วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 31, 2560

“คิดสิคิด” หรือ “ไออะกรี” ดี กับมองเตสกิเออ รอเรียนรู้เรื่องทวิตเตอร์จากมิสเตอร์ทรั้มพ์

จะ “ปล่อยเขาไป” เพราะ “คิดสิคิด” แล้วว่า “ทวิตเตอร์จะช่วยอะไรได้” อย่างที่ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีปฏิกิริยา

หรือ “ไออะกรี สู้สู้” แบบที่พระภคิณีในรัชกาลที่ ๑๐ ทรงลงข้อความสนทนาไว้บนหน้าอินสตาแกรมของอุ๊งอิ๊ง ชินวัตร ก็ตามที

ทวี้ตของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่โคว้ทวาทะของมองเตสกิเออ นักปรัชญารัฐศาสตร์ศตวรรษที่ ๑๗ ผู้เป็นต้นตำรับหลักการแบ่งแยกอำนาจการปกครองในทางประชาธิปไตย ว่า “ไม่มีความเลวร้ายใดที่จะยิ่งไปกว่า ความเลวร้ายที่ได้กระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย หรือในนามของกระบวนการยุติธรรม”

นั้นมีความหมายสูงส่งยิ่งยงเหนือกว่าหลายเท่านัก ต่อคำวิพากษ์ถากถางของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม พลพรรค ปชป. ที่รีบฉกฉวยนาฑีทองตอบโต้ว่า “คำกล่าวของมองเตสกิเออ อาจจะตามไม่ทันโลกที่เปลี่ยนเร็วมาก

หมอวรงค์ยังยกตนเทียบเท่าเจ้าทฤษฎี บิดเบี้ยวเนื้อความในวาทะมองเตสกิเออให้คล้องจองกับความคิดลุ่มหลงของพวกตนว่า “ไม่มีเผด็จการไหนที่จะป่าเถื่อนไปกว่าเผด็จการทุนสามานย์ ที่อ้างการเลือกตั้ง...”



ทวี้ตของทักษิณก่อให้เกิดการรับรู้ผลงานในทฤษฎีการเมืองของมองเตสกิเออ อย่างแพร่หลายในสื่อสังคมไทยขึ้นมาใหม่ โดยเฉพาะเมื่อ ปิยบุตร แสงกนกกุล ด็อกเตอร์อังดรัวท์ทางกฎหมายมหาชนระบุว่า

การวิจารณ์มองเตสกิเออนั้นน่าจะเริ่มมาจากความฝังใจของ กูรู วิชาการกฎหมายไทยผู้ทรงอิทธิพลในคณะกรรมการกฤษฎีกา นาม อมร จันทรสมบูรณ์ ที่พร่ำสอนลูกศิษย์ลูกหาว่าทฤษฎี “มองเตสกิเออล้าสมัย เป็นการแบ่งแยกอำนาจแบบเชยๆ คล้าสสิก”

โดยมี เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ เข้ามาเสริม “เท่าที่จับทางได้ แกฝันถึงเดอโกลส์ (นายพล -อดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศส) แบบไทยๆ นะครับ แกต้องการรัฐบุรุษ และยังด่า รธน. ๔๐ ​เรื่องบังคับ สส. สังกัดพรรคการเมืองอยู่”

อีกคนที่แจม ธนาพล อิ๋วสกุล บก.ฟ้าเดียวกันแถมว่า “รัฐบุรุษของอมรที่เสนอครั้งก่อน คือในหลวง ร. ๙ ไม่รู้ตอนนี้แกยังยืนยันเหมือนเดิมไหมครับ”

ไม่มีใครตอบคำถามนั้น หากแต่ ดร.ปิยบุตร เอ่ยถึงไว้ในอีกโพสต์คนละเรื่องเดียวกัน “ผมคิดว่าคนเหล่านี้ ไม่ได้อ่าน De l'esprit des Lois อย่างถ่องแท้ หรืออาจไม่ได้อ่านด้วยซ้ำ รู้จักแค่ การแบ่งแยกอำนาจ เท่านั้น

ในงานชิ้นนี้ Montesquieu เขียนหลายเรื่องมาก เขาวิจารณ์ระบบการปกครองของหลายๆรัฐในสมัยนั้น วิจารณ์กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างภูมิอากาศ ภูมิศาสตร์ กับการเมืองการปกครอง”

และจากงานเขียนของมองเตสกิเออในปี ค.ศ.๑๗๔๘ ดังกล่าว มีอีกโคว้ทหนึ่งที่ต้องกับบริบทในทางการเมืองการปกครองไทยยุคปัจจุบันอย่างยิ่ง ซึ่งแปลจากภาษาฝรั่งเศสได้ความว่า

“ความผิดอาญาฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่กำหนดไว้อย่างกว้างขวางไร้ขอบเขต เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้รัฐบาลกลายเป็นเผด็จการผู้กดขี่”

นี่ละมังทำให้หมอวรงค์ข้ามหัวทักษิณไปวิพากษ์มองเตสกิเออ โดยมิได้รู้ลึกลงไปถึงความเป็นตัวตนของมองเตสกิเออที่ ดร.ปิยบุตรชี้ว่า “ลักษณะอภิชนของตัว Montesquieu มีอิทธิพลต่อการสร้างทฤษฎีของเขา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีที่เขามองว่ามีแต่พวกอภิชน (aristocrat) เท่านั้น ที่มีศักยภาพเพียงพอในการใช้เสรีภาพ เพื่อต่อต้านการใช้อำนาจโดยมิชอบของกษัตริย์”

เหล่านั้นเป็นภูมิหลังสร้างฉากให้แก่การโต้แย้งที่รายล้อมโคว้ทมองเตสกิเออของทักษิณ และคอมเม้นต์ “คิดสิคิด” ของประยุทธ์ กับ “ไออะกรี” ของ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ที่ซึ่งผู้แสดงความคิดเห็นเหล่านี้อาจไม่ได้คิดถึง

โดยเฉพาะจากนายกรัฐมนตรีผู้ที่เข้ามาสู่อำนาจด้วยวิธีรัฐประหาร พูดถึงความหลงระเริงจากการใช้อำนาจปกครองเบ็ดเสร็จของตนจนผิดพลาด ถูกต่างชาติเรียกร้องความเสียหายหลายหมื่นล้านบาท หรือไม่เช่นนั้นจะถูกฟ้องร้องต่อศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ให้เกิดความเสียหายมากขึ้นไปอีก

ว่า “ถ้าพูดเรื่องกฎหมายของตน ที่ใช้มาตรา ๔๔ ในประเทศนี้ ผมไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น ผมทำได้หมด...ผมไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะคุ้มครองผม”



นี่เป็นการอ้างอำนาจจากการแย่งชิงยึดครอง ที่อาจล้นพ้นยิ่งกว่าอำนาจกษัตริย์ ในบริบทการเมืองแห่งยุคสมัยของมองเตสกิเออ ก็เป็นได้ ทั้งที่ในยุคนี้ -อันเกี่ยวเนื่องโยงใยกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๙ หลังสงครามโลก ประชาคมนานาชาติร่วมกันสร้างระเบียบสากลเป็นแบบบทการปฏิบัติอย่างศิวิลัยเอาไว้แล้ว

จึงเป็นเรื่องต้องจับตาอย่างเขม็งต่อไปอีกในระยะไม่ไกล ว่า “ทวิตเตอร์จะช่วยอะไรได้” แค่ไหน (ยิ่งเสียกว่าได้หรือไม่) เท่าที่ผ่านมาแค่นี้ ลิ่วล้อ คสช. รอส้มหล่นอย่างหมอวรงค์ก็มุดหัวลงโคลนโดยไม่รู้ตัว ไปแล้วกับการวิจารณ์มองเตสกิเออ

ส่วนอีกคนนั่นเสียดาย ป่านนี้ยังไม่ได้รับสัญญานไปเยือนทำเนียบขาวเสียที ไม่อย่างนั้นคงได้รู้อะไรดีๆ เรื่องการใช้ทวิตเตอร์ จาก เดอะดอนัลด์ มิสเตอรทรั้มพ์

Hello Montesquieu .... + Hello ka ไม่ตอบข้อความเลย...



...



https://www.facebook.com/pavinchachavalpongpun/videos/1163078710460557/

...



ที่มา FB


Pavin Chachavalpongpun

ooo

ฝากคลิปนี้ ถึง พี่ประยุทธ์



https://www.youtube.com/watch?v=wcNSDCsGvS8

Daimon Updat

Published on Jul 4, 2016
...



เรื่อง“ริบทรัพย์” เอาอย่างตรงไปตรงมามะ




https://www.facebook.com/Windingideas/videos/504078053281674/


คลิปงานเสวนา วันผู้สูญหายสากล : นักปกป้องสิทธิมนุษยชนกับความยุติธรรมที่หายไป ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๐




https://www.facebook.com/CrCF.Thailand/videos/1446206042093344/


วันผู้สูญหายสากล : นักปกป้องสิทธิมนุษยชนกับความยุติธรรมที่หายไป
วันพุธที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๐
ณ อาคารอนุสรณ์ สำนักกลางนักเรียนคริสเตียนกรุงเทพมหานคร
………………………………………………………………………..
กำหนดการ

๑๓.๐๐ – ๑๓.๓๐ ​ลงทะเบียน
๑๓.๓๐ – ๑๓.๔๕ ​กล่าวเปิดงาน
• คุณ Cynthia Veliko ผู้แทนสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
๑๓.๔๕ – ๑๔.๓๐ ​ปัญหาและความท้าทายในการสืบสวนสอบสวน: คนหายหรือบังคับสูญหาย
• คุณอรนุช ผลภิญโญ ตัวแทนจากเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน
• คุณคิงสลีย์ แอ๊บบอต ที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศอาวุโส คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล
• พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ที่ปรึกษาสถาบันนิติวิทยาศาสตร์
• นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ผู้ดำเนินรายการ นางณัฐาศิริ เบิร์กแมน
๑๔.๓๐ – ๑๔.๔๕​แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างวิทยากรและผู้ร่วมงาน
๑๔.๔๕ – ๑๕.๐๐​รับประทานอาหารว่าง
๑๕.๐๐ – ๑๕.๔๕​การอภิปรายหัวข้อ “คนหายมีทุกที่กับข้อจำกัดของการฟ้องคดีโดยไม่มีกฎหมายที่ชัดเจน”
• ตัวแทนจากกระทรวงยุติธรรม
• คุณอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและตัวแทนครอบครัวผู้สูญหาย
• คุณพิณนภา พฤกษาพรรณ ตัวแทนครอบครัวผู้สูญหาย
• คุณสมชาย หอมลออ ที่ปรึกษากฎหมายอาวุโส มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
ผู้ดำเนินรายการ นางณัฐาศิริ เบิร์กแมน

๑๕.๔๕ – ๑๖.๐๐​แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างวิทยากรและผู้ร่วมงาน

คิดสิคิด! ปัดโธ่... "บิ๊กตู่" เมิน "ทักษิณ" ทวิตเตอร์ยกคำพูด "มงแต็สกีเยอ" ถึงกระบวนการยุติธรรม บอกปล่อยไป ใครอยากเชื่อก็ตามใจ




ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้เห็นข้อความในทวิตเตอร์ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือยัง พล.อ.ประยุทธ์ ได้หันกลับมาตอบเสียงดังว่า "ปล่อยเขาไป ทวิตเตอร์จะไปทำอะไรได้ เชื่อเขาก็ตามใจ คิดสิคิด" โดยระหว่างพูดได้เอานิ้วชี้ไปที่ขมับด้านขวา

(https://www.thairath.co.th/content/1054992)

...









ทักษิณถกความยุติธรรมผ่าน 'มองเตสกิเยอ' - 'มองเตสกิเยอ' คือใคร...





ทักษิณถกความยุติธรรมผ่าน 'มองเตสกิเยอ' นักปรัชญาแห่งอิสรภาพและความเสมอภาค

ที่มา Voice TV

ทวิตเตอร์ทักษิณฮือฮาเพราะอดีตนายกเงียบหายไปนาน ซ้ำการเผยแพร่ข้อความยังเกิดในเวลาไม่ปกติ ยิ่งกว่านั้นคือการพูดประเด็นอย่าง 'ความยุติธรรม' ว่าไม่มีทางเกิดในระบบ 'รวบอำนาจ' โดยอ้างนักปรัชญาสำคัญ 'มองเตสกิเยอ' ซึ่งเน้นหลักแบ่งแยกอำนาจและความเสมอภาคของมนุษย์ผ่านหนังสือสำคัญ "เจตนารมณ์แห่งกฎหมาย"ที่เห็นว่าการให้บุคคลหรือกลุ่มคุมอำนาจนิติบัญญัติ/ บริหาร / ตุลาการรังแต่ทำให้ประชาชนเสียอิสรภาพ และถูกผู้มีอำนาจควบคุมตามอำเภอใจ ขณะที่ระบบดีๆ ต้องใช้เหตุผล ฟังประชาชน และไม่ขู่ให้ประชาชนอยู่เพราะหวาดกลัว


ooo







30 ส.ค. "วันผู้สูญหายสากล" แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ร่วมกับห้าองค์กรพันธมิตรส่งจดหมายเปิดผนึกถึงทางการไทย เอาผิดคนอุ้มหาย "สมชาย-บิลลี่"







(https://www.amnesty.or.th/latest/news/227/)

ที่มา Amnesty International Thailand

30 สิงหาคม 2560

แอมเนสตี้และพันธมิตรเรียกร้องไทยหาตัวคนอุ้มหายทนายสมชายและบิลลี่เนื่องในวันผู้สูญหายสากล กังวลกระบวนการที่ผ่านมามีความล่าช้า

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ร่วมกับห้าองค์กรพันธมิตรส่งจดหมายเปิดผนึกถึงทางการไทยเนื่องในวันแห่งการรำลึกถึงผู้ถูกบังคับสูญหายสากลหรือ "วันผู้สูญหายสากล" (International Day of the Disappeared) ซึ่งตรงกับวันที่ 30 สิงหาคมของทุกปี เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการอุ้มหาย ตลอดจนเรียกร้องให้มีการสะสางคดีอุ้มหายต่างๆ อย่างเป็นธรรม

จดหมายเปิดผนึกดังกล่าวยกตัวอย่างคดีการหายตัวไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความสิทธิมนุษยชนคนสำคัญของไทย และบิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยง ซึ่งคาดว่าถูกอุ้มหายจากการทำงานเพื่อสิทธิมนุษยชนของพวกเขา โดยเรียกร้องให้มีการสืบสวนอย่างอิสระ โปร่งใส เป็นกลาง และนำตัวผู้ก่อเหตุมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ได้อย่างเร่งด่วน ตลอดจนเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบต่างๆ เพราะที่ผ่านมา กระบวนการมีความล่าช้าจนน่ากังวล

นอกจากนี้ ทั้งหกองค์กรยังเรียกร้องให้ทางการไทยให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับและพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี เพื่อป้องกันการอุ้มหายอย่างมีมาตรฐานในอนาคตด้วย

อ่านจดหมายเปิดผนึกร่วมฉบับเต็ม (ภาษาไทย)

อ่านจดหมายเปิดผนึกร่วมฉบับเต็ม (ภาษาอังกฤษ)

ooo

ในรอบ 20 ปี มีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนไทยถูกสังหารหรืออุ้มหายอย่างน้อย 59 คน ส่วนใหญ่เกิดในภาคอีสานและภาคใต้




...




ประกันสังคม 4.0 : ผู้ว่าฯ กทม อัศวิน โพสต์ ประชาชนที่ถือบัตรทองแสนกว่ารายที่ได้รับผลกระทบจากการที่โรงพยาบาลเอกชน 5 แห่ง ได้ขอถอนตัว "สิทธิบัตรทอง" โรงพยาบาลกทม. พร้อมจะดูแลท่านต่อไป ตั้งแต่ 1 ตุลาคมนี้





จากกรณีที่โรงพยาบาลเอกชน 5 แห่ง ได้ขอถอนตัวจากการเป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือสิทธิบัตรทอง คือ โรงพยาบาลมเหสักข์ ขอลาออกจากระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และโรงพยาบาลอีก 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลแพทย์ปัญญา โรงพยาบาลวิภารามปากเกร็ด โรงพยาบาลบางนา 1 และโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท ถึงแม้ไม่ได้ลาออก แต่ไม่ขอรับเป็นโรงพยาบาลรับส่งต่อของคลินิคชุมชนอบอุ่นบางแห่งเพื่อลดความแออัดการใช้บริการผู้ป่วยใน ซึ่งจะทำให้พี่น้องประชาชนผู้ถือสิทธิบัตรทองได้รับผลกระทบด้านการรักษาพยาบาลที่ต่อเนื่องและค่าใช้จ่ายที่อาจสูงขึ้น

ผมจึงได้มอบหมายให้สำนักการแพทย์กทม. ซึ่งดูแลและรับผิดชอบโรงพยาบาลในสังกัด 9 แห่ง พิจารณาความพร้อมและแนวทางรองรับประชาชนที่ถือสิทธิบัตรทองจากโรงพยาบาลเอกชนที่ถอนตัว อีกทั้งรับเป็นหน่วยบริการรับส่งต่อให้กับคลินิกชุมชนอบอุ่นที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งข่าวดีครับ โรงพยาบาลในสังกัดกทม. 3 แห่ง คือ

โรงพยาบาลกลาง จะรับดูแลต่อ จำนวน 37,416 ราย
โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ รับดูแล 41,622 ราย
และโรงพยาบาลสิรินธร รับดูแล 22,180 ราย รวมทั้งสิ้น 101,218 ราย

ขอให้พี่น้องประชาชนที่ถือบัตรทองทั้งแสนกว่ารายที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว สบายใจได้ว่ายังมีโรงพยาบาลกทม. ที่พร้อมจะดูแลท่านต่อไป ตั้งแต่ 1 ตุลาคมนี้ ด้วยการบริการที่ได้มาตรฐานการรักษาพยาบาลและดูแลผู้ป่วยตามสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติดังเดิมครับ


ผู้ว่าฯ อัศวิน

ยิ่งลักษณ์ออกนอกประเทศ "แพ้ทุกฝ่าย" จมดิ่งก้นเหวลึก จุดเปลี่ยนการเมืองไทยยากหวนกลับ :ชำนาญ จันทร์เรือง

แพ้ทุกฝ่าย
ชำนาญ จันทร์เรือง

จากการที่คุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้เดินทางไปฟังคำพิพากษาที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในวันที่ 25 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา จนศาลฯ ออกหมายจับและยึดเงินประกัน และเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเธอได้เดินทางออกไปต่างประเทศ ในระยะแรกๆ ที่ฝุ่นยังตลบอยู่ก็เกิดความงุนงงสงสัย มีการวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา

ซึ่งกระแสที่ออกมาดูเหมือนว่าจะเป็นทุกฝ่ายได้รับชัยชนะ (win win solution) เพราะคุณยิ่งลักษณ์ก็ไม่ต้องติดคุกและไม่ต้องผจญกับคดีที่เหลืออีกเป็นสิบๆ คดี สามารถใช้ชีวิตอย่างสบายตามประสาเศรษฐีเดินทางไปได้รอบโลกยกเว้นไทย มวลชนที่เคยสนับสนุนก็ยังคงเข้าใจและ เห็นใจที่เธอตัดสินใจเช่นนั้น เว้นแต่ฝ่ายที่ต้องการเห็นเธอเป็นออง ซาน ซู จี เมืองไทยก็อาจจะผิดหวังเล็กๆ เพราะคงมีน้อยคนที่คิดว่าเธอจะเป็นเช่นนั้นได้จริงๆ

ทางด้าน คสช.ก็หมดสิ้นเสี้ยนหนามหรือหอกข้างแคร่ไปอีกหนึ่ง คสช.ก็จะได้เดินตามโรดแม็ปอย่างสะดวกโยธินเสียที เพราะหากคุณยิ่งลักษณ์เลือกที่จะติดคุก แน่นอนว่านอกเหนือจากกระแสความปั่นป่วนจากมวลชนที่จะเกิดขึ้นแล้ว ผมเชื่อว่าทุกวันที่หน้าเรือนจำที่คุมขังคุณยิ่งลักษณ์จะต้องมีผู้คนมาเยี่ยมเยียนหรือมารวมตัวกันให้กำลังใจไม่มากก็น้อย สื่อมวลชนแขนงต่างๆ ก็จะต้องมีการรายงานข่าวว่า วันนี้คุณยิ่งลักษณ์กินข้าวไม่ค่อยได้ ป่วยครั่นเนื้อครั่นตัว วันนี้ดูเครียด วันนี้ดูร่าเริงแจ่มใส ฯลฯ ซึ่งก็คงเป็นเรื่องปวดหัวต่อ คสช.อย่างแน่นอน

ส่วนฝ่ายตรงข้ามกับเธอไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรฯ หรือ กปปส.ต่างแสดงความยินดีออกมาจนนอกหน้า มีการเยาะเย้ยถากถางกันอย่างสนุกสนาน บางรายลืมตัวเล่นเลยเถิดไปจนเป็นการเหยียดเพศ ทั้งๆ ที่ตนเองเป็นถึงศิลปินแห่งชาติ จนถูกล่าชื่อถอดถอน ทางด้านพรรคประชาธิปัตย์และพรรคการเมืองอื่นก็ถือโอกาสเล่นบท  “พี่คนดี” ให้สัมภาษณ์ตีกินเป็นระยะๆ เพราะเหตุที่มีความหวังว่าคู่แข่งทางการเมืองที่สำคัญของตนคือพรรคเพื่อไทยน่าจะอ่อนแรงลง

แต่เมื่อถึงวันนี้ที่ฝุ่นค่อยๆ จางลง การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น หลายคนเริ่มกลับมาหวนคิดและเกิดคำถามว่าเหตุใดคุณยิ่งลักษณ์จึงสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้อย่างลอยนวล ไหนว่าฝ่ายความมั่นคงคอยจับตาดูอยู่อย่างใกล้ชิดจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ ไม่ว่าจะไปที่ใดก็มีคนคอยตามหาข่าวถ่ายรูปและรายงานเป็นระยะๆ ฝ่ายพันธมิตรฯ และ กปปส.เริ่มรู้สึกว่าถูกหักหลัง เพราะเกิดความสงสัยว่า คสช.นั้น “เกี้ยเซี้ย”กับคุณยิ่งลักษณ์และคุณทักษิณเสียแล้ว จนมีการร้องถามขึ้นมาทางสื่อและสอบถามไปยัง ปปช.ว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ปล่อยให้คุณยิ่งลักษณ์หนีไปหรือไม่ อย่างใด

ในส่วนของมวลชนที่สนับสนุนคุณยิ่งลักษณ์ก็เช่นเดียวกัน เริ่มสงสัยว่าในเมื่อคุณยิ่งลักษณ์พูดอยู่เสมอว่าพร้อมที่จะติดคุก แล้วมันเกิดอะไรขึ้นเพราะแม้แต่จะติดคุกก็ยังไม่ได้เชียวหรือ ฤาว่ามีการข่มขู่เอาชีวิตแม้ว่าจะยอมติดคุกก็ตาม ฯลฯ จึงเกิดความรู้สึกว่าฟางเส้นสุดท้ายกำลังจะมาถึงแล้ว

จากสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อประกอบเข้ากับระบบการเมืองที่ถูกออกแบบไว้ในรัฐธรรมนูญฯ ก็ดี หลายคนหันมาพิจารณาถึงอนาคตบ้านเมืองนับต่อจากนี้ เริ่มมีความรู้สึกว่าผลแห่งการดำเนินคดีจากการดำเนินนโยบายก็ดี หรือการที่จะไม่ดำเนินตามยุทธศาสตร์ชาติก็ดี ฯลฯ ทำให้ในการเลือกตั้งที่จะเกิดมีขึ้นนั้น คนที่มีความรู้ความสามารถที่ไหนจะอาสาเข้ามาทำงานการเมือง ระบบการเมืองแบบนี้จะดึงดูดคนแบบไหนเข้ามา ระบบการเมืองแบบนี้จะทำให้ไม่มีใครกล้าทำนโยบายที่มีผลต่อสังคมจริงๆ ออกมา เพราะในที่สุดก็จะถูกนำมาเล่นงานอยู่ดี

การบริหารประเทศก็จะเป็นไปในลักษณะเช้าชาม เย็นชาม ทำงานในลักษณะงานประจำดังเช่นข้าราชการหรือพนักงานของรัฐทำอยู่ ทุกคนต่างทำงานแบบประคองตัว ไทยเราก็จะเป็นรัฐราชการสมบูรณ์แบบ(absolute bureaucratic polity) ในขณะที่เราอยู่ในศตวรรษที่ 21 แล้ว รัฐไทยที่ปกติก็ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ (function) อยู่แล้ว ก็ยิ่งด้อยประสิทธิภาพลงไปอีก

ความเสียหายที่สำคัญนอกจากกระบวนการยุติธรรมที่ถูกมองด้วยสายตาเคลือบแคลงแล้ว พัฒนาการของประชาธิปไตยของไทยเราที่วิวัฒนาการมาโดยตลอดและสะดุดหยุดอยู่เป็นระยะๆ เมื่อมีการรัฐประหาร แต่ในครั้งนี้ประชาธิปไตยของเรากลับกลายเป็นสะดุดหยุดนิ่ง และถอยหลังไปไกลกว่าจุดเริ่มต้นเมื่อ 85 ปีที่แล้วเสียอีก

กล่าวโดยสรุปก็คือ ที่คาดการณ์ว่าคุณยิ่งลักษณ์เดินทางออกประเทศแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นการ ‘win win’ ทุกฝ่ายนั้นไม่ใช่เสียแล้ว กลับกลายเป็นการพ่ายแพ้ของทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด

ฝ่ายรัฐประหารและผู้สนับสนุนก็พ่ายแพ้ เพราะนอกจากจะเกิดความหวาดระแวงและลดทอนความไว้เนื้อเชื่อใจแล้ว คสช.ทำอย่างไรก็ไม่ได้รับการยอมรับจากฝ่ายที่ไม่เอารัฐประหาร การปรองดองตามที่ประกาศไว้ก็ไม่เกิดขึ้น มีแต่จะแตกแยกร้าวลึก ฝ่ายที่เรียกตนเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยก็กลับมาขัดแย้งขบกัดกันเอง ดังที่เห็นได้ทั่วไปในโซเชียลมีเดีย มึงว่ากู กูว่ามึง ซึ่งยิ่งทำให้กระแสประชาธิปไตยอ่อนแรงลงเรื่อยๆ

ผมเชื่อว่าเหตุการณ์ในวันที่ 25 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมานี้จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของการเมืองไทย และจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ยากจะหวนกลับ (point of no return) เพราะมันได้จมดิ่งลงไปยังก้นเหวที่ลึกมากเกินกว่าจะเยียวยาได้ บางทีในชั่วชีวิตนี้เราอาจจะไม่ได้เห็นเลยเสียด้วยซ้ำ

วันพุธ, สิงหาคม 30, 2560

เรื่องขำๆ 'รื้อบ้านหาตะเคียน' (ทักษิณ) ถึง 'ปาหี่ชัดๆ' (ก็ทักษิณอีก)

พอดีสองคนนี่ขำพร้อมกันเมื่อวันวาน (๒๙ สิงหา) คนแรก อธึกกิต แสวงสุข ขำเรื่อง “ยงยุทธ์ติดคุกฐานเอื้อผลประโยชน์อัลไพน์ แต่ป๋าเหนาะตัวต้นเรื่องกลับรอด”

เรื่องก็คือ นายยงยุทธ์ วิชัยดิษฐ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทยถูกศาลอาญากลางตัดสินจำคุก ๒ ปี จากคดีการซื้อขายที่ดินธรณีสงฆ์แก่สนามกอล์ฟอัลไพน์ ปทุมธานี ที่ ปปช.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องว่าจำเลยในขณะดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย เพิกเฉยไม่ปฏิบัติตาม คำสั่งอธิบดีกรมที่ดินให้ยกเลิกโฉนดที่ดินนั้นของสนามกอล์ฟอัลไพน์ ซึ่ง ปปช.มีมติ ๖ ต่อ ๓ ชี้มูลความผิด

อันคดีอัลไพน์นี้เบื้องต้นเป็นคดีที่นายเสนาะ เทียนทอง ครั้งเป็น รมว.มหาดไทย ไม่ยอมให้มีการโอนที่ดินบริจาคของนางเนื่อมแก่วัดธรรมิการามฯ คลองหลวง แล้วให้แบ่งขายที่ดินนำเงินไปให้กับวัดแทน แต่ ปปช. ไม่เห็นด้วยทำการฟ้องร้องนายเสนาะแยกจากคดีนายยงยุทธ์

ทว่าคดีนายเสนาะศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองยกฟ้อง อ้างว่าเนื่องจากโจทก์ “ไม่ได้ตัวจำเลยมาศาลในกำหนดอายุความ (https://www.matichon.co.th/news/645842) “ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๕ วรรคหนึ่ง ดังนั้นสิทธิ์การฟ้องคดีอาญาย่อมถูกระงับไป”

อาการขำจึงเกิด “ตอนนั้นไม่ยักมีใครฟ้อง ปปช. ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ละเว้น ส่วนใหญ่ก็เป็นอดีตผู้พิพากษาเป็นนักกฎหมาย ไม่รู้ได้ไงวะ ว่าไม่เอาตัวป๋าเหนาะมาส่งศาล ขาดอายุความ

คดีนี้ถ้าสาวกันไปทั้งหมดก็จะไปพัวพันมูลนิธิมหามกุฎฯ ที่เป็นผู้ขาย แต่เรื่องจริงๆ ก็คือวัดไม่อยากได้ที่ดิน วัดอยากได้เงิน ก็มาให้ป๋าเหนาะออกคำสั่งไม่อนุญาตให้วัดรับมอบที่ดิน แล้วให้มูลนิธิฯ ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดก ขายที่ดินเอาเงินให้วัดแทน” อธึกกิตเล่า (https://www.thairath.co.th/content/128282)

“แต่ร้อยไม่ควรพันไม่ควรคือ บริษัทของเมียกับน้องป๋าเหนาะดันซื้อที่ดินไว้เอง หมื่นไม่ควรแสนไม่ควรคือ ดันมาขายต่อให้ (ลูกเมีย) ทักษิณ สุดท้ายคนซวยคือ คนที่ซื้อบ้านไป”

ด้าน ธนาพล อิ๋วสกุล บอก “อย่าขำเรื่องสองผัว-เมียเชื่อร่างทรง ทุบบ้านหาไม้ตะเคียน” เพราะคนไทยจำนวนมากเชื่อที่สนธิ ลิ้มทองกุลและสุเทพ เทือกสุบรรณ เชื่อในสิ่งที่สองคนนี้กล่อมปัญญาให้ “เผาบ้านไล่แมลงสาบที่ชื่อ ระบอบทักษิณ มาสิบปีแล้ว” ละ

ที่มาของเรื่องนี้ที่ “ผัวเมียรื้อบ้านขุดหาต้นตะเคียน ตามคำแนะนำร่างทรงหลังลูกหายป่วย http://news.sanook.com/3261506/ แต่ครั้นรื้อเตียนแล้ว “ร่างทรงหนีหาย ผัว-เมียร่ำไห้โฮ ยุติขุดหาไม้ตะเคียน เผยความเชื่อทำพิษจนหมดตัว http://deksocial.com/%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%…/

ธนาพลเขาเอาไปเปรียบกับพวกที่หลงใหลคำปราศรัยของสุเทพ เทือกสุบรรณ และสนธิ ลิ้มทองกุล ให้ช่วยกันโค่นระบอบทักษิณ ด้วยการปิดกรุงเทพฯ เป่านกหวีดคัดค้านเลือกตั้ง ต้องปฏิรูปก่อน ช่วยกันกวักมือเรียกทหารเข้ามายึดอำนาจ ก็เลยหวานคอแร้ง คสช.

จังหวะพอดีกับตอนนี้มิตรร่วมรบของ สนธิออกมามุสาดราม่า “โอ้สวรรค์ โปรดประทานพรแก่สนธิด้วยเถิด” ไพศาล พืชมงคล โอด “ตอนนี้สนธิมีอายุย่าง ๗๑ ปี ทำหน้าที่สอนเพื่อนนักโทษในคุก” และป่วยหนักมาก ตาซ้ายกำลังบอดสนิท ปวดศีรษะอย่างแรง

“เสือกับหมาต่างกัน...สะเทือนใจนัก...เพราะสนธิยอมรับการลงทัณฑ์ อภัยและอโหสิกรรมให้กับทุกคนที่เคยสร้างเวรกรรมกันมา...

จึงต้องเอาเรื่องนี้มาบอกกล่าวให้ทราบกันว่า ในขณะที่เกิดความสว่าง เทียนแห่งธรรมกำลังละลายตัวเอง...พวกเราอาจต้องคิดอ่านช่วยเหลือคุณสนธิกัน”

จะบังเอิญหรือบังอรก็แล้วแต่ ทางราชทัณฑ์ดันรู้ทัน “อธิบดีราชทัณฑ์แจง ‘สนธิ ลิ้ม’ ไม่ได้สอนหนังสือในคุก ประเด็นชรา-ตาซ้ายกำลังบอด ไม่เข้าเกณฑ์พักโทษhttps://www.matichon.co.th/news/646128

นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์กล่าวถึงเรื่องที่เป็นข่าวว่า นายไพศาล พืชมงคล แกนนำ กปปส. อดีต สว. เดี๋ยวนี้ที่ปรึกษา รมว.กลาโหม ออกมาประโคมเรื่องนายสนธินั้น

“อาการตาซ้ายมองไม่เห็นของนายสนธินั้นเป็นมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในเรือนจำ ไม่ใช่อาการป่วย”

เมื่อนายสนธิมีอาการกำเริบก็จะส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งมีแพทย์ประจำตัวของนายสนธิคอยดูแลเป็นประจำอยู่แล้ว (ตามข่าวมติชน https://www.matichon.co.th/news/646128) กับ “สนธิไม่ได้บอดสนิท” (จากบางกอกโพสต์ http://www.bangkokpost.com/news/politics/1315439/sondhi-vision-woes-predated-jail-term)

นั่นเท่ากับว่าที่นายไพศาลออกมาประโคม เพียงแค่ดราม่า หาความจริงไม่ได้

“นายกอบเกียรติบอกด้วยว่าทางเรือนจำไม่ได้บังคับให้สนธิทำการสอนพวกนักโทษ” (บางกอกโพสต์) แท้จริงนายสนธิอยากจะสอนหนังสือพวกนักโทษเอง จึงขออนุญาตทางเรือนจำ แต่ราชทัณฑ์ไม่ยินยอม

“เกรงว่าจะเกิดปัญหา เพราะในเรือนจำมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบนายสนธิ จึงไม่ได้อนุญาตให้นายสนธิเป็นครูพิเศษในเรือนจำ” (เวอร์ชั่น มติชน)

ฉะนี้ เห็นชัดอีกว่านายไพศาล พืชมงคล มุสา อีกคำ นอกจากนั้นว่ากันตามจริงแล้วการที่สนธิต้องติดคุก ก็ไม่ใช่ “เป็นแบบอย่างว่าผู้เสียสละที่ยอมพลีทุกอย่างเพื่อบ้านเมือง แล้วต้องมีชะตากรรมไร้คนเหลียวแล” แต่อย่างใด

สนธิติดคุกคดีฉ้อโกง ทำเอกสารรายงานการประชุมเท็จ ค้ำประกันเงินกู้ธนาคารกรุงไทยกว่าพันล้าน ไม่ได้ติดคุกคดีการเมือง” (จากโพสต์ของ ชัยวุฒิ สุวรรณโณทางหน้าเฟชบุ๊ค)

ศาลอุทธรณ์พิพากษาเมื่อ ๗ สิงหา ๕๗ ว่านายสนธิและพวกมีความผิดจริงตามคำตัดสินศาลชั้นต้นให้ต้องโทษจำคุก ๒๐ ปี ต่อมาในเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น นายสนธิจึงต้องติดคุกตั้งแต่นั้นมา


การที่ไพศาลออกมาโอดครวญแทนสนธิ มุ่งหมายจะให้มีการ พักโทษนายสนธิบ้าง ขณะที่ช่วงนี้ “เทียนกำลังละลาย” พวกพันธมิตรฯ และ กปปส. ต่างพ้นบ่วงกันเป็นทิวแถวแล้ว


ในฐานที่ตนเอง “ไม่ใช่คนของสำนักบ้านพระอาทิตย์” น่าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง เนื่องแต่คนที่เป็นหัวหอกในสำนักบ้านพระอาทิตย์เวลานี้ออกจะเป็นไม่เบื่อไม้เมากับ คสช.อยู่พอควร

เมื่อนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือผู้จัดการ เพิ่งพูดในรายการ คนเคาะข่าวทางโทรทัศน์ดาวเทียม นิวส์วันถึงการหายตัวไม่ไปฟังคำพิพากษาคดีจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไว้หนักหน่วงทีเดียว


“มันปาหี่ชัดๆ...คนวินคือ คสช. คนที่เสียหายไม่เยอะ คือระบอบทักษิณ ปูหมดสภาพไปก็ยังมีตัวตายตัวแทนคนใหม่” จิตตนาถอ้กล่าวหาด้วยว่า “ดีลนี้นำไปสู่ทิศทางการเมืองใหม่ นี่คือการปรองดองระหว่าง คสช. และ ทักษิณ

เขายังพูดข้ามช็อตไปถึงเรื่องเลือกตั้งว่า “ตัวเล่นมีแค่ คสช. กับเพื่อไทยเท่านั้น ประชาธิปัตย์เป็นแค่น้ำจิ้ม และเพื่อความมั่นใจไม่ให้ทักษิณซ่า ก็เลยเก็บคดีโอ๊คฟอกเงินกรุงไทยเอาไว้...

คสช. ชนะเด็ดขาด...เมืองไทยเข้าสู่ระบอบใหม่อย่างเต็มตัว คสช. ทรงอำนาจที่สุดยิ่งกว่าระบอบทักษิณ...โดยที่ทักษิณไม่สู้ด้วย ขอเป็นแนวร่วมโดยไม่ต้องเปิดเผย...

นี่คือกระบวนการปาหี่แหกตาคนทั้งประเทศ ซึ่งสุเทพก็อยู่ในกระบวนการนี้ด้วย” อุต๊ะ บร๊ะเจ้าจ่าง แค่ ปูหนี(ไม่ได้ผวน) ไหงโอละพ่อกันไปได้เพียงนี้ล่ะ

น้องสาวพี่ ต้องปลอดภัย...





ที่มา FB

Jamrus Mahikote


ผมเป็นพี่ชาย ที่มีน้องสาว 4 คน
เหมือนคุณ ทักษิณ ชินวัตร ครับ

ผมจะนิ่งมาก เวลาคนอินบ๊อกซ์มาคร่ำครวญสงสารคุณปู เพราะผมเป็นผู้ชายและพี่ชาย ผมรู้จริงเรื่องจิตใจอย่างนี้

ผมถึงรังเกียจ ความคิดของ อ. ปวิน ที่พูดว่า ทักษิณทำใจว่าน้องต้องติดคุก เพราะนั่นเป็นความคิดของชายเทียม

และผมก็ต่อยตรงทุกหมัด กับคนที่มันเอาคุณปูมาเป็นเกมเรียกคน ไม่ว่าจะเป็น บรรยงที่อันเฟรนด์ไป หรือ จอม เพชรประดับ

ใครอ่านเฟสผม จะรู้ว่าผมรักคุณปู
ผมรักเธอดุจน้องสาวแท้ๆ ... ของผม
ผมจึงเชื่อใจคุณ ทักษิณ ชินวัตร เสมอมา

ข้อความข้างล่างนี้ เป็นโพสต์ของป้าขา ทั้งหมด
อ่านแล้ว น้ำตารื้นคลอหน่วยตา...

น้องสาวพี่ ต้องปลอดภัย
.....................................................................
Panrapee Songsaeng พูด

#ยอมเสี่ยงเพื่อกำจัดความเสี่ยง

ทักษิณไม่มีทางปล่อยให้น้องสาวต้องเสี่ยงกับเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด

เขาเคยเสี่ยงเอาน้องสาวที่ดูไม่ประสาทางการเมืองมาสู้ศึกเลือกตั้ง จนได้เป็นนายกฯรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ

เขาเคยเสี่ยงดันพรบ.นิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่ง เพื่อให้นักโทษทางการเมืองทุกคนได้รับอิสรภาพและเลิกแล้วต่อกันทุกฝ่าย จนโดนฝ่ายตรงข้ามซ้อนแผนโจมตีจนพ่ายยับ

เขาเคยเสี่ยงที่จะเจรจาต่อรองในทางลับเพื่อความสงบสุขของทุกฝ่าย เพื่อให้ประเทศเดินหน้า แม้ใครจะมองว่าเขาถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แต่เขาไม่มีวันที่จะเอาน้องสาวไปเสี่ยงกับคำตัดสินที่ไม่แน่นอน เพราะถ้าน้องสาวต้องติดคุกแม้แต่วินาทีเดียว เขาจะให้อภัยตัวเองไม่ได้เลย และจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต

เขาจึงยอมเสี่ยงที่จะให้น้องสาวเดินเข้าออกศาลกว่าสองปีโดยเก็บงำความคิดไว้คนเดียว ไม่บอกแม้กระทั่งเจ้าตัว เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ และใช้ศักยภาพที่มีอยู่ดำเนินการตระเตรียมอย่างเงียบๆ

เขาเฝ้าดูทุกอย่างที่เป็นไปตามแผนอย่างราบรื่น โดยที่น้องสาวผู้ทุ่มเทเอาจริงเอาจัง ก็พร้อมที่จะเผชิญความจริงและเดินหน้าสู้ จนทำให้ทุกฝ่ายตายใจ

แต่เขาไม่มีวันให้ใครมาตัดสินใจทำการใดๆต่อตัวน้องสาว นอกจากเขาเท่านั้น ไม่มีทางที่คนอื่นจะมากดดันให้หนีหรือพาหนี เพราะเขาจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ในที่สุด เขาก็ยอมเสี่ยงเป็นครั้งสุดท้าย ที่จะเปิดเผยแกมบังคับเป็นการลับเฉพาะกับน้องสาว ถึงขั้นตอนต่างๆ เพียงไม่กี่วันก่อนวันตัดสินคดีเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด

เขายอมเสี่ยงเพื่อกำจัดความเสี่ยง และเขาทำสำเร็จ!

#เรื่องเล่าใต้แสงเทียนก่อนความจริงจะปรากฎ😉🤗

ooo




ทักษิณเก่งหรือทหารห่วย... ผบ.ทบ. เชื่อ “ทักษิณ” วางแผนให้ “ยิ่งลักษณ์” หนี






ooo





ยุคเพียงพอประทังชีวิต?... ครม. มีมติให้สวัสดิการผู้มีรายได้น้อย สิทธิซื้อสินค้าร้านธงฟ้า 200 บาท/เดือน ขึ้นรถไฟ รถเมล์ บขส. 500 บาท





ปชช.ต้องรู้! เเจง “สวัสดิการคนจน” ซื้อของร้านธงฟ้า200/เดือน ขึ้นรถไฟ-รถเมล์-บขส.500/เดือน


29 สิงหาคม 2560
ประชาชาติธุรกิจ

ครม. มีมติให้สวัสดิการผู้มีรายได้น้อย สิทธิซื้อสินค้าร้านธงฟ้า 200 บาท/เดือน ขึ้นรถไฟ รถเมล์ บขส. 500 บาท คาดรัฐบาลจะใช้วงเงินในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยอยู่ที่ปีละ 41,940 ล้านบาท

วันที่ 29 สิงหาคม 2560 เวลา 14.00 น. ผู้สื่อข่าวรางงานจากตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาลว่า นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เสนอเรื่องประชารัฐสวัสดิ์การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิ์การแห่งรัฐ สืบเนื่องมาจากว่าทางกระทรวงการคลังได้เปิดให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยลงเทียบเมื่อวันที่ 3 เม.ย ถึง 15 พ.ค ที่ผ่านมา ทางรัฐได้ตัวเลขมา 14.2 ล้าน เมื่อเอามาผ่านระบบการตรวจสอบ เหลือ11.67 ล้าน หลังจากนั้นทางรัฐได้นำไปทำบัตรสวัสดิ์การแห่งรัฐ เมื่อวันที่ 4 ก.ค ที่ผ่านมาทางกระทรวงการคลังได้นำเสนอ ครม.ขออนุญาติทำโครงการทำบัตรสวัสดิ์การ และทางรัฐได้อนุมัติ ได้เงินมาทำโครงการ 1,541 ล้าน

วันนี้ได้จัดการขอสวัสดิ์การดำเนินผ่าน ทางครม.ได้อนุมัติ แยกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่1 เกี่ยวกับการเดินทาง กรณีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ จะมี รถเมล์ รถไฟฟ้า ใช้วงเงิน 500 ต่อเดือน/คน กรณีที่ 2 เดินทางระยะไกล โดยรถไฟ จะมีรถโดยสาร รถเมล์ในกรุงเทพมหานคร รถบขส. และรถไฟ ได้วงเงิน 500 บาท โดยไม่ปะปนกัน และรถเมล์ที่สารมารถขึ้นได้ก็จะมีการทำอิเจ็คเก็ต เมื่อประชาชนได้บัตรแล้ว รถเมล์ก็จะติดตั้งอิเจ็คเก็ตเสร็จพอดี รถเมล์และรถไฟฟ้าจะมีระบบที่เรียกว่าแมงมุม หรือตั๋วร่วมมราสามารถใช้ร่วมกันได้ แต่ถ้าในกรณีที่เป็นบัตรของ บขส. และรถไฟ จะไม่สามารถใช้ระบบของอิเจ็คเก็ตได้ แต่ทางเราจะนำเครื่องรับบัตรไปวางไว้ที่จุดขายตั๋วตาม บขส. และรถไฟ

ดังนั้นหากประชาชนท่านใดที่ต้องการขึ้นก็นำบัตรไปเสียบเพื่อตัดเงินในบัตรและสามารถขึ้นได้ แต่รถเมล์และรถไฟฟ้า ท่านต้องขึ้นไปบนรถที่เป็นเครื่องอิเจ็คเก็ตเพื่อสแกนบัตรจ่ายแทนเงินสด จะทำให้ประชาชนลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

กรณีที่ 2 ลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ให้สำหรับไปซื้อสินค้าที่จำเป็น จากร้านธงฟ้าหรือร้านที่เข้าร่วมลงทะเบียนกับกระทรวงพาณิช และทางกระทรวงพาณิชเป็นผู้ดูแล ดังนั้นถ้าทางกระทรวงพาณิชส่งรายชื่อร้านค้าที่เข้าร่วมมาเท่าไหร่ ทางรัฐก็จะนำเครื่อง EDC.ไปติดตั้ง เพราะเครื่องนี้มีโปรแกรมสามารถที่จะอ่านบัตรสวัสดิ์การได้ บัตรก็คู่กับเครื่อง และรัฐสามารถให้วงเงินได้ตามรายได้ของประชาชน อาทิ ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท จะได้เงิน 300 บาทต่อเดือน และผู้ที่มีรายได้มากกว่า 30,000บาท จะได้เงิน 200 บาทต่อเดือน กรณีก๊าซหุงต้มจะเป็นกระทรวงพลังงานเป็นผู้ดูแล และได้รับสวัสดิ์การ 45 บาท ต่อคน ต่อ3 เดือน และทุกครั้งที่ประชาชนนำบัตรไปรูด บัตรแต่ละใบจะมีข้อมูลระบุไว้ครบถ้วนว่า ซื้อของอะไรจำนวนเงินเท่าไหร่

บัตรทุกใบสามารถใช้ได้ 1 เดือน ถ้าหากครบกำหนด 1 เดือนแล้ว เงินที่เหลือในบัตรก็จะถูกหักทันที และทุกวัน 1 ของทุกเดือน เงินจำนวน 500 บาท ก็จะเข้าทันที ทุกสิ้นเดือนทางหลังบ้านก็จะคำนวนตัวเลขว่า ร้านธงฟ้า รถเมล์ รถไฟ รถไฟฟ้า ที่ใช้บัตรสวัสดิ์การใช้เงินหมดไปเท่าไหร่ ซื้ออะไรไปบ้าง และจะคำนวนออกมาเป็นตัวเลขและนำมาชาร์ตเงินกับทางรัฐบาล และทางรัฐบาลก็จำนำเงินที่ได้คำนวณออกมาแล้วนำไปจ่ายให้กับผู้ประกอบการแต่ละร้านเป็นประจำทุกวันที่ 3 หลังจากวันทำการทุกเดือน

รถเมล์ รถไฟฟ้า รถไฟ ร้านค้า ร้านธงฟ้าที่ร่วมโครางการจะต้องมีสติ๊กเกอร์แปะไว้ว่ารถคันไหนมีระบบอิเจ็คเก็ต ทำให้ประชาชนสามารถรู้ได้เลยว่าคันไหนที่สามารถใช้บัตรสวัสดิ์การได้

ช่วงนี้บัตรกำลังผลิตอยู่และจะนำไปแจกประมาณวันที่ 21 ก.ย และให้ทันใช้ได้วันที่ 1 ต.ค ดังนั้น รถเมล์ 800 คันกำลังดำเนินการติดอยู่และจะทันกับการออกใช้บัตรพอดี

สำหรับบัตรขึ้นรถเมล์ ทางรัฐบาลได้ทำการนำเอาผู้ที่ลงทะเบียนในกรุงเทพมหานครและ 6 จังหวัดใกล้เคียง เท่านั้น เพราะประชาชนต่างจังหวัดหากทำแล้วไม่ได้ขึ้นรถเมล์ใน กทม. จะเป็นการเปลืองงบประมาณ จึงได้ทำบัตรขึ้นรถเมล์ให้กับประชาชนจำนวน 1.3 ล้านคน จากจำนวน 11.67 ล้านคน ที่จะมีบัตรสวัสดิ์การที่มี 2 ชิพ และสามารถขึ้นรถเมล์และรถไฟฟ้าได้ จังหวัดใกล้เคียง 6 จังหวัดที่จะได้รับมีดังนี้ นนทบุรี ปทุมธานี อยุธยา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และ นครปฐม

ทั้งนี้ บัตรสวัสดิการถ้าหากทำหายหรือย้ายทะเบียนบ้านสามารถนำข้อมูลหลักฐานมายื่นขอบัตรใหม่ได้ โดยเสียค่าธรรมเนียม หากเป็นบัตรธรรมดาที่ไม่ใด้ใช้แบบแมงมุม (รถไฟ ร้านค้าธงฟ้า) มีการบริการประมาณ50บาท และบัตรแมงมุม (ตั๋วร่วม) มีค่าบริการ 100 บาท เพราะบัตรแต่ละใบที่นำออกมามีต้นทุนการผลิตค่อนข้างสูง

อือออ... สิ่งที่เหมือนกันระหว่างมาร์คกับนายกปู คือ...





ภาพจากอินเทอร์เน็ต

ความเหมือนที่แตกต่าง
Same same but different lah
Charnvit Kasetsiri

วันอังคาร, สิงหาคม 29, 2560

บิ๊กตู่ ลั่นปิดเหมืองมีม.44คุ้มครองอยู่ ผมไม่ต้องรับผิดชอบ ซัดไม่แฟร์ เอาไปเทียบ’ปู’ (อำนาจมาพร้อมกับความรับผิดชอบ แม้แต่สฤษดิ์ยังบอก ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่ผู้เดียว แต่ ม.44 "ผมไม่ต้องรับผิดชอบ" 555)



ooo


ภาพจากอินเทอร์เน็ต

ooo

อำนาจมาพร้อมกับความรับผิดชอบ แม้แต่สฤษดิ์ยังบอก ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่ผู้เดียว แต่ ม.44 "ผมไม่ต้องรับผิดชอบ"
Atukkit Sawangsuk


ooo



ooo


ฉลามเขียว : เงินใครจะจ่ายชดใช้เหมืองทองคำ 30,000 ล้านบาท





โดย ฉลามเขียว
Voice TV
24 สิงหาคม 2560


ไทย-ออสเตรเลีย ส่อได้ข้อยุติ ปิดเหมืองทองอัครา ชง ครม.ชดเชยความเสียหาย

คลิกอ่านข่าวของเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ “ไทยรัฐ” ที่ผมนำลิงค์มาวางไว้ด้านบนนี้แล้วให้จบก่อนอ่านเรื่องราวต่อไปนะครับ เพื่อให้ได้กำซาบอรรถรสแห่งเรื่องราวอย่างครบบริบูรณ์

ไทย-ออสเตรเลีย ส่อได้ข้อยุติ ปิดเหมืองทองอัครา ชง ครม.ชดเชยความเสียหาย
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 21 ส.ค. 2560 21:36
ไทย-ออสเตรเลีย ส่อได้ข้อยุติน่าพอใจทั้ง 2 ฝ่าย เตรียมชง ”ครม.” ไฟเขียวแนวทางชดเชยความเสียหายปิด ”เหมืองทองอัครา” เร็วๆ นี้ ลั่นถ้าตกลงกันไม่ได้ ฟ้องรัฐบาลไทยแน่ ละเมิดความตกลงเอฟทีเอ...

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ขณะนี้ บริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด จำกัด ผู้ประกอบการเหมืองแร่ของออสเตรเลีย อยู่ระหว่างการเจรจากับรัฐบาลไทย ภายหลังจากได้ยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยชดใช้ค่าเสียหายทางธุรกิจมูลค่า 750 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 30,000 ล้านบาท จากกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่ง คสช.เรื่องการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำ ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่ได้รับประทานบัตร และใบอนุญาตทุกประเภท ยุติการทำเหมือง ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 60 เป็นต้นมา และให้เร่งฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม มีผลให้บริษัท อัครา รีซอร์สเซส ซึ่งมีบริษัท คิงส์เกต เป็นผู้ร่วมทุนใหญ่ หยุดทำเหมืองแร่ทองคำ จ.พิจิตร เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก เพราะเป็นผู้ประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำรายเดียวที่ยังดำเนินการอยู่

สำหรับการเจรจาครั้งนี้ มีความพยายามที่จะให้ได้ข้อยุติ เป็นที่น่าพอใจของทั้ง 2 ฝ่าย เพราะหากไม่สามารถตกลงกันได้ บริษัทอาจฟ้องร้องรัฐบาลไทย ภายใต้กระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ตามกรอบความตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-ออสเตรเลีย ในด้านการคุ้มครองการลงทุน ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนของประเทศหนึ่ง สามารถฟ้องร้อง และเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลอีกประเทศหนึ่งได้ หากดำเนินนโยบายให้เกิดความเสียหายต่อการลงทุน เช่น ยึดทรัพย์สิน ยึดการลงทุน หรือเวนคืนที่ดิน ซึ่งการฟ้องร้องภายใต้เอฟทีเอนี้ มาตรา 44 ไม่มีอำนาจครอบคลุมไปถึง และในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เร็วๆ นี้ จะเสนอให้เห็นชอบแนวทางชดเชยความเสียหายให้บริษัทด้วย

ทั้งนี้ การที่ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพราะมีเรื่องร้องเรียน และข้อขัดแย้งของประชาชนในพื้นที่ว่าเหมืองทองคำก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพประชาชน แม้ในช่วงออกคำสั่ง ยังไม่พิสูจน์ชัดเจนว่า เกิดผลกระทบจริงหรือไม่ ซึ่งหากออสเตรเลียจะฟ้องร้องจริง รัฐบาลไทยอาจแพ้ เพราะยังไม่มีการพิสูจน์ผลกระทบที่ชัดเจน

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ก่อนหน้านี้ บริษัท อัครา ทำหนังสือแจ้งสื่อมวลชนกรณีบริษัท คิงส์เกต ผู้ถือหุ้นใหญ่ ระบุว่า ไทยละเมิดข้อตกลงด้านการคุ้มครองการลงทุน ภายใต้เอฟทีเอไทย-ออสเตรเลีย และต้องการเจรจากับรัฐบาลไทย แต่ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ บริษัท อัครา จึงทำหนังสือแจ้งรัฐบาลไทยว่า จำเป็นต้องดำเนินการตามสิทธิด้านการคุ้มครองการลงทุน ส่งผลให้รัฐบาลไทยตั้งคณะกรรมการเพื่อไกล่เกลี่ย และล่าสุดอยู่ระหว่างการหาแนวทางเยียวยา.

คือ ว่ากันตามตรงนะครับ วันศุกร์ 25 ส.ค.2560 นี้แล้วที่จะมีการอ่านคำพิพากษาคดีรับจำนำข้าวของท่านนายกรัฐมนตรี “ปูยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ในพื้นที่ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ ข่าวทุกกระแสเร้าใจมาก ผมก็ควรจะเขียนเรื่องนี้ แต่ไม่กล้าหรอกครับ กลัวมาตรา 116 กับกลัว พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่มาเยือนได้ง่ายมาก และว่ากันตามจริงถึง ฉลามเขียว ไม่เขียน ก็มีเรื่องราวให้อ่านมาก โดยเฉพาะในสื่อต่างประเทศ ทุกสำนักเขียนได้ดีกันทั้งนั้น ลึกซึ้งทุกแง่ทุกมุม วิเคราะห์กันแจ่มกระจ่าง และมองไปข้างหน้าอนาคตของประเทศไทย

ตัว ฉลามเขียว แอบปลื้มอยู่นะครับ วันที่ 20 ส.ค.2560 เขียนเรื่อง “เจ้าชายกบ” ในพื้นที่ของ Voice TV แห่งนี้ รุ่งขึ้นท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปคุยกับกบเลี้ยงตัวเขื่องที่ชาวบ้านหนองขี้เหล็ก โคราช นำมามอบให้เป็นของฝาก ระหว่างนั่งรถอีแต้กเยือนศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ชาติหน้าขอให้เกิดเป็นกบตัวเมีย ผมจะได้เกิดเป็นเจ้าชายกบ ฉลามเขียวก็ขี้ตู่ทันที เพราะ ท่านพล.อ.ประยุทธ์ได้อ่านเรื่องเจ้าชายกบในวอยซ์ทีวี จึงเกิดแรงบันดาลใจชาติหน้าจะเกิดเป็นเจ้าชายกบ และ กบหลอน ท่านนายกฯก็เอามาบ่นให้นักธุรกิจที่เข้ารับรางวัลอุตสาหกรรมปี 2560 ที่ตึกสันติไมตรีหลังนอก ทำเนียบรัฐบาล 23 ส.ค.2560 พวกนักข่าวสนใจอยู่ 2 เรื่อง กบกะกิ๊ก

ฉลามเขียว เขาปลื้มมากนะครับท่านนายกฯ

วันนี้ผมอยากเขียนเรื่องการให้กำลังใจท่านนายกฯปูยิ่งลักษณ์ แต่ก็ขลาดเกินไป ก็ขอโหนคดีปูยิ่งลักษณ์ด้วยการจับประเด็น การชดใช้ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิด 2539 ที่ท่านเอามาเล่นงานนายกฯปูด้วยการ ออกคำสั่งทางปกครองให้นายกฯ ปูชดใช้ความเสียหาย 20 % ซึ่งข่าวนี้ของสำนัก Voice TV เมื่อ 20 ต.ค.2559 อยู่ในความสนใจของคนไทยสูงมาก มีการแชร์ต่อถึง 18.8 K หรือ 18,800 ครั้ง

มีรายงานว่า วันนี้เอกสารคำสั่งทางปกครองเรียกเงินชดใช้ค่าเสียหายโครงการรับจำนำข้าว ถูกส่งไปถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งเอกสารถูกลงนามโดย นายวิสุทธิ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง เมื่อวันที่ 13 ต.ค.ที่ผ่านมา

สาระสำคัญของคำสั่ง เป็นการชี้แจงข้อกล่าวหาและความเสียหายที่เกิดจากโครการรับจำนำข้าว ที่คณะกรรมการพิจารณาความผิดทางละเมิด มีมติให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น ให้แก่กระทรวงการคลังเป็นเงิน 35,717,273,028 ล้านบาท ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งนี้ หากเกินกำหนดเวลาดังกล่าว กระทรวงการคลังจะดำเนินมาตราการทางปกครองตามมาตรา 57 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฎิบัติทางปกครอง พ.ศ.2539 และเป็นไปตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้อำนาจหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 คุ้มครองผู้เกี่ยวข้องในการดำเนินการดังกล่าว

ตัวผมจึงมั่นใจว่า คนไทยสนใจประเด็นการชดใช้สูงมาก ก็เลยจับประเด็นจากข่าวของไทยรัฐมาโหนเขียนในวันนี้ ซึ่งผมถือว่าเป็นข่าวที่ยอดเยี่ยมมากของไทยรัฐ นักข่าวเจาะเดี่ยวมาได้ว่า ขณะนี้มีการตั้ง “คณะกรรมการไกล่เกลี่ย” เพื่ดใช้ค่าเสียหายจากการใช้คำสั่งมาตรา 44 ให้แก่เหมืองทองคำอัคราแล้ว

จะเอาเงินใครจ่าย

ผมสนใจประเด็นนี้มาก และที่เขียนเรื่องนี้ในวันนี้ก็เพราะเห็นใจบรรดารัฐมนตรีในคณะรัฐบาลชุดปัจจุบัน เพราะคำสั่งปิดเหมืองทองคำใช้อำนาจมาตรา 44 ทำให้ในประเทศไทยใครก็ฟ้องไม่ได้ แต่ถ้าจะใช้มติ ครม.จ่ายงินชดใช้ ผมก็ขอถามดักคอไว้ว่า จะถูกต้องมั๊ยครับ รัฐมนตรีที่เขาร่วมประชุมจะโดนย้อนหลังได้หรือไม่ มีกฎหมายพิเศษคุ้มครองหรือเปล่า

การใช้คำสั่งมาตรา 44 ปิดเหมืองทองคำของอัครา มีเรื่องราวเป็นข่าวเกิดขึ้นเยอะมาก ดร.โสภณ พรโชคชัย เป็นคนแรกที่จับประเด็นได้ และชี้ประเด็นโช้ะออกมาตั้งแต่วันที่ 28 ธ.ค.2559 ... นักวิเคราะห์ ชี้ บิ๊กตู่ อาจต้องใช้เงินส่วนตัวนับหมื่นล้าน ชดใช้ปม ม.44 ปิดเหมืองทองอัครา ... ชี้ก่อนที่คำสั่งปิดเหมืองจะมีผลในวันที่ 1 ม.ค.2560 และวันที่ 24 ส.ค.2560 หมาดๆ ดร.ถาวรก็เขียนชี้อีก ...พล.อ.ประยุทธ์ควรใช้เงินส่วนตัว 30,000 ล้านเยียวยาเหมืองทองคำ ... ก็อ่านเอาจากข่าวนะครับ ผมลิงค์ทั้งหมดมาไว้ในพื้นที่นี้แล้ว

วันนี้ผมขอเขียนตบท้ายไว้ที่ ฉลามเขียวเป็นกองเชียร์ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ นะครับ ผมเชื่อมั่นท่านจะแก้ปัญหาการชดใช้เงิน 30,000 ล้านบาท ให้เหมืองทองคำอัคราได้อย่างฉลุย ชัวร์

ฉลามเขียว
24 สิงหาคม 2560

อ่านข่าวเกี่ยวข้อง
นักวิเคราะห์ ชี้ บิ๊กตู่ อาจต้องใช้เงินส่วนตัวนับหมื่นล้าน ชดใช้ปม ม.44 ปิดเหมืองทองอัครา
พล.อ.ประยุทธ์ควรใช้เงินส่วนตัว 30,000 ล้านเยียวยาเหมืองทองคำ
คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 72/2559 เรื่อง การแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำ

‘อัครา’ครวญเสียหาย 3 หมื่นล. หลังรัฐงัด ม.44 ปิดเหมืองทอง

...


"ถ้าพูดเรื่องกฎหมายของตนที่ใช้มาตรา 44 ในประเทศนี้ ผมไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น ผมทำได้หมด ส่วนกฎหมายอนุญาโตตุลาการ กฎหมายระหว่างประเทศ ก็ต้องสู้คดีกันไป แต่เมื่อใช้มาตรา 44 ผมไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะคุ้มครองผม"

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา, 29 สิงหาคม 2560

Korndanai Akawat "If talking in legal terms from what I exert Article 44 in this Nation, I hold no responsibility, I can do it all. In term of international law, the case then goes on as usual. When exercising Article 44, I fear nothing because I am protected."
Gen.Prayuth Chan-Ocha
Prime Minister, Thailand
29 August BE 2560 (AD 2017)

แปลเป็นภาษาอังกฤษแล้ว มันอายปากพิลึก

ooo




อัครา รีซอร์สเซส เผย! ปมขัดแย้งที่แท้จริง ต้นเหตุระงับกิจการเหมืองทองคำ มาจากการเสนอขายที่ดินของคนบางกลุ่ม ไม่ใช่ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน ยืนยันตัวเลขฟ้องรัฐบาลไทย...





อัคราฯ เผย! ปมปิดเหมืองทอง ไม่ใช่เรื่องสิ่งแวดล้อม 


by กองบรรณาธิการ ข่าวเศรษฐกิจ
29 สิงหาคม 2560 
Voice TV


อัครา รีซอร์สเซส เผย! ปมขัดแย้งที่แท้จริง ต้นเหตุระงับกิจการเหมืองทองคำ มาจากการเสนอขายที่ดินของคนบางกลุ่ม ไม่ใช่ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน ยืนยันตัวเลขฟ้องรัฐบาลไทย ชดเชยค่าเสียหาย 30,000 ล้านบาท ไม่ได้มาจากบริษัท และไม่ได้กำหนดกรอบเวลาการเจรจา ขึ้นอยู่กับรัฐบาล

กว่า 8 เดือน ที่เหมืองทองชาตรี ในพื้นที่รอยต่อ 3 จังหวัด ทั้งพิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ไร้พนักงานเข้า-ออกทำงาน มีเพียงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแลพื้นที่อย่างเข้มงวด หลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 10 พฤษภาคม 2559 สั่งยุติการขออนุญาตอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำและประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำ รวมถึงการขอต่ออายุประทานบัตรทั่วประเทศ ด้วยเหตุผลมีปัญหาการร้องเรียนและข้อขัดแย้งกับประชาชนในพื้นที่ และ คสช. ใช้มาตรา 44 ออกคำสั่ง เรื่องการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ ส่งผลให้ต้องยุติการทำเหมือง ตั้งแต่ 1 มกราคม 2560

นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้จัดการฝ่ายประสานงานกิจการภายนอก บริษัท อัครา รีซอร์สเซส กล่าวว่า การสั่งระงับดำเนินกิจการเหมืองทองอัครา เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบธรรม ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และข้อเท็จจริงที่ดีพอ โดยปัญหาความขัดแย้งเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ เป็นเพียงข้ออ้างจากคนบางกลุ่ม ซึ่งคนในพื้นที่ถูกทำให้เชื่อจากคนภายนอกว่า ตัวเองเจ็บป่วย ด้วยการมีสารพิษในร่างกาย

แต่สาเหตุความขัดแย้งที่แท้จริง เป็นเรื่องปัญหาที่ดิน หลังมีบางกลุ่มพยายามเสนอขายที่ดินให้บริษัทในราคาสูงกว่าราคาประเมิน แต่บริษัทไม่สามารถรับซื้อไว้ได้ จึงมีการเคลื่อนไหวต่อต้านเหมืองทองคำ

ยังไม่ยื่นอนุญาโตตุลาการ รอผลเจรจารัฐบาลไทย


พร้อมกันนี้ บริษัท อัคราฯ ยืนยัน แม้ไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ยังพร้อมทำงานร่วมกับคณะกรรมการฯ ที่กระทรวงอุตสาหกรรมตั้งขึ้น โดยพยายามรักษาบรรยากาศของการเจรจา แม้บริษัทจะมีสิทธิตามข้อตกลงการค้าไทย-ออสเตรเลีย แต่ไม่ได้เร่งรัดการเจรจา และไม่ได้กำหนดกรอบการเจรจา ขึ้นอยู่กับรัฐบาล ส่วนตัวเลขค่าชดเชย 30,000 ล้านบาท ไม่ได้เป็นการฟ้องร้องจากบริษัทเพื่อเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาล แต่อาจเป็นตัวเลขจากฝ่ายอื่น นำรายได้มาประเมินเอง

ทั้งนี้ หลังจากบริษัทยื่นหนังสือแจ้งรัฐบาลว่าได้ละเมิดข้อตกลง แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่ได้ดำเนินการยื่นฟ้องอนุญาโตตุลาการ เพราะอยู่ระหว่างการเจรจา แต่หากไม่มีความคืบหน้า ก็จะเดินหน้าฟ้องร้อง อย่างแน่นอน

สำหรับข้อเรียกร้องของบริษัท มี 2 ประเด็นหลัก คือ ให้เหมืองทองกลับมาดำเนินกิจการต่อโดยเร็วที่สุด และให้รัฐมีหลักประกันในการดำเนินการ เพราะที่ผ่านมา บริษัทได้รับความเสียหายมหาศาล จากคำสั่งปิดเหมืองแล้วถึง 2 ครั้ง ในปี 2558 และปี 2559

คาดใช้เวลากว่า 1 ปี ฟื้นพื้นที่ ก่อนกลับมาผลิตทองคำ

นายเชิดศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ ยังไม่ได้รับการแจ้งจากบริษัทแม่ คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด หรือรัฐบาล เกี่ยวกับการอนุญาตให้เปิดเหมืองทองตามที่สำนักข่าวต่างชาติระบุ แต่หากมีการอนุญาตให้ดำเนินกิจการได้ต่อคาดว่าต้องใช้เงินลงทุนอีกจำนวนมาก และใช้เวลาเตรียมตัวจัดหาเครื่องจักร คนงาน และรื้อฟื้นพื้นที่รวมกว่า 1 ปี ถึงจะกลับมาผลิตทองคำและมีรายได้ตามปกติ ขณะเดียวกัน บริษัทได้เก็บตัวอย่างน้ำใต้ดินและบนดิน มาวิเคราะห์ทุก 3 เดือน

ทั้งนี้ ตลอด 8 เดือน ที่บริษัทไม่ได้ประกอบกิจการ ทำให้บริษัทไม่มีรายได้ จากที่เคยมีรายได้เฉลี่ยปีละ 5,000 – 6,000 ล้านบาท อีกทั้งได้ทยอยเลิกจ้างคนงานเป็นระยะ โดยจ่ายชดเชยครบถ้วนตามกฎหมายแรงงาน เฉพาะเงินชดเชยเป็นเงินกว่า 130 ล้านบาท จากพนักงานที่เลิกจ้างกว่า 1,000 คน ร้อยละ 80 เป็นคนในพื้นที่ 3 ตำบลโดยรอบเหมือง พนักงานได้รับความเดือดร้อน ตกงาน ต้องย้ายถิ่นฐานไปหางานใหม่ ความเดือดร้อนนี้ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัวพนักงาน รวมถึงธุรกิจขนาดเล็กในพื้นที่โดยรอบ เช่น ร้านอาหาร โรงซ่อม โรงกลึง บางแห่งต้องปิดกิจการ เพราะไม่มีลูกค้า

อัคราฯ จ่ายค่าภาคหลวงส่งให้รัฐกว่า 4,300 ล้านบาท

ที่ผ่านมา เหมืองทองอัครา ผลิตทองคำได้ 120,000 ออนซ์ต่อปี และผลิตเงินได้ 5 แสนออนซ์ต่อปี จ่ายค่าภาคหลวงให้รัฐไปแล้วกว่า 4,300 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 500 ล้านบาท ส่วนปริมาณสำรองทองคำในเหมืองที่สำรวจแล้วมี 80 ตัน ขุดขึ้นมาผลิตแล้ว 50 ตัน เหลือปริมาณสำรอง 30 ตัน ขณะที่เงินมีปริมาณสำรองคิดเป็น 5 เท่าตัวของทองคำ

พร้อมเปิดเผยว่า ช่วงแรกที่มีคำสั่งระงับดำเนินกิจการ มีหลายหน่วยงานเข้ามาตรวจสอบพื้นที่ ทั้งกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กรมควบคุมมลพิษ หน่วยงานท้องถิ่น ว่าหยุดกิจการจริงหรือไม่ หยุดตั้งแต่ 31 ธันวาคม 2559 โดยมีการตรวจสิ่งแวดล้อม ซึ่งบริษัทให้ความร่วมมือกับภาครัฐมาโดยตลอด

สำหรับกรณีจะมีการนำพื้นที่เหมืองอัคราฯ ไปให้เอกชนรายอื่นนั้น นายเชิดศักดิ์ ระบุ มีความเป็นไปได้ยาก เพราะการเข้ามาดำเนินกิจการในพื้นที่ต้องใช้เวลาในการสำรวจ แต่ยอมรับช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา มีความพยายามจากบริษัทน้ำมันรายหนึ่งในประเทศ เข้าไปซื้อหุ้นบริษัท คิงส์เกต ที่ตลาดออสเตรเลีย

เพจใหม่ 'ทีมงาน พล.อ.ประยุทธ์' งานเข้า ชาวเน็ตต้อนรับ ด้วยคำวิจารณ์ ขณะเดียวกันผู้ใช้งานหลายคนได้กล่าวว่าเพจดังกล่าวได้ทำการลบข้อความในแง่ลบและบล็อคพวกเขาจากการแสดงความเห็น




DAILYNEWS/AFP/GETTY IMAGES
พลเอก ประยุทธ์ เล่นกับกบขณะพบปะประชาชนในจังหวัดนครราชสีมาเมื่อวันที่ 21 ส.ค. ที่ผ่านมา


เพจใหม่ 'ทีมงาน พล.อ.ประยุทธ์' พบกับคำวิจารณ์บนโลกโซเชียล


เพจเฟซบุ๊กที่อ้างว่าเป็นทีมงานของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับการต้อนรับด้วยคำวิจารณ์ ล้อเลียน และข้อความสนับสนุน จากผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียของไทย

เพจที่มีชื่อว่า "Gen.Prayut Chan-o-cha ทีมงาน" เริ่มโพสต์ข้อความและรูปภาพเกี่ยวกับการทำงานของนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันผู้ใช้งานหลายคนได้กล่าวว่าเพจดังกล่าวได้ทำการลบข้อความในแง่ลบและบล็อคพวกเขาจากการแสดงความเห็น





ผู้ใช้งานหลายคนได้แสดงความเห็นต่อข้อความในหลายแง่มุม อย่างเช่น Khomsan Samsalee ซึ่งกล่าวว่า "ลุงตู่เป็นนายกที่ดีที่สุดที่โลกใบนี้เคยมีมา ไทยเป็นมหาอำนาจของโลกนี้และโลกหน้า พวกเรากล่าวพร้อมกันสามครั้ง 'เรารักท่านผู้นำ เรารักท่านผู้นำ เรารักท่านผู้นำ' "

"ลุงนอบน้อมน่ารักเสมอ" JeJee Srifa แสดงความเห็นในรูปที่พลเอกประยุทธ์ พบกับนางอิรินา โบโกวา ผู้อำนวยการองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ช่วงบ่ายวันนี้

ข้อมูลบนเพจดังกล่าวเป็นการนำเสนอภาพของพลเอกประยุทธ์ที่ต่างไปจากภาพที่ดูขึงขังของนายกรัฐมนตรีในข่าวและรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ"

อย่างเช่นในวันพุธที่ผ่านมาได้มีการโพสต์ภาพโต๊ะทำงานของพลเอกประยุทธ์โดยกล่าวว่า ทีมงานได้ถูกตำหนิโดยนายกรัฐมนตรีเพราะจัดโต๊ะไม่เรียบร้อย





ปัจจุบันเพจดังกล่าวมีผู้ติดตามประมาณ 8,000 คน ในระหว่างการตรวจสอบ บีบีซีไทยพบว่าจำนวนความเห็นของโพสต์ในช่วงบ่ายวันนี้ มีการขยับเพิ่มขึ้นและลดลงอย่างต่อเนื่อง

จากการสอบถามกลุ่มสารนิเทศของทั้งสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักปลัดนายกรัฐมนตรี ทั้งสองแห่งกล่าวว่าไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของเพจดังกล่าว

นายอาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองเน็ตหรือ Thai Netizen Network บอกกับสำนักข่าว ข่าวสดภาษาอังกฤษ ว่านี่อาจจะเป็นความพยายามที่จะปรับภาพลักษณ์ของพลเอกประยุทธ์ให้มีความอ่อนโยนลง และขยับออกห่างจากความเป็นตัวแทนของทหารและคสช.

ย้อนไปเมื่อตุลาคมปี 2015 พลเอกประยุทธ์ยืนยันกับนักข่าวว่าไม่ต้องการที่จะมีเพจทางการบนเฟซบุ๊ก

"ไม่เปิดอะ รักผมที่ตัวจริงของผมดีกว่าไปเฟซบุ๊กอะไร ไม่ใช่ ถ้ารักผมรักที่ผมเนี่ย" เขากล่าว "ทุกคนไม่ต้องมารักผม ทุกคนรักประเทศของท่านเถอะ รักประเทศทั้ง 70 ล้าน รักผมซักล้านเดียวก็พอ แล้วท่านจะรู้คำตอบว่าจะต้องทำตัวอย่างไร"

ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กหลายคนยังแสดงความเห็นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีการนัดหมายเพื่อแสดงความเห็นออนไลน์พร้อมๆ กันเพื่อแสดงความไม่พอใจที่พวกเขาถูกบล็อคอีกด้วย

...


คนในเพจ ~98% คือเข้าไปด่า 555555555 แทบไม่มีใครชื่นชมเลย ก็น่าจะรู้ตัวได้แล้วนะท่านว่าประชาชนคิดอย่างไร

ความเห็นของมิตรสหายท่านหนึ่ง