมประชาธิปไตย แต่สิ่งนี้จะเป็นไปไม่ได้เลยหากละเว้นความยุติธรรมสำหรับคนบางกลุ่ม”


ข้อมูลอย่างนี้แหละที่องค์การสหประชาชาติและหน่วยงานสิทธิมนุษยชนนานาชาติเขารับรู้และเก็บบันทึกไว้แล้ว ถึงเวลาเมื่อไรที่ทหารไทยนักยึดอำนาจพยายามฟอกขาวตัวเอง ทำไม่รู้ไม่ชี้ โป้ปดและบิดเบือนอย่างที่โฆษกฯ วินธัยพยายามทำ ก็จะสามารถเอามายันกันได้

ณ จุดนี้ที่ไม่ว่าผู้ปกครองจะทรงอำนาจขนาดไหน ก็ยังไม่สามารถผ่อนคลายทุกข์ยากจากภัยธรรมชาติได้เหมือนกับการคลายล็อคพรรคการเมือง สังคมยังคละคลุ้งด้วยความเกลียดชัง (หรืออย่างน้อยวาทกรรมที่สร้างความแปลกแยก) ระหว่างขั้ว

กรรมวิธีสยบฝ่ายหนึ่งไว้ด้วยกำลังอาวุธ อิทธิพลการเงิน จริยธรรมจอมปลอมของ คนดี ต่อ คนไม่ดี ตัวบทกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่งเขียนขึ้นมาบังคับอีกฝ่าย และการตัดสินคดีความอย่าง อธรรมพวกเขาผิด พวกเราแค่พลาด ละก็

ประเทศไทยคงจะต้องติดอันดับชั่วๆ ทั้งหลายของชาวโลกอยู่ร่ำไป ไม่จำเป็นต้องมีใครมาขยายผล อีก