วันศุกร์, กรกฎาคม 31, 2563

ตำรวจแก้ต่างคดี บอส อยู่วิทยา ดื่มสุราหลังจากชนแล้วเครียด ส่วนเรื่องความเร็วแค่คลาน แถมพยานเอกเพิ่งอุบัติเหตุตายเสียแล้ว

ไม่แน่ใจอย่างยิ่ง กรรมการ ๓ คณะของนายกฯ จะสอบได้เรื่องเพิ่มสักเท่าไร เห็นว่าประยุทธ์ตั้งกรรมการตรวจสอบกรณีอัยการสั่งไม่ฟ้อง บอส ทุกข้อหา แล้วตำรวจสั่งต่อทันใดให้ผู้ต้องหาบริสุทธิ์ พร้อมกวักมือเรียกให้กลับบ้านได้ (มีรักรออยู่ ละสิ)

ในเมื่อสำนวนคดีได้รับการตีแผ่กันใหม่ค่อนข้างละเอียด ว่าตำรวจทำสำนวนไว้ไม่พลาด มีเหตุอ้างให้พลิกจากข้อวินิจฉัยเบื้องต้นที่ให้สั่งฟ้อง ให้ต้องละล้าละลังจนผู้ต้องหาหนีลอยนวลไปจ้อย “เนื่องจากพนักงานสอบสวนไม่สามารถตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์หลังเกิดเหตุได้ทันที”

อันนี้เป็นคำตอบที่ได้จากตำรวจที่ไปให้การต่อกรรมาธิการตำรวจของสภาผู้แทนฯ แจ้งว่าหลังเกิดเหตุผู้ต้องหาขับรถหนีเข้าบ้าน กว่าตำรวจจะนำตัวไปตรวจแอลกอฮอลได้ก็เนิ่นนานไปแล้ว ๑๐ ชั่วโมง เพราะทำได้แค่ล้อมบ้านไว้จนกว่าจะได้หมายค้น

อีกทั้งแม้ว่าตรวจเสร็จแล้วยังพบปริมาณแอลกอฮอลในร่างของนายวรยุทธ อยู่วิทยา ถึง ๖๐ มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อผู้ต้องหาบอกว่าไม่ได้ดื่มสุราระหว่างขับรถ (คงหมายถึงดื่มก่อนขับ ก็โอเค ยกประโยชน์ให้จำเลย)

แต่ที่สำคัญยิ่งนักแล้วสำหรับการทำสำนวนไม่เอาผิดทายาทมหาเศรษฐีอันดับสองของประเทศไทยนี่ ผู้ต้องหาบอกว่าหลังเกิดอุบัติเหตุ ตนกลับเข้าบ้านแล้วเครียดจึงดื่มสุราเข้าไป (ทำให้เมื่อตรวจหลังสิบชั่วโมง แล้วยังพบ คราบ สุราในร่างไง) ใครไม่เชื่อ ตำรวจต้องเชื่ออะ

อีกหลักฐานที่ทำให้ตำรวจฟันธงว่านายวรยุทธบริสุทธิ์ผุดผ่องจนต้องหลุดคดี ทั้งที่มีรายงานการตรวจพบสารยาเสพติดโคเคนในร่างกายของเขาเช่นเดียวกับแอลกอฮอล แต่ถูกกันออกไปไม่นำมาพิจารณา ตำรวจที่ไปให้การต่อกรรมาธิการสภาฯ

มีทั้งผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ และ พล.ต.ท.สมชาย พัชรอินโต ผบ.สำนักกฎหมายและคดี บอกว่าเหตุไม่สั่งฟ้องในเรื่องสารเสพติด เพราะมีทันตแพทย์ยืนยันว่าสารโคเคนในร่างของบอส มาจากยารักษาฟัน

ไม่ทราบทันตแพทย์คนไหนบอกตำรวจอย่างนั้น แต่ว่าทันตแพทย์ซึ่งเป็น ผอ.สำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัยบอกกับสำนักข่าวไอเอ็นเอ็น “ว่าในปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวหน้า และพัฒนาไปไกลมากแล้ว” เดี๋ยวนี้ใช้ยาชาชนิดออกฤทธิ์ในเวลาไม่เกิน ๖ ชั่วโมง

ทันตแพทย์หญิงปิยะดา ประเสริฐสม ยืนยัน “ดังนั้นจึงไม่มีการนำสารโคเคน ที่ถูกระบุว่าเป็นสารเสพติด เข้ามาใช้เกี่ยวกับทางทันตกรรมอย่างแน่นอน” ซ้ำยังเตือนตำรวจที่อ้างอย่างนั้น ควรแจงรายละเอียดอย่างแท้จริงเอง

ส่วนสำคัญยิ่งเหมือนกันกับการสั่งไม่ฟ้องรวด ๘ ปีให้หลัง เกิดจากมีพยานหลักฐาน ใหม่ ในปี ๖๒ นี่เอง เกี่ยวกับความเร็วของรถเฟอรารี่ที่นายวรยุทธขับชน ด.ต.วิเชียรแล้วลากร่างผู้ตายไปไกล เบื้องต้นกองพิสูจน์หลักฐานใช้วิชาฟิสิกส์คำนวณ

รถแหลกขนาดนั้น ความเร็วขณะชนกับความแรงเมื่อปะทะขนาดไหน ได้ผลว่า น่าจะเกิน ๘๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่มีอาจารย์มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าฯ เอาหลักวิศวกรรมมาใช้คำนวณสวน ดดยดูจากกล้องวงจรปิดแล้วบอกว่าอย่างดีแค่ ๘๐ ก.ม./ช.ม.

แต่มีอาจารย์วิศวะอีกคนจากจุฬาฯ ดูภาพกล้องวงจรปิดแล้วคำนวณความเร็วทางวิศวกรรม ได้ความว่าอย่างนี้เบาะๆ ๑๗๗ ก.ม./ช.ม. ไม่แน่ใจว่าตอนนั้นตำรวจเชื่อใครไม่เชื่อใครแค่ไหน แต่เมื่อมาถึงปี ๖๒ หลังจากมีการลงโทษตำรวจที่ช่วยกันทำให้คดีบอสแช่แข็ง ด้วยการ ภาคทัณฑ์ แล้ว

ก็มีการนำเอาหลักฐานจากปากคำของพยานอีกสองคนมา เพิ่มเติม ประกอบการพิจารณา และกลายเป็นหลักฐานสำคัญไป คนหนึ่งเป็นชาวบ้านนายหนึ่งซึ่งขับรถปิ๊กอัพตามหลังรถเฟอรารี่ของบอสขณะเกิดเหตุ เขาให้การว่าความเร็วแค่ ๕๐-๖๐ ก.ม./ช.ม. เท่านั้น

อีกคนเป็นพลอากาศโท ซึ่งผู้ต้องหาร้องให้ไปสอบพยานรายนี้ด้วย เพราะอยู่ในที่เกิดเหตุ เบื้องต้นตำรวจไม่รับเพราะมีพยานหลักฐานพอแล้ว แต่เบื้องปลายไม่รู้ด้วยเหตุไรจึงเอาคำให้การที่ว่านายวรยุทธขับเฟอรารี่ด้วยความเร็วแค่ ๖๐-๗๐ ก.ม./ช.ม.มาใช้ตัดสิน

อย่างไรก็ดี พอมีคนพูดถึงพยานสองรายหลังนี่กันมาก ว่าเอ๊ะทำไมอัยการและตำรวจให้ความสำคัญกันมากจนตัดสินสั่งไม่ฟ้องทายาทอยู่วิทยาดังกล่าว ก็ให้บังเอิญพยานคนที่เป็นพลเรือนเจออุบัติเหตุ รถจักรยานยนต์ที่ขับขี่เฉี่ยวชนกับจักรยานยนต์อีกคัน

เหตุเกิดในยามดึกบนถนนห้วยแก้ว นายจารุชาติ มาดทอง ซึ่งเป็นชาวเชียงรายไปทำงานอยู่เชียงใหม่ เสียชีวิตกระทันหัน ส่วนผู้ขับขี่จักรยานยนต์คันที่เฉี่ยว หนีไปจากโรงพยาบาลแล้ว เลยทำให้ข้อกังขาเกี่ยวกับพยานใหม่นี้ น่าขุดคุ้ยยิ่งขึ้น

แม้นว่าญาติของดาบฯ วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผู้ตายจะไม่ติดใจกับรูปคดีในขณะนี้ เพราะเคยได้รับเงินเยียวยา ๓ ล้านบาทจากตระกูลอยู่วิทยาสบายดีแล้ว (ค่าทำขวัญเดิม ๖ ล้าน ต่อรองราคากันได้ ลดครึ่งหนึ่ง) แต่เรื่องของความยุติธรรมในสังคม มูลค่าราคาประเมินมิได้

(https://www.thairath.co.th/news/local/central/1900293, https://www.innnews.co.th/crime/news_734959/, https://www.thairath.co.th/news/politic/1900340 และ https://isranews.org/article/isranews-scoop/90672-loopholesboss96.html)

มีรายงานปรากฎการณ์ไม่รู้ว่าใหม่หรือเก่า ที่เพิ่งเห็น จนท.ไม่ได้ถือมือถือเดินถ่ายรูปเท่านั้น หลายคนใช้กล้องตัวเล็ก ๆ ติดที่หน้าอก ติดที่กระเป๋าเสื้อ คิดว่าน่าจะเป็นกล้องแบบถ่ายคลิป อัดเสียงได้ด้วย แล้วเดินไปมาปะปนกับผู้ชุมนุม




Suwanna Tallek
3h ·

ปรากฎการณ์ไม่รู้ว่าใหม่หรือเก่า เพิ่งเห็นวันนี้ที่งานวงเวียนใหญ่ คือ จนท.ไม่ได้ถือมือถือเดินถ่ายรูปเท่านั้น หลายคนใช้กล้องตัวเล็ก ๆ ติดที่หน้าอก ติดที่กระเป๋าเสื้อ และก็คิดว่าน่าจะเป็นกล้องแบบถ่ายคลิป อัดเสียงได้ด้วย แล้วเดินไปมาปะปนกับผู้ชุมนุม

ด้วยความที่อยากรู้ความจริงเพื่อยืนยันว่าที่เห็นน่ะเป็นกล้องจริง ๆ เลยเดินเข้าไปถาม จนท.คนหนึ่งว่าที่ติดนี่คือกล้องใช่ไหม คำตอบคือ...ใช่ และก็ถามต่อว่า อย่างนี้ก็สบายเลยสิ กล้องแบบนี้แพงป่ะ คำตอบคือ ไม่ทราบครับ พอตอบเสร็จก็เดินหนีไปเลย...


ภาพพลังสามัคคีของคนไทยในต่างแดนต่อต้านเผด็จการ #เผด็จการจงพินาศประชาธิปไตยจงเจริญ




KonthaiUk
Yesterday at 12:09 PM ·

ชาวไทยผู้รักประชาธิปไตยในยุโรปบางส่วน ต่อต้านระบอบทรราช ขอให้มันจบจริงๆที่รุ่นเรา สู้สู้สู้
#เผด็จการจงพินาศประชาธิปไตยจงเจริญ


ภาพจาก ลอนดอน




อดีตไล่ล่าคุณ จากปากคำนักเรียนอาชีวะยุค 6 ตุลา เบื้องหลังกลุ่มกระทิงแดง มีนายทุน "เครื่องดื่มชูกำลัง" อยู่ด้วย




ฟ้าเดียวกัน
4h ·

กลับไปอ่านความทรงจำของ "กระทิงแดง" นักเรียนอาชีวะฝ่ายขวาเมื่อเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 (มีเจ้าพ่อเครื่องดื่มชูกำลังให้การสนับสนุนด้วย)
...
ในหนังสือ 6 ตุลา ลืมไม่ได้ จำไม่ลง : ว่าด้วย 6 ตุลา 2519 ของธงชัย วินิจจะกูล
https://sameskybooks.net/index.php/product/9786167667843/
มีบทความ "6 ตุลาในความทรงจำของฝ่ายขวา 2519-2549 :จากชัยชนะสู่ความเงียบ (แต่ยังชนะอยู่ดี)"
ในฐานะเหยื่อคนหนึงในเหตุการณ์ 6 ตุลา ธงชัยได้ไปเผชิญหน้ากับบรรดาฝ่ายขวากลุ่มต่าง ๆ ในเหตุการณ์ 6 ตุลา หลังจากผ่านไป 20-30 ปี
สำหรับกลุ่มกระทิงแดง ซึ่งเป็นนักเรียนอาชีวะที่ได้รับการจัดตั้งจากฝ่ายความมั่นคง
ธงชัย มีโอกาสพูดคุยสนทนากับผู้นำากระทิงแดง 5 คนในโอกาสต่างๆ กัน ข้างล่างคือส่วนหนึ่งของความทรงจำของบรรดา "กระทิงแดง"
......................
4. กระทิงแดง : ความจริงไม่น่าเชื่อ เรื่องน่าเชื่ออาจไม่จริง
กระทิงแดงไม่ได้ร่วมก่อความรุนแรงทำาร้ายคนเมื่อ 6 ตุลา จริงหรือ ? อาจจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ การกล่าวหรือเขียนถึง 6 ตุลาจนเป็นสูตรสำเร็จว่าความรุนแรงสูญเสียเช้าวันนั้นเป็นฝีมือของกระทิงแดง นวพล ฯลฯ นั้น อาจเป็นการเขียนแบบสูตรสำเร็จโดยไม่ได้ตรวจสอบให้ชัดเจนก่อน จากนั้นก็้้อ้างกันต่อๆ มา
แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการนิยามว่ากระทิงแดงคือใครบ้าง และความรุนแรงเมื่อ 6 ตุลาหมายถึงอะไรแค่ไหน
-ต- -ช- -ว- ต่างย้ำแล้วย้ำอีกว่ากระทิงแดงเป็นการรวมตัวของนักเรียนอาชีวะที่หลากหลาย แต่มีความคิดและอุดมการณ์คล้ายกัน ไม่ได้เป็นแค่กลุ่มอันธพาลรับจ้างทำเพื่อเงิน แหล่งเงินทุนของกลุ่มมาจากงบประมาณของกอ.รมน. ผ่านมายังนายทหารที่คุมกระทิงแดงและยังมีเอกชนผู้สนับสนุนเงินทุนอีกหลายราย ที่สำคัญคือ นายทุนธุรกิจนมข้น และเจ้าพ่อเครื่องดื่มชูกำลัง นอกจากนี้ยังมีนักการเมืองและนักธุรกิจหลายราย รวมทั้งที่ได้ชื่อว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยด้วย ทั้งหมดนี้เป็นแหล่งทุนสนับสนุนการทำงานของกลุ่ม ไม่ใช่การว่าจ้างเฉพาะกรณีเฉพาะคน
แต่ทั้งนี้ -ต-และ-ช-ยอมรับว่ากระทิงแดงรับจ้างทำงานเป็นกรณีด้วยเป็นครั้งคราวและยอมรับว่าสมาชิกกระทิงแดงมีทั้งที่ทำเพื่ออุดมการณ์ และบางคนเป็นมือปืนรับจ้างทำเพื่อค่าตอบแทน ทั้งคู่ระบุว่า -ข- และ “ผู้พันตึ๋ง” เป็นประเภทหลัง กระทิงแดงประเภทหลังนี้มีการ “รับงาน” มาเป็นของตนโดยอาศัยผลงานและภาพลักษณ์ของกลุ่ม และมีผู้ว่าจ้างทำงานเฉพาะกรณีเพื่อหารายได้ เช่น รับจ้างเจ้าของโรงแรมดุสิตธานีเพื่อต่อสู้กับกลุ่มกรรมกรของเทิดภูมิ ใจดี หรือดูแลความสงบเรียบร้อยแก่นักการเมืองช่วงหาเสียง เป็นต้น ทั้ง -ต-และ -ช-กล่าวว่า การปาระเบิดที่สยามสแควร์และการปาระเบิดที่ทำการพรรคพลังใหม่ก็น่าจะเป็นฝีมือของพวกกระทิงแดงปีกที่รับจ้างทำงานหาเงิน แต่กรณีเหล่านั้นกระทิงแดงบางคนรับงานเป็นการส่วนตัว ทั้ง -ช-และ-ต-จึงไม่รู้ข้อมูลชัดเจนและถือว่าไม่ใช่การทำางานของกลุ่มกระทิงแดง แม้ว่าบุคคลที่กระทำจะเป็นสมาชิกกลุ่มกระทิงแดงก็ตาม
-ช-และ-ต-เน้นย้ำหลายครั้งว่าต้องแยกแยะว่า กรณีไหนเป็นการกระทำของกลุ่ม กรณีไหนเป็นการรับจ้างทำงานของสมาชิกเพียงบางคนแต่อ้างชื่อกลุ่ม สื่อมวลชนและคนทั่วไปมักเหมารวมเอาเองว่าเป็นผลงานของกลุ่ม เขาย้ำว่าบนฐานการแยกแยะแบบนี้จะพบว่ากระทิงแดงไม่เคยลงมือใช้ความรุนแรงจริงๆเลย นัยของเขาตรงนี้คือ ความรุนแรงเกินเลยมักเป็นกรณีที่สมาชิกไปรับงานเอง ไม่ใช่ผลงานของกลุ่มกระทิงแดง
30 ปีผ่านไป ดูเหมือนว่ากลวิธีชำระมลทินอย่างที่หนึ่งคือ การแยกแยะให้ออกระหว่างกระทิงแดงที่ดีกับกระทิงแดงรับจ้าง และระหว่างการกระทำของกลุ่มกับการกระทำของสมาชิกรายบุคคล
กระทิงแดงทุกคนที่สัมภาษณ์ยอมรับว่าแสดงบทบาทใช้ความรุนแรงเพื่อข่มขู่นักศึกษา แต่ทุกคนเน้นว่าเป็นแค่การขู่เฉยๆ ไม่ต้องการลงมือใช้ความรุนแรงจริงๆเลยยกเว้นบางกรณีบางคนที่อาจทำการนอกสั่ง หรือกรณีผิดพลาดเกินเลยไปบ้างจน “มีคนตายบ้างนิดๆ หน่อยๆ” ดังที่สุตสายกล่าว (ดูที่หน้า 181-200)
ถ้ากรณีบางคนรับจ้างคนอื่นเป็นงานส่วนตัว ก็ย่อมถือว่าไม่ใช่ผลงานของกลุ่ม พวกเขาปฏิเสธว่าไม่เคยเกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร ไม่เคยออกตระเวนทำร้ายนักศึกษา และพวกเขายืนยันหนักแน่นมากว่า ไม่มีส่วนในเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เมื่อ 6 ตุลา พวกเขาปาระเบิดที่มีแต่เสียงดังเพื่อขู่นักศึกษาตอนกลางดึกวันที่ 5 แต่เมื่อเหตุการณ์เริ่มบานปลายและตำรวจยกกำลังมา พวกเขาก็ถอยออกมาดูห่างๆ พวกเขาไม่รับรู้เลยว่าใครมีแผนอะไรในเช้าวันนั้น และตระหนักว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้นใหญ่โตเกินกว่าที่พวกเขาควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
ในทัศนะของพวกเขา การขู่ไม่ใช่ความรุนแรง ระเบิดมีแต่เสียงดัง ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงที่เพิ่มพูนขึ้นระหว่างกลางดึก ที่แน่ๆ คือเป็นคนละเรื่องกับปฏิบัติการในตอนเช้าวันที่ 6 ทั้งหมดนี้สะท้อนความคิดของพวกเขาว่าเส้นแบ่งระหว่างรุนแรงกับไม่รุนแรงอยู่ตรงไหน ความรุนแรงหมายถึงในขอบข่ายแค่ไหน
-ต-และ-ช-กล่าวว่า เขาไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้วและเขาขัดแย้งกับสุตสายในเรื่องนี้ด้วยซ้ำไป แต่เขาเป็นฝ่ายแพ้มติจึงต้องยอมรับเสียงส่วนใหญ่ในกลุ่ม ทว่า -ต- เห็นด้วยว่าภาพลักษณ์รุนแรงของกระทิงแดงเป็นสิ่งมีประโยชน์ต่อสถานการณ์ในขณะนั้น ทั้ง -ต- และ -ช- จึงต้องการให้คนที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มกระทิงแดงสูงกว่าสุตสายเป็นผู้รับผิดชอบในความสูญเสียที่เกิดขึ้น ทัศนะทำนองนี้คล้ายกับที่บุตรชายของสุตสายเคยกล่าวไว้ (ดูที่หน้า 181-84)
ทั้งหมดนี้ไม่อยู่ในความรับรู้ของคนทั่วไปเกี่ยวกับกระทิงแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำยืนยันว่า ระหว่างเหตุการณ์รุนแรงเมื่อเช้าวันที่ 6 ตุลา กระทิงแดงถอนตัวกลับที่ตั้ง ไม่ได้ร่วมลงมือด้วยเลย หรือหากมีบางคนยังวนเวียนอยู่แถวธรรมศาสตร์ดังที่สุตสายและสมศักดิ์ ขวัญมงคล กล่าว ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรนัก
30 ปีผ่านไป ดูเหมือนว่าวิธีชำระมลทินอย่างที่สองคือตั้งคำถามว่า แค่ไหนนับเป็นความรุนแรง แค่ไหนไม่ใช่ เพื่อเสนอว่าการกระทำของกระทิงแดงอยู่ในขอบข่ายที่ไม่ใช่ความรุนแรง และตั้งคำถามว่า ผู้ออกคำสั่งบงการปฏิบัติการระดับไหนควรรับผิดชอบ เพื่อเสนอว่าพวกเขาตัวเล็กเกินไป ไม่ใช่ตัวการ
แต่ผู้เขียนสงสัยว่าวิธีชำระมลทินทั้งสองแบบอาจฟังไม่ขึ้น การแก้ความเข้าใจ(ผิด) เกี่ยวกับกระทิงแดง ณ เช้าวันที่ 6 ตุลาคงเป็นเรื่องยาก อุปสรรคสำคัญที่สุดน่าจะอยู่ตรงที่ว่า fact (สมมติว่าจริง) ที่ว่ากระทิงแดงถอนกำลัง ดูไม่สอดคล้องกับภาพลักษณ์บทบาทของกระทิงแดงที่อยู่ในความรับรู้ทั่วไป ในขณะที่ความเชื่อที่ว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังที่เข้าทำร้ายนักศึกษา ดูจะสอดคล้องกับภาพลักษณ์
บทบาทของกลุ่มกระทิงแดง จึงน่าเชื่อถือมากกว่าบทบาทใช้ความรุนแรงซึ่งพวกเขาเห็นว่าเป็นภาพลักษณ์ที่มีประโยชน์ต่อสถานการณ์เมื่อ 30 ปีก่อน (ไม่ว่าจะจริงมากหรือน้อยก็ตาม) กลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดต่อการแก้ภาพลักษณ์ของพวกเขาหลังเหตุการณ์ ต่อให้เป็นความจริงว่า
พวกเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในการทำร้ายนักศึกษาเลย คงยากที่จะมีคนเชื่อเช่นนั้น และต่อให้ไม่มีหลักฐานเลยว่ามีสมาชิกกระทิงแดงร่วมในปฏิบัติการที่ธรรมศาสตร์ ชื่อของ
กลุ่มกระทิงแดงคงจะอยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์ไปอีกนานเท่านานว่าเป็นผู้มีส่วนรับผิดชอบต่ออาชญากรรมที่เกิดขึ้น
ความจริงของพวกเขาเป็นเสียงที่ไม่มีใครเชื่อถือ เป็นความเงียบอีกอย่างของฝ่ายขวา 6 ตุลา


อาชีวะรุ่นเดอะกะช่วยชาติ ปรามม็อบเยาวชนอย่าแตะต้องสถาบันฯ - ชวนฟัง รอยัล เวิลด์ ประเทศไทย "ศรัทธาและบารมี หากเป็นสิ่งที่อยากได้จากผู้คนด้วยความเคารพเลื่อมใสนั้นไซร้ ย่อมสมควรได้มาด้วยตนเอง" #กษัตริย์มีไว้ทำไม #มีกษัตริย์ไว้ทำไม




...







จริงๆ แล้วถ้ามองย้อนประวัติศาสตร์ ก่อนมีกลุ่มกระทิงแดง นักเรียนอาชีวะก็ไม่ชอบเผด็จการ เข้าร่วมไล่ถนอมประภาสเมื่อ 14 ตุลา จนหลัง 14 ตุลาฝ่ายขวาเข้ามายุแยง ฉวยโอกาสที่คนมองศูนย์นิสิตเป็นพระเอกมองไม่เห็นศูนย์นักเรียนอาชีวะ จึงแยกเป็นสองกลุ่ม




การที่เราหัวร่อกลิ้ง ม็อบอาชีวะกลายเป็น วิ่งๆๆ เถอะนะฟันปลอม
ไม่ถือเป็นการดูหมิ่นเด็กอาชีวะนะ
คนที่คิดว่าเขาจะออกมาต่างหาก ดูผิด
เด็กเทคนิคทุกวันนี้เป็นราชมงคลไปแล้ว ก็ไล่ตู่คึกคัก
ส่วนเด็กช่างกลช่างก่อสร้าง ที่สังคมมองเป็น "นักเรียนตีกัน"
ก็ใช่ว่าเขาจะชอบระบอบทหารตำรวจ
ยุครัฐประหารที่ชอบอ้าง "คนดีย์" ปกครองบ้านเมือง
สร้างผลงานจัดระเบียบเอาใจคนชั้นกลาง
ยิ่งกดทับเด็กอาชีวะที่ตกเป็นเบี้ยล่าง ถูกมองแง่ลบ
มองไม่ต่างจากเด็กแว้น ที่ยุค พรก.ฉุกเฉินถูกบีบบังคับหนัก
ที่จริงไม่ใช่แค่เด็กแว้นหรอก วัยรุ่นที่เขาอยู่ในวัยอยากสังสรรค์กับเพื่อน อยากออกจากบ้าน นอนดึก ไม่พอใจอำนาจฉุกเฉินทั้งนั้นแหละ
อยู่ที่ใครจะชี้ให้เห็นว่านั่นมันคืออำนาจไม่เป็นประชาธิปไตยใช้ยาแรงเกินเหตุ
:
จริงๆ แล้วถ้ามองย้อนประวัติศาสตร์ ก่อนมีกลุ่มกระทิงแดง
นักเรียนอาชีวะก็ไม่ชอบเผด็จการ เข้าร่วมไล่ถนอมประภาสเมื่อ 14 ตุลา
จนหลัง 14 ตุลาฝ่ายขวาเข้ามายุแยง ฉวยโอกาสที่คนมองศูนย์นิสิตเป็นพระเอกมองไม่เห็นศูนย์นักเรียนอาชีวะ
จึงแยกเป็นสองกลุ่ม แต่ก็ยังมีแนวร่วมอาชีวะเพื่อประชาชน ซึ่งมีศูนย์ใหญ่อยู่ที่ช่างกลพระรามหก ยืนสู้เคียงข้างนักศึกษาจนถูกลอบวางระเบิดมีนักเรียนเสียชีวิต 3 คนเมื่อ 3 มีนา 2519
ประชาไทเขียนรำลึกประวัติศาสตร์ไว้เมื่อปีที่แล้ว
https://prachatai.com/journal/2019/03/81314

ooo



กลุ่มนักเรียนอาชีวะ แนวหน้าในการเดินขบวนในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516
ภาพจาก https://m.museumsiam.org/da-all-gray.php?MID=3&CID=16&SCID=104&PG=2

3.2 การแยกสลายขบวนการนักเรียนอาชีวะ

เนื่องจากในการต่อสู้วันที่ 14 ตุลาคม 2516 นักเรียนอาชีวะได้แสดงบทบาทสำคัญอย่างมากในการต่อสู้ ทำให้ชนชั้นนำมีความวิตกอย่างมากในพลังของนักเรียนอาชีวะ จึงได้พยายามการแยกสลายพลังนักเรียนอาชีวะออกจากขบวนการนักศึกษา โดยเริ่มจากการส่งนักเรียนอาชีวะฝ่ายขวาเข้าควบคุมศูนย์กลางนักเรียนอาชีวะแห่งประเทศไทย แล้วใช้องค์กรนักเรียนอาชีวะนี้ในการเคลื่อนไหวที่ต่อต้านฝ่ายขบวนการนักศึกษา ซึ่งความขัดแย้งระหว่างศูนย์กลางนักเรียนอาชีวะกับฝ่ายขบวนการนักศึกษานั้น เริ่มเห็นชัดตั้งแต่กรณีพลับพลาไชยเป็นต้นมา ที่ศูนย์กลางนักเรียนอาชีวะออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยที่ฝ่ายนักศึกษา จากนั้นก็มีการเคลื่อนไหวของฝ่ายอาชีวะในทิศทางตรงข้ามอีกหลายครั้ง เช่น ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2518 ศูนย์กลางนักเรียนอาชีวะและสหพันธ์นักศึกษาครูได้จัดการชุมนุมที่สวนลุมพินี และเดินขบวนไปยังสถานทูตสหรัฐฯ เพื่อแสดงการขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือประเทศไทย และได้มีการมอบกระเช้าดอกไม้แก่อุปทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยด้วย

ต่อมา เมื่อแยกนักเรียนอาชีวะออกจากนักศึกษาแล้ว ก็จัดตั้งกลุ่มนักเรียนอาชีวะอันธพาลกลุ่มหนึ่งขึ้นเป็นกลุ่มกระทิงแดง เพื่อใช้เป็นแกนกลางในการก่อกวนขบวนการนักศึกษาด้วยอาวุธ ใช้ความเหี้ยมโหดรุนแรงต่อต้านการต่อสู้ด้วยสันติวิธีของขบวนการนักศึกษา กลุ่มกระทิงแดงก่อตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนตุลาคม 2517 ในระหว่างที่ขบวนการนักศึกษากำลังเคลื่อนไหวเรื่องการเรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญให้ประชาชนอายุ 18 ปี มีสิทธิเลือกตั้ง ส่วนมากประกอบด้วยอันธพาลในคราบนักเรียนอาชีวะ ได้รับการสนับสนุนและจัดตั้ง จากเจ้าหน้าที่อาวุโสในกองทัพให้เป็นกองกำลังอาวุธปฏิกิริยาหรืออันธพาลการเมืองที่อยู่เหนือกฎหมาย ผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดจนได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นเจ้าพ่อกระทิงแดง คือ พ.อ.สุดสาย หัสดิน ซึ่งยืนยันว่า จะต้องตั้งกองกำลังขึ้นมาเพื่อต่อต้านฝ่ายนักศึกษา เพราะฝ่ายนักศึกษาพยายามเปลี่ยนทิศทางของประเทศประเทศจึงตกอยู่ในภาวะคอมมิวนิสต์แทรกแซง รัฐบาลก็อ่อนแอ พ.อ.สุดสายได้เปรียบเทียบว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยก็เหมือนหัว นักเรียนอาชีวะก็เหมือนแขนขา จะต้องตัดแขนขาออกจากหัวเสียก่อน ส่วนกำลังที่มีบทบาทสำคัญได้แก่ สุชาติ ประไพหอม เฉลิมชัย มัจฉากล่ำ และสมศักดิ์ ขวัญมงคล เป็นต้น สำหรับที่มาของชื่อกลุ่ม สมศักดิ์ ขวัญมงคล หัวหน้าฝ่ายกำลังพล ได้อธิบายว่า “ไอ้การที่เราตั้งชื่อกลุ่มกระทิงแดงขึ้นมานี่ เพราะว่าเราไม่รู้ว่าจะใช้ชื่ออะไรดี ทุกคนเห็นว่าชื่ิอกระทิงแดงนี่ดี เพราะกระทิงแดงเป็นสัตว์ป่า สัตว์อนุรักษ์ สัตว์สงวน”

กลุ่มกระทิงแดงเป็นกองกำลังอภิสิทธิ์ ทั้งนี้เพราะสามารถออกมาให้สัมภาษณ์ขู่ว่า จะสังหารใครต่อใคร และยังก่อการปาระเบิดกลางเมืองได้โดยไม่ถูกจับกุม เช่นตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2517 เมื่อจอมพลถนอม กิตติขจร กลับเข้ามาในประเทศครั้งแรก กระทิงแดงก็ออกแถลงการณ์คัดค้าน โดยอ้างว่า การต่อต้านจอมพลถนอมเป็นการก่อการไม่สงบ แต่ในที่สุด ฝ่ายกระทิงแดงกลับปาระเบิดพลาสติกนับสิบลูกที่สนามหลวง เพื่อให้ประชาชนแตกตื่น

ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2519 นายเผด็จ ดวงดี ที่ปรึกษาของกระทิงแดง ก็เปิดเผยหลักการทำงานของกระทิงแดงว่า …จำเป็นต้องใช้ระเบิดเป็นเครื่องมือสำคัญ เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยให้คงอยู่ในประเทศไทยต่อไป นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่ากระทิงแดงยังได้รับการสนับสนุนจากทางราชการอีกด้วย เช่น กระทิงแดงจะมีวิทยุวอล์กกี-ทอล์กกี ของตำรวจไว้เพื่อติดต่อสื่อสารกัน และใช้รถตำรวจรวมทั้งรถยนต์สเตชันแวกอนวิ่งไปรอบเมือง เมื่อกระทิงแดงขว้างระเบิดพลาสติกเข้าใส่นักศึกษาหลายครั้ง ถึงแม้ว่าจะมีตำรวจอยู่ใกล้ก็มิได้ใส่ใจ รวมทั้งในกรณี 20 มีนาคม 2519 ที่นายสุชาติ ประไพหอม ผู้นำกระทิงแดง ประกาศตั้งแนวร่วมต่อต้านจักรวรรดินิยมคอมมิวนิสต์ และประกาศให้ไม่ให้ประชาชนใช้ถนนราชดำเนิน ถ้าไม่เชื่อจะไม่รับรองความปลอดภัย และเมื่อฝ่ายนักศึกษานัดชุมนุมที่หน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็มีสมาชิกกระทิงแดงมาโยนระเบิดก่อกวน ต่อมาในวันที่ 21 มีนาคม กระทิงแดงขนอาวุธสงครามประเภทระเบิดมาตั้งไว้ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยกลางกรุงเทพฯ อย่างเปิดเผย เพื่อป้องกันไม่ให้ขบวนนักศึกษาประชาชน ที่กำลังเคลื่อนไปยังสถานทูตอเมริกาผ่าน ฝ่ายนักศึกษาต้องอ้อมออกไปทางบางลำภู เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะผ่านบริเวณราชดำเนิน อันทำให้กระทิงแดงไม่อาจจะหาเหตุปะทะได้

ปรากฏว่าในระยะสองปีเศษๆ ที่กระทิงแดงปฏิบัติการกวนเมือง แทบจะไม่เคยถูกตำรวจจับกุม หรือถ้าถูกจับกุมก็จะได้รับการปล่อยตัวอย่างไม่น่าเชื่อ จนถึงกรณี 6 ตุลาคม กระทิงแดงก็เป็นด่านหน้าสุดที่ร่วมกับกองกำลังตำรวจตระเวนชายแดนเข้าบุกปราบปรามนักศึกษา

ที่มา เวป บันทึก 6 ตุลาhttps://doct6.com/learn-about/how/chapter-3/3-2
...



3 พระจอมฯ จะยอมได้ไง
เครือข่ายนักศึกษามหาวิทยาลัยพระจอมเกล้า 3 แห่ง ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ร่วมกับ กลุ่มอาชีวะพิทักษ์ประชาชน และกลุ่มอาชีวะโค่นเผด็จการ ที่ชูคำขวัญ "สืบสานเจตนารมณ์วีรชน 14 ตุลา" จัดกิจกรรมแฟลชม็อบออนทัวร์ ภายใต้คำขวัญ "สามพระจอมจะยอมได้ไง" ที่ลานเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์และข้อเรียกร้อง 3 ข้อของกลุ่มเยาวชนปลดแอก สอดรับการเคลื่อนไหวของขบวนการเยาวชนในห้วงนี้ รวมถึงเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน
(อ่านต่อ: https://www.voicetv.co.th/read/m5hOlBHnP)


การชุมนุมของ "อาชีวะช่วยชาติ" ผ่านไปแล้ว อย่างกร่อยๆ การชู 3 นิ้วเพื่อ "ชาติ ศาสตร์ กษัตริย์" ย่อมไม่สำเร็จ เพราะเป็นเครื่องหมายของระบอบเก่า ไม่สอดคล้องกับยุคสมัย จะสู้คำขวัญ “เสรีภาพ เสมอภาค ภารดรภาพ “ ไม่ได้



ภาพจาก เนชั่น









วันนี้ มีการเคลื่อนไหวของนักเรียนล้างจาน หน้าทำเนียบ วิ่งแฮมทาโร่ วงเวียนใหญ ชุมนุมอาชีวะประชาธิปไตย ม.พระนครเหนือ ม ศิลปกร และนักเรียน นักศึกษาประชาชนชัยภูมิชุมนุมไล่รัฐบาลโดยไม่หวาดหวั่นผองภัย กระแสการต่อสู้ของเยาวชนรุ่นใหม่ขยายตัวเติบใหญ่ไปค่อนประเทศแล้ว











คลิป หมอชลน่านถามกลางสภาหนังสือสั่งสลายชุมนุม เตรียมจับกุมแกนนำ เป็นนโยบายของนายกใช่หรือไม่



https://www.facebook.com/Windingideas/videos/3082755645093753
...




จาก "ห่วงที่สุด" ถึง "ให้ตำรวจบังคับใช้กฎหมาย"
.
เพียงหนึ่งวันหลังจากที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความห่วงใยผู้ชุมนุมทางการเมืองโดยเฉพาะเยาวชนและนิสิตนักศึกษาโดยบอกว่าเขา "ห่วงที่สุด" เพราะคนเหล่านี้คือบุคลากรที่เป็นอนาคตของชาติ
.
วันนี้ (30 ก.ค.) นายกฯ ย้ำว่าเขากังวลเรื่องการชุมนุม และได้มอบให้ตำรวจไปพิจารณาดู "เพื่อให้บังคับใช้กฎหมายได้อย่างเหมาะสม"
.
"ผมคงไม่ต้องสั่งอะไรมากในเรื่องนี้" นายกฯ กล่าวก่อนเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ ขณะที่ช่วงบ่ายวันนี้ มีการนัดชุมนุมของทั้งกลุ่มที่สนับสนุนและต่อต้านรัฐบาลอย่างน้อย 6 กลุ่มในหลายสถานที่ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล


จบแล้วประเทศไทย... ยุคนี้ เฮโรอีนคือ แป้ง โคเคนคือ ยารักษาฟัน







มันจบไปแล้วจริงๆ
เรื่องนายบอสกลายเป็นทอร์คออฟเดอะทาวน์ที่ใครๆ หลายคนพูดถึง ทุกสื่อเอามาขยี้ละเอียดแหลก ทั้ง วิทยุ หนังสือพิมพ์ ทีวี โซเชียล
ส่วนตำรวจ อัยการ ตั้งคณะกรรมการสอบกันเองวุ่นวาย ลามไปถึงรัฐบาล รัฐสภา กรรมมาธิการสารพัด
ทั้งๆ ที่รู้อยู่คาอก ว่าแม้จะตั้งมากี่คณะกรรมการ ก็ทำอะไรไม่ได้ มันสายไปเสียแล้ว คดีมันจบไปแล้ว
เหตุที่ข่าวในประเทศไทยไม่ได้ปรากฏมาก่อนสักแอะ เพราะเขาเดินเกมเงียบจนไปถึงสุดทาง จะพลิกตำรากฎหมายเล่มไหน สำนักไหน ก็ไม่มีทางเปลี่ยนผลคดีได้
ตำรวจบอกว่า “ไม่ห้ามที่ครอบครัวผู้เสียหายสามารถไปฟ้องเองได้” แหมท่าน.. เหมือนพูดกำปั้นทุบดิน เพราะเขาได้รับเงินเยียวยาไปแล้ว และเซ็นรับว่าจะไม่ฟ้องทั้งแพ่งและอาญา
ส่วนที่ซีเอ็นเอ็นเขาได้เอาไปเปิดเผยก่อน เพราะตำรวจไทยแจ้งไปที่ตำรวจสากลให้ถอนหมายจับสื่อนอกจึงทราบก่อนว่าตำรวจสากลเขาถอนหมายแดงแล้ว จึงฉงน จนเปิดเผยเรื่องราวสั่นสะเทือนวงการยุติธรรมไทย
ขอยืนยันอีกครั้งว่า “เรื่องมันจบไปแล้ว” จากการที่อัยการไม่ฟ้อง ตำรวจไม่แย้ง กระบวนการทางกฎหมายมันสุดทาง ถอนหมายจับเรียบร้อย
อย่าไปคิดว่าอ้ายสารพัดคณะกรรมการ ที่จัดตั้งขึ้นเอง หรือแม้แต่ท่านนายกฯไปตั้ง ท่านวิชา มหาคุณ เป็นกรรมการสรรหาความจริงจะไปเปลี่ยนแปลงการตัดสินของอัยการได้ เพราะกฎหมายให้อำนาจอัยการไว้ ไม่ได้ให้อำนาจใดๆ กับคณะกรรมการไว้เลยสักนิด
อยากสอบก็สอบไป ก็ท่านยืนยันว่าเป็นไปตามตัวบทกฎหมายทุกตัวอักษร ไม่มีอะไรผิด ที่สงสัยเรื่องโน่นนี่นั่น ก็สงสัยกันไป มันหามีอะไรไปเปลี่ยนแปลงได้ไม่ อีกอย่างท่านทำแบบนี้มานานแล้ว ใช่ว่าเพิ่งทำกับคดีนายบอสคดีเดียวเสียที่ไหน
ยิ่งคณะกรรมมาธิการสารพัดที่สภา ยิ่งบ่มิไก๊ ผมก็เคยเป็น เรียกมาสอบ เขาก็มาบ้าง มอบหมายท่านอื่นมาแทนบ้าง และยืนยันว่าปฏิบัติตามตัวบทกฎหมาย ไม่ได้เข้าข้างใครเป็นอันขาด แถมไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว บางท่านก็เพิ่งเคยได้ยินชื่อนายบอส
“ไม่รู้จริงจริ๊งงง ว่าเป็นลูกใคร หลานใคร”
อย่าไปหวังเปลี่ยนแปลงผลคดีเลย เพราะเดี๋ยวก็จะมีบางท่านมาบอกว่า กลัวถูกทนายของนายบอสฟ้อง ม.157 ฐานปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่กล้าเสี่ยง
รอสักพัก พอเรื่องซา นายบอสกลับเมืองไทยแบบเงียบๆ เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม เดี๋ยวคนก็ลืม
มันจบไปแล้วจริงๆ ครับ รวมทั้งประเทศไทยด้วย... จบแล้วจริงๆ


วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 30, 2563

ชัดแจ๋ว คดีไม่ไปรายงานตัวคณะรัฐประหารของ บก.ลายจุด และวรเจตน์ ภาคีรัตน์ "คือการสืบทอดอำนาจเผด็จการของแท้"

วันนี้จะมีการอ่านคำพิพากษาคดีที่ บก.ลายจุด ตกเป็นจำเลยในข้อหาไม่ไปรายงานตัวต่อคณะรัฐประหาร เมื่อ ๖ ปีที่แล้ว คดีนั้นศาลทหารได้ขยายขอบข่ายความผิดออกไปเป็นโทษหนักตามกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๖ และ พรบ.คอมพิวเตอร์มาตรา ๑๔

เพราะนอกจาก “ไม่ไปรายงานตัว” แล้ว ช่วง ๓๐ พ.ค. ถึง ๔ มิ.ย. ๕๗ สมบัติ บุญงามอนงค์ ยังรณรงค์ต่อต้านคณะรัฐประหารอย่างเปิดเผยและต่อเนื่อง จนถูกตำรวจบุกจับกุมถึงที่นอนในวันที่ ๕ มิ.ย. ถูกตั้งข้อหา ยุยงปลุกปั่นและชักชวนประชาชน “ไปชูสามนิ้ว” ค้านอำนาจของ คสช.

หนูหริ่ง ถูกฝากขังในเรือนจำอยู่เกือบเดือน ก่อนจะได้รับการประกันตัวด้วยหลักทรัพย์ ๖ แสนบาท จากนั้นศาลทหารก็ดองคดีไว้กว่า ๕ ปี จนต้องโอนคดีไปให้ศาลยุติธรรมปกติ เพราะคณะรัฐประหารเข้าไปเป็นรัฐบาลหลังจากจัดให้มีการเลือกตั้ง

ในการไปฟังคำพิพากษาวันนี้ “ผมถามทนายความของผมว่า ผมจะติดคุกไหม แกบอกว่าสมบัติ สมบัติไม่ติดหรอก แต่เพื่อความไม่ประมาทก็อย่าลืมพวกแปรงสีฟัน ยาสีฟันด้วย” นี่คือการมองรูปคดีความของเขาในบุคคลิกของนักต่อสู้ผู้รื่นเริงอยู่เสมอ

“โดยสามัญสำนึกของผม ผมไม่มีความผิด ผมไม่รู้สึกตัวเองผิด หากผมจะถูกลงโทษก็ไม่ใช่เพราะผมทำผิด หากผมจะถูกลงโทษก็เพราะว่าผมเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐประหาร” ที่ซึ่งไม่ควรเป็นไปได้ หากรัฐบาลนี้ไม่ใช่การ สืบทอดอำนาจรัฐประหาร

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปีกว่าๆ หลังจากที่หัวหน้ารัฐประหารเข้าเป็นหัวหน้ารัฐบาล แล้วเปลี่ยนผ่าน ผ่องถ่ายอำนาจมาเป็นนายกรัฐมนตรี ที่เอาผลการเลือกตั้งมาเล่นแร่แปรธาติกับกฎหมายรัฐธรรมนูญกึ่งเผด็จการ เมื่อสภาพวกตนตั้งเอง ๒๔๐ เสียงประทับตรารับ

ก็ยังสืบเนื่องการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จที่พวกยึดอำนาจจัดตั้ง คดีที่ใช้เพื่อทำร้ายหลายๆ คนซึ่งเห็นต่าง คัดค้าน และต่อต้านคณะรัฐประหาร ยังดำเนินมาจนทุกวันนี้ บก.ลายจุดคนหนึ่งละ กับอีกคนที่ควรเอ่ยถึงเพราะเขาเป็นนักวิชาการกฎหมาย

ซึ่งชี้ให้ทั่วประเทศมองเห็นว่า ผลแห่งการยึดอำนาจรังแต่ทำให้ประเทศตกต่ำล้าหลังแนวทางอารยะประชาธิปไตย วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ศาสตราจารย์ทางนิติศาสตร์ ก็เจอคดี ไม่ไปรายงานตัวคาราคาซังมาแล้ว ๖ ปี เช่นกัน

วานนี้ (๒๙ ก.ค.) มีการนัดสืบพยานจำเลยครั้งแรก หลังจากที่คดีถูกย้ายมาสู่ศาลพลเรือน จำเลยขึ้นเบิกความด้วยตนเอง และมีการซักพยาน ซึ่งก็คือ วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายจำเลย ในวันนี้จะมีการนำสืบพยานจำเลยต่ออีก ๓ ปาก

หากแต่การสืบพยานเมื่อวานมีนัยยะสำคัญอย่างหนึ่ง “วรเจตน์นั้นเบิกความต่อศาลในประเด็นข้อเท็จจริงในคดี และให้ความเห็นทางกฎหมาย ต่อประกาศ คสช. ที่นำมาบังคับใช้ในคดีนี้” ไม่เท่านั้น เขาใช้ช่องทางรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๑๒

ขอให้ “ให้ศาลยุติธรรมส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบ ความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่บังคับใช้ในคดี” คือ ประกาศ คสช. ฉบับที่ ๒๙/๒๕๕๗ และ ๔๑/๒๕๕๗ ที่จะใช้เป็นฐานในการลงโทษ ว่าเป็นคำสั่งอันขัดต่อ รธน.

นอกจากนั้นในคำร้องยังชี้ให้เห็นว่า “ทำไมศาลรัฐธรรมนูญจึงมีอำนาจในการตรวจสอบประกาศ คสช. ว่าขัดกับรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ หรือไม่ ถึงแม้จะมีมาตรา ๒๗๙ ที่รับรองความชอบทางกฎหมายของประกาศ คสช. ไว้ก็ตาม”

ปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องนั้นไว้พิจารณาแล้ว ศาลแขวงดุสิตจึงแจ้งว่า เมื่อ “กระบวนการหลังสืบพยานเสร็จ ศาลจะจำหน่ายคดีไว้ชั่วคราว เพื่อรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเสียก่อน” จะนัดวันมาฟังวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อน แล้วจึงมีคำพิพากษา

(https://www.facebook.com/iLawClub/posts/10164182075855551,  https://www.tlhr2014.com/?p=20010 และ https://www.tlhr2014.com/?p=19944)

คดีของวรเจตน์ต่างกับคดีของ บก.ลายจุด ชนิด คนละเรื่องเดียวกันเพราะเหตุแห่งการไม่ไปรายงานตัวต่อคณะรัฐประหารของวรเจตน์ “เนื่องจากเขาอยู่ต่างประเทศ และเข้ารายงานตัวกับ คสช. ในภายหลัง” แล้วถูกจับ

ส่วนที่ต้องชะตาเดียวกัน ตรงข้อสังเกตุของ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน#TLHR ต่อคดีของสมบัติที่ว่าคดีเกิดขึ้น “ในยุคสมัยที่ต้องการควบคุมความจริง ผ่านมาจนถึงยุคที่ตอนนี้หากพูดคำเดิมก็ไม่ถูกจับแล้ว แต่คดีก็ยังดำเนินต่อไป”

นี่คือการสืบทอดอำนาจเผด็จการของแท้


กลุ่มคนเหล่านี้กำลังทำให้ อาชีวะสกปรก...








https://www.facebook.com/aslan.kingdom.31/posts/3272619436114278

กลุ่มคนเหล่านี้กำลังทำให้ อาชีวะสกปรก ขอเรียกร้องให้น้องๆอาชีวะและ โรงเรียนอาชีวะ ออกมาปกป้องชื่อเสียงของตัวเอง อาชีวะไม่ควายให้ใครแอบอ้างหลอกลวง
จากข้อมูลหลายๆเพจได้สรุปให้เห็นว่ากลุ่มที่อ้างว่าเป็นนักเรียนอาชีวะที่จะมาต้านกลุ่มนักศึกษาเป็นกลุ่มที่น่าจะถูกจัดตั้งโดยกลุ่มการเมืองชัดเจน ซึ่งนี่ไม่ใช่พลังบริสุทธิ์ของประชาชน
ให้จับตาดีๆ ว่าคนที่ไปนั้นเป็นนักเรียนอาชีวะจริงๆ หรือไม่ เพราะผมเชื่อว่าเด็กอาชีวะจริงๆ ย่อมเข้าใจถึงปัญหาเหมือนกับนักเรียนนักศึกษาทั่วประเทศ
คนในภาพทั้งหมดลองเช็คดูคือคนเดียวกันไหมครับ?

อะไรเอ่ย.. #ไม่เนียน ไปเรียนมาใหม่ ไป๊!



https://www.facebook.com/PhattitaCheraiem/posts/1710772752415410


การชุมนุมประท้วงรัฐบาลประทับใจทุกที่... ที่ท่าแพ เชียงใหม่ ท่าน้ำนนทบุรี กลางสายฝน สุพรรณบุรี วิ่งแฮมทาโร่ที่นครสวรรค์ น่าน และจตุรัส Trafalgar ลอนดอน



ภาพการชุมนุมประท้วงรัฐบาลไทย ที่กรุงลอนดอน
ภาพจาก บีบีซีไทย













อ.จรัลได้ข่าว... การชุมนุมอาชีวะเพื่อ ชาติ ศาสนา กษัตริย์ ณ. อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พรุ่งนี้ จะมีนักเรียนอาชีวะ 4 โรงเรียน สุเทพ และภรรยารัฐมนตรีศึกษาธิการ เป็นคนระดม + "ตั้ง อาชีวะ" FB Live เรื่อง อาชีวะกับ(ทางเลือกทาง)การเมือง








ของขลัง... ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่...




ผู้ปราศรัยห้อยหลวงพ่อกระทิงแดงกับหลวงพ่อนกหวีดเพื่อให้แคล้วคลาด

#ชาวเชียงใหม่จะไม่ทน
— at ข่วงประตูท่าเเพ.

ภัควดี วีระภาสพงษ์
...
Nopphadon Chaiya
แหม่ แถมข้างล่างบนพื้นเวทีอีกสามขวด (ฮา)

Hataya Anansuchatkul
หมวกก็ขลังค่ะ


ภาพบรรยากาศ #เราไม่ใช่ตัวประหลาด LGBTQ Students MATTER - กลุ่ม #นักเรียนเลว จัดกิจกรรม "ขบวน Pride นักเรียน"






กลุ่มนักเรียนเดินขบวน จี้ ศธ. แก้กฎระเบียบ หยุดเลือกปฏิบัติ ขอทรงผม-แต่งกายตามเพศสภาพ
กลุ่ม #นักเรียนเลว จัดกิจกรรม "ขบวน Pride นักเรียน" ภายใต้แฮชเเท็ก #เราไม่ใช่ตัวประหลาด โดยมีการตั้งแถวเดินขบวนจากถนนราชดำเนินกลาง ไปยังกระทรวงศึกษาธิการ ก่อนเข้ายื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีข้อเรียกร้อง 4 ด้านของนักเรียน LGBTQ+ ประกอบด้วย ด้านทรงผม, ด้านเครื่องแต่งกาย, ด้านความเข้าใจที่ถูกต้องต่อ LGBTQ+ และการไม่ถูกเลือกปฏิบัติ
โดยปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้มารับหนังสือ พร้อมระบุว่า การปรับแก้กฎระเบียบต้องคุยกับหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพราะ "ต้องระมัดระวัง ไม่ใช่แก้เรื่องหนึ่ง ไปกระทบอีกเรื่องหนึ่ง" จึงรับปากไม่ได้ว่าจะเสร็จสิ้นตอนไหน แต่เห็นว่าหลายอย่างควรปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับยุคสมัย โดยเฉพาะเรื่องทรงผม
(อ่านข่าว: http://www.voicetv.co.th/read/hfS0s-R79)
เสกสรร โรจนเมธากุล


รออีก 4 ปีนะเธอ เอกสาร "ของ" หรือ "เกี่ยวกับ" ปรีดี พนมยงค์ ในหอจดหมายเหตุกระทรวงต่างประเทศฝรั่งเศส จะถูกเปิดออกมา...




มีเอกสาร "ของ" หรือ "เกี่ยวกับ" ปรีดี พนมยงค์ ในหอจดหมายเหตุกระทรวงต่างประเทศฝรั่งเศส แต่ไม่เปิดให้ดู จนกว่าจะถึงปี 2024
"มิตรสหายท่านหนึ่ง" ได้ค้นพบเร็วๆนี้ว่า ในหอจดหมายเหตุกระทรวงต่างประเทศฝรั่งเศส ในกลุ่มแฟ้มเอกสารเรื่องประเทศไทย มีเอกสารรายการหนึ่ง มีชื่อว่า
"Dossier de Pridi Panomyong"
ซึ่งแปลว่า "เอกสาร ของ ปรีดี พนมยงค์" หรือ "เอกสาร เกี่ยวกับ ปรีดี พนมยงค์" (คำว่า de ในที่นี้ หมายถึง "ของ" หรือ "เกี่ยวกับ" ก็ได้)
ตามแค็ตตาล็อก หอจดหมายเหตุฯมีแฟ้มเอกสารเรื่องประเทศไทย "Asie-Océane/Thaïlande" (เอเชีย-โอเชียนเนีย/ประเทศไทย) รหัสชุดเอกสาร 147QO ทั้งหมด 76 กล่อง (cartons) - ดูภาพประกอบแรก - ซึ่งประกอบด้วย
- เอกสารปี 1945-1955 จำนวน 33 กล่อง
- เอกสารปี 1956-1967 จำนวน 28 กล่อง
- เอกสารปี 1968-1972 จำนวน 15 กล่อง
เมื่อดูรายการเอกสารปี 1968-1972 มีเอกสารกล่องหนึ่ง เลขรหัส 215 เขียนว่าเป็น Dossier de Pridi Panomyong โดยระบุว่าเป็นเอกสารในช่วง มกราคม 1968 - พฤษภาคม 1972 (ดูภาพประกอบที่สอง)
แต่เมื่อขอดูเอกสาร 147QO/215 นี้ ทางหอจดหมายเหตุ ระบุว่า "เอกสารนี้ จะเปิดให้ดูได้ ในปี 2024" (Cet article sera communicable à compter de: 2024 - ดูภาพประกอบที่สาม)
นี่เป็นอะไรที่ประหลาดมากเหมือนกัน เพราะเอกสารในช่วงปีดังกล่าวอื่นๆ ก็ล้วนเปิดให้ดูได้ ยกเว้นเอกสารกล่องนี้
ตอนนี้ เท่าที่พูดคุยกับมิตรสหายฯ มีความเป็นไปได้ 2 อย่าง
- นี่เป็นเอกสารส่วนตัว "ของ" ปรีดี พนมยงค์ ที่บริจาคให้หอจดหมายเหตุ โดยระบุไว้ว่า ห้ามเปิดให้คนดูจนกว่าจะถึงปี 2024
- นี่เป็นเอกสาร "เกี่ยวกับ" ปรีดี อาจจะเป็นเอกสารข้อมูลที่กระทรวงต่างประเทศฝรั่งเศส มีเกี่ยวกับปรีดีในช่วงปี 1968-1972
ความเป็นไปได้ทางแรก ปรีดีก่อนถึงแก่กรรม เอาเอกสารส่วนตัวบางอย่างมายกให้หอจดหมายเหตุ เพื่อประโยชน์ของการศึกษาค้นคว้าแก่สาธารณะ (ใครที่อยู่ในแวดวงค้นคว้า คงรู้ว่า บุคคลสาธารณะหลายคนทำแบบนี้) แต่ไม่ต้องการให้มีการเปิดเผยทันที ก็ระบุขอว่า ไม่ให้เปิดจนกว่าจะผ่านเวลาไป 40 ปี เช่น สมมุติปรีดียกเอกสารให้ในปีถึงแก่กรรมพอดี 1983 ก็คือห้ามไม่ให้เปิดเผยเป็นเวลา 40 ปี (1983-2023 ปี 2024 จึงให้ดูได้)
อีกความเป็นไปได้หนึ่งคือ ช่วงที่ปรีดีเริ่มขอลี้ภัยในฝรั่งเศส ทางกระทรวงต่างประเทศฝรั่งเศสได้ทำแฟ้มเอกสารข้อมูลเกี่ยวกับปรีดีและการติดต่อกับเขาไว้ ปรีดีมาถึงฝรั่งเศสปี 1970 แต่อาจจะเริ่มทำเรื่องขอลี้ภัยตั้งแต่ 1968 แล้วทางการฝรั่งเศสก็ทำเอกสารเกี่ยวกับเขาไว้ตั้งแต่ตอนนั้น จนหลังจากเขามาลี้ภัยแล้วเล็กน้อยจึงหยุดทำ
แต่ความเป็นได้ที่สองนี้ น่าสงสัยอยู่ เพราะถ้าเป็นเอกสารของทางการฝรั่งเศสเกี่ยวกับปรีดีที่ทำไว้ตั้งแต่ตอนช่วงปลายทศวรรษ 1960 - ต้นทศวรรษ 1970 ป่านนี้ ผ่านมา 46 ปีแล้ว ก็น่าจะเปิดให้ดูได้แล้ว เอกสารของทางการฝรั่งเศสอื่นๆในช่วงนี้ ก็ล้วนเปิดให้ดูได้ ปกติเอกสารราชการในประเทศตะวันตก เปิดให้ดูได้หลัง 20-30 ปี ถ้านี่เป็นเอกสารที่ราชการฝรั่งเศสทำไว้เกี่ยวกับปรีดีตั้งแต่ช่วง 1968-72 แต่ไม่ให้ดูจนกว่าปี 2024 หมายถึงปิดไว้กว่า 50 ปีจึงให้ดู ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ (โดยเฉพาะนี่ไม่ใช่เรื่องของราชการฝรั่งเศสเองด้วย แต่เป็นเรื่องคนต่างชาติ)
ซึ่งก็ชวนให้น้ำหนักกับความเป็นไปได้ทางแรกมากกว่า ว่านี่เป็นเอกสารของปรีดีเอง เอามาบริจาคให้หอจดหมายเหตุฯ แต่ไม่ต้องการให้เปิดเผยต่อสาธารณะ จนกว่าจะผ่านเวลาไป 40 ปี - แต่เราก็ยังไม่ตัดความเป็นไปได้แรกเสียทั้งหมด แม้จะรู้สึกค่อนข้างยากที่จะเป็นแบบนั้น (ฝรั่งเศสจะให้เก็บเอกสารของทางการฝรั่งเศสเองเกี่ยวกับปรีดีเป็นความลับไว้ทำไมตั้ง 50 กว่าปี เรื่องอื่นๆก็เปิดให้ดูหมดแล้วตอนนี้)
ก็รออีก 6 ปีนะครับ ถ้าผมไม่ตายเสียก่อน จะไปขอดู แล้วมาเล่าสู่กันฟังว่า Dossier de Pridi Panomyong ที่ว่า มีอะไรไหม
................
เครดิตในการค้นพบการมีเอกสารปรีดีนี้ เป็นของ "มิตรสหายท่านนั้น" ผมเพียงแต่ร่วมคุยวิเคราะห์ความเป็นไปได้ข้างต้นกับเขาและนำมาเล่าให้ฟัง
...
(รีโพสต์ โพสต์เก่า 2018 อ.เจียมฯ)


สิ่งที่ทำกับคนรวย... สิ่งที่ทำกับนักศึกษา... พบหนังสือจากกองบังคับการ ตชด. เตรียม "คุกจัดการ" ผู้ชุมนุม






ไม่น่าใช่ทหารไม่กล้าออกหน้า ... แค่ไม่อยากออกหน้า ไม่อยากทำเอง แต่อยากได้ผลเหมือนเดิม คำตอบคือ ให้คนอื่นทำแทนซะ
noname @noname_8





พบหนังสือจากกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 ถึงฝ่ายอำนวยการ 3 กองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2563
.
ในหนังสือระบุถึงการเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก (Free Youth) และสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.)
.
รวมถึงรายงานการหาสถานที่ควบคุมตัวผู้ชุมนุมจำนวน 100 คน และแกนนำจำนวน 5 คน ไว้ด้วย
.
ทั้งนี้ต้องติดตามต่อไปว่าการเตรียมการครั้งนี้จะเป็นไปเพื่อ "จัดการ" กับการชุมนุมครั้งไหน อย่างไร
...



https://www.dailynews.co.th/regional/787215
ooo


...



รอดูตำรวจค่ะะ
ว่าม๊อบนี้จะเข้าข่ายฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินด้วยไหม
กฎหมายต้องบังคับใช้กับทุกคน ทุกฝั่ง ทุกฝ่าย
ถ้าเลือกปฏิบัติ ก็รู้กันค่ะ


Workpoint News สรุปได้เคลียร์มาก คดีบอส อยู่วิทยา



สว.​มาจากการแต่งตั้งของ​ คสช.​
หัวหน้าคสช.
คือนายก ตอนนี้
555555..
คือ..บับ บันเทิงค่ะ พรดิ๊ฟ มาเล่นเรื่อง บอส กระทิงแดง
งานนี้ กรรม คือการกระทำ จะอยู่ที่ใคร
...


#EXPLAINER ทำไมบอส อยู่วิทยา ลูกชายคนสุดท้องของเฉลิม อยู่วิทยา เจ้าของเรดบูลล์ ถึงไม่ติดคุก แม้จะขับรถชนคนตายคาที่ เหตุใดสังคมถึงตั้งคำถามทั้งตำรวจ และอัยการ อย่างรุนแรงขนาดนี้ workpointTODAY อธิบายโพสต์เดียวเคลียร์ใน 32 ข้อ

1) การจัดอันดับผู้ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย ของนิตยสาร Forbes ปรากฏว่า อันดับ 2 คือเจ้าของธุรกิจ "กระทิงแดง" ของตระกูลอยู่วิทยา มีทรัพย์สินรวม 6.6 แสนล้านบาท

2) จุดเริ่มต้นของแบรนด์กระทิงแดง เกิดขึ้นในปี 2499 เมื่อเฉลียว อยู่วิทยา ตั้งบริษัทขายยาชื่อทีซี ฟาร์มาซูติคอล (TCP) โดยเฉลียวคิดค้นสูตรยาหลายประเภท จนมาถึงปี 2519 เขาคิดค้นเครื่องดื่มกระทิงแดงขึ้นมา และกลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมทันที เพราะให้ทั้งพลังงานและรสชาติที่ดี

3) เฉลียว อยู่วิทยา ทำธุรกิจในไทยเป็นหลัก และมีส่งออกกระทิงแดงไปในชาติเอเชียบ้าง แต่ในปี 2527 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อดีทริช เมเทสซิทซ์ นักการตลาดชาวออสเตรียขอซื้อสูตรของกระทิงแดงเพื่อเอาไปทำตลาดในทวีปยุโรป

ดีทริชกับเฉลียว ร่วมกันก่อตั้งบริษัทชื่อ Red Bull GmbH โดยแบ่งหุ้นส่วน ให้ดีทริช 49% เฉลียว 49% และลูกชายของเฉลียว คือเฉลิม อยู่วิทยา 2% ซึ่งแม้ฝั่งอยู่วิทยาจะถือหุ้นมากกว่า แต่ดีทริช จะทำการตลาดด้วยตัวเอง

4) กระทิงแดง ขายได้ดีที่ไทย แต่ทว่า Red Bull ภายใต้การดูแลของดีทริชกลับไปได้ไกลกว่ามาก โดยสามารถตีตลาดยุโรป และอเมริกาได้สำเร็จ เป็นเครื่องดื่มพลังงานยี่ห้อต้นๆที่คนจะนึกถึง ซึ่งการขายดีของ Red Bull GmbH ทำให้ฐานะของตระกูลอยู่วิทยามั่งคั่งไปด้วยโดยปริยาย เนื่องจากพวกเขามีหุ้นส่วนบริษัทในมือถึง 51%

ตอนนี้ตระกูลอยู่วิทยามีรายได้สองทาง ทางแรกคือจาก TCP ที่นอกจากกระทิงแดงแล้ว ก็มีเครื่องดื่มหลากหลายชนิด เช่น เครื่องดื่ม Man Some หรือ Ready เป็นต้น ส่วนทางที่สอง คือจาก Red Bull GmbH ที่ดีทริชคอยปั้นกำไรให้

5) เฉลียวเสียชีวิตในปี 2555 ลูกชายเฉลิมขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลแทน โดยเฉลิมแต่งงานกับดารณี ทั้งคู่มีบุตรด้วยกัน 3 คน ได้แก่

- พี่สาวคนโต วรางคณา ชื่อเล่นแชมเปญ

- ลูกคนรอง วาริท ชื่อเล่นปอร์เช่

- น้องชายคนเล็ก วรยุทธ ชื่อเล่นบอส

6) เฉลิมและดารณีส่งลูก 2 คนโตไปเรียนอังกฤษ โดยตอนแรกทั้งคู่ปล่อยลูกให้อยู่กันเอง เพราะเฉลิมต้องกลับมาช่วยธุรกิจที่บ้าน โดยดารณีกล่าวว่า "เกิดมาไม่เคยจากลูกเลย แต่จำเป็นต้องกลับเมืองไทย เพราะคุณเฉลิมต้องช่วยธุรกิจของคุณพ่อ พอส่งลูกเสร็จมาเมืองไทยได้ 2 อาทิตย์ นั่งทานข้าวอยู่ด้วยกัน จู่ๆน้ำตาก็ไหลพรากทั้งคู่ เดี๋ยวๆก็คิดถึงลูก ต้องชวนกันบินไปเยี่ยมทุกเดือน แล้วก็ค่อยๆกลายเป็นบินไปทุก 2 อาทิตย์ จนทนไม่ไหว จากนั้นเลยตัดสินใจตามไปอยู่ดูแลลูกที่อังกฤษ เอาลูกชายคนเล็กน้องบอสไปเรียนที่อังกฤษด้วย"

7) ตระกูลอยู่วิทยา ไม่ใช่แค่ร่ำรวยจากธุรกิจของตัวเองเท่านั้น แต่ยังสร้างคอนเน็กชั่นไว้มากมายกับระดับ Elite ของประเทศ ลูกสาวคนโตวรางคณา แต่งงานกับหม่อมหลวงกอกฤษต กฤดากร ขณะที่ลูกคนรองปอร์เช่-วาริท ร่วมกับวรวุฒิ ภิรมย์ภักดี ทายาทแบรนด์สิงห์ จับมือกันทำธุรกิจนำเข้ารถหรูเฟอร์รารี่

8) ครอบครัวอยู่วิทยาหลงรักในความเร็วมาก ปอร์เช่-วาริท เคยเล่าเอาไว้ในปี 2552 ว่า "คุณพ่อเป็นคนชอบขับรถเร็ว แต่ท่านก็ให้ความสำคัญเรื่องการขับขี่อย่างปลอดภัยมาก ตั้งแต่พวกเรายังเล็กๆ คุณพ่อส่งให้ไปเรียนขับรถทุกคน ทำให้ลูกๆรักการแข่งรถเป็นชีวิตจิตใจ ทุกวันนี้ ที่บ้านเรามีรถเฟอร์รารี่ 3 คัน"

9) วันที่ 3 กันยายน 2555 เวลา 05.30 น. ลูกชายคนเล็กของครอบครัว บอส-วรยุทธ วัย 27 ปี ขับรถเฟอร์รารี่ สีบรอนซ์เทา รุ่น FF ราคาประมาณ 15 ล้านบาท พุ่งชน วิเชียร กลั่นประเสริฐ ดาบตำรวจจากสถานีทองหล่อ ขณะกำลังขับตรวจลาดตระเวน ที่ปากซอยสุขุมวิท 47 ดาบตำรวจวิเชียรตายคาที่ และด้วยความเร็วของรถยนต์ได้ลากศพของตำรวจไปไกลกว่า 200 เมตร โดยศพไปหยุดนิ่งที่ซอยสุขุมวิท 49

จากนั้นบอส-วรยุทธ รีบขับรถกลับบ้านตัวเอง ที่อยู่ภายในซอยสุขุมวิท 53 ทันที ซึ่งระหว่างทาง มีคราบน้ำมันจากจุดเกิดเหตุไปถึงภายในบ้าน ทำให้ตำรวจแกะรอยได้ง่ายมากว่าคนร้ายไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน

10) ในตอนแรก บอส อยู่วิทยา ไม่ยอมออกมารับความผิด ยิ่งไปกว่านั้นมีนายตำรวจร่างหนึ่ง ชื่อ พ.ต.ท.ปัณณ์ภณ นามเมือง สารวัตรฯ สน.ทองหล่อ ไปควบคุม "พ่อบ้านของตระกูล" ชื่อสุเวศ หอมอุบล มารับโทษแทน โดยพ่อบ้านอ้างว่าเมาเหล้า และเป็นคนขับรถชนตำรวจเอง แต่ทว่าเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นใจกลางสุขุมวิท ทำให้มีคนเห็นเหตุการณ์จำนวนมาก และพ่อบ้านก็ไม่มีกลิ่นเหล้าติดตัวใดๆเลย คำสารภาพของเขาจึงไม่มีน้ำหนัก และพ่อบ้านยอมรับในเวลาต่อมาว่า "มารับผิดแทนลูกเจ้านาย"

11) ส่งผลให้ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล นำตำรวจ 2 กองร้อยพร้อมหมายค้น ไปล้อมที่บ้านกระทิงแดงในซอยสุขุมวิท 53 เพื่อเอาตัวบอสมาสอบสวน ในบ้านพบเฟอร์รารี่ ทะเบียน ญญ1111 สภาพยับเยิน และนี่เป็นรถที่ชนดาบตำรวจวิเชียรเสียชีวิตแน่นอน

12) สุดท้าย บอส-วรยุทธ ออกมาจากบ้านและสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุจริง โดยตำรวจแจ้งความ 5 ข้อหา ขณะที่ พ.ต.ท.ปัณณ์ภณที่ยัดเยียดข้อหาให้พ่อบ้าน โดยเด้งจากสน.ทองหล่อ ไปช่วยราชการที่กองบัญชาการนครบาลแบบไม่มีกำหนด

13) พ.ต.ต. ธนสิทธิ แดงจั่น ผู้ตรวจสอบความเร็วของรถยนตร์ ระบุว่าบอส อยู่วิทยา ขับเฟอร์รารี่ด้วยความเร็ว 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งสอดคล้องกับ การคำนวณของดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ที่ระบุว่า ความเร็วของเฟอร์รารี่ อยู่ที่ 177 กิโลเมตรเช่นเดียวกัน

14) บอส ขอประกันตัวโดยใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสด 500,000 บาท ซึ่งตำรวจก็ยอม จากนั้น บอส-วรยุทธต้องไปตรวจวัดค่าแอลกอฮอล์ในร่างกาย ปรากฏว่ามีค่าแอลกอฮอล์เกินกว่ากฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตาม บอส-วรยุทธ อ้างว่าเขาไม่ได้เมาแล้วขับ แต่พอรถชนไปแล้วค่อยมากินเหล้า เพราะรู้สึกเครียด

ขณะที่ในการตรวจเลือด โดยโรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่าในร่างกายของบอส มีการเสพโคเคน อย่างไรก็ตามในสำนวนของตำรวจที่ทำคดี กลับไม่มีหลักฐานชิ้นนี้ส่งฟ้องรวมอยู่ด้วย

15) สน.ทองหล่อ แจ้งข้อหาบอส-วรยุทธ 5 ข้อหาคือ

1- ขับรถขณะมึนเมา (อายุความ 5 ปี)
2- ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด (อายุความ 1 ปี)
3- ขับรถโดยประมาททำให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย (อายุความ 1 ปี)
4- ขับรถชนแล้วหนี (อายุความ 5 ปี)
5- ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย (อายุความ 15 ปี)

16) ในข้อ 1 ขับรถมึนเมา อัยการ "ไม่สั่งฟ้อง" โดยให้เหตุผลว่า ไม่มีหลักฐานว่าบอส อยู่วิทยา ดื่มเหล้าก่อนขับ หรือหลังขับ รวมถึงหลักฐานว่าเสพโคเคนจนมึนเมาก็ไม่มีอยู่ในสำนวนคดีเช่นกัน ดังนั้นจึงยกประโยชน์ให้จำเลย

17) ส่วนความผิดข้อ 2 และ 3 บอส อยู่วิทยา ขอเลื่อนคดีถึง 7 ครั้ง โดยอ้างเหตุผลว่า ติดธุระอยู่ที่สิงคโปร์ และ อ้างว่าขอให้สอบพยานเพิ่มอีก 5 ปาก ซึ่งสุดท้ายแล้ว การสั่งฟ้องไม่ทันเวลา ข้อหา 2 และ 3 จึงหมดอายุความในที่สุด

18) จากนั้นบอส อยู่วิทยา ได้บินไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ โดยไม่กลับมาที่ประเทศไทยอีก จนวันที่ 3 กันยายน 2560 ข้อหาที่ 4 ขับรถชนแล้วหนีก็หมดอายุความไปอีก ทำให้ตอนนี้เหลือแค่ข้อหาเดียวเท่านั้น คือ ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ที่มีอายุความ 15 ปี

19) มีคำถามจากสื่อมวลชนว่า ในเมื่อเห็นบอส อยู่วิทยา จงใจหนีคดีไปอังกฤษ ทำไมไม่ทำเรื่องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักอัยการสูงสุดกล่าวว่า "ระหว่างนี้อยู่ในขั้นตอนของตำรวจที่จะสืบหาว่าพำนักอยู่ที่ใด ซึ่งต้องสืบหาให้ได้ก่อน จากนั้นจึงจะเข้าสู่กระบวนการขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน"

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ตำรวจยังไม่รู้อีกหรือ ว่าบอสอยู่ที่ไหน ในเมื่อสำนักข่าวต่างประเทศก็ลงข่าวกันครึกโครมว่าบอสอยู่ที่กรุงลอนดอน และออกไปช็อปปิ้งที่ห้างแฮร์ร็อดอย่างปกติสุข

รองโฆษกอัยการฯ กล่าวว่า "เป็นเรื่องของสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องดำเนินการ อัยการเราจะดำเนินขั้นตอนหลังจากที่ตำรวจส่งข้อมูลมาที่เรา"

20) จาก 5 ข้อหา ในตอนนี้เหลือเพียงแค่ข้อหาเดียวเท่านั้น โดยบอส อยู่วิทยามีทางรอดจากการติดคุกอยู่สองทางด้วยกัน ทางแรกคือหนีคดีต่อไปจนถึงปี 2570 เมื่อหมดอายุความ 15 ปี ก็จะสามารถกลับไทยได้โดยไม่โดนจับกุม กับอีกวิธีหนึ่งคือ อัยการไม่สั่งฟ้อง เพราะหลักฐานกระทำผิดน้อยเกินไป ซึ่งถ้าเป็นกรณีหลัง บอส อยู่วิทยาจะกลับไทยได้ทันทีในฐานะผู้บริสุทธิ์ โดยไม่ต้องรอถึงปี 2570

21) บอส อยู่วิทยา ไม่ต้องรอจนถึงปี 2570 นั่นเพราะ ทนายความของตระกูลได้ร้องขอความเป็นธรรมกับตำรวจให้สอบสวนพยานผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม ว่ารถเฟอร์รารี่ขับมาด้วยความเร็ว 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจริงหรือไม่ ซึ่งตำรวจไปหาพยานผู้เชี่ยวชาญสองราย ได้แก่ พ.ต.ท.สมยศ แอบเนียม และ พ.ต.ท.สุรพล เดชรัตนวิไชย ซึ่งปรากฏว่า เจ้าหน้าที่รายใหม่ ให้ความเห็นแย้งกับผู้ตรวจความเร็วคนเดิม และอาจารย์จากจุฬาฯ โดยระบุว่า รถเฟอร์รารี่ ความจริงแล้วขับด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง

22) ยิ่งไปกว่านั้น วันที่ 4 ธันวาคม 2562 มีพยานสองคนที่ออกมาให้ปากคำ หลังจากคดีผ่านไปแล้ว 7 ปี ได้แก่ พล.อ.ท. จักรกฤช ถนอมกุลบุตร และ นายจารุชาติ มาดทอง โดยระบุว่าทั้งคู่เห็นเหตุการณ์พอดี และยืนยันว่ารถเฟอร์รารี่ ขับมาด้วยความเร็วราวๆ 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น

โดยพยานรายใหม่นายจารุชาติอ้างว่า ได้เห็นมอเตอร์ไซค์ของผู้ตายที่อยู่เลนกลาง ขับเบี่ยงไปช่องขวาสุดเอง ดังนั้นด้วยความกระชั้นชิดนายบอส จึงไม่สามารถหักหลบได้พ้น

23) ด้วยหลักฐานใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ล้มล้างสิ่งที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมด กลายเป็นว่าบอส อยู่วิทยาไม่ได้ขับรถเร็ว 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ขับเร็วแค่ไม่เกิน 80 กิโลฯ เท่านั้น และจากเดิมที่เชื่อว่านายบอสเหยียบมิดด้วยความเมาชนตำรวจตายแบบไม่รู้ตัว กลายเป็นว่าผู้ตายกระทำความผิดร่วมด้วยการเบี่ยงเข้ามาเอง

ในสำนวนของตำรวจจึงระบุให้บอส อยู่วิทยาเป็น ผู้ต้องหาที่ 1 และ ดาบตำรวจวิเชียรผู้ตาย เป็นผู้ต้องหาที่ 2

24) ตำรวจนำส่งหลักฐานชิ้นใหม่นี้ให้อัยการ และอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ได้เซ็นชื่อมีคำสั่งในวันที่ 17 มิถุนายน 2563 โดยมีเนื้อความระบุว่า

"ผู้ต้องหาที่ 2 (ผู้ตาย) ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนจากฝ่ายผู้ต้องหาที่ 1 จนเป็นที่น่าพอใจ และไม่ประสงค์จะดำเนินคดีทางแพ่งและทางอาญา กับผู้ต้องหาที่ 1 อีกต่อไปแล้ว จึงมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา ผู้ต้องหาที่ 1" ลงชื่อโดยนายสมพงษ์ ภุชงค์โสภาพันธุ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1

25) อาชีพอัยการ คือทนายของแผ่นดิน ถ้าหากมีคดีอาญาเกิดขึ้น อัยการจะเป็นผู้ตัดสินใจว่า จะนำเรื่องนี้ส่งต่อให้ศาลตัดสินคดีหรือไม่ โดยหลักการคดีอาญานั้นระบุว่า "เมื่ออัยการมีเหตุควรเชื่อว่าผู้ต้องหาได้กระทำผิดกฎหมาย อัยการต้องยื่นฟ้องต่อศาลเสมอ และเมื่อฟ้องคดีแล้วจะถอนฟ้องไม่ได้"

แต่ในคดีนี้ อัยการไม่ตีกลับให้ตำรวจไปสืบสวนเพิ่มเติม แต่เชื่อในสำนวนของตำรวจทันที โดยมองว่า บอส อยู่วิทยาแม้จะขับรถชนคนตาย แต่ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย สุดท้ายอัยการจึงไม่สั่งฟ้อง นั่นทำให้คดีสิ้นสุดลงทันที และบอส อยู่วิทยา จึงกลายเป็นผู้บริสุทธิ์แม้จะหลบหนีไปอยู่อังกฤษมานานหลายปีก็ตาม

26) คำถามที่ประชาชนสงสัยคือ สำนวนที่เปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ จากเดิม ความเร็วเฟอร์รารี่อยู่ที่ 177 กิโลฯ ต่อชม. กลับลดเหลือ 80 กิโลฯ ต่อชม. ได้อย่างไร งั้นแสดงว่าผู้ตรวจสอบคนแรก และอาจารย์สาขาวิชาฟิสิกส์จากจุฬาฯคำนวณผิดงั้นหรือ

27) รวมถึงประเด็นว่า คำอ้างอิงของพยานปากใหม่ ที่บอกว่าตำรวจขี่มอเตอร์ไซค์เบี่ยงมาชนเฟอร์รารี่เอง ทำไมพยานทั้งคู่ มาเป็นพลเมืองดีเอาตอนนี้ ทั้งๆที่คดีผ่านไป 7-8 ปีแล้ว และใครจะยืนยันได้ ว่าทั้งสองคนอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ

28) ขณะที่กระแสความโกรธเกรี้ยว แผ่ไปทั่วโลกและในประเทศ สำนักข่าวดัง นิวยอร์กไทม์ส พาดหัวว่า "ประเทศไทยไม่สั่งฟ้องทายาทเรดบูลล์ทุกข้อหา" ขณะที่ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ระบุว่า "การที่สำนักงานอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาคดีนี้ที่หลบหนีอยู่ที่ต่างประเทศ เป็นการตอกย้ำสิ่งที่พูดกันว่า คุกมีไว้ขังแค่คนจน ส่วนคนรวยจะหลุดรอดเพราะมีเส้นสายและวิ่งเต้นได้ ว่าเป็นเรื่องจริง"

29) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาแถลงว่า "ตอนนี้คดีสิ้นสุดแล้วอย่างที่อัยการบอก ถ้ามีหลักฐานใหม่ หรือมีผู้เสียหาย หรือญาติที่จะไปฟ้องร้องเองก็คงไม่ตัดสิทธิ์"

โดยตามกฎหมายนั้น พ่อแม่ คู่สมรส และบุตร สามารถขอดำเนินคดีใหม่ได้ ถ้าได้หลักฐานชิ้นใหม่มา อย่างไรก็ตาม ตัวดาบตำรวจวิเชียรหย่าร้างกับภรรยาแล้ว ไม่มีบุตรด้วยกัน และพ่อแม่ก็เสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นในทางปฏิบัติก็เท่ากับว่าคดีนี้ ปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์แล้วนั่นเอง

30) ล่าสุดประเด็นร้อนนี้ เรื่องไปถึงนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชาเรียบร้อยแล้ว โดยพล.อ.ประยุทธ์ ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถเปลี่ยนคำสั่งของอัยการที่ไม่สั่งฟ้องได้

31) บรรยากาศของโลกออนไลน์ในไทย มีความกราดเกรี้ยว และมีการประกาศจะแบนสินค้าแบรนด์กระทิงแดง ซึ่งทำให้กลุ่มธุรกิจ TCP ต้องออกจดหมายมาชี้แจงว่า "วรยุทธ อยู่วิทยา ไม่เคยเป็นผู้ถือหุ้น และไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหาร และไม่เคยดำรงตำแหน่งใดๆในบริษัท"

32) บทสรุปของคดีนี้ เหตุการณ์รถชนเกิดขึ้นในวันที่ 4 กันยายน 2555 จนถึงปัจจุบัน ก็ผ่านมาแล้ว 7 ปีกับอีก 10 เดือน ในที่สุดบอส อยู่วิทยา ลูกชายคนสุดท้องของ เฉลิม อยู่วิทยา เจ้าของอาณาจักรเรดบูลล์ ผู้ร่ำรวยที่สุดอันดับ 2 ในประเทศไทย ก็ถูกตัดสินว่าไม่มีความผิด และไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว แม้จะขับรถชนคนตายก็ตามที

#workpointTODAY
#สาระความรู้เพื่อวันนี้
...

คนไม่อาจจะเท่ากันภายใต้ระบอบอำนาจนิยม ชนขั้นพิเศษทำอะไรก็ไม่ติดคุก
Hara Shintaro


วันพุธ, กรกฎาคม 29, 2563

สว. ‘ตู่ตั้ง’ ตัวเห้ ไม่ขัดข้องแก้ รธน. "ไม่เห็นมีใครเชื่อ" ในเมื่อถ้ายุบสภาวันนี้ พปชร.อย่างดีได้ ๗๙ เขต

น่าบัดสี เป็น สว.ยุคนี้พูดอะไรไม่เห็นมีใครเชื่อ ที่ว่า “จริงใจ เปิดทางแก้รัฐธรรมนูญ” @Rosie_Spokedark ลูกสาว อจ.โกวิท พี่ จอห์น วิญญู คนหนึ่งละ สั้นๆ ได้ใจความ “ไม่เชื่ออ่ะ” ฝ่ายค้านรุ่นหนุ่ม เช่น รังสิมันต์ โรม อีกคนบอกมีหรือ สูงวัย เหล่านี้จะยอมให้หั่นอำนาจตน

แม้จะยอมรับในที “เริ่มมี ส..บางส่วนเห็นด้วยให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ” แต่สมาชิกสภา ตู่ตั้งตัวเห้อย่าง เสรี สุวรรณภานนท์ และกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ก็กระหวัดลิ้น เอาสิ แต่ต้องมาคุยกันก่อน “การบีบให้ ส..ต้องลาออก จะไปได้ความร่วมมือได้อย่างไร ยิ่งไล่ก็ยิ่งไม่ออก”

เสรี หัวหมอ..ซะอีกแน่ะ “ไม่ห่วงเรื่องการขับไล่ ไม่ต้องเรียกร้องให้ ส..ลาออก เพราะ ส..มีเสถียรภาพรับรองในรัฐธรรมนูญให้อยู่ตามกฎหมาย” นี่ไงล่ะ มันคือสาเหตุต้องเรียกร้องให้แก้ไข หรือไม่ก็ยกเลิกทั้งยวง เอา รธน.๔๐ มาใช้แทนชั่วคราวแล้วร่างใหม่อย่างบริสุทธิ์

ด้านกิตติศักดิ์หนักเข้าไปอีก ปากว่า “ไม่ขัดข้อง...เรามีความจริงใจให้แก้ แต่ ต้องแก้เฉพาะประเด็นการเมืองที่จำเป็น” เท่านั้นนะ ประเด็นจำเป็นมีอะไรบ้าง ก็ต้อง “มาคุยกัน” (จะได้แจงให้ฟังไง ว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้)

อ้าง อำนาจวิเศษที่ไม่หวงแต่ว่า “มาตามรัฐธรรมนูญ มีเสียงประชามติ ๑๓ ล้านเสียงรับรอง” และ “ขณะนี้รัฐธรรมนูญเพิ่งใช้มา -๓ ปี ยังไม่ถือว่าผิดพลาดอะไรมากมาย” หากจะแก้เรื่องระบบการเลือกตั้งเอาด้วย “ยินดีให้แก้”

แน่ะ รู้ดี (เป็นแสน) กะเขาเหมือนกัน แอบไปอ่านโพสต์ของ สมชัย ศรีสุทธิยากร มาละสิ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว อดีต กกต.เขียนความเห็นเกี่ยวกับการยุบสภา ที่มีเสียงเรียกร้องจาก #เยาวชนปลดแอก กันลั่นขณะนี้ ว่าหากยุบสภาวันนี้ “พรรคไหนหายนะ”

สมชัยพาดถึงมาตรา ๔๗ พรบ.พรรคการเมือง ซึ่งเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ว่ากำหนดจำเพาะเจาะจงให้พรรคที่ส่งผู้สมัครเขตเลือกตั้งใด ต้องมีสาขาหรือตัวแทนของพรรคอยู่ในพื้นที่จังหวัดของเขตเลือกตั้งนั้น

ประกบกับอีกมาตรา ๓๕ ด้วยว่า ถ้าเขตเลือกตั้งใดไม่มีสำนักงาน (ไม่ว่า ใหญ่ หรือแค่ สาขา) ของพรรคนั้นตั้งอยู่ ก็ต้องให้พรรคนั้นมีสมาชิกพรรคอยู่ในเขตไม่น้อยกว่า ๑๐๐ คน จึงจะสามารถส่งตัวแทนพรรคทำกิจกรรมในพื้นที่นั้นได้

“หากพรรคจะส่งคนลงเลือกตั้งครบทั้ง ๓๕๐ เขต ต้องมีตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ครบ ๓๕๐ เขต แต่หากเขตใดมีสาขาแล้วก็หักลบออกได้” ตรงนี้เองที่จะเป็นปัญหาของพรรคพลังประชารัฐ เพราะเวลานี้มีเพียง ๔ สาขา กับตัวแทน ๗๕ จังหวัด

หมายความว่าถ้าประกาศเลือกตั้งใหม่วันนี้ พปชร.จะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เพียง ๗๙ เขต เขตไหนส่งไม่ได้ก็ไม่มีสิทธิได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อด้วย สมชัยแซวว่า “ลุงทั้งสอง ไม่รู้วันนี้รู้หรือยัง” อย่าไปถามลุงคนที่แก่แล้วแก่เลยเชียวละ แกต้องบอก ไม่รู้ ตะบัน

(https://www.matichon.co.th/politics/news_2273506 และ https://www.matichon.co.th/politics/news_2284243)

แล้วที่ ตอบไม่รู้ทุกเรื่องก็มักมาจากสิ่งที่นักข่าวสาวความไปถึงตัวแกนั่นแหละ โดยเฉพาะในฐานะที่เป็นรองนายกฯ กำกับฯ ด้านตำรวจ เรื่องช่วยให้ บอส อยู่วิทยา พ้นคดีหมดจด อ้างว่าตระกูลวงษ์สุวรรณไม่ได้รู้จักกับตระกูลอยู่วิทยา ก็ว่าไป

แต่หลักฐานเอกสารเตรียมการ ควบคุมฝูงชน กลุ่มสหภาพนักเรียนนักศึกษา (สนท.) และเยาวชนปลดแอก มีทั้งแผน “เคลื่อนย้ายกำลังพลพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์” และจัดสถานที่สำหรับ “ควบคุมตัวของกลุ่มผู้ชุมนุม จำนวน ๑๐๐ คน” กับแกนนำอีก ๕ คน

นั่นอยู่บนตักของ ผบ.ตร.ที่กำลังจะเกษียณราชการ (แล้วเป็นที่คาดหมายกันเกร่อว่าจะ ไปต่อ ในรัฐบาลนี้แหละ) จะถือว่าเป็นการทิ้งทวนสไตล์ คสช. หรือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ คสช.อันต่อเนื่อง จากคราบหนังจรเข้บนกระเป๋ากุชชี มาสู่รองเท้าบอลลี่หนังตัวเงินตัวทอง

ขบวนการนักเรียนนักศึกษาเวลานี้มันดึงไม่หยุดสกัดไม่อยู่แล้วละ กำหนดการณ์ยาวยืดแทบทุกวัน ชนิดนักกิจกรรมถามใจ “เย็นนี้ไปม็อบไหนดี” เมื่อวาน #ส้มโอโอ้โหโอชา ที่อนุสาวรีย์ ปชต. #พะเยาบ่าเอาแป้ง หน้า ม.พะเยา

สระแก้วที่ลานพระสยามฯ อรัญฯ แปดริ้ว ลานหน้า รพ.พุทธโสธร แถมด้วยที่นูวย้อคเด็ดสะระตี่ ส่วนวันนี้ (๒๙ ก.ค.) ศาลากลางจังหวัดสุพรรณฯ ประตู ๑๒ อุทธยานฯ นครสวรรค์ ประตูท่าแพ เชียงใหม่ สวนกุดป่อง เลย และ ลานท่าน้ำนนท์ นนทบุรี

วันนี้มีแถมเหมือนกัน ที่ St. Martin, Trafalgar Square ลันดั้น และหน้าสถานทูตไทยกรุงเบอร์ลิน (อันนี้เรทเอ็กซ์ เด็กๆ ไม่เกี่ยว) ส่วนพรุ่งนี้ถึงห้ามไม่อยู่แต่สถานที่ไม่อำนวย วงเวียนใหญ่ปิดซ่อม “ตรวจสอบระบบกระแสไฟฟ้าทั่วบริเวณ”

กิจกรรมรอบกองไฟของ #เด็กฝั่งธนจะไม่ทนอีกต่อไป พลิกแพลงได้อีท่าไหนไม่รู้ แต่ #๓พระจอมจะยอมได้ไง สบายอยู่แล้วเพราะจัดกันภายใน ม. โดย ส่งมอบธงสัตยา กันต่อๆ เริ่มจากพระนครเหนือ สู่บางมด สุดที่เจ้าคุณทหารลาดกระบัง

มีแต่คนบอกว่า ลุ้ง ทำไม่รู้ไม่ชี้อีกไม่ได้แล้วนา ภาคธุรกิจเริ่มเตือนถ้าไม่ยอมรับฟังต่อไป ไม่มีใครกล้าลงทุนนะทั่น “แม้ว่ารัฐบาลจะไปขอร้อง...แต่จะเอาอะไรมารับประกัน” ประธานสภาอุตสาหกรรมนครราชสีมา อุตส่าห์ออกมากัดฟันพูดน่ะ

(https://www.matichon.co.th/politics/news_2284494 และ prachatai @prachatai #นิวยอร์คเกอร์ร่วมไล่เผด็จการเพ้อเจ้อในสภา)