วันพุธ, กรกฎาคม 31, 2562

‘วายวอดมอดม้วย’ เตรียมเก็บขี้เถ้า ประยุทธ์เข้ากำหมด รวมทั้ง #หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ


ตายละวา ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำหมดทุกอย่างทางการบริหารบ้านเมือง เบ็ดเสร็จจริงๆ ยิ่งกว่าครั้งที่แล้ว คราวนี้ควบรัฐมนตรีกลาโหมไม่พอ ล่อ #หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ อีกอย่าง รวมทั้งที่สมุนโพทธนา “จะเข้ามาดูแล ดีเอสไอโดยตรง” ด้วย

ปฏิกิริยาย่อมเกิดทันใด สมบัติ บุญงามอนงค์ โพสต์ว่าเป็น “ข่าวที่ทำให้ข้าพเจ้าช็อคมาก” แล้วเตือนภัยสาธารณชนให้ “เตรียมเก็บขี้เถ้า” กันได้ เศรษฐกิจภายใต้น้ำมือตุ๊ดตู๋ วายวอดมอดม้วย แน่ๆ

หลักฐานมีให้เห็นแล้ว จากทวี้ตของ พิภพ อุดมอิทธิพงศ์ เสริมด้วยภาพเส้นกร๊าฟ “ดัชนีตลาดหุ้นขานรับประยุทธ์” ร่วงเอาๆ จากที่เคย ๑,๗๒๒ ดิ่งลงอย่างต่อเนื่องไปถึง ๑,๗๐๖ แล้ว
 
นั่นยังไม่นับสภาพเศรษฐกิจโดยรวมด้านอื่นๆ ทั้งส่งออก ท่องเที่ยว ค้าปลีก และเกษตร ที่หดตัว เหือดหาย ซบเซา และแห้งกรัง อย่างไม่หยุดยั้งมาแล้วเป็นแรมปี ล่าสุดนี่ก็รับประยุทธ์เข้าคุมเศรษฐกิจเช่นกัน ชาวสบ้านโนนสูง โคราช ต้องจัด บังสุกุล ให้ข้าวที่ยืนต้นตายแก้เคล็ดภัยแล้ง

ชาวบ้านได้นิมนต์พระสงฆ์จำนวน ๑๐ รูป มาสวดมาติกาบังสุกุลให้กับต้นข้าวที่ยืนต้นตาย จากปัญหาภัยแล้งฝนทิ้งช่วงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ พร้อมกับทำบุญให้พระแม่โพสพเทพยดาประจำข้าว ช่วยดลบันดาลให้ฝนฟ้ากลับมาตกต้องตามฤดูกาล ให้ชาวนาสามารถทำการเกษตรได้”

ข่าวเวิ้ร์คพ้อยท์เล่าแจ้ง (https://workpointnews.com/2019/07/30/make-a-rain-request/)

ด้านกลาโหม พอประยุทธ์เข้ากระทรวงเซ่นไหว้เทพยดา ให้เจ้าที่เจ้าทางขานรับด้วยแผ่นดินยุบเสร็จสรรพ ก็เปิดฉากประกาศจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีนใหม่อีกให้ครบ ๓ ลำ พอถูกตั้งข้อสังเกตุว่าประชาชนกำลังจับตาอยู่นะ เพราะเพิ่งจัดซื้อรถถังรุ่นสไตร๊เกอร์ของสหรัฐหลายสิบคันหมาดๆ

หัวหน้ารัฐบาล คสช.๒ ‘snaps’ ดีดใส่นักข่าวทันควัน “ถ้ามีลำเดียวแล้วพอมั้ย แล้วถ้าเรือมันเสียจะทำอย่างไร มันต้องมีเรือที่เอาไว้พักซ่อมบำรุงหมุนเวียนกัน” แหม่คุณเฮีย ประเด็นมันไม่ใช่ต้องมีที่สองที่สามเหมือนมีน้องๆ มาเป็นเพื่อนกัน

ดำน้ำมันไม่ควรแต่แรก ตอนริซื้อก็โดนด่าขรมว่าเอามาไว้งมหอยอ่าวไทยหรือไง ดันซื้อลำแรกจนได้รุ่นที่จีนสร้างให้ไทยลองใช้นั่นละ ระวังอย่าให้เหมือนเรือเหาะอีกแล้วกัน จะอ้าง “มีคณะกรรมการตรวจสอบให้มันโปร่งใส” อย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่จะซื้อมาประดับบารมีและไม่มีความจำเป็น

ส่วนที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน สมุน นักดูดที่ดึงเอา ส.ส.เก่าจากพรรคโน้นพรรคนี้เข้ามาไว้ช่วย สว.ตู่ตั้ง คอยกดโหวตให้รัฐบาล คุยอวดว่าประยุทธ์จะเป็นผู้กำกับดูแลงานด้านบังคับใช้กฎหมายของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอโดยตรงนั้น

เป็นมาตรหมายแห่งการ กำอำนาจอย่างเด็ดขาดของรัฐบาล คสช.๒ โดยไม่ต้องคำนึงว่าที่มาอย่างไร โกงเลือกตั้งไม่เนียนแค่ไหน นอกจากงานไล่ตบหัวชาวบ้านที่คิดต่างเห็นค้านของ คสช. โอนไปให้ กอ.รมน. แล้ว ตัวหัวหน้าเข้าไปกุมดีเอสไอด้วยตัวเอง
 
ด้านออกกฎหมายตามอำเภอใจที่ สนช. เคยเป็นลิ่วล้อบริการ ตอนนี้ผ่องถ่ายทั้งสายโซ่และปลอกคอมายัง สว. ๒๕๐ คน ที่ ไอลอว์ บอกว่า “จากการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาก็สะท้อนให้เห็นความเป็น 'เอกภาพ' ของ ส.ว. ที่ไม่มีการแตกแถว”

สว.ตู่ตั้งเหล่านั้นรับงานออกกฎหมายอีกอย่างน้อยๆ ๑๖ ฉบับให้แก่ คสช.๒ ตามที่กำหนดไว้ในนโยบายของรัฐบาลประยุทธ์ ๒ (หน้า ๓๙ ภาคผนวก ๑) นอกเหนือจากเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สิน ชีวภาพ ภูมิอากาศ ประมง และชาติพันธุ์ แล้ว

ยังมีกฎหมายเกี่ยวกับการใช้อำนาจ การบังคับต่างๆ ต่อประชาชน ได้แก่ แก้ไขเพิ่มเติมวิธีพิจารณาความอาญา ป้องกันอาชญากรรมภาคประชาชน กฎหมายว่าด้วยความยุติธรรมชุมชน จัดตั้งและกำหนดวิธีพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อม และปฏิรูประบบราชการ

ซึ่ง สว.ตู่ตั้งได้รับมอบหมายให้ผลิตหลักเกณฑ์ สืบทอดอำนาจ คสช. ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าที่ สนช.เคยบริการ ทั้งนี้เพราะ (ผลงาน กรธ.ตู่สั่ง –อันนี้ มีชัย ฤชุพันธุ์ ยืนยัน) รัฐธรรมนูญ ๖๐ มาตรา ๒๗๐ วรรค ๒ และ ๓ กำหนด ช่องทางพิเศษไว้ให้

“ว่าร่างพระราชบัญญัติที่ตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศ ให้เสนอและพิจารณาในที่ประชุมร่วมกันของสองสภา หรือ ส.ส. ร่วมกับ ส.ว.” โดยที่ “นอกจากนี้ หาก ส.ส. หรือ ส.ว. เห็นว่าร่างกฎหมายฉบับอื่นใดเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปประเทศ

ก็สามารถเข้าชื่อกันโดยใช้สมาชิกสภาไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๕ ของแต่ละสภา เท่ากับ ส.ส. ๑๐๐ คน หรือ ส.ว. ๕๐ คน เสนอต่อประธานรัฐสภาให้วินิจฉัย” ได้อีก กลกรรมเช่นนี้ ไอลอว์เขาเรียกวิธีการ ลักไก่

นี่ขนาดรัฐบาลใหม่ยังไม่ได้ลงมือ ปกครองจริงจังเต็มที่ เพียงแค่ต่อเนื่องบางอย่างจากรัฐบาลที่แล้ว เอาเวลาไปทำเรื่องพิธีกรรมและ สำรองรับปฏิบัติการซัลโวเสียมาก แต่ละวัน แต่ละคนคืบคลานแสดงออกถึงอาการ เบ็ดเสร็จ และ หักหาญ ที่จะมาถึงในไม่ช้า

บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์... พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวปฏิญาณตนในฐานะนายกรัฐมนตรีไม่สมบูรณ์ตามรัฐธรรมนูญ ตัดถ้อยคำสำคัญอันเป็นหัวใจของการปฏิญาณตนว่า “ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” ไป





[ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวปฏิญาณตนในฐานะนายกรัฐมนตรีไม่สมบูรณ์ตามรัฐธรรมนูญ ]

ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายในวันที่ 25 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ผมได้หยิบยกประเด็นเรื่องการปฏิญาณตนของ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นอภิปราย เพราะเห็นว่าเป็นประเด็นสำคัญ และส่งผลต่อความสมบูรณ์ของการปฏิญาณตน อันอาจทำให้คณะรัฐมนตรียังไม่สามารถเข้าทำหน้าที่ได้

ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าในวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 ข่าวพระราชสำนักได้เผยแพร่คลิปที่ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้นำรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ก่อนเข้ารับหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 โดยพล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้กล่าวนำการปฏิญาณว่า

“ข้าพระพุทธเจ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนตลอดไป”

ในขณะที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 161 บัญญัติว่า ก่อนเข้ารับหน้าที่ รัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้

“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”

นั่นคือ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวคำว่า “ตลอดไป” เพิ่มเข้ามา และไม่กล่าวคำว่า “ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”

รัฐธรรมนูญกำหนดให้บรรดาบุคคลที่ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญทั้งหลายต้องปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา รัฐมนตรี ผู้พิพากษา ตุลาการ องคมนตรี ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ โดยในกรณีของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาให้กล่าวปฏิญาณในที่ประชุมแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก ในกรณีของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ให้กล่าวปฏิญาณตนในที่ประชุมรัฐสภา และในกรณีขององคมนตรี รัฐมนตรี ผู้พิพากษาและตุลาการ ต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์

ความข้อนี้ย่อมแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการปฏิญาณตนในสองประการ

1. การปฏิญาณตนคือเงื่อนไขบังคับก่อนเข้ารับหน้าที่
บุคคลผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญต่างๆ ไม่อาจเข้ารับหน้าที่ได้จนกว่าจะมีการปฏิญาณ เว้นแต่กรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้ซึ่งต้องถวายสัตย์ปฏิญาณปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 24 วรรคสอง

พูดง่ายๆ ก็คือหากไม่มีการปฏิญาณ ก็ไม่มีการเข้ารับหน้าที่
หากต้องการเข้ารับหน้าที่ ก็ต้องปฏิญาณ ในนัยนี้การปฏิญาณตนจึงเป็น “เงื่อนไขบังคับก่อนเข้ารับหน้าที่” นั่นเอง สมดังที่ Talleyrand นักการเมือง-นักการทูตชาวฝรั่งเศส ผู้ซึ่งเป็นรัฐมนตรีที่ผ่านการปฏิญาณ 14 ครั้ง อยู่ในอำนาจมาหลายรัฐบาล หลายระบอบ เคยกล่าวเปรียบเทียบว่า “การปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่งก็เสมือนการเข้าชมละครก็ต้องมีบัตรเข้าโรงละครเสียก่อน”

2. การปฏิญาณตนคือการยืนยันหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ

ในการปฏิญาณของบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญต่างๆ รัฐธรรมนูญได้กำหนดถ้อยคำที่ต้องปฏิญาณไว้ โดยทิ้งท้ายด้วยถ้อยคำว่า “ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” ด้วยกันทั้งหมดทุกองค์กร

นั่นแสดงให้เห็นว่าถ้อยคำในส่วนนี้เป็นหัวใจสำคัญของการปฏิญาณ เพื่อยืนยันว่าบุคคลที่ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญทั้งหมด ต้องอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ต้องเคารพรัฐธรรมนูญ ต้องรักษารัฐธรรมนูญ และต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ

ในนัยนี้ รัฐธรรมนูญ ก็คือ กฎหมายสูงสุดนั่นเอง

เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏในข่าวพระราชสำนักว่า พล.อ.ประยุทธ์กล่าวนำถวายสัตย์ปฏิญาณโดยขาดถ้อยคำ “ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” ไป เช่นนี้ผลของการปฏิญาณที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ดังกล่าว จะส่งผลอย่างไร?

ในอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยมีปัญหาการกล่าวปฏิญาณตนไม่ครบถ้วน จึงยังไม่ทราบแนวบรรทัดฐาน อย่างไรก็ตาม ในต่างประเทศ เคยเกิดกรณีการปฏิญาณไม่ครบถ้วนมาแล้ว กรณีล่าสุดก็คือ บารัค โอบามา (Barack Obama) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 44 เคยกล่าวปฏิญาณตนไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกเมื่อปี ค.ศ. 2009

รัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกากำหนดให้ปฏิญาณว่า “I do solemnly swear that I will faithfully execute the office of President of the United States and will to the best of my ability preserve, protect, and defend the Constitution of the United States”.

แต่ในวันที่ 20 มกราคม 2009 จอห์น โรเบิร์ต (John Roberts) ประธานสูงสุดได้กล่าวนำการปฏิญาณให้แก่โอบามากล่าวตามว่า “I will execute the office of president to the United States faithfully...” โดยสลับเอาคำว่า “faithfully” ไปไว้ข้างหลังคำว่า “the United States”

ในวันรุ่งขึ้นโอบามาจึงได้กล่าวปฏิญาณซ่อมใหม่อีกครั้ง
จะเห็นได้ว่า กรณีของโอบามาเป็นการกล่าวถ้อยคำครบถ้วน เพียงแต่มีการสลับตำแหน่งของคำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น เพื่อจัดการแก้ไขปัญหาความไม่สมบูรณ์ของการปฏิญาณ โอบามาและโรเบิร์ตก็รีบจัดการแก้ไขด้วยการปฏิญาณซ่อมใหม่อีกครั้งทันที

ในขณะที่การปฏิญาณตนของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขาดถ้อยคำสำคัญอันเป็นหัวใจของการปฏิญาณตนว่า “ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” ไป

เช่นนี้แล้ว จะส่งผลทางกฎหมายอย่างไร?

จะถือได้ว่า การปฏิญาณเป็นการผิดหลงเล็กน้อย สามารถปฏิญาณซ่อมได้?

หรือ การปฏิญาณผิดพลาดบกพร่องในเรื่องสำคัญ จนอาจทำให้การปฏิญาณเป็นโมฆะ อันทำให้คณะรัฐมนตรียังเข้ารับหน้าที่ไม่ได้?

ที่แน่ๆ เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ถวายสัตย์ปฏิญาณคำว่า “ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” ออกมาเช่นนี้ อาจทำให้ประชาชนตั้งข้อสงสัยได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์กระทำการละเมิดรัฐธรรมนูญตามมาตรา 161 หรือไม่? และพร้อมที่จะไม่รักษาไว้และไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญทุกประการใช่หรือไม่?

แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวนำการปฏิญาณผิดพลาด ด้วยความเผอเรอ ผิดหลง หรือจงใจเว้นคำว่า “ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” กันแน่?

จะว่าผิดหลง ก็คงไม่น่าใช่ เพราะภาพจากคลิปข่าวในพระราชสำนักจะเห็นได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ถือกระดาษอ่าน ไม่ได้กล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณสดแบบไม่มีโพย หรือในโพย เขียนถ้อยคำให้ผิด ไม่ตรงกับถ้อยคำตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161

เมื่อครั้ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณตอนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี พ.ศ. 2557 ก็กล่าวถ้อยคำครบถ้วนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด แล้วทำไมคราวนี้ จึงตกคำว่า “ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” ไป

ทั้งหมดนี้ไม่มีใครรู้เจตนาของ พล.อ.ประยุทธ์ได้ ไม่มีใครรู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ คิดอะไรอยู่ในใจ นอกจากตัว พล.อ.ประยุทธ์แต่เพียงผู้เดียว


Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล
.


เพื่อไทยผนึกอนาคตใหม่ซัด "ประยุทธ์"แถลงนโยบายผิดกฎหมาย ชงศาลรัฐธรรมนูญเชือด



Overview - ประยุทธ์อ่วม เพื่อไทยซัดแถลงนโยบายผิดกฎหมาย ชงศาลรัฐธรรมนูญเชือด




VOICE TV
Published on Jul 30, 2019
.


ฟังกันชัดๆจาก "อ.สุนัย จุลพงศธร" เผย "อ.ปวิน" ถูกบุกทำร้าย ถึงห้องพัก 😱 แต่ปลอดภัยดี


ชมคลิป พิชัย แฉ ถูก คสช. ดำเนินดดี หลังจากไม่ยอมร่วมพรรคพลังประชารัฐตามคำเชิญ พนันได้เลยว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้เละแน่ ขนาดสมคิดยังตั้งใจโยนขี้ให้บิ๊กตู่







พิชัย เผย ถูก คสช. ดำเนินดคีเป็นชุด หลังปฏิเสธไม่เข้าร่วมพลังประชารัฐ


30 กรกฎาคม 2562
Bright TV


พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตมือเศรษฐกิจแห่งพรรคเพื่อไทย เปิดเผยข้อมูล ว่าเคยได้รับการติดต่อจากพรรคการเมืองพรรคหนึ่งฝ่ายรัฐบาลตั้งแต่ปี 2560 ให้มาร่วมทำงาน เนื่องจากเห็นว่า นายพิชัย มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก โดยได้มีนายทหารนายหนึ่งประสานงานมายังตนเอง ว่าอยากให้ไปร่วมสร้างพรรค ที่ต่อมานั้นก็คือพรรค พลังประชารัฐ นั่นเอง

นายพิชัยเล่าว่า ในอดีตนั้น เคยถูก คสช. เรียกไปปรับทัศนคติ 8-9 ครั้ง และส่วนใหญ่ก็จะเป็นการให้ข้อมูลในเรื่องของเศรษฐกิจ หรือ การห้ามตนเองดำเนินกิจกรรมทางการเมือง และ ในครั้งหลังสุดที่ถูกเรียกตัวไปนั้น ก็มีบุคคลท่านหนึ่ง มาทาบทามให้ไปอยู่พรรคทหารที่จะเชียร์ให้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และยังได้บอกอีกว่า พอเอกประยุทธ์ ชื่นชมคุณพิชัย อยากให้มาร่วมงานด้วยกัน ซึ่งนายพิชัย ได้ปฏิเสธไป แต่หลังจากที่ปฏิเสธไปแล้ว ที่น่าตกใจก็คือ ตนเองนั้น ถูก คสช. ดำเนินคดีอย่างต่อเนื่อง 3-4 ครั้ง ถือเป็นการข่มขู่ หรือไม่
...







“คนทั่วไปจะมองคนหูหนวกว่าเป็นคนใบ้ทำอะไรก็ไม่ได้” “ผมอยากให้ปรับทัศนคติ ความเข้าใจใหม่... ไม่ว่าคนหูหนวกหรือหูดีก็ทำทุกอย่างได้เท่าเทียมกัน“





เสียงที่คุณ...อาจไม่เคยได้ยิน

Bottom Line
Published on Jul 30, 2019


“คนทั่วไปจะมองคนหูหนวกว่าเป็นคนใบ้ทำอะไรก็ไม่ได้” 

“ผมอยากให้ปรับทัศนคติ ความเข้าใจใหม่ ไม่อยากให้ใครใช้คำว่าใบ้ แล้วก็อยากให้เข้าใจว่า ไม่ว่าคนหูหนวกหรือหูดีก็ทำทุกอย่างได้เท่าเทียมกัน“ 

ประเทศไทยมีผู้พิการราว 2 ล้านคน ร้อยละ 18 เป็นคนหูหนวก ที่สำคัญ มีคนพิการวัยทำงานอีกราว 3.3 แสนคนที่ไม่มีงานทำ . เพราะสังคมเต็มไปด้วยความหลากหลาย ให้เราเรียนรู้เพื่ออยู่ร่วมกัน 

กิจกรรม "เรียนด้วยกัน" จึงเกิดขึ้นเพื่อเปิดพื้นที่ให้นักศึกษาหูหนวกจากวิทยาลัยราชสุดามาเรียนร่วมกับเพื่อนจิตอาสารวม 20 คน 

จนออกมาเป็น ห้องเรียนกราฟิกดีไซน์ และงาน Final Project นิทรรศการ See Scenes ที่จัดแสดงระหว่างวันที่ 23 กรกฎาคม - 4 สิงหาคม 2562 ชั้น 4 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร 

ยังมีบางคำพูดที่พวกเขารอที่จะบอกให้คุณฟังผ่านคลิปนี้ 

เรียบเรียง: Bottom Line 
ภาพกิจกรรม: วิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล Ratchasuda College Mahidol University 
วิดีโอ: Bottom Line 


ข้อเสนอแนะปราบโจรใต้ที่น่าลอง





แผนปล้นปี 54 สุมหัวคิดปี 53 ?




\


วันอังคาร, กรกฎาคม 30, 2562

พอตูบโทษคนจนไม่ช่วยจ่ายภาษี สมุนที่ 'ทีดีอาร์ไอ' แนะถอนขนห่าน เก็บเพิ่มค่า 'แว้ต' ทันใด

ถ้าจะให้คิดเข้าข้างคนไม่มี ตังค์ ข้อเสนอนักวิชาการ ทีดีอาร์ไอให้ขยายฐานภาษีเก็บเพิ่มค่า แว้ต แนะ ถอนขนห่าน นี่ ขี้ครอกเผด็จการขนานแท้

เริ่มต้นทำเนียน “แนวทางแรกที่อยากจะให้เกิดขึ้นแต่อาจจะเป็นไปได้ยากทางการเมือง คือการเก็บภาษีจากคนรวยมากขึ้น” ก็เลยยกไป เอาง่ายๆ ใช้วิธี ถอนขนห่านแทน อ้างญี่ปุ่นทำแล้ว ปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไปเป็น ๑๐ เปอร์เซ็นต์

ที่งี้คิดเอาอย่างยุ่น เรื่องอื่นน่าเอาอย่างตั้งเยอะไม่เคยคิดถึงกัน แถมไม่ฟังอีร้าค่าอีรมว่าฐานผู้เสียภาษีมันต่างกัน ต้องขอนุญาตนักวิชาการอาวุโส นณริฏ พิศลยบุตร ให้ไปฟังน้าถึก (Atukkit Sawangsuk) เขาหน่อย

“ขึ้น VAT ไม่กระทบคนจนเพราะมีบัตรคนจนคุ้มครอง ถามสิ แรงงานขั้นต่ำค่าแรงวันละ ๓๒๕ บาท ได้บัตรคนจนหรือเปล่า คนมีบัตรคนจนจำนวนมาก กลับเป็นคนมีรายได้ที่อยู่นอกระบบภาษี” ใช่เลย

แต่เจ้าประคุณทีดีอาร์ไอบอก “ขณะนี้รัฐบาลมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยอยู่แล้ว” เขาว่าจะช่วยได้ถ้าปรับเพิ่มแว้ตมากกว่า ๗ เปอร์เซ็นต์ที่เป็นอยู่ เพราะ “อยากให้การจัดเก็บมีประสิทธิภาพมากขึ้นและครอบคลุมมากขึ้น”

แต่ภาษีคนรวยอย่างภาษีรถยนต์ไรบ้าง เรือย้อร์ช (จอดขึ้นคาน) บ้างอย่างนี้ “มีการจัดเก็บอยู่แล้ว และขณะนี้มีการเก็บเพิ่มภาษีความหวาน ภาษีความเค็มมาก” อีกด้วย “ถือเป็นแนวทางที่ดี” มิน่าอธึกกิตถึงต้องจวกว่า “งี่เง่าปานนี้”
 
มาดูที่ พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ เขียนถึงเรื่องนี้หน่อย เขาเป็นนักเศรษฐศาสตร์สอนอยู่ ม.แถวท่าพระจันทร์ พาดพิงกรณีนายตอ บ้วนขี้เลื่อยออกมาเป็นเสียง “ภาษีรายได้บุคคลธรรมดาสุทธิได้มาแค่ ๑๑% มีคนเสียจริงแค่ ๔% สี่ล้านคนเสียภาษีน่ะ ทั้งหมดเนี่ยอะไรที่เป็นของคนจน เราไม่ได้ภาษีหรอกครับ”

สลิ่ม จะเข้าใจกันอย่างไรไม่ทราบ แต่คนทั่วไป ใครๆ ที่ไหนรู้ว่านายกฯ มั่ว นี่มันเรื่องเก่าถกกันตั้งแต่ปีมะโว้แล้วได้ข้อสรุปแน่นอนว่า เมื่อปี ๕๗ รายได้ภาษี ๖๑ เปอร์เซ็นต์มาจาก “ภาษีบริโภค ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต อากรขาเข้า-ขาออก ค่าธรรมเนียม ฯลฯ”

ที่คนไทย ทุกคน ต้องจ่ายกันพร้อมหน้าอย่างเท่าเทียมอยู่แล้ว พูดได้อย่างไร “คนจนไม่เสียภาษี...ประชุมกับข้าราชการกระทรวงคลังสารพัดเรื่องมาห้าปี โดยเฉพาะคือ พรบ.งบประมาณที่ผ่านครม.ทุกปี ไม่เคยมีข้อมูลภาษีประเทศผ่านสายตาเข้ามาบ้างเลยหรือ”

ไม่เท่านั้น ลูกหมอเหวงนพ.สลักธรรม โตจิราการ อธิบายให้เห็นแจ้ง “จริงๆแล้ว ถ้าเอาเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มมาดู เทียบกันแล้วคนจนเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสูงกว่าคนรวยนะครับ” เขาคิดเป็นตัวเลขเทียบเคียงได้ว่า
 
คนจนมีรายได้ ๑ หมื่น รายจ่าย ๖ พัน เท่ากับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม “0.6×0.07×100 =4.2% ของรายได้ทั้งหมดของเขา” ขณะที่คนรวยรายได้ ๑ แสน รายจ่าย ๔ หมื่น เท่ากับเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม “0.4×0.07×100 = 2.8%” มันต่างกันตรงนี้

“อย่าลืมว่าคนรวย มีแนวโน้มที่จะใช้ทรัพยากรของสังคมสูงกว่าคนจน” นพ.สลักธรรมเพิ่มเติมด้วยตัวอย่าง ๒ กรณี เช่นการใช้ถนนคนมีเงินซื้อรถส่วนตัวย่อมรับบริการสาธารณูปโภคมากกว่าคนจนที่ใช้รถเมล์-รถทัวร์ หรือเรื่องน้ำ เจ้าของโรงงานย่อมได้ประโยชน์จาก น้ำดิบที่ได้ฟรีจากระบบชลประทานมากกว่าชาวบ้านริมคลอง

ความคิดที่ว่าปัญหาประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีอยู่ที่ ฐานแคบอย่างที่นักวิชาการทีดีอาร์ไออ้าง นักวิชาการมหาวิทยาลัยรังสิตอย่าง อนุสรณ์ ธรรมใจ ก็มองเห็นเช่นกัน แต่เขา เข้าถึงและ ‘approaches’ ปัญหาต่างไป

แทนที่จะมองจากมุมของ รัฐบาลชุดนี้ แบบนายนณริฏ ดร.อนุสรณ์กลับมองว่าในเมื่อฐานภาษีแคบ “ผู้มีรายได้สูงหรือมีฐานะร่ำรวยได้ประโยชน์จากสังคมและระบบเศรษฐกิจมาก ย่อมมีหน้าที่ต้องสละรายได้ให้แก่สังคมในสัดส่วนที่สูงกว่าผู้มีรายได้น้อย”

มิหนำซ้ำ โดยสัดส่วนรายได้ “บริษัทจำกัดขนาดกลางและขนาดเล็กต้องจ่ายภาษีมากกว่าบริษัทขนาดใหญ่ เพราะรัฐให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทขนาดใหญ่มากกว่า” ดังนั้นการจัดเก็บภาษีจึงควรเป็นไป “ตามหลักผลประโยชน์”


แล้วยัง “คิดว่าการบังคับเก็บภาษีจากผู้ที่ไม่ได้ประโยชน์ไม่น่าจะเป็นธรรม” ด้วย ดร.อนุสรณ์มีข้อเสนอน่าฟังอย่างยิ่งต่อการที่รัฐบาล คสช.๑ ต่อเนื่องไปยัง คสช.๒ กำหนดโครงการขนาดยักษ์ อีอีซีหรือระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก

ที่ทีมประยุทธ์ ๑ ถลุงเงินคงคลังไปแล้วจำนวนมหาศาล และจะถลุงต่อในทีมประยุทธ์ ๒ อีกมหาศาล (ถ้าคลังยังมีพอให้ตักตวง) เป็นการอัดฉีดขนานใหญ่ที่บรรดาเจ้าสัวอุตสาหกรรมและบริการถูกใจยิ่งนัก เพราะทำให้กิจการอสังหาริมทรัพย์ของเจ้าสัว บูมอย่างหาครั้งใดเทียบได้
 
ดร.อนุสรณ์แนะให้ขยายฐานภาษีไปเก็บกับทรัพย์สิน ลาภลอยต่อ “จากบุคคลหรือนิติบุคคล ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินหรือครอบครองที่ดิน ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของห้องชุดที่ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์” เช่นที่กำลังจะผุดในพื้นที่อีอีซีอย่างบางคล้า บางน้ำเปรี้ยว

เริ่มแล้ว... ประชุมจัดตั้ง คณะกรรมการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ภาคประชาชน




ประชุมจัดตั้ง
คณะกรรมการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ภาคประชาชน
... เริ่มมีการเดินสายพูดคุย หาแนวร่วม
วางแนวทาง

ร่วมติดตามกันได้
และร่วมกันสร้างรัฐธรรมนูญ
ที่มาจากภาคประชาชน อย่างแท้จริง

เปิดความรู้ เจ้าคุณพระ หรือ พระสนมเอก มีการสถาปนาครั้งแรกเมื่อปี 2464 ปัจจุบัน ในหลวง รัชกาลที่ 10 โปรดเกล้าฯ สถาปนา เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี





เปิดความรู้ยศ เจ้าคุณพระ หรือ พระสนมเอก หลังการสถาปนา เจ้าคุณพระสินีนาฏ


เปิดความรู้ เจ้าคุณพระ หรือ พระสนมเอก มีการสถาปนาครั้งแรกเมื่อปี 2464 ปัจจุบัน ในหลวง รัชกาลที่ 10 โปรดเกล้าฯ สถาปนา เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี


วันที่ 28 กรกฎาคม 2562 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สถาปนา พลตรีหญิง ท่านผู้หญิงสินีนาฏ วงศ์วชิราภักดิ์ ขึ้นเป็น เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี ตามที่จารึกลงในสุพรรณบัฏ

ทั้งนี้ เฟซบุ๊ก คําไทย ได้มีการเผยข้อมูลว่า ตำแหน่ง "เจ้าคุณพระ" หรือ "Royal Noble Consort" คือตำแหน่งพระสนมเอกขั้นหนึ่ง สูงกว่าตำแหน่งเจ้าคุณจอมมารดา และเจ้าจอมมารดา สถาปนาครั้งแรกเมื่อปี 2464 เมื่อ 98 ปีก่อน รัชกาลที่ 6 สถาปนา "เจ้าคุณจอมมารดาแพ" ขึ้นเป็น "เจ้าคุณพระประยุรวงศ์"





ลำดับพระภรรยาเจ้า

1. พระอัครมเหสี
- สมเด็จพระบรมราชินีนาถ
- สมเด็จพระบรมราชินี
- สมเด็จพระราชินี
- สมเด็จพระบรมราชเทวี
- สมเด็จพระอัครราชเทวี

2. พระมเหสี
- พระนางเจ้า พระวรราชเทวี

3. พระราชเทวี
- พระนางเจ้า พระราชเทวี

4. พระนางเธอ

5. พระอรรคชายาเธอ

6. พระราชชายา
- พระวรราชชายา
- พระราชชายา

7. พระสนมเอก
- เจ้าคุณพระ
- เจ้าคุณจอมมารดา
- เจ้าจอมพระ

8. พระสนม
- เจ้าจอมมารดา
- เจ้าจอม
- จอมมารดา






เรื่องที่คุณอาจสนใจ

รู้จัก เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ เจ้าคุณพระองค์แรกแห่งรัตนโกสินทร์ ก่อน เจ้าคุณพระสินีนาฏ

https://hilight.kapook.com/view/191390#cxrecs_s


ข่าวไทยในสื่อนอก : Haircut bearing Thai king... A show of love, or a royal insult?



A show of love, or a royal insult? Haircut bearing Thai king’s portrait divides fans on monarch’s 67th birthday


  • A man who got the king’s face shaved onto the back of his head has drawn praise from some for the show of love, but criticism from others, who view it as disrespectful
  • Ultra-royalists in Thailand are known for extreme displays of devotion to the monarch, seen as a semidivine figure




Mitree Chitinunda gets a haircut to mark the Thai king’s 67th birthday. Photo: Reuters

Source: South China Morning Post
28 July, 2019


On one side of his head, it reads “Long Live”, on the other “The King”. And on the back is a painstakingly snipped portrait of Thailand’s
King Maha Vajiralongkorn.

Devoted monarchist Mitree Mike Chitinunda decided to mark the king’s 67th birthday on Sunday with a haircut that has drawn praise from some royalists but criticism from others, who view it as disrespectful.

“Some people think I do it to show off, but that’s not true. I just do it to show my love for the king,” said Mitree, 47.





Ultra-royalists in
Thailand are known for extreme displays of devotion to the monarch, seen as a semidivine figure.

But in nearly three years on the throne, King Vajiralongkorn has not quite acquired the mass affection that his father, King Bhumibol Adulyadej, gained during seven decades of rule before his death in 2016.

Mitree, who sports a crimson beard, has had special haircuts before – including one of Thailand’s current prime minister and former junta leader Prayuth Chan-ocha.





The haircuts made him popular at the hospital where he works as a radiographer and that helps put patients at ease, he said.

The latest haircut was planned carefully with barber Vorajit Chantanon, who is also a strongly committed royalist and marked the king’s birthday by giving free haircuts.

Mitree sat with a portrait of the king in his hands for the barber to follow.

The haircut took more than three hours. To maintain the picture requires further snipping every few days.





Pictures of the haircut posted on Facebook drew a mixture of praise and condemnation.

“Some people have been pleased with it and said ‘Long Live the King’. Some people have said it’s not appropriate to have the king’s portrait there,” Vorajit said. “But we just want to express our loyalty.”

Special haircuts are a regular feature for Vorajit, but the Buddha and dragons are more usual subjects.

To continue reading this article:



วิธีสู้กับแก๊สน้ำตาของคนฮ่องกง ดูไว้เผื่อซักวัน




'สมศักดิ์ เจียมฯ' เสนอ 7 ข้อ ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์





'สมศักดิ์ เจียมฯ' เสนอ 7 ข้อ ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์


2019-07-29
ประชาไท


สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล โพสต์ 7 ข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมยืนยันว่ามาตการเหล่านี้ วางอยู่บนพื้นฐานที่ถูกกฎหมาย เช่น 1. ยกเลิกรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 2. ยกเลิก ม.112 ฯลฯ


29 ก.ค.2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (28 ก.ค.62) สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ต่างประเทศนั้น โพสต์ 7 ข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมยืนยันว่ามาตการเหล่านี้ วางอยู่บนพื้นฐานที่ถูกกฎหมาย

สำหรับ 7 ข้อที่สมศักดิ์เสนอนั้นประกอบด้วย 
1. ยกเลิกรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 เพิ่มเติมมาตราในลักษณะเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 (สภาฯพิจารณาความผิดของกษัตริย์) 

2. ยกเลิก ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 

3. ยกเลิก พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2561 แบ่งทรัพย์สินออกเป็น 2 ส่วนชัดเจน (ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลัง) 

4. ยกเลิก ส่วนราชการในพระองค์ หน่วยงานที่ขาดความจำเป็นให้ยกเลิก (องคมนตรี), หน่วยงานที่มีหน้าที่ (หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์, ฯลฯ) ให้ย้ายไปสังกัดหน่วยงานอื่น

5. ยกเลิกการบริจาค/รับบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลทั้งหมด 

6. ยกเลิกพระราชอำนาจในการแสดงความเห็นการทางการเมือง และ 

7. ยกเลิกการประชาสัมพันธ์ด้านเดียวทั้งหมด การให้การศึกษาแบบด้านเดียวเกี่ยวกับสถาบันฯทั้งหมด

ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญมาตรา 6 ระบุว่า "องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้" ส่วนประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น บัญญัติไว้ว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี"

หากย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน สมศักดิ์ เคยเผยแพร่ข้อเสนอ 8 ข้อเพื่อการปฏิริูปฯ มาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นแนวเดียวกัน แต่เปลี่ยนจาก มาตรา 6 ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เป็นมาตรา 8 ในรัฐธรรมนูญปี 50 รวมทั้ง เสนอยกเลิก พ.ร.บ. จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ 2491 และยกเลิก พระราชอำนาจ ในเรื่อง โครงการหลวง ทั้งหมด เป็นต้น

ในครั้งนั้น ผู้จัดการออนไลน์ โดย คำนูณ สิทธิสมาน รายงานด้วยว่า สมศักดิ์ ระบุไว้ตอนต้นว่าถ้าปฏิบัติตาม 8 ข้อนี้ ผลลัพธ์ไม่ใช่การล้มสถาบันกษัตริย์ แต่ทำให้สถาบันมีลักษณะเป็นสถาบันสมัยใหม่ ในลักษณะไม่ต่างจากยุโรป เช่น สวีเดน เนเธอร์แลนด์

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาประชาไทได้นำเสนอข่าวว่า โพสต์ของ สมศักดิ์ เมื่อ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา เกี่ยวกับบันทึก 'สัญญา ธรรมศักดิ์' ไม่สามารถเข้าถึงได้ในประเทศไทยแล้ว ขณะที่ต่างประเทศ อย่าง ฝรั่งเศส อังกฤษ หรือสวีเดน ยังสามารถเห็นได้นั้น จากการตรวจสอบสมศักดิ์ไม่ได้รับจดหมายชี้แจงเหมือนครั้งที่โดนบล็อกการเข้าถึงในลักษณะเดียวกันเมื่อ 4 พ.ค. 2560 ที่มีจดหมายแจ้งมาจากเฟสบุ๊คว่า ขอให้จำกัดการเข้าถึงกระทู้ของตนกระทู้หนึ่ง จดหมายระบุว่า กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ส่งหมายศาลซึ่งออกโดยผู้พิพากษาทัศนีย์ ลีลาภร และผู้พิพากษาสมยศ กอไพศาล ศาลอาญาแห่งประเทศไทย ระบุว่าโพสต์บนเฟสบุ๊คต่อไปนี้ของคุณ ละเมิดมาตรา 14 (3) แห่ง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 (2007) พร้อมระบุว่า เมื่อบรรดารัฐบาลเชื่อว่า บางอย่างบนอินเทอร์เน็ตละเมิดกฎหมายของประเทศของเขา พวกเขาอาจจะติดต่อกับบริษัทเช่น เฟสบุ๊ค และขอให้เราจำกัดการเข้าถึงเนื้อหานั้น เราได้พิจารณาทบทวนคำขอของรัฐบาลเหล่านั้น ตามระเบียบของเราและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

What a shame! : A bottle of insulin costs more than $300 in the U.S. but only $36 in Canada.



เทปมันบันทึกไว้... นายกว่า "ภาษีมาจากไหน ภาษีรายได้บุคคลธรรมดาสุทธิได้มาแค่11%มีคนเสียจริงแค่4%สี่ล้านคนเสียภาษีน่ะ ทั้งหมดเนี่ยอะไรที่เป็นของคนจน เราไม่ได้ภาษีหรอกครับ รายได้ประเทศมาอย่างนี้"




เวียดนามแซงไทยกลายเป็นประเทศที่นวัตกรรมเหนือกว่า ด้านบรรยากาศทางธุรกิจ เวียดนามดีกว่า ด้านการสร้างสรรค์ผลงาน เวียดนามก็ดีกว่า





เวียดนามแซงไทยกลายเป็นประเทศที่นวัตกรรมเหนือกว่า


28 ก.ค. 2562
โพสต์ทูเดย์


เทียบหมัดต่อหมัดระหว่าง 2 ประเทศ ทำไมเพื่อนบ้านถึงไต่อันดับเร็วขนาดนี้

องค์การทรัพย์สินทางปัญญาแห่งโลก (WIPO) ซึ่งเป็นองค์การเฉพาะทางของสหประชาชาติ ทำการจัดอันดับดัชนีวัตกรรมโลก หรือ Global Innovation Index (GII) ประจำปี 2019 ปรากฎว่าประเทศที่มีผลงานด้านนวัตกรรมอันดับที่ 1 คือประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้คะแนน 67.24 อันดับที่ 2 คือสวีเดน และอันดับที่ 3 คือสหรัฐ สำหรับประเทศในเอเชียที่มีอันดับสูงที่สุดคือสิงคโปร์ได้ไป 58.37 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 8 ของโลก

ที่สำคัญก็คือในปีนี้ เวียดนามกระโดดขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 42 แซงหน้าไทยที่อันดับ 43 นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจปัจจัยใดที่ทำให้เวียดนามก้าวขึ้นมาเหนือไทยในด้านนวัตกรรม ดังนั้นจึงต้องมาเทียบข้อมูลกันแบบหมัดต่อมหมัดเพื่อให้เห็นจุดแข็งของเวียดนามและจุดอ่อนของไทย

เมื่อปี 2018 อันดับของไทยอยู่ที่ 44 ปี 2019 อยู่ที่ 43 ถือว่าดีขึ้นมา 1 อันดับ

บรรยากาศทางธุรกิจเวียดนามดีกว่าไทย โดยเวียดนามมีคะแนน 59.9 ไทยมีคะแนน 52.0

ด้านการศึกษา เวียดนามคะแนนดีกว่าที่ 61.2 ส่วนไทยมีคะแนนที่ 40.6

ด้านการวิจัยและพัฒนา ไทยมีคะแนน 26.4 เวียดนามอยู่ที่เพียง 7.4 เท่านั้น

ด้านทักษะแรงงานของไทยดีกกว่าด้วยคะแนน 32.2 เวียดนามแค่ 22.8

ด้านการผลิตองค์ความรู้และนวัตกรรม เวียดนามเหนือกว่าได้คะแนนรวม 35.6 ไทยได้ไป 31.3

ด้านการสร้างสรรค์ผลงาน ไทยได้ไป 30.0 ส่วนเวียดนามดีกว่าที่ 32.3 คะแนน

จะเห็นได้ว่าด้านโครงสร้างพื้นฐานโดยรวมเวียดนามยังด้อยกว่าไทย ยกเว้นด้านการศึกษา แต่เวียดนามมีคะแนนเด่นด้านการสร้างสรรค์และการผลิตองค์ความรู้ เหตุผลที่มีการปรับขึ้นมาเป็นเพราะเวียดนามเน้นหนักด้านเทคโนโลยีอย่างมาก โดยเปลี่ยนโมเดลการเติบโตมาอยู่ที่ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้ Sacha Wunsch Vincent แห่ง WIPO ผู้ร่วมจัดทำการจัดอันดับ ยกย่องเวียดนามว่าเป็นตัวอย่างของประเทศต่างๆ ในด้านนวัตกรรมในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา


ตามกม. ควีน อังกฤษ ไม่ต้องจ่ายภาษี แต่ในทางปฏิบัติช่วง 30 ปีที่ผ่านมาควีนเสียภาษีรายได้ส่วนบุคคล + ภาษีจากกำไรส่วนต่างจากราคาหลักทรัพย์ (capital gain) ฯลฯ ด้วยความสมัครใจ ของพระองค์เอง - God Save the Queen






The Monarchy has sometimes been described as an expensive institution, with Royal finances shrouded in confusion and secrecy. In reality, the Royal Household is committed to ensuring that public money is spent as wisely and efficiently as possible, and to making Royal finances as transparent and comprehensible as possible.

Each year the Royal Household publishes a summary of Head of State expenditure, together with a full report on Royal public finances. These reports can be downloaded from the Media Centre.

This section provides an outline of how the work of the Monarchy is funded. It includes information on Head of State expenditure, together with information about other aspects of Royal finances.

On 1 April 2012 the arrangements for the funding of The Queen’s Official Duties changed. The new system of funding, referred to as the ‘Sovereign Grant’, replaces the Civil List and the three Grants-in-Aid (for Royal Travel, Communications and Information, and the Maintenance of the Royal Palaces) with a single, consolidated annual grant.

The Sovereign Grant is designed to be a more permanent arrangement than the old Civil List system, which was reign-specific. Funding for the Sovereign Grant comes from a percentage of the profits of the Crown Estate revenue (initially set at 15%). The grant will be reviewed every five years by the Royal Trustees (the Prime Minister, the Chancellor of the Exchequer and the Keeper of the Privy Purse), and annual financial accounts will continue to be prepared and published by the Keeper of the Privy Purse.

The new system provides for the Royal Household to be subject to the same audit scrutiny as other government expenditure, via the National Audit Office and the Public Accounts Committee.

If you would like to find out more, please visit the Treasury’s website.



วันจันทร์, กรกฎาคม 29, 2562

‘เสี้ยม’ แน่ๆ กระแสสลิ่มชื่นชม พิธา-อนุพงษ์


ประเด็น ทิม อนาคตใหม่ จะเป็นกลยุทธ์อะแซหวุ่นกี้ ตีท้ายครัว หรือ ม้าเมืองทรอยให้ฝ่ายประชาธิปไตย ตบ กันเองภายในแล้วขยายออกไปบนถนน จนพวกนิยมเผด็จการนั่งหัวร่อกันท้องแข็งไหม

จะว่าเป็นไปไม่ได้ก็ไม่ชัวร์ เรื่องอย่างนี้ที่เป็นกระแสขึ้นมาต้องเชื่อว่าเพราะ สลิ่ม มีจริง ประหนึ่งสายพันธุ์ที่สืบทอดกันไม่ใช่ด้วยจีนส์ (ภาษาไทยเรียกยีนส์) แต่ด้วยภูมิปัญญาแห่งสัญชาติ ซึมซับโดยวัฒนธรรมและประเพณีของการเอาตัวรอด

เมื่อเกิดอะไรที่ มิดี แก่ตัว ต่อมสันดานจะขับสาร มิร้าย ออกมาปกคลุมตน ผลักสิ่งมิดีใส่ เหยื่อ และเป้าหมาย นี่คือสาเหตุที่อุดมการณ์ประชาธิปไตย และการเคารพในสิทธิเสรีภาพของเพื่อนร่วมชาติ ไม่เคยฝังรากได้สำเร็จในสังคมไทย นับแต่มีการเปลี่ยนแปลงจากสมบูรณาญาสิทธิราชไปสู่ระบอบรัฐธรรมนูญ

เพราะไม่สามารถกลบเกลื่อนความเชื่อเรื่องคนเราไม่เหมือนกันได้ อันนำไปสู่ความลุ่มหลงเรื่องเกิดมาไม่เท่าเทียม อ้างมีสูงต่ำคล้ำเผือก ชาติตระกูลบุญญาธิการ ไปถึงทรัพย์ศฤงคารและการศึกษา ถึงขั้นที่มี ส.ส.ปัดเศษคนหนึ่งเคยหมิ่นว่าบ้านนอกไม่ควรมีสิทธิเสียงเท่าคนกรุง

อธิบายด้วยปรัชญาสลิ่มชั้นสูงต่อการที่ คสช. อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ สว.ตู่ตั้ง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ตามกันออกมาแสดงความชื่นชมต่อการอภิปรายของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อาจไม่ได้เป็นการทะลวงไส้ มุ่งกระแทกกลางโดยตั้งใจ หากแต่มีเจตนา เสี้ยม แน่ๆ
 
แน่นอนว่าสิ่งที่พิธาอภิปรายไม่ว่าจะเป็นกระดุม ๕ เม็ดทางการเกษตร ที่ทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ ทึ่งว่าทำการบ้านมาเยอะ “บางอันผมยังตอบไม่ได้...เรื่องที่ดินเนี่ย...มันเป็นกระดุมเม็ดแรกจริง” คือ “เกษตรกรส่วนใหญ่ยังไม่มีที่ดินทำกิน ซึ่งเป็นผลจากการปล่อยให้นายทุนได้รับสิทธิพิเศษ”

เลยเป็นกระแสจากการปั่นแบบสลิ่มขึ้นมาว่า การอภิปรายของอนุพงษ์ “เป็นเหตุเป็นผล และควบคุมอารณ์ได้ดี” จนเกิดเสียงค้านระงมว่า “อนุพงษ์มีวันนี้ได้เพราะรัฐประหารเข้ามา เป็นคนร้ายลึก” (นี่คงต้องรอถาม สนธิ ลิ้มทองกุล เขาน่าจะรู้ดี)

บ้างเอาไปเปรียบกับ สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ว่า “ภาพพจน์ดีมากและดูหน้าบางกว่าพวก คสช. เยอะเลยแหละ พวกชังหัวหน้า คสช. แต่ดันปลื้มอนุพงษ์นี่เจอสุรยุทธ์อาจจะปีติจนสิ้นสติสมประดี” ทั้งๆ ที่ “ดูไม่มีพิษภัย แต่ที่ไหนได้กินภูเขาเกือบทั้งลูก”

ด้านแพทย์หญิงพรทิพย์นั้นอ้างจากการได้คุยกันแล้วพบว่า “เขาแสดงความนอบน้อม...หนุ่มน้อยแสดงวิถีที่ไม่คาดฝัน...แทบไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็นอัธยาศัยเช่นนี้ในคนรุ่นใหม่” เป็นการ ไม่น่าเชื่อที่ตีความไม่ออกว่าชมหรือด่า หรือผสมผเสสองอย่างไปพร้อมกัน

หมอคุณหญิงผู้เชี่ยวชาญเรื่องแท่งจีที ๒๐๐ และแก๊สน้ำตา แสดงความชื่นชมคุณสมบัติ นักการเมืองคุณภาพรุ่นใหม่...ที่เก่งเช่นนี้ว่า “มีความนอบน้อม ลงเวทีการเมืองแสดงความสามารถ หมดสมัยใช้วิธีดึงอดีตเสียดสีใส่ร้ายโป้ปดมดเท็จ”

พิจารณาเปรียบเทียบจากสิ่งที่หมอคุณหญิงแสดงบทบาท สว.ตู่ตั้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ จี้ปมเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมของ ส.ส.หญิงคนหนึ่งของพรรคอนาคตใหม่ กับการไว้อาลัยประธานองคมนตรีผู้วายชนม์แล้ว การชื่นชมพิธาของเธอไม่ได้ก่อประโยชน์อย่างใดนักกับประชาชนหมู่มาก

ขนาด ซูเปอร์โพลของนพดล กรรณิกา ยังจัดอันดับ ดาวสภาฯ คนรุ่นใหม่ ขวัญใจประชาชนในการอภิปราย ไว้ว่านอกจากพิธาอันดับหนึ่ง แล้วยังมี ปิยบุตร แสงกนกกุล อันดับสอง และ พรรณิการ์ วานิช อันดับสาม ล้วนสังกัดพรรคอนาคตใหม่

ขณะที่ผู้ติดอันดับ ๕ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ซึ่งโด่งดังในทางส่อเสียดเรื่องส่วนตัวฝ่ายตรงข้าม นอกจากเรียกพรรณิการ์ว่า อีช่อ แล้วยังเอ่ยถึงเสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ว่า เสนอหน้าพอมาถึงทิมก็พยายามขุดคุ้ยประเด็นอดีตภรรยาของเขา นักแสดงสาว ต่ายชุติมา ทีปะนาถ
 
จนกระทั่งภูวนาท คุนผลิน นักร้องและนักแสดงต้องออกตัวตำหนิ “วิจารณญาณกับกาละเทศะนั้นสำคัญเหลือเกิน ผู้ปกครองควรชี้แนะว่าอะไรเป็นตัวอย่างที่ดีและไม่ดี พอดีช่วงนี้มีตัวอย่างไม่ดีเยอะนิดนึงนะลูกนะ”


น่าเห็นใจพรรคอนาคตใหม่ที่จะต้องเสียเวลากับการแก้เงื่อนปมไร้สาระ ที่เกิดจากกระแสปั่นของสลิ่มบ่อยๆ ซึ่งจะเมินเฉยเสียเลยก็ไม่ได้ เพราะสังคมไทยยุคที่พยายามย้อนเวลากลับไปยังสมัย เจ้าคุณพระขณะนี้ การโกหกซ้ำซากด้วยเสียงดัง มักจะถูกเหมาเอาว่าเป็นความจริง

พูดออกมาได้





.



เป็นนายกมาเกิน5ปี แล้วอยากเป็นต่อ
แต่ไม่รู้ว่าคนจนเสียภาษีมากกว่า
แล้วจะเป็นไปหาอะไร #ใครอยู่แถวนั้นช่วยถามแทนหน่อย


ไผท ภูธา


ข่าวไทยในสื่อนอก Thai king exempted from tax on some land properties





Thai king exempted from tax on some land properties


JULY 28, 2019
Reuters


BANGKOK (Reuters) - Thailand’s King Maha Vajiralongkorn will be exempt from tax on some of his land property, according to a government announcement.

The king, who marked his 67th birthday on Sunday, has overseen major changes to the way royal affairs are managed since taking the throne in 2016.

The Crown Property Bureau, which manages the multi-billion dollar holdings of the monarchy and controls huge swathes of land in Bangkok, was placed under the king’s direct control in 2017. Its previous tax exempt status was then removed.

But some of the king’s lands and establishments will now be exempt from tax, according to the new legislation published in the Royal Gazette on Friday.

They include lands and establishments that are “used in state affairs, royal affairs, or used by agencies under the king”, the document said.

Properties used in other affairs by the king or members of the royal family, for public interests, or used as religious places will also be tax-free.

Those that do not fit the above descriptions will be tax-free “only in the parts that are used for non-profit purposes”, the document added.

The Crown Property Bureau holds title to 6,560 hectares (16,210 acres) of land in Thailand, with 40,000 rental contracts nationwide, including 17,000 in the capital Bangkok, according to a 2011 biography on Vajiralongkorn’s father, “King Bhumibol, A Life’s Work”.

The Thai king has been listed as the world’s richest monarch. Business Insider estimated his personal wealth at more than $30 billion in 2018.

His father, King Bhumibol, was also listed by Forbes as the world’s richest ruler in 2011.

The government announcement also listed 10 other kinds of land that will not be subject to tax, including unused properties held by state enterprises, empty plots of lands around airport runways, and establishments related to railroads.

Reporting by Bangkok newsroom, editing by Deepa Babington

.

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่กฎกระทรวงกำหนดทรัพย์สินที่ได้รับยกเว้นจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพ.ศ. 2562  อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 6 วรรคหนึ่ง และมาตรา8 (12) แห่งพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้






ที่มา The Bangkok Insight

เอาเลย "โอ๊ค" ทวงคืนความเป็นธรรม แฉเลย !!!





ผมขอใช้สิทธิ์พาดพิงบนพื้นที่เฟสบุ๊คนี้ ถามเรื่องการอนุมัติเงินกู้กรุงไทย ที่นายอุตตมฯ รมว.คลัง ได้แก้ตัวในสภาฯ จากการที่ฝ่ายค้านได้ถามถึงความชอบธรรมในการปล่อยกู้ และนายอุตตมฯได้พยายามโยงมาถึงคดีอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยหนึ่งในนั้นมีคดีที่ผมตกเป็นจำเลยอยู่ด้วย ดังนี้ครับ

1. นายอุตตมฯได้ชี้แจงในสภาว่า ไม่เห็นด้วยกับการปล่อยกู้กรุงไทยตั้งแต่แรก แต่ในคำให้การของตน ไม่เคยมีหลักฐานยืนยันว่า นายอุตตมฯได้เคยคัดค้านไม่ให้ปล่อยเงินกู้โครงการนี้เลย มิหนำซ้ำยังปรากฏหลักฐานว่านายอุตตมฯได้ลงนามอนุมัติเงินกู้ในครั้งนี้ด้วย

คำถาม:
เมื่อไม่เห็นด้วย แล้วนายอุตตมฯ จะเซ็นชื่อลงนาม ทำให้ประเทศชาติเสียหายร่วมหมื่นล้าน ไปหาอะไร? ไหนหล่ะหลักฐานที่อ้างว่าไม่เห็นด้วย นายอุตตมฯนำมาโชว์ให้สังคมได้เห็นได้หรือไม่? หรือว่าเป็นเพียงลมปากเพื่อแก้ตัวเท่านั้น?

2. ข้อเท็จจริงคือ หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 แบงค์ต่างๆเริ่มจะมีมาตรการป้องกันการปล่อยเงินกู้ที่รัดกุมขึ้น โดยแบงค์กรุงไทยได้มีกฏเกณฑ์ว่า การปล่อยเงินกู้ในโครงการขนาดใหญ่ บอร์ดบริหารทั้ง 5 คน จะต้องมีมติเป็นเอกฉันท์ หากมีเพียงคนเดียวคัดค้าน ต่อให้อีก 4 คนลงนามโดยพร้อมเพรียงกัน แบงค์ก็จะปล่อยเงินกู้ไม่ได้ ประเทศชาติก็จะไม่เสียหายแม้แต่บาทเดียว

คำถาม:
มีใครเอาปืน เอารถถัง ไปจ่อคอบังคับให้นายอุตตมฯเซ็นชื่องั้นหรือ? ตามจรรยาบรรณหรือธรรมมาภิบาลที่ดีของคณะกรรมการบริษัทฯนั้น เมื่อไม่เห็นด้วยกับการอนุมัติโครงการ ควรจะปฏิบัติอย่างไร? นายอุตตมฯช่วยตอบสังคม ว่าการลงนามให้รัฐเสียหายร่วมหมื่นล้านครั้งนี้ เป็น Good Governance ของตนหรือไม่?

3. คนที่เป็นบอร์ดอนุมัติเงินหมื่นล้าน ซึ่งไม่ถึง 1% ของเงินหลวงในแต่ละปี ยังรักษาผลประโยชน์ของชาติไม่ได้ มีความเหมาะสมหรือไม่ที่จะให้มาดำรงตำแหน่ง รมว.คลังของประเทศ ที่ต้องรับผิดชอบเงินปีละหลายล้านๆบาท

4. ในสำนวนคดี มีคำว่า “บิ๊กบอส” เข้ามาเกี่ยวข้อง และมีความพยายามโยงมาว่า บิ๊กบอสหมายถึง คุณพ่อผมบ้าง คุณแม่ผมบ้าง ซึ่งในคำพิพากษาที่ออกมา ศาลมิได้รับไว้พิจารณา มีเพียงความเห็นของคนๆเดียวเท่านั้น ซึ่งไม่ได้รับการยอมรับจากเสียงส่วนใหญ่ รับฟังเป็นข้อเท็จจริงไม่ได้

ถ้าบิ๊กบอสหมายถึงหัวหน้าใหญ่ หรือประธานใหญ่ ลองมามองต่างมุม และลิสต์รายชื่อของ ประธานขององค์กรต่างๆที่เกี่ยวข้องกันดูบ้างว่า.....

> ประธานแบงค์กรุงไทย ขณะนั้นคือใคร?
> ประธานแบงค์กรุงเทพ (ที่ได้รับเงินจากเงินกู้นี้เยอะสุดถึง 4 พันกว่าล้าน) ขณะนั้นคือใคร?
> ประธานบริษัทกฤษดานคร ขณะนั้นคือใคร?
> รัฐมนตรีคลัง ขณะนั้นคือใคร?

ถ้าบิ๊กบอสมีตัวตนจริง ใครที่สมควรจะเป็นบิ๊กบอส กันแน่..?? เพราะรายชื่อระดับบิ๊กขององค์กรที่เกี่ยวข้อง อยู่ในแวดวงเดียวกันทั้งหมด

5. นายอุตตมฯพยายามเชื่อมโยงว่า เงินกู้ครั้งนี้มีการรับผลประโยชน์ โดยกำลังมีการพิจารณาคดีอยู่ ซึ่งผมคือหนึ่งในผู้ที่ตกเป็นจำเลยในคดีนี้ พยายามพาดพิงมาทั้งๆที่ตัวผมนั้น ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับนายอุตตมฯเลย ผมพยายามอยู่เงียบๆและสู้คดีไปตามกระบวนการฯแค่นั้น

ผมได้สอบถามคุณพ่อผมไปว่า ครอบครัวเราได้ทำอะไรให้นายอุตตมฯ ต้องขุ่นข้องหมองใจหรือไม่ คุณพ่อผมตอบว่าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกันเลย ตำแหน่งต่างๆที่นายอุตตมฯได้ไปนั้น ก็มาจากอาสมคิดฯ ซึ่งเป็นรองนายกฯ เป็นรัฐมนตรีคลังเป็นผู้แต่งตั้งทั้งนั้น มิหนำซ้ำตอนที่จะขอเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีคลัง อาสมคิดก็ได้มาขอตำแหน่งจากพ่อ เพื่อให้ ครม.ได้อนุมัติ ซึ่งพ่อก็ได้ให้ไป

6. สุดท้ายนี้ จากการพูดในสภาของนายอุตตมฯ อาจพยายามโยนว่ามีการรับผลประโยชน์ และพยายามกระทบมายังผู้ที่ถูกดำเนินคดีอยู่

ซึ่งสำหรับตัวผมนั้น ตั้งแต่มีการตั้งเรื่องคดีนี้ ผมได้พูดคุยกับทุกคนในครอบครัวมาโดยตลอด ขอยืนยันว่าไม่มีใครในครอบครัวผม เข้าไปเกี่ยวข้องหรือรับผลตอบแทนจากการอนุมัติของบอร์ดทั้ง 5 คนนี้เลย

แต่ในส่วนของนายอุตตมฯ ที่ในอนาคตจะต้องรับผิดชอบงบประมาณจำนวนมหาศาลของประเทศ จำนวนหลายล้านๆบาท สังคมย่อมมีความเคลือบแคลงใจ และไม่สบายใจต่อพฤติกรรมที่ผ่านมา

ดังนั้น หลังจากนายอุตตมฯได้ตอบคำถามต่อสังคม ตามที่ผมได้ถามมานี้จนกระจ่างแล้ว

ผมขอท้า นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีคลังคนปัจจุบัน ที่มิอาจปฏิเสธความด่างพร้อยของตนในอดีต ให้แสดงความบริสุทธิ์ใจว่าตนเองไม่เคยได้รับผลตอบแทนจากการอนุมัติเงินกู้กรุงไทยนี้ ด้วยการไปสาบานต่อองค์พระแก้วมรกตด้วยกันว่า

“หากนายพานทองแท้ หรือนายอุตตม เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้ประเทศชาติเสียหายจากคดีเงินกู้กรุงไทยนี้ หรือได้รับประโยชน์ใดๆ หรือได้ปฏิบัติใดๆที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติฯครั้งนี้ อย่างไม่มีธรรมาภิบาลที่ดี ขอให้มันผู้นั้นและครอบครัว จงประสบกับภัยพิบัติชั่วลูกชั่วหลานสืบไป”

สะดวกวันไหน นัดผ่านสื่อมาได้เลยครับ