วันอังคาร, ธันวาคม 31, 2562

ชักจะชัดขึ้นทุกที "ว่าราชอาณาจักรไทยก็คือ ‘ลูกไล่’ ของจีน ดีๆ นี่เอง"


ดูจะเป็นฉันทามติแล้วว่าเศรษฐกิจปีหน้าอับเฉาแน่ๆ แม้แต่ ปชป.ที่ไม่ใช่ลิ่วล้อโดยตรงของ คสช. ก็ยอมรับ การส่งออกติดลบกว่า ๗% และการนำเข้าก็ลดลงกว่า ๙% “ซึ่งเป็นสัญญานไม่ดี” ที่ กรณ์ จาติกวนิช โพสต์ความเห็น

“เราโทษเรื่องเศรษฐกิจโลก/สงครามการค้า ฯลฯ ได้ แต่เราต้องยอมรับว่าปัญหาทั้งหมดไม่เป็นเพียงเพราะเงื่อนไขจากภายนอก ถ้าเป็นเช่นนั้นประเทศอื่นก็ควรมีปัญหาเหมือนเรา แต่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเราช้ากว่าเกือบทุกประเทศเพื่อนบ้าน”

ถึงแม้อดีตรัฐมนตรีคลังของพรรคประชาธิปัตย์ผู้นี้ จะ เอาใจช่วยรัฐบาลเต็มที่ แต่อดไม่ได้ที่จะชี้ข้อเท็จจริง เช่นว่า “การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะยานยนต์ลดลงกว่า ๒๑% เทียบกับปีที่แล้ว” เขาเน้น

“การใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมเราลดลงเหลือเพียง ๖๓.% ซึ่งตํ่ามาก และการบริโภคภายในประเทศก็ลดลง” ทั้งนี้มีผลต่อเนื่องกับการที่ค่าเงินบาทไทยแข็งเกินไป แก้ไม่หาย (หรือใครจะบอกว่าหัวหน้าทีมเศรษฐกิจไม่มีปัญญาแก้ ก็ได้)

วานนี้อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อ ๑ ดอลลาร์สหรัฐอยู่ที่ ๒๙.๙๒ บาท ต่ำกว่าเกณฑ์ ๓๐ บาทที่ว่าสูงสุดแล้วไม่แข็งกว่านั้น กรณ์บอกมีสอง แน่นอน เมื่อขึ้นปีหน้า คือเศรษฐกิจ “ท้าทายแน่นอน” กับเงินบาทแข็งแสดงว่าเศรษฐกิจดี “ไม่ใช่แน่นอน”

กานดา นาคน้อย นักเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ด คอนเน็คติกัต (สหรัฐ) ให้ความเห็นความน่าจะเป็นที่ทำให้ บาทแข็ง ว่า “ดอกเบี้ยพันธบัตร รบ.ไทย ๑๐ ปีที่ผ่านมา ๗ ปีแรกสูงกว่าของสิงคโปร์และสหรัฐฯ ชัดเจน ทำให้เงินทุนนอกไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ (แต่ไหลออกจากตลาดทุนตรง)...

แต่ ๓ ปีหลังดอกเบี้ยไม่ต่างกันมาก จะว่าบาทแข็งเพราะส่วนต่างดอกเบี้ยก็ไม่น่าใช่ ใครตั้งใจซื้อเงินบาทหนักให้บาทแข็ง” เป็นข้อสังเกตุที่เธอถามว่า “เป็นไปได้ไหมว่าทุนจีนไหลเข้ามาซื้อเงินบาท เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทย” (@kandainthai)

เธอตอบว่า “เป็นไปได้” ดังที่พบว่าในช่วงสี่ปีหลังของรัฐบาล คสช.๑ ทุนจีนทะลักเข้าไทยเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ ประเภทห้องชุด และคอนโดมิเนี่ยมกันฟ่อง แม้นว่าตั้งแต่ไตรมาส ๓ ของปี ๒๕๖๑ จะเริ่มอ่อนแรง

“ช่วง ๕ เดือนแรก ๒๕๖๒ มูลค่าเงินโอนเพื่อซื้อคอนโดฯ ของต่างชาติปรับลดลง ตลาดจีนและฮ่องกงติดลบ -๒๑%...มูลค่าเงินโอน ๒.๗ หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีเงินโอน ๓.๕ หมื่นล้านบาท” ประชาชาติธุรกิจรายงาน

รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์เผยว่า “การโอนห้องชุดของลูกค้าต่างชาติ ๙ เดือนแรก ๒๕๖๒ ยูนิตเพิ่ม ๑.% จำนวน ๙,๔๒๗ ยูนิต แต่มูลค่าติดลบ -๕.%...ลูกค้าจีนโอนมากสุดสัดส่วน ๕๗-๕๘% ของตลาดลูกค้าต่างชาติในภาพรวม”

ทว่า ก้าวเข้าสู่ปี ๒๕๖๓ “เทรนด์ใหม่ลูกค้าจีนช็อปอสังหาฯ ไทย ดอดซื้อสิทธิการเช่าบ้านตากอากาศยกโครงการ ๑,๐๐๐ หลัง เฉียด ๕,๐๐๐ ล้าน” บาท “พบว่าหัวหิน-ชะอำเป็นทำเลใหม่ที่ค่อนข้างร้อนแรง...ที่มีการขายแบบสิทธิการเช่าระยะยาวให้กับกลุ่มจีนโดยเฉพาะ”

รายงานของประชาชาติฯ ระบุด้วยว่า “ลูกค้าจีนหันมาสนใจซื้อบ้านแนวราบมากขึ้น” แม้จะไม่ได้กรรมสิทธิ์เหมือนกับซื้อคอนโดฯ (กรรมสิทธิ์ ๔๙%) แต่ก็ได้สิทธิ์การเช่าในระยะยาวถึง ๓๐ ปี ตามที่กฎหมายไทยอำนวย
 
โครงการต่างๆ เช่น ChinaTown Huahin บุญธานี ๓๖ Guo Tai Group Huahin 50 และหัวไท่ ที่ “ทุกโครงการมียอดขายลูกค้าจีนแล้วเกิน ๕๐%” เหล่านี้ผ่านช่องทางหลักคือ “ซื้อขายผ่านเอเย่นต์จีน เพราะคนจีนให้ความไว้เนื้อเชื่อใจมากกว่าซื้อกับคนไทย”

ซึ่งน่าจะเป็นข้ออ้างขอไปทีมากกว่า ในเมื่อแบบแผนการเข้าจับจ่ายใช้สอยในไทยของคนจีนแผ่นดินใหญ่ จะใช้บริการของทุนจีนเอง ที่พัก ร้านอาหาร ร้านของฝาก และ “เครือข่ายเอเย่นต์จีน” โดยเฉพาะ “โบรกเกอร์จีนรายใหญ่ในเมืองไทย”

ได้แก่ แองเจิล เรียลเอสเตท คอนซัลแทนซี่ Golden Emperor Thailand หรือ Sellorate แพลตฟอร์มชื่อดัง และ Juwai.com เว็บไซต์อันดับหนึ่ง ซึ่ง “เข้าถึงผู้บริโภค ๓.๑ ล้านคน/เดือน”


นักท่องเที่ยว การลงทุน และธุรกิจ จากจีนที่ ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ คสช.คุยนักคุยหนา พร้อมทั้งภาวนาว่าจะเป็นกระจกวิเศษบอกความมั่งคั่งยั่งยืน (ของใครไม่รู้) ในการครองอำนาจอีก ๒๐ ปี แสดงให้เห็นเด่นชัดยิ่งขึ้นแล้ว

ว่าราชอาณาจักรไทยก็คือ ลูกไล่ ของจีน ดีๆ นี่เอง

คืนความสุขอีท่าไหน.. คนไทยหนี้ท่วมหัว...




วิกฤติเศรษฐกิจลุกลาม รายได้คนไทยหดหาย หนี้ครัวเรือนพุ่งแตะ3.4แสนบาท/ครัวเรือน

Nov 30, 2019

Spotlight24
32.8K subscribers


หลังจากได้ฟังเพลงคืนความสุขให้ประเทศไทย มากว่า5ปีด้วยความหวังว่าชีวิตคนไทยจะได้พานพบความสุขตามที่มีคนสัญญาเอาไว้ แต่กลับกลายเป็นว่าวันนี้คนไทยตกทุกข์ได้ยากยิ่งกว่าเดิม อันเป็นผลพวงมาจากเศรษฐกิจแย่ลง คนตกงาน ค้าขายไม่ดี แต่ค่าใช้จ่ายจำเป็นยังมากมายเหมือนเดิมและอาจจะเยอะกว่าเดิม เมื่อศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยไปสำรวจคนไทยทั่วประเทศก็พบว่า ครัวเริอนไทยเป็นหนี้บานเบอะมากที่สุดในรอบ10ปี เฉลี่ยครัวเรือนละ 3.4แสนบาท คนที่สัญญาว่าจะคืนความสุขให้คนไทยก็ทำให้ไม่ได้เสียที จนวันนี้คนไทยเป็นหนี้ท่วมหัวกันทั่วหน้า....ติดตามได้ในคลิปนี้(ขอบคุณศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯม.หอการค้าไทย/ ไทยรัฐออนไลน์/สภาพัฒน์)
..


..

Thakoon Boonparn
7 hrs ·

ไม่ต้องให้ถึง 2563
ลางหายนะทางเศรษฐกิจก็ปรากฎแล้วครับ
เมื่ออัตราแลกเปลี่ยน-ค่าเงินบาทปิดตลาดวันทำการสุดท้ายของปี(30 ธันวาคม)เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
อยู่ที่ 29.92 บาท/ดอลลาร์
แข็งที่สุดในรอบ 6 ปี
แข็งที่สุดในทวีปเอเชีย
ในขณะที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเกือบจะต่ำที่สุดในทวีป
ไม่เจ๊งวันนี้จะไปเจ๊งวันไหน
...
เหมือนที่บ่นบ้าโวยวายมาตลอดเป็นปีนี่ละครับ
ว่าค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นนั้น กระทบโดยตรงกับการส่งออก การท่องเที่ยว และภาคเกษตร
ถามว่าสามภาคเศรษฐกิจนี้เกี่ยวพันกับค่าเงินบาทขนาดไหน
จากผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ 2562
จำนวนประชากรที่มีงานทำของไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 37 ล้านคน
ในจำนวนนี้อยู่ในภาคการเกษตร 11.15 ล้านคน
รองลงมาคือภาคการขายส่ง 6.47 ล้านคน
ภาคการผลิต 6.17 ล้านคน
และภาคการท่องเที่ยว 3.03 ล้านคน
ถ้าภาคการผลิต(คืออุตสาหกรรม)กว่าครึ่งของไทยยึดโยงกับการส่งออก
แปลว่ามีคนไทยในวัยทำงานอย่างน้อย 20 ล้านคน ได้รับผลกระทบโดยตรงจากค่าเงินบาท
นี่คือ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด
หรือมากกว่าครึ่งของประชากรในวัยทำงาน
ถ้ารายได้ของคนกลุ่มนี้ลดลงหรือไม่เพิ่มขึ้น
จะไปหวังอะไรให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัว
...
ไม่ได้พูดเองลอยๆนะครับ
แต่สภาการผู้ส่งออกทางเรือ(ที่เป็นคนบรรทุกสินค้าออกไปต่างประเทศ)ฟาดเปรี้ยงเข้าให้ตรงๆว่า
ตัวเลขการส่งออก 11 เดือนของปีที่ติดลบ(คาดว่าทั้งปีก็จะลบ)
เป็นเพราะค่าเงินบาท”แข็งเกินจริง”
ในภาคการท่องเที่ยว แทนที่จะเป็นตัวปั๊มเงินให้กับประเทศ
ค่าเงินบาทก็กระแทกจนท่องเที่ยวกระเทือน
ปีที่แล้วทั้งปี มียักท่องเที่ยวเข้าเมืองไทย 38.1 ล้านคน
ปีนี้แทนที่จะโตได้ตามเป้าร้อยละ 6-7
จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าเมืองไทยมาถึงสิ้นปีคือ 39 ล้านคน
คนในธุรกิจการบิน การโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวอื่นๆ
ชี้นิ้วไปที่ค่าเงินบาทแข็งตรงกันหมด
โดยเฉพาะกับตลาดจีน ที่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวใหญ่ที่สุดของไทย
บาทแข็ง แต่หยวนอ่อน
คิดแล้วต้นทุนมาเที่ยวเมืองไทยแพงขึ้นร้อยละ 20
นักท่องเที่ยวจีนก็เบนหัวไปฟิลิปปินส์กับเวียดนามแทน
ถ้าขนาดมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 1-2 ของโลกอย่างจีน ยังปล่อยค่าเงินหยวนให้อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์
ประเทศปลายอ้อปลายแขม ขนาดเศรษฐกิจก็กระจิ๋ว อัตราการขยายตัวก็ต่ำเตี้ยติดดิน ในประเทศก็อุดมไปด้วยสารพัดปัญหา
ผ่าให้ค่าเงินแข็งโป๊กมาเป็นปี
ไม่เป็นลมตายไปก่อนหน้านี้ก็บุญโขแล้ว
แล้วถามว่าใครต้องรับผิดชอบเรื่องค่าเงินบาทแข็งและผลกระทบที่จะตามมา
เบอร์หนึ่งเลยก็คือแบงก์ชาติ
อันดับต่อมาก็คือรัฐบาล
...
เอาที่แบงก์ชาติก่อน
จะด้วยบทเรียนจากวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 (ที่ต้นตอปัญหาเกิดจากนโยบายและการจัดการที่ผิดพลาดของแบงก์ชาติเป็นหลัก)ยังตามหลอกหลอนอยู่หรือไรไม่รู้ได้
คนแบงก์ชาติตั้งแต่หัวยันหาง ท่องคาถาออกมาเป็นคำเดียวกันว่า
จะต้องรักษาเสถียรภาพ จะต้องดูแลเป้าหมายเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้
จนกระทั่งจะผอมแห้งแรงน้อยตายกันหมดทั้งประเทศ
ก็ยังกอดคาถานี้อยู่ไม่ปล่อย
ถามหน่อยเถอะว่า ถ้าตาย-หรือเศรษฐกิจวินาศสันตะโรไปแล้ว
จะไปมีเสถียรภาพหมูแมวอะไรที่ไหน
ไม่เท่านั้น ในขณะที่ผู้ประกอบการแทบทุกภาคธุรกิจร้องประสานเสียงกันว่า ค่าเงินบาทแข็งทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง
แบงก์ชาติก็ยืนกรานกระต่ายสามขาว่า
ไม่จริ๊ง-ไม่จริง
ถามว่าคนฟังควรจะเชื่อใคร
คนที่ได้เสียโดยตรง
หรือกลุ่มที่เหมือนมาจากดาวอังคาร พูดกันคนละภาษา สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง
...
ถามว่าแล้วรัฐบาลหรือชาวบ้านทำอะไรกับแบงก์ชาติได้บ้าง
นอกจากกราบไหว้อ้อนวอนให้ท่านกรุณา
คำตอบคือ ไม่มี
เพราะในยุคหนึ่ง(หลังวิกฤติต้มยำกุ้ง น่าจะเป็นปี 2543 หรือ 2544) ก็รัฐบาลนี่แหละที่ไปแก้กฎหมายให้แบงก์ชาติเป็นอิสระ
อิสระประเภทลอยคว้างอยู่กลางอยู่กลางอวกาศ
ไม่ต้องรับผิดชอบและไม่ขึ้นกับใครเลย
ไม่ว่าจะรัฐบาล รัฐสภา หรือประชาชน
แต่งตั้งเข้ามาได้ แต่ถอดถอนไม่ได้(กฎหมายเขียนไว้ว่าเว้นแต่สร้างความพินาศให้แก่ระบบเศรษฐกิจ แล้วถามว่าเวลาเศรษฐกิจพินาศ รัฐบาลที่ไหนจะกล้าปลดผู้ว่าแบงก์ชาติ ที่เป็นเหมือนสัญญลักษณ์และตัวแทนของคนดีย์ ให้ตัวเองถูกด่าหนือประณามมากยิ่งขึ้น)
จะด้วยเหตุนี้หรือไม่ก็ไม่รู้ได้
แบงก์ชาติก็เลยไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องฟังใคร
และแทบจะไม่ตอบสนองอะไรต่อทุกข์สุขของชาวบ้าน
...
และอย่างที่เคยเรียนแล้วว่า รัฐบาลเองก็บ้อท่า
ถามว่ารู้ไหมว่าค่าเงินบาทแข็งผิดความจริงอย่างนี้ ทำร้ายเศรษฐดิจโดยรวมและปากท้องของประชาชนขนาดไหน
ตอบว่ารู้
แต่ไม่รู้จะจัดการอย่างไร
นอกจากจัดการกับแบงก์ชาติเพื่อให้นโยบายสอดคล้องประสานกันไม่ได้ยังไม่พอ
ในรัฐบาลเองก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
นโยบายไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากแจกเงินในนามของการกระตุ้นเศรษฐกิจ(ที่ไม่ค่อยจะได้ผล เพราะถ้าได้ผลจริงคงไม่ต้องทำซ้ำซากไม่รู้ว่ากี่รอบอย่างนี้)
ที่ประกาศปาวๆไม่กี่วันก่อน ว่าจะตั้งกรรมการมาดูแลค่าเงินบาทอะไรนั่น
เอาเข้าจริงก็แค่น้ำยาบ้วนปาก
ถ้าทำจริง-ทำได้
ผลจะออกมาอย่างที่เห็นนี้หรือ
...
ถามว่าแล้วบาทแข็งไม่มีประโยชน์อะไรเลยหรือ
เท่าที่คิดเร็วๆนั่นเห็นอยู่สองอย่าง
อย่างแรกคือสินค้านำเข้าทั้งหลายก็จะถูกลง
ทีนี้ถ้าเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการยังชีพ เช่น น้ำมันหรือเชื้อเพลิงอื่นๆ
หรือสินค้านำเข้าเพื่อผลิตส่งออกก็แล้วไป
แต่หมายเหตุไว้ด้วยว่า ราคาน้ำมัน-ราคาพลังงานในไทยก็ไม่ได้ลดลงเป็นสัดส่วนกับค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นสักเท่าไหร่
และต้องไม่ลืมด้วยว่า ที่ราคาถูกลงไปด้วยก็คือสินค้านำเข้าฟุ่มเฟือย-สินค้าแบรนด์เนมอื่นๆด้วย
ลองสำรวจดูกันอีกทีก็ได้ ว่ามูลค่าการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มสูงขึ้นเท่าไหร่
อย่างต่อมาก็คือ ทำให้ต้นทุนการไปเที่ยวหรือซื้อของในต่างประเทศถูกลง
ยิ่งแบงก์ชาติท่านผ่อนคลายระเบียบการนำเงินออก
ยิ่งไปซื้อทรัพย์สินหรือเที่ยวต่างประเทศสบายขึ้น
หมายเหตุไว้ด้วยว่า ทั้งหมดนี้เป็นการอำนวยความสะดวก-เป็นประโยชน์แก่เศรษฐี ผู้มีทรัพย์ทั้งสิ้น
เกษตรกร ลูกจ้างแรงงานทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ
ไม่ได้อะไรด้วยเลย
...
แล้วถามว่าจะแก้อย่างไร
ตอบแบบกำปั้นทุบดินในฐานะ(อดีต)นักข่าวสายการเงินไปก่อนว่า
ปัญหาอยู่ตรงไหน
ก็แก้ตรงนั้น(สิวะ)
เงินบาทแข็งเพราะมีเงินต่างประเทศไหลเข้ามาเก็งกำไร(จากดอกเบี้ย จากหุ้น จากนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนพิลึกๆ)มากไป
ก็ต้องผลักเงินที่ไหลเข้าให้กลับออกไปมากที่สุด
แต่จะผลักอย่างไร ขออนุญาตไปสอบถามผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงมาก่อน
ไม่อยากขยายขี้เท่อ
กระนั้น ขนาดเป็นไอ้ขี้เท่อ ยังรู้(และรู้สึก)ได้ว่า ค่าเงินบาทแข็งทำร้ายเศรษฐกิจส่วนรวมและปากท้องของชาวบ้านแต่ไหน
จึงแปลกใจ(แกมโกรธมากๆ)ว่า
ทำไมท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายไม่รู้
หรือรู้แล้วไม่ทำอะไร(วะ)
...
มาถึงวันนี้ คำคมที่ว่า”นรก อิส คัมมิ่ง ซูน.”นั้นใช้ไม่ได้แล้ว
เพราะ”นรก อิส นาว(แอนด์ เฮียร์) ออลเรดดี้.”ไปเรียบร้อย
จะพึ่งรัฐบาลก็บ้อท่า
จะพึ่งแบงก์ชาติก็พูดคนละภาษา มาจากดาวคนละดวงกัน
“อัตตาหิ อัตโน นาโถ”-ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เถอะครับท่าน
ขอให้โชคดี
...

เรื่องเล่าที่กำลังจะเป็นจริง 🤔 เล่าเรื่องนี้ เพื่อให้ผู้คนในพรรคอนาคตใหม่ได้อ่าน 🙄



เรื่องเล่าที่กำลังจะเป็นจริง 🤔

เจ้าคุณพหลฯ เจ้าคุณแปลก ทั้ง2ท่านนี้เป็นทหารปืนใหญ่ที่มีเกียรติยศปรากฏเป็นที่เลื่องลือ เป็นที่เคารพนับถือในหมู่ทหารปืนใหญ่ไทยไม่ต่างอะไรกับบุพการีของหมู่ทหารปืนใหญ่ของกองทัพไทย

ค่ายพหลโยธิน เป็นค่ายใหญ่ของทหารปืนใหญ่ เป็นศูนย์กลางของยุทธศึกษาของทหารปืนใหญ่ ชื่อค่ายตั้งขึ้นตามนามสกุลของท่านเจ้าคุณพหลฯ นายกฯคนที่2ของประเทศเรา และจากชีวประวัติของเจ้าคุณทั้ง2ท่านนั้น ล้วนมีส่วนสำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของประเทศเราในอดีตเป็นอย่างมาก

เจ้าคุณพหลฯนั้นเป็นหัวหน้าคณะราษฏร์ #สายทหารบกชั้นผู้ใหญ่ ที่ร่วมทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศ จากสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็น ประชาธิปไตย ต่อมาท่านก็ได้เป็น นายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของประเทศเราในระบอบประชาธิปไตย

เจ้าคุณแปลกฯนั้นเป็นหัวหน้าคณะราษฏร์ #สายทหารบกชั้นผู้น้อย ที่ร่วมทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศ จากสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็น ประชาธิปไตย ต่อมา ท่านก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 11 ของประเทศเราในระบอบประชาธิปไตย และดำรงตำแหน่งอยู่นานถึง 14 ปี 11เดือน

ทั้ง2เจ้าคุณ เป็นนายทหารหัวสมัยใหม่ ที่จบนายร้อยจากต่างประเทศ เจ้าคุณพหลฯจบนายร้อยเยอรมันเหล่าปืนใหญ่ เจ้าคุณแปลกจบนายร้อยฝรั่งเศสเหล่าปืนใหญ่(ได้ทุนไปเรียนต่อ) เจ้าคุณพหลฯนั้นมีแนวคิดทางการเมืองการปกครองค่อนข้างเอียงไปทางสากลตะวันตก แต่ เจ้าคุณแปลกนั้น มีแนวคิดค่อนข้างสากลและโน้มเอียงไปทางชาตินิยม

หลังทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศเราได้สำเร็จ เจ้าคุณพหลฯค่อนข้างเกรงใจและพยายามประณีประนอมกับฝ่ายเจ้า แต่เจ้าคุณแปลกนั้น #ทำตรงกันข้าม กับเจ้าคุณพหลฯทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง ..

กาลล่วงมาเกือบร้อยปี จนมาถึงยุคเราๆท่านๆนี้ อนุสาวรีย์เจ้าคุณพหลฯ และ อนุสาวรีย์เจ้าคุณแปลก ซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ที่ค่ายพหลโยธิน ศูนย์การทหารปืนใหญ่ ลพบุรี #กำลังจะ ถูกย้ายออกไปตั้งไว้ที่พิพิธภัณฑ์ ของทั้ง2ท่านภายในค่ายนั้น โดยจะมีการอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์ในหลวงรัชกาลที่9มาประดิษฐานไว้แทน และจะเปลี่ยนชื่อค่ายพหลโยธิน เป็น ค่ายภูมิพล แทนนับแต่นั้น ..

ไม่มีอะไรครับ เล่าให้ฟังเฉยๆ แม้นผมไม่เล่าวันนี้ แต่หากเมื่อวันนั้นมาถึงเมื่อไร สื่อต่างๆในประเทศเรา ก็ต้องเล่าแบบที่ผมเล่าวันนี้อยู่ดี ..

จริงๆนะ พูดกันตามจริง ผมตั้งใจเล่าเรื่องนี้ เพื่อให้ผู้คนในพรรคอนาคตใหม่ได้อ่าน ตั้งใจอย่างนั้นจริงๆ 🙄











"วาสนา นาน่วม" ชี้แจง “ป้าย วรรณะ”ของทหาร “ฉก.ทม.รอ.904” อีกราย อ่านแล้วอย่า งง...




“ป้าย วรรณะ”ของทหาร “ฉก.ทม.รอ.904”
ไม่ใช่ การแบ่งชั้น วรรณะ
แต่ไว้บอก จำนวนปีการครองยศ และ ช้าหรือเร็ว (+ หรือ -)
และมี ป้ายZone และป้ายรุ่นที่ฝึก


มีผู้สอบถาม ถึง เรื่องป้าย “วรรณะ” ของ ทหาร หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์904( ฉก.ทม.รอ.904) นั้น คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร

ป้าย “วรรณะ”เป็นป้าย ที่บอกยศ และปีในการครองยศ ไม่ได้หมายถึง การแบ่งชั้นวรรณะ เช่นชื่อของป้าย ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้บังคับบัญชา รับทราบ และประกอบการพิจารณาในการเลื่อนชั้นยศ

ป้าย”วรรณะ” จะติดที่ ไหล่แขนขวา เป็นป้ายสี่เหลี่ยม อันเล็กๆ บอก “ยศ” และ ปีในการครองยศ ว่า ครองยศปัจจุบัน มากี่ปีแล้ว

หากมี เครื่องหมาย “+” คือ ติดยศเร็วกว่ากำหนด เช่น ครองยศ
ไม่ถึง 3 ปี แล้ว ติดยศสูงขึ้น

หาก มี เครื่องหมาย “- “ คือ ครองยศเกินกว่า 3 ปี

ทั้งนี้ เพื่อให้ ทราบว่า อยู่ชั้นยศไหน ครองยศมากี่ปี เพื่อประกอบการพิจารณาในการเลื่อนชั้นยศ

นอกจากนี้ ยังมีป้าย Zone เป็นป้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาว 3 แถบสี
ที่จะบอก หน่วยที่สังกัดใน ฉก.
ตำแหน่งใน ฉก. และ ตำแหน่ง ปกติใน กองทัพบก

นอกจากนั้น จะมีป้าย บอก รุ่นการฝึก ทั้งหลักสูตรทหารรักษาพระองค์ ของ ฉก.
และ รุ่นการฝึก นายทหารราชองครักษ์ (นรอ.)

นายทหารคอแดง สังกัด ฉก.ทม.รอ.904 ต้องมีป้ายเหล่านี้ รวมทั้งป้ายชื่อ ติดหน้าอก ทุกคน แม้แต่ บิ๊กแดง พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ซึ่ง เป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 เอง

ทั้งนี้ ล้วนเป็น ป้าย และเครื่องหมายประดับเครื่องแบบ ทม.รอ. ที่ผ่านพระบรมราชวินิจฉัย แล้วทั้งสิ้น

ไม่ได้มีป้ายใด ที่แยก วรรณะ ในความหมายอื่น
...
...
ทวิตเตอร์ อ.ศิลป์ชัย มีคำอธิบายถึง เครื่องหมาย “+ และ - “ แวะชมได้ที่
ศาสนวิทยา ดร.ศิลป์ชัย@sinchaichao

หลายคนสงสัยเรื่อง "ป้ายวรรณะ" จากโพสต์ของ อ.สมศักดิ์ เจียมฯ ว่าหมายถึงอะไร อ.ศิลป์ชัย ช่วยชี้แจง


 โพสต์เกี่ยวข้อง
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=2593445417375388&set=a.137616112958343&type=3&theater


ลำโพงทหาร ??? ... วาสนา นาน่วม





หน้าที่ใหม่ของทหารไทย #ทหารทุกคนต้องเล่นโซเชียล คอย กดไลค์กดแชร์ทุก ๆ โพสต์ของกองทัพ



ชวนอ่านแล้วออกความเห็น "สุเทพลั่นกลับมา เพื่อจัดการวายร้ายตัวใหม่!!"



https://twitter.com/johnwinyu/status/1211557321597313024?ref_src=twsrc%5Etfw%7Ctwcamp%5Etweetembed%7Ctwterm%5E1211557321597313024&ref_url=https%3A%2F%2Fpublish.twitter.com%2F%3Fquery%3Dhttps%253A%252F%252Ftwitter.com%252Fjohnwinyu%252Fstatus%252F1211557321597313024%26widget%3DTweet









VOA ชี้ ไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง-การเลือกตั้งที่ผ่านมา เป็น 'รุ่งอรุณแห่งประชาธิปไตยจอมปลอม'... โอววว





ที่มา Voice TV

VOA ชี้ ไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง-การเลือกตั้งที่ผ่านมามีเงื่อนไขเอื้อเครือข่ายกองทัพสืบทอดอำนาจ พร้อมระบุ การปราบข่าวปลอมอาจนำสู่ยุค 'เผด็จการดิจิทัล' - โฆษกสำนักนายกฯ ปัดตอบกรณีใช้กฎหมายเป็นอาวุธจัดการผู้วิจารณ์รัฐ ย้ำ ข้อมูลสื่อต่างชาติ 'ไม่จริง'



ซอมเบอร์ ปีเตอร์ แห่งสำนักข่าว VOA สื่อสหรัฐอเมริกา เผยแพร่บทความ 2019 a False Dawn for Democracy in Thailand, Analysts Say เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมา อ้างอิงบทสัมภาษณ์นักวิชาการ รวมถึงโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อสะท้อนภาพการเมืองไทยในช่วงปีที่ผ่านมา

เนื้อหาในตอนหนึ่งระบุว่า คณะรัฐประหารที่ยึดอำนาจเมื่อปี 2557 ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะนำประเทศไทยกลับคืนสู่ประชาธิปไตยโดยเร็ว หลังจากมีการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 5 ปีเมื่อเดือนมีนาคม และเวลาผ่านไปกว่า 9 เดือนหลังเลือกตั้ง คณะรัฐประหารบอกว่ามี 'จุดเปลี่ยนที่สำคัญ' แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ถึงเรื่องผิดปกติที่เกิดขึ้นเช่นกัน เพราะนายทหารยังคงมีบทบาทสำคัญในการเมืองไทย โดยบทความระบุว่า "พวกเขาแค่เปลี่ยนเครื่องแบบไปสวมสูทเท่านั้น" ส่งผลให้คนไทยจำนวนมากรู้สึกว่า 'รุ่งอรุณแห่งประชาธิปไตย' เป็นเรื่องหลอกลวง

ดร.ฐิติพล ภักดีวานิช จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ให้สัมภาษณ์กับ VOA ว่า ชนชั้นนำกลุ่มเดิมยังอยู่ในอำนาจ รัฐบาลชุดปัจจุบันจึงเป็นรัฐบาลทหารในอีกแบบหนึ่งเท่านั้น และการปล่อยให้ประเทศอยู่ในสภาวะแบบนี้ต่อไปจะยิ่งส่งผลร้ายกว่าเดิม เพราะมีความพยายามจะสะท้อนภาพลักษณ์ประเทศว่าเป็นประชาธิปไตย ทั้งที่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น แต่เป็นภาพมายาให้ไทยสานสัมพันธ์กับประเทศตะวันตกต่อไปได้ ทั้งที่เครือข่ายกองทัพยังคงอยู่ และพยายามใช้กระบวนการทางกฎหมายควบคุมทุกอย่าง

บทความของ VOA อ้างอิงความเห็นของ ดร.ฐิติพลเพิ่มเติมว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมา เกิดขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญที่รัฐบาลทหารเป็นผู้เขียนขึ้นหลังรัฐประหาร จึงมีเงื่อนไขสกัดพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่ต่อต้านการใช้อำนาจของทหารในสนามเลือกตั้ง ซึ่งถ้าจะพูดให้ชัดก็หมายถึง 'พรรคเพื่อไทย' เห็นได้จากการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปลี่ยนมาใช้สูตรคำนวณหาจำนวน ส.ส.แบบใหม่ เอื้อประโยชน์ให้พรรคการเมืองที่หนุนคณะรัฐประหารทำให้ไม่มีพรรคการเมืองใดเป็นเสียงข้างมากในสภา

'ใช้กฎหมายเป็นอาวุธ' - 'เผด็จการดิจิทัล'

เจมส์ บิวคาแนน นักวิจัยเรื่องการเมืองไทยในมหาวิทยาลัยฮ่องกง ให้สัมภาษณ์ VOA ว่า นอกจากการปรับเปลี่ยนกฎหรือเงื่อนไขในการเลือกตั้งให้แตกต่างจากเดิมแล้ว คณะรัฐประหารยังปรับเปลี่ยนคำสั่งต่างๆ ที่เคยบังคับใช้ในช่วงก่อนเลือกตั้งให้กลายเป็นกฎหมายในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ทำให้กฎหมายถูกนำมาใช้เป็น 'อาวุธ' สกัดคนที่เห็นต่างหรือต่อต้านรัฐบาล


ส.ว.แต่งตั้งบางคนก็ดำรงตำแหน่งสำคัญอื่นๆ ด้วย เช่น ผู้บัญชาการทหาร


ตัวอย่างที่สำคัญในทัศนะของบิวคาแนน ได้แก่ การที่คณะรัฐประหารมีอำนาจในการแต่งตั้งวุฒิสมาชิก 250 คนมาดำรงตำแหน่ง ทั้งยังกำหนดให้ ส.ว.แต่งตั้งมีอำนาจในการเลือกผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ด้วย และ ส.ว.เหล่านี้ก็ออกเสียงสนับสนุนฝ่ายรัฐประหาร ส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้นำคณะรัฐประหารปี 2557 ได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง

นอกจากนี้ยังมีการใช้อำนาจทางกฎหมายจับกุมและลงโทษผู้เห็นต่างจากรัฐบาลทหาร เช่น การตั้งข้อหายุยงปลุกปั่น และเป็นภัยต่อความมั่นคง ทำให้นักกิจกรรมทางการเมืองต้องอพยพลี้ภัยจำนวนมาก แต่มีรายงานว่านักกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลทหารไทยหายตัวไปหลังจากทางการเวียดนามส่งตัวกลับมาในปีนี้ แต่ก็ไม่อาจติดตามได้ว่า นักกิจกรรมเหล่านี้มีชะตากรรมอย่างไร

ขณะเดียวกัน เอมิลี่ ประดิจิต ผู้ก่อตั้งมูลนิธิมานุษยะ เปิดเผยกับ VOA ว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันพยายามกำหนดกฎเกณฑ์และกติกาต่างๆ ให้เอื้อประโยชน์ต่อเครือข่ายคณะรัฐประหาร ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้การนำของคนกลุ่มเดิมที่เคยอยู่ในอำนาจมาตลอด 5 ปี ทั้งยังพยายามใช้ข้อหา 'เฟกนิวส์' หรือ 'ข่าวปลอม' โจมตีผู้ที่เห็นต่างจากรัฐบาล ทำให้ผู้เผยแพร่ข้อมูลเชิงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลมักจะถูกกล่าวหาว่าเผยแพร่ข่าวปลอม ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคง หรือไม่ก็เข้าข่ายหมิ่นประมาท

เอมิลี่ระบุว่า รัฐบาลไทยพยายามแสดงให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาลทหารสู่รัฐบาลประชาธิปไตย มีการเลิกใช้กฎหมายที่ถูกทักท้วงจากประชาคมโลก แต่ในความเป็นจริงมีการบังคับใช้กฎหมายฉบับใหม่ที่ส่งผลต่อการแสดงความคิดเห็นของประชาชนในสื่อออนไลน์หนักกว่าเดิม เช่น พ.ร.บ.ไซเบอร์ ทำให้มีความกังวลว่า สถานการณ์ต่างๆ ในไทยอาจแย่ลงกว่าเดิม ถึงขั้นเข้าสู่ยุคแห่ง 'เผด็จการดิจิทัล'


"ไม่จริงและไม่ตอบ"

VOA รายงานว่า ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ไปขอสัมภาษณ์เพิ่มเติม 'ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์' โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อสอบถามความเห็นต่อข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อรัฐบาล แต่โฆษกฯ ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้ล้มเหลวในการฟื้นฟูประชาธิปไตย เพราะไทยเป็นประชาธิปไตยอย่างเต็มที่แล้ว


พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดีอีเอส แถลงข่าวเปิดศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมเมื่อ 1 พ.ย.2562


อย่างไรก็ตาม โฆษกไม่ขอตอบคำถามและไม่ขอชี้แจงอะไรเพิ่มเติมเมื่อ VOA ขอให้ช่วยระบุตัวอย่างที่บ่งชี้ว่า ไทยกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตยแล้ว ทั้งยังปฏิเสธข้อสังเกตที่ระบุว่า กกต.เปลี่ยนสูตรคำนวณ ส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา หลังจากที่ผลคะแนนถูกส่งเข้าไปยังส่วนกลางแล้ว รวมถึงไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ไซเบอร์ และกรณีที่หน่วยงานรัฐ รวมถึงองค์กรอิสระต่างๆ เกี่ยวข้องกับการตั้งข้อหาแกนนำพรรคอนาคตใหม่

ทั้งนี้ โฆษกสำนักนายกฯ ระบุเพียงว่า เรื่องที่ VOA สอบถามนั้น "ไม่เป็นความจริง" และวางสายไป


"การละเมิดสิทธิไม่ได้มีแค่ในกรุงเทพฯ"

ช่วงที่ VOA นำเสนอภาพการเมืองไทยในปี 2019 เว็บไซต์ Global Voices ได้รายงานสถานการณ์การด้านสิทธิมนุษยชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย อ้างอิงข้อมูลที่นำเสนอในเทศกาลวิชาการและสิทธิมนุษยชนอีสาน ครั้งที่ 10 ที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยถือเป็นความร่วมมือระหว่างคณะศิลปศาสตร์ ม.อุบลราชธานี กับ 'เดอะอีสานเรคคอร์ด' และหน่วยงานเครือข่าย

ภายในงานมีการเสวนาด้านสิทธิมนุษยชน และตัวแทนประชาชนอีสานที่เข้าร่วมพูดคุยระบุว่า ที่ผ่านมา สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในไทยมักถูกนำเสนอผ่านสื่อหรือตัวแทนประชาชนในกรุงเทพมหานคร ทำให้การเคลื่อนไหวของประชาชนนอกพื้นที่ดังกล่าวไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากนัก แต่ช่วงที่รัฐบาลทหารปกครองประเทศกว่า 5 ปีที่ผ่านมา มีประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงภาคอีสาน ถูกจับกุมและดำเนินคดีกว่า 28,000 คดีที่เกี่ยวกับนโยบาย 'ทวงคืนผืนป่า' ของรัฐบาลทหาร ซึ่งหลายกรณีเกิดจากการประกาศพื้นที่ป่าทับที่ดินทำกินของประชาชน

ในการเสวนามีผู้แย้งว่า บางกรณีรัฐบาลทหารไม่ได้เป็นผู้กระทำผิดหรือละเมิดสิทธิชุมชนในคดีที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน ซึ่ง ผศ.ดร.อรุณี สัณฐิติวณิชย์ จากคณะรัฐศาสตร์ ม.อุบลราชธานี หนึ่งในผู้ร่วมพูดคุย ยอมรับข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่ก็มองว่า รัฐบาลเองก็ไม่ได้จริงจังในการแก้ปัญหาหรือช่วยเหลือประชาชน

ผศ.ดร.อรุณี ระบุว่า สิ่งที่รัฐบาลเลือกทำเป็นอันดับแรกเมื่อเกิดความขัดแย้งเรื่องที่ดินและสิ่งแวดล้อม คือ การแต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาผลกระทบในเรื่องที่เกี่ยวข้อง ไม่ต่างจากการ 'ซื้อเวลา' เพราะในที่สุดข้าราชการที่ถูกแต่งตั้งให้รับผิดชอบดูแลเรื่องดังกล่าวก็จะถูกโยกย้ายไปอยู่ที่อื่นตามวาระ และเรื่องทั้งหมดที่ทำมาก็หยุดชะงัก หรือไม่ก็ถูกเลื่อนการพิจารณาออกไป ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้ทำให้ประชาชนในพื้นที่รู้สึกว่า ไม่มีความหวังใดๆ เกิดขึ้นจริง

ที่มา: Global Voices/ VOA
ooo



วันจันทร์, ธันวาคม 30, 2562

ประชากรออนไลน์หงุดหงิด ประกาศปิดทางน้ำรอบๆ เกาะพีพี ปันหยี พระเจ้าลูกเธอฯ 'Splendid' เสด็จ "ดำน้ำลึก เที่ยวเกาะ ปล่อยเต่า"


ยังไม่ทันพอดีส่งท้ายปีเก่า อีกวันสองวันจะเข้าปีใหม่ ภาพลักษณ์อนาคตของประชากรในวันข้างหน้า เห็นท่าจะซึมเศร้าและเร่าร้อนคละกันไปไม่หยุดหย่อน ซึมเพราะเศรษฐกิจไม่มีทางโตอย่างที่รัฐบาลตั้งเป้า ร้อนเพราะไพร่ฟ้าต้องอดกลั้นอย่างหนักกับภาวะเบียดเบียน

ชาวบ้านบนไซเบอร์เลยพาลฟุตฟิตอารมณ์เสียเอากับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ใกล้ตัว Michael Roger บ่นว่าโอเลี้ยงแพง ปูกิ๊ ปูกิ๊ ประภัสสร โวบวาย โอวัลตินสองซองหาย Navapon Somranjai แสดงอาการหงุดหงิด รอ ๑๐ นาฑีรถติดปีใหม่ ไม่ไปไหน

ไม่นานนี้ตำรวจโดนด่าขรมกับการตะคอกใส่คนเดินถนน ขณะปิดทางรถรอขบวนเสด็จหลายชั่วโมง อีกสามสี่วันระหว่างนี้ (๒๙ ธ.ค. ถึง ๑ ม.ค.) ชาวเรือ ทั้งมวล ทั้งเรือโดยสาร เรือหาปลา หรือเรือท่องเที่ยว ถูกห้ามใช้ทางน้ำแถวหมู่เกาะพีพี ภูเก็ต ปันหยี พังงา

เหตุเพราะประกาศเจ้าท่าสองฉบับ กับประกาศอุทธยานแห่งชาติอีกหนึ่ง ขอความร่วมมืออย่าได้สัญจรในบริเวณที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี เสด็จ “ดำน้ำลึกบริเวณเกาะบิต๊ะ หมู่เกาะพีพี” ๒๙ ธันวา “เที่ยวเกาะปันหยี พังงา” ๓๑ ธันวา แล้วเสด็จ “ปล่อยเต่า ณ เกาะเฮ ภูเก็ต” ๑ มกรา



ขอบคุณ Somsak Jeamteerasakul เอาประกาศทั้งสามฉบับมาสรุปสั้นดี ขณะที่ Lee Jeeshiq เม้นต์ว่า “เดี๋ยวอีกหน่อยปิดน่านฟ้า” ข้อนั้นไม่ต้องห่วง เพราะขณะนี้และที่ผ่านมา กระทรวงไอทีก็คอยปิดการสื่อสารทางอากาศ ออนไลน์ ที่กระเทือนซางหรือไม่สบอารมณ์อยู่แล้ว

เท่านั้นไม่พอ นายพลทัพฟ้าคอลัมนิสต์เพจ วาสนา ภรรยานายทหารคนสนิทพลเอกเขายายเที่ยง ลุกล้ำความเป็นมนุษย์ของชนชาติพันธุ์ อย่างโจ่งแจ้งและจาบจ้วง ตบหน้ารัฐมนตรีกระทรวงไอทีอย่างแรงฉาดใหญ่
 
แต่คงไม่ใหญ่เท่าข้อหา ล้มเจ้าที่ผู้ใช้นาม Bhumphan Mahadilok มอบให้อุทธยานแห่งชาติและกรมเจ้าท่า “ประกาศโต้งๆ ว่าปฏิบัติภารกิจ แต่จริงๆ ไปเที่ยว มันเป็นการแฉเจ้าชัดๆ ควรเอาอธิบดีอุทยาน อธิบดีเจ้าท่า ไปตัดหัว ๗ ชั่วโคตร”

จะให้แม่นเข้าไปหน่อยต้องดูของ ศาสนวิทยา ดร.ศิลป์ชัย บอก “สิริวัณณวรี จะไปชมวิวที่อ่าวพังงา และกินข้าวกลางวันที่เกาะปันหยี ทางการเลยมีคำสั่งห้ามเรือทุกชนิดผ่านเข้าออก และห้ามใครทำการประมง ในบริเวณดังกล่าว”

ซึ่งถ้อยคำจริงๆ ในประกาศบ่งชัดแล้วว่า “เป็นการส่วนพระองค์” ซึ่งทั้งสองหน่วยงานต้องถวายการอารักขาใน ขั้นสูงสุดแต่ว่างานนี้ทัพเรือไม่ได้ออกหน้าสักนิด แม้จะเป็นฝ่ายปฏิบัติการโดยตรง คงมัวแต่ประชาสัมพันธ์เรื่อง แด้นซ์
ข่าววาสนาอีกน่ะแหละประโคม “ดุริยางค์ทหารเรือ ลงทุน ร้อง เต้น ออกแบบท่าเต้น ฝึก ซ้อม บันทึกเทป เพลง สวัสดีปีใหม่ เพื่อมอบรอยยิ้มเป็นความสุขปีใหม่ ให้พี่น้องประชาชน” นาน่วมหมายเหตุว่าเป็นจังหวะ สามโทนด้วยละ

#อคติทางเชื้อชาติ #วาทกรรมความเกลียดชัง #สร้างความแตกร้าว ความน่ากังวลอย่างยิ่งต่อการเผยแพร่ข้อความ / ความเห็นตามทัศนะของ “เสืออากาศ24/7” ในเพจของคุณวาสนา นาน่วม




#อคติทางเชื้อชาติ #วาทกรรมความเกลียดชัง #สร้างความแตกร้าว

น่ากังวลอย่างยิ่งต่อการเผยแพร่ข้อความ / ความเห็นตามทัศนะของ “เสืออากาศ24/7” ในเพจของคุณวาสนา นาน่วม สื่อมวลชนสายทหาร เนื่องจากข้อความที่ปรากฏนี้ได้แสดงให้เห็นถึง #อคติทางเชื้อชาติอย่างรุนแรง ทั้งที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้ให้คำมั่นในการขจัดอคติทางเชื้อชาติ และให้ความสำคัญกับการสร้างความเสมอภาคมาโดยตลอดผ่านทางกฎหมาย และการสร้างความเข้าใจทางสังคม เห็นได้จากนับแต่รัฐธรรมนูญ 2540 จนถึง 2560 ซึ่งได้เน้นย้ำถึงความเสมอภาคทางเชื้อชาติ สีผิว ศาสนา เพศ รวมถึงความเห็นต่างทางการเมือง และฐานะทางเศรษฐกิจฯ รวมถึงความพยายามให้มีกฎหมายเรื่องการห้ามเลือกปฏิบัติด้วยเหตุความต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา และอื่นๆ

ประเทศไทยยังได้มีความพยายามแก้ไขปัญหาบุคคลไร้สัญชาติ รวมถึงคนไร้รากเหง้าด้วยการให้สัญชาติผ่านการปรับปรุงกฎหมาย หรือมติ ครม.ต่างๆ และให้เด็กทุกคนในประเทศไทยได้รับโอกาสในการศึกษาและการพัฒนา ให้การรับรองสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองของบุคคล ให้ทุกชาติพันธ์มีสิทธิในการอนุรักษ์วัฒนธรรมของตน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาษา จารีตหรือประเพณีต่างๆ รวมถึงการใช้และบำรุงรักษาทรัพยากรในท้องถิ่น

นอกจากนั้น ประเทศไทยได้ให้ #คำมั่นในการขจัดการไร้สัญชาติให้หมดจากประเทศไทยในปี 2024 โดยร่วมในโครงการ #IBelong ร่วมกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)

ในส่วนแนวทางของประเทศไทยในเรื่องการไม่เลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ แนะนำให้อ่านรายงานประเทศไทย (Thailand Country Report on International Convention on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination –CERD) ที่ประเทศไทยส่งรายงานเมื่อกลางปีนี้และจะเดินทางไปรายงานด้วยวาจาในปี 2020 ที่นครเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ (https://tbinternet.ohchr.org/…/treatybodyext…/Download.aspx…)

ข้อความที่คุณวาสนานำมาเผยแพร่จึง #ขัดต่อนโยบายความเสมอภาค และการเคารพ / คุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธ์ในประเทศไทยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และตามที่รัฐบาลไทยได้ให้คำมั่นต่อนานาชาติอย่างสิ้นเชิง และอาจถือได้ว่าเป็นข้อความที่ไม่อยู่บนความจริงที่อาจนำไปสู่การแบ่งแยก ความเกลียดชัง รวมถึงอาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรงต่อกันได้ เรื่องนี้รัฐบาลควรต้องออกมาชี้แจงทำความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ควรปล่อยให้อคติของคนบางคนบางกลุ่มทำลายการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของคนในสังคม รัฐต้องไม่อดทนต่อการเผยแพร่ข้อมูลอันจะนำไปสู่การสร้างความเกลียดชังจากอคติทางเชื้อชาติ เพียงเพราะอาจมีพื้นฐานจากการมีอคติกับนักการเมืองบางคน มิเช่นนั้นรัฐเองอาจถูกมองได้ว่าใช้ #นโยบายหน้าอย่างหลังอย่างและเป็นผู้เลือกปฏิบัติเสียเอง

อ่าน ไฮไลท์ประโยคที่เป็น Fake News ในประวัติศาสตร์ ที่ "วาสนา" เอาโพสต์มาเผยแพร่



.





...



ลัทธิชาตินิยมไทย คือ ความยึดมั่นถือมั่นหรือหลงความเป็นไทยว่าดีกว่าสูงส่งกว่า ประเสริฐกว่าอัตลักษณ์รวมหมู่อย่างอื่น ลัทธิชาตินิยมไทยหรือชาติใดก็ตาม จึงเป็นเรื่องของความเชื่อความศรัทธาที่สังคมหนึ่งบ่มเพาะปลูกฝังแก่สมาชิกรุ่นแล้วรุ่นเล่า เพื่อสร้างพลังทางสังคมของชุมชนนั้น ในแง่นี้ลัทธิชาตินิยมเป็นอุดมการณ์ชนิดหนึ่งคล้ายศาสนา ชาตินิยมจึงมีพลังด้านบวกสูงมากแบบเดียวกับศาสนา แต่ความหลงหรือคลั่งชาติก็มีอันตรายมหันต์แบบเดียวกับศาสนา

นักประวัติศาสตร์บางกลุ่มเรียกลัทธิชาตินิยมว่าเป็น political religion หรือ sacralized politics ปัญหามีอยู่ว่าเราอาจไม่รู้ตัวเลยว่า แค่รัก หรือหลง หรือคลั่งเข้าแล้ว

ธงชัย วินิจจะกูล
คนไทย/คนอื่น ว่าด้วยคนอื่นของความเป็นไทย

อ่านสารบัญ คำนำ และสั่งซื้อหนังสือได้ที่
https://sameskybooks.net/index.php/product/9786167667577/


กลุ่มนักข่าวอีสานออกจดหมายเปิดผนึกจี้สมาคมสื่อฯ คุ้มครองนักข่าววอยซ์ทีวี ถูกฟาร์มไก่ฟ้องหมิ่นประมาท พร้อมจี้เอกชน/รัฐหยุดใช้กฎหมายปิดปากสื่อ




กลุ่มนักข่าวอีสานออกจดหมายเปิดผนึกจี้สมาคมสื่อฯ คุ้มครองนักข่าววอยซ์ทีวี ถูกฟาร์มไก่ฟ้องหมิ่นประมาท พร้อมจี้เอกชน/รัฐหยุดใช้กฎหมายปิดปากสื่อ

จดหมายเปิดผนึกฉบับที่ 1
หยุดคุกคามสื่อมวลชนด้วยกฎหมายปิดปากกรณีฟาร์มไก่ฟ้องอดีตนักข่าววอยซ์ทีวี

จากกรณีศาลจังหวัดลพบุรีมีคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำคุก น.ส.สุชาณี รุ่งเหมือนพร อดีตผู้สื่อข่าววอยซ์ทีวี 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ด้วยข้อหาหมิ่นประมาทการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 และมาตรา 328 ต่อบริษัท ธรรมเกษตร จำกัด ที่ประกอบธุรกิจฟาร์มไก่ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่สื่อมวลชนในการรายงานข้อมูลและการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต

การกระทำดังกล่าวถือเป็นการคุกคามสื่อมวลชนด้วยกฎหมายปิดปากทำให้เกิดความหวาดกลัวและลดทอนความกล้าหาญในการทำหน้าที่ โดยเฉพาะการทำข่าวสืบสวนสอบสวน

เนื่องจากกรณีนี้ น.ส.สุชาณี ได้ติดตามรายงานข่าวการละเมิดสิทธิแรงงานข้ามชาติในภาคการเกษตรและเผยแพร่ข้อความผ่านทวิตเตอร์เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2560 อันเป็นประโยชน์สาธารณะ เพราะเป็นการรายงานข่าวที่ต้องการช่วยเหลือแรงงานชาวเมียนมาจำนวน 14 คน ให้ได้รับค่าจ้างตามกฎหมายแรงงานและได้รับการปกป้องสิทธิมนุษยชน

ทว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ซึ่งมีบทบาทหน้าที่โดยตรงในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนกลับเพิกเฉยมิได้แสดงจุดยืนหรือดำเนินการต่อกรณีดังกล่าว ทางกลุ่มนักข่าวอีสานจึงขอเรียกร้องต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนี้

1. เรียกร้องให้สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยและองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนออกมาแสดงจุดยืนต่อกรณีนี้ดังกล่าวอย่างเร่งด่วน พร้อมออกมาตรการดูแลปกป้องสื่อมวลชนซึ่งทำหน้าที่เพื่อประโยชน์สาธารณะ

2. เรียกร้องให้สถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี ช่วยเหลือ น.ส.สุชาณี ด้านคดีความจนถึงที่สุด รวมถึงพิจารณาความช่วยเหลืออื่นตามความเหมาะสม แม้ น.ส.สุชาณี ไม่ได้เป็นพนักงานของบริษัทฯ แล้ว แต่ถูกฟ้องร้องในขณะทำหน้าที่สื่อมวลชนให้กับวอยซ์ทีวี

3. เรียกร้องให้ภาคธุรกิจและภาครัฐหยุดใช้กฎหมายปิดปากฟ้องร้องสื่อมวลชนอันเป็นการข่มขู่ คุกคามการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์สาธารณะ

ด้วยจิตคารวะ

ลงชื่อ

1. กลุ่มนักข่าวอีสาน
2. กลุ่มพิราบสูง
3. Theisaander.com
4. ISAAN VOICE
5.Thai NGO
6.Z-world.in
7.Newisan.org
8.คำปิ่น อักษร ผู้ผลิตอิสระ
9.สันติ ศรีมันตะ ผู้ผลิตสื่ออิสระ
10.หทัยรัตน์ พหลทัพ ผู้สื่อข่าวเดอะอีสานเรคคอร์ด
11.อติเทพ จันทร์เทศ ผู้สื่อข่าวอิสระ
12.ยศพนธ์ เกิดวิบูลย์ ผู้สื่อข่าวเดอะอีสานเรคคอร์ด
13.เพทาย กันนิยม ผู้สื่อข่าวอิสระ
14.โกวิท โพธิสาร
15.จามร ศรเพชรนรินทร
16.ณรรธราวุธ เมืองสุข ผู้สื่อข่าวอิสระ
17.วันชัย พุทธทอง ผู้สื่อข่าวอิสระ
18.เพจสื่อเถื่อน

(ป.ล. ผู้ต้องการร่วมลงรายชื่อเพิ่มสามารถลงชื่อในคอมเมนต์เพจนี้หรือเพจเฟซบุคของบุคคลที่ร่วมลงรายชื่อ ซึ่งทีมงานจะนำมารวบรวมอีกครั้ง)

ภาพจากเวิร์คพอยท์ทีวี

ที่มา FB

Hathairat Phaholtap


(https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10157966491319122&set=a.110383679121&type=3&theater)

28 ธันวาคม วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช "ไม่มีท่าน ไม่มีเรา ไม่มีเงา ไม่มีแผ่นดิน"



.



สมเด็จท่านฯทรงสอนลูกหลานของท่านไว้แบบนี้ จากรุ่นสู่รุ่น

#การเป็นชาติ เริ่มที่ราษฏร์ ทาสและไพร่
การเป็นไท เริ่มที่ใจ ไม่ขลาดเขลา
การฮึกเหิม เริ่มที่ผู้ ไม่ดูเบา
การเป็นเรา เผ่าพันธุ์ไท จึงได้คืน

#การสร้างชาติ เริ่มจากราษฏร์ ทาสและไพร่
การเป็นไท เริ่มจากใจ ใช่ใครฝืน
การเป็นทัพ เริ่มจากนับ ลับดาบปืน
การกู้คืน ผืนดินนี้ จึงมีเรา

#การรักษ์ชาติ เริ่มจากราษฏร์ ทั้งชาติหนา
การรักษ์ไท เริ่มที่ใจ ใช่เทือกเถา
การรักษ์ชาติ ศาสนา อย่าดูเบา
ลูกหลานเรา เขาจะยาก หากกู้คืน

จเด็ด สิบเอ็ดทิศ
29 ธค.62


ภาพเก่า เล่าเรื่อง... วันนี้เมื่อปีที่แล้ว



วันนี้เมื่อปีที่แล้ว
ธันวาคม 2561 เป็นเดือนสะเทือนขวัญ เมื่อสุรชัย แซ่ด่าน และคณะอีก 2 คน ถูกอุ้มหายไป ในคืน 12 -13 ธค. ก่อนจะมี 3 ศพลอยน้ำโขง ไปโผล่ที่นครพนม ในวันที่ 26 /27/29 ธค.
และต่อมาุพิสูจน์ชัดว่า สองศพคือ ภูชนะ / กาสะลอง อีกศพคาดว่าเป็น สุรชัย หายไปเฉยๆ
รูปที่ลงให้ดูนี้ ผมถ่ายไว้เมื่อ พค. ปี 60 เป็นรางสังกะสีดักแมลง ด้านบนยอดเสาสูงมีหลอดนีออนสีม่่วงล่อแมลง
ด้านหลังคือห้องนอนภูชนะ ติดกับห้องนอนผมซึ่งอยู่ทางซ้าย
แคมป๋อยู่เนินเขาติดป่า แมลงจึงเยอะมาก แต่ละวันได้แมลงเป็นครึ่งค่อนถัง แน่นอน ผลงานของ อ้ายโต้ง - ภูชนะ
เขาเป็นคนมุกดาหาร รู้หมดว่าแมลงชนืดไหน กินได้ -ไม่ได้ เช้ามา เขานั่งเด็ดปีกแมลงแล้วนำไปหมักเกลือ น้ำตาล ซอสปรุงรส ทอดแมลงในน้ำมันครี่งกะทะ โหมไฟแรง จึงได้แมลงทอด หอม กรอบ
จำได้ เคยกินแมลงทอดร้านครกไม้ไทยลาว จานละ 60 บาท แต่นี้ กินกันห้าคน ยังไม่หมด
ในยามยาก ผมมีกับแกล้มชั้นดี ก็จากอ้ายโต้งนี่แหละ
อ้ายโต้งเป็นคนแข็งแรง เสน่ห์แรง เรียนจบปริญญา มีสาวๆขึ้นมาหาบนแคมป์บ้างเป็นธรรมดา
ในปี 60 นั้นเอง โต้งย้ายมาอยู่กับ เฮียสุรชัย เพื่อเป็นบอดี้การ์ดและช่วยทำคลิป...
รวมเวลาที่ร่วมทุกข์สุขกันกับผม ก็เกือบสามปี
ในทางแนวคิด การต่อสู้ โต้งเป็นคนมั่นคงแจ่่มชัด ไว้ใจได้
ระหว่างเส้นทางต่อสู้ เราเห็นมิตรสหายตัวเป็นๆ
ล้มตายมากเกิน
รำลึกวันนี้...เมื่อปีที่แล้ว

"เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีก็ว่าได้ที่ความนิยมต่อพลเอกประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีลดลงจนกลายเป็นลำดับที่2 ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจพุ่งขึ้นไปเป็นลำดับที่ 1"




NIDA Poll - นิด้าโพล
Yesterday at 5:00 PM ·

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) สำรวจความคิดเห็น เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส ครั้งที่ 1” ระหว่างวันที่ 18 - 20 ธันวาคม 2562 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 2,511 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง #คะแนนนิยมทางการเมือง #ธนาธร #ประยุทธ์ #สุดารัตน์ #เสรีพิศุทธ์ #นายกรัฐมนตรี #นิด้าโพล #นิด้า #NIDAPoll #NIDA #โพลแห่งแรกในประเทศไทย

สามารถดาวน์โหลดผลสำรวจฉบับเต็มได้ที่ http://nidapoll.nida.ac.th

อย่าพลาด Museum in Focus 2019 หัวข้อ "120 ปี ราชดำเนิน" โดย รศ.ดร.ชาตรี ประกิตนนทการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร - ตั้งใจฟังแล้วจะหายโง่




Museum in Focus 2019 หัวข้อ "120 ปี ราชดำเนิน"

Oct 22, 2019

Museum Siam
4.51K subscribers


Museum in Focus 2019 หัวข้อ "120 ปี ราชดำเนิน" โดย รศ.ดร.ชาตรี ประกิตนนทการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 

ติดตามข่าวสารกิจกรรมได้ที่ www.museumsiam.org


ในเมื่อประวัติศาสตร์ที่แท้จริงมันถูกบันทึกไปแล้ว... การเปลี่ยนชื่อจะมีประโยชน์อะไร ???



...


วันอาทิตย์, ธันวาคม 29, 2562

'เสืออากาศ' เหยียด 'ม้ง' กระทบคราด 'ธนาธร'


เรื่องนี้พอ จ่าพิชิต ขจัดพาลชน บอก “เฮ้ย ยังมีภาคสองต่ออีกเรอะ” ก็ใช่เลยอย่าง Atukkit Sawangsuk ว่า Wassana Nanuam “ล้ำเส้น” ความเป็นสื่อมวลชนที่ (ควร) มีจิตสำนึก (ให้พอควร) และเป็น “PR โปรปะกันด้า” ของกองทัพจริงๆ

วาสนาเอาบทความของ นายพลทัพฟ้า เสืออากาศ 24/7’ มาลงเบิ้ลสองตอนเกี่ยวกับชาตุพันธุ์ ม้งแล้วตามด้วย มอญ จีน โรฮิงญา แขกขาว (บลา บลา บลา) ยืดยาว เพียงเพื่อจะบอกว่า ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ทำผิดสันดอน คสช. ที่ไปร่วมงานปีใหม่ม้ง

จุดมุ่งหมายเพียงแค่กำจัดทั้งธนาธรและกระบวนการพรรคอนาคตใหม่ออกจากสิทธิเสียงทางการเมืองไทย ดินแดนสุวรรณภูมิที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายอาม้า อาเจ็กของ นายพลทัพฟ้าเก็บรักษาไว้ให้ลูกหลานเหลนที่เป็น ไทยๆ

ทั้งที่ (ดังอธึกกิตว่า) เสืออากาศตัวนี้อาจมีกำพืดกะเหรี่ยงหรือเจ๊กก็ได้ เพราะเชื้อชาติ ไทย แท้จริงไม่มี เป็นพันธุ์ทางจากหลายเชื้อชาติทั้งนั้น อย่างดีที่สุดซึ่งชนชาวเผ่าเล็กๆ ซึ่งอยู่ติดพื้นที่ก่อนแขก ขแมร์และจีนเข้ามา คือ เสียม

‘24/7’ (ซึ่งน่าจะตีความหมายได้ว่าตลอดเวลาทั้งอาทิตย์ ตามที่ ฝรั่ง ใช้) กล่าวหาอย่างมโน เลื่อนลอย “ผู้เข้ามาหวังอาศัยใช้ชีวิต/บริโภคอุปโภคทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ของไทยแต่เพียงอย่างเดียว”

แม้นว่าตอนที่พวกเขาเข้ามาผืนดินตรงนั้นแค่ป่า ฤๅว่าในป่านั้นเต็มไปด้วย เสือ ต้นตระกูลของนายพลทัพฟ้า ไม่อาจรู้ได้ สุดยอดคอลัมนิสต์ของวาสนาจึงได้ระรานไปทั่ว รวมถึง “ชาวมุสลิมในภาคใต้ของประเทศไทยหลายล้านคน

ผู้ไม่เคยร่วมสร้างชาติไทย/ไม่เคยร่วมทำการรบในประวัติศาสตร์ชาติไทยมาก่อน..ก็ใคร่เข้ามาครอบครองที่ดินบนแผ่นดินไทย” ไอ้การรบราฆ่าฟันของ ตลอดเวลาทั้งอาทิตย์นี่ต้องเงี่ยฟังน้าถึงแกนิด ที่ว่า
 
“สันนิษฐานได้แต่ว่าเป็นทหารอากาศ เป็นนักบิน ซึ่งได้แต่บินฝึกๆๆๆ เพราะกองทัพอากาศไทยไม่เคยรบกับใคร มีแต่นักบินตายเพราะเครื่องตก” แต่ถนัดเรื่อง “ปล่อยความคิดไดโนเสาร์ ดูถูกม้ง กีดกันชาติพันธุ์ไม่ใช่คนไทย ถ้าจะเป็นคนไทยต้องทิ้งวัฒนธรรมประเพณีตัวเอง

(ไอ้สาส แล้วทำไมคนกรุงยังมีศาลเจ้าไหว้เจ้ากันอยู่)” ซึ่งเป็น “ความคิดน่ารังเกียจแต่แอบซุ่ม ไม่กล้าเผยชื่อจริง” ใช่สิที่บอก “คนไทยไม่ได้เหยียดคนชาติพันธุ์” เพราะเขารู้ตัวว่าไม่ได้เชื้อแท้กันถ้วนหน้า มีแต่พวกชาติเสือเท่านั้นแหละที่เที่ยวเหยียดคนนั้นคนนี้เหมือนมีปมด้อย

บทความแรกของเสือตัวนี้ที่น้าวาสเอาลง (ไม่ใช่เอาอยู่) มุ่งฟันธนาธรเพื่อให้ นายทางโล่ง ครองเมืองได้นานๆ อ้างอย่างบิดเบี้ยวว่า “ต้องการแจกที่ดินไทยให้กับม้ง” เพื่อแลกเปลี่ยนกับคะแนนเสียง

อันเป็นสิ่งไม่ควรเพราะว่า “ม้งยังขาดปัญญาแห่งยุคสมัยที่ควรจะเป็นอยู่มาก” แจกให้พวกตะหานปัญญาแหลม เจ้าเล่ห์ดีกว่ามั้ย

ไอ้เสือคอลัมนิสต์กองทัพยังสอนด้วยว่า ทางที่ธนาธรควรทำคือ “ต้องไปรายงานตัวตามหมายเรียกของตำรวจ...” และช่วยสนับสนุนรัฐไทย (ของ คสช.) จัดระเบียบต่างๆ นานา ระเบียบชนเผ่า ชาวต่างชาติ วินัยบ้านเมือง ชุมชน และบุคคล

หนักกว่านั้นต้อง “ช่วยเหลือรัฐในการสร้างม้งฉลาดให้เป็นคนมีความรู้/มีปัญญา” ว้าวไอ้เสือของวาสนานี่วิเศษหลาย ทำนองเดียวกับนาย รู้แม่งหมด ไม่รู้แต่แค่ว่ามันผิดหรือถูกเท่านั้นละ

แค่นี้ละวันนี้ ไม่ได้เจ็บคอ แต่อ่านเสืออากาศแล้วคลื่นเหียน