วันพฤหัสบดี, เมษายน 30, 2563

ยืดเวลา พรก.ฉุกเฉินอีกหนึ่งเดือนเพื่อปรับกระบวนการเมืองให้กลับมาเข้าที่ ประชาชนต้องแบกหนี้จากพวกประยุทธ์ไม่มีที่จบสิ้น

“เป็นธรรมชาติ” ของการเมืองไทย ดังที่ สุวิทย์ เมษิณทรีย์ รมว.มหาลัยพูดถึงความวุ่นวายภายในพรรคที่ คสช.ตั้ง เรื่องพี่ใหญ่ป้อมจะเข้าไปคุม พปชร.ด้วยตนเอง พร้อมกับการปรับ ครม.ครั้งใหญ่ ลงเอยว่า ลุงตูบห้ามทัพ สยบกระแสไว้ก่อน

คนนั้นว่าต้องโฟกัสไปที่แก้ปัญหาโควิด-๑๙ ก่อน คนนี้ว่าประชาชนกำลังเดือดร้อนอย่าเพิ่งทะเลาะการเมือง แต่ก็มาสะดุดหยุดที่ คนดีประยุทธ์ จันทร์โอชา เบรค “ปมการเมืองในช่วงนี้ไม่สำคัญ...อำนาจการตัดสินใจปรับ ครม.เป็นของนายกฯ คนเดียว”

ส่วนที่เขกหัวเสี่ยค่ายเนรวิน อนุทิน ชาญวีรกูล กลางที่ประชุมว่า “คุณก็รู้เรื่อง คุณทำความความเข้าใจกับเรื่องของคุณบ้างหรือไม่” ต่อกรณีมีการปรับลดงบประมาณหลักประกันสุขภาพออกไป ๒,๔๐๐ ล้านแล้วโดนช้าวบ้านด่ากระจุยจนต้องถอย นั่นก็ ธรรมชาติ เช่นกัน

หันไปทางเฮียป้อมได้แต่เออๆ “ไม่มีอะไรๆ...จบแล้วๆ” พอเขาถามแล้วทำไมมีคนอยากให้ ทั่นผู้เฒ่า เป็นหัวหน้าพรรคเล่า ปู่เค้าก็ไม่ได้ยินคำถามซะงั้น ตอนนี้ก๊วน สมคิด-อุตตม-สุริยะ-ธรรมนัสก็เลยยังลอยตัวอยู่เหนือดราม่า

ทางด้านประธานวิป วิรัช รัตนเศรษฐ์ สุชาติ ชมกลิ่น หัวหน้าทีม ส.ส. กับพวกที่ส้มเกือบจะหล่นใส่ เสี่ยแฮ้งค์ อนุชา นาคาสัย และ ณัฐพล ทีปสุวรรณ ณ กปปส. ก็ได้แต่ครับๆ หลังจากนายกฯ ต่อสายตรงถึงบางคน แล้วอีกบางคนรีบพูดเอง “ผมไม่รู้เรื่อง”

ยังแต่ เสธ.อ้น คนของนายที่คุยโอ่ว่า “ไปกดดันนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ลาออกจากหัวหน้าพรรค พปชร.” และไปล็อบบี้กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐให้ลาออกเกินครึ่งของที่มีอยู่ ๓๔ คน เพื่อเปิดทางเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคกันใหม่

ไม่มีใครกล้าแตะ เว้นแต่ กอริลล่าฝ่ายค้านอย่าง เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เดินเครื่อง “รวบรวมข้อมูล...เพื่อยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณาและส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป” ในข้อหาเป็น “ส.ว.ห้ามฝักใฝ่ใดๆ ในทางการเมือง”


จะว่างานนี้ซื้อเวลาจนกว่าจะถึงวันเปิดสภาสมัยสามัญ ๒๒ พฤษภาก็ได้ ในเมื่อระหว่างนี้ถึงนั้น ยืดเวลา พรก.ฉุกเฉินอีกหนึ่งเดือนเพื่อปรับกระบวนการเมืองให้กลับมาเข้าที่ ในเมื่อการขยายเวลา ล็อคดาวน์นี้ทำเพื่อการเมืองยิ่งกว่าการแพทย์

“โฆษก ศบค. อ้างข้อมูล หน่วยงานด้านการข่าว ทำโพลถามประชาชนกว่า ๔ หมื่นคน ปรากฏ ๗๐% เห็นด้วยกับการประกาศภาวะฉุกเฉินของรัฐบาล” คือไม่ได้ให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์การแพทย์แจ่มแจ้ง นอกจากอ้างโพล

แม้นว่าโพลนั้นมาจากการข่าวทหารให้ตัวเลข ว่าหากคุมเข้มสุดๆ จะติดเชื้อเพิ่ม ๑๕-๓๐ รายต่อวัน ถ้าผ่อนปรนบ้างก็จะเพิ่มจาก ๔๐ ถึง ๗๐ คน แต่คลายล็อคทั้งหมด “คาดพบผู้ติดเชื้อหน้าใหม่ ๕๐๐-,๐๐๐ ราย/วัน” ซึ่งเป็นไปได้แต่ไม่มีหลักฐานหนุน

เรื่องของเรื่องมันวกไปหา เงินๆ ทองๆ อีกนั่นละ ในเมื่อเปิดสภาฯ งวดนี้ ฝ่ายค้านเอาแน่ แผนกู้และผันงบประมาณรวม ๑.๙ ล้าน ซึ่ง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พรรคเพื่อไทยตอกย้ำว่าเป็น “#หนี้ก้อนใหญ่สุด ในประวัติศาสตร์ชาติไทย”

และ “จะไม่ยอม #ตีเช็คเปล่าให้รัฐบาลไปใช้แบบไร้ประสิทธิภาพและไม่โปร่งใส” โดยกำหนดข้อเรียกร้อง ๓ อย่าง ต้องเยียวยาให้ทั่วถึง ต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ได้ และต้องมีการลงทุนเพื่ออนาคตด้วย นั้นอยู่บนพื้นฐานที่ว่า
 
“ประยุทธ์ขึ้นแท่นนายกฯ ที่สร้างหนี้มากที่สุดของชาติ” ตามใบเสร็จ ปี ๕๘ ประยุทธ์กู้ ๒ แสน ๕ หมื่นล้าน พอ ๕๙ ตู่ขอยืมอีก ๓ แสน ๙ หมื่นล้าน ถึงปี ๖๐ ตูบเพิ่มสถิติกู้เป็น ๔ แสน ๕ หมื่นล้าน ครั้นเข้าปี ๖๑ กลายเป็นซีรี่ย์ต่อเนื่อง

รัฐบาล คสช.๒สร้างหนี้เพิ่มอีกแสนล้านเป็น ๕ แสน ๕ หมื่นล้าน แล้วสลับขาให้ประชาชนตายใจ จัดอัตรากู้ของปี ๖๒ ไปอยู่ที่ ๔ แสน ๕ หมื่นล้านเท่าปี ๖๐ เพื่อที่จะก้าวกระโดดในปีนี้ เพราะมีโควิด-๑๙ มาช่วยแบะท่าให้

ประยุทธ์ จันทร์โอชา (แอนด์เดอะแก๊ง) เลยจัดภาระให้แก่ลูกหลานตามใช้หนี้อีก ๑ ล้านล้านบาท ท่ามกลางบรรยากาศอำนวย เพราะเหตุด้วยรัฐบาลนี้ไม่มีความสามารถจัดเก็บรายได้เข้ารัฐอย่างควร สำนักงานเศรษฐกิจการคลังเพิ่งแจ้ง
 
“๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ ๒๕๖๓ (ต.ค. ๖๒-มี.ค. ๖๓) จัดเก็บได้ ๑.๑๔ ล้านล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ ๑๕,๕๗๒ ล้านบาท หรือ ๑.%” ยังไม่นับอนาคตไม่ไกลที่กระทรวงคลังต้องค้ำประกันเงินกู้เสริมสภาพคล่องสายการบินไทยอีก ๕ หมื่นล้านบาท

เห็นเห็นว่าประชาชนต้องแบกหนี้จากพวกประยุทธ์ไม่มีที่จบสิ้น โดยที่รายได้หลักของประเทศจากรัฐวิสาหกิจนั้นมาจากกองสลากฯ มากสุด ตามด้วยการไฟฟ้าฯ และการปิโตรเลี่ยมฯ ทั้งสามนี่ลูกค้าหลักเป็นชาวบ้านรายได้ต่ำสุดไปถึงปานกลางทั้งนั้น
 
คนจนเป็นกลุ่มประชาชนที่ซื้อหวยมากกว่าใครๆ เพราะความจนทำให้ต้องพึ่งพา ลาภลอย ขณะที่คนชั้นกลางสัมมาอาชีพจ่ายค่าน้ำค่าไฟกันเต็มพิกัด แถมยังโดนเก็บค่าบริการแบบก้าวกระโดดเสียอีก ยังมองไม่เห็นว่าภาระเงินกู้ที่ประยุทธ์ก่อ จะแบ่งไปให้พวกหุ้นส่วนประชารัฐบ้างตรงไหน

(https://www.voicetv.co.th/read/NHXMyIaX2 และ https://www.thairath.co.th/news/business/1833831)

เร่งดึงฟืนออกจากกองไฟ ! "คำนูณ สิทธิสมาน" เตือนระวังไฟลุกท่วม หากเมินแก้จน ไม่ลดความเหลื่อมลัำ




เร่งดึงฟืนออกจากกองไฟ !
ก่อนจะลุกไหม้เป็นความขัดแย้งแตกหัก
จัดตั้งกลไกถาวร ‘แก้จน-ลดเหลื่อมล้ำ’ ด่วน
__________________________
เงาทมึนใหญ่ที่กำลังตามมาหลัง COVID-19 คือวิกฤตเศรษฐกิจโลก จะแค่ recession หรือถึงขั้น depression หรือ Great Depression อีกไม่นานคงได้รู้กัน ประวัติศาสตร์บอกเราว่าหลังวิกฤตเศรษฐกิจโลกมักจะตามมาด้วยความขัดแย้งและการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในประเทศที่มีเงื่อนไขสะสมอยู่ก่อนแล้วเสมอ และแน่นอนที่สุด ความยากจนและความเหลื่อมล้ำที่จะเพิ่มมากขึ้นคือฟืนจำนวนมหาศาลในกองไฟแห่งความขัดแย้ง
จะบริหารจัดการเพื่อแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำแบบเดิม ๆ ไม่ได้แล้ว
นอกเหนือจากการที่จะต้องใช้เงินกู้ในส่วน 4 แสนล้านเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในชุมชนทั่วประเทศให้เหมาะสมที่สุดแล้ว ยังจะต้องดึงกราฟสัดส่วนคนยากจนที่จะเพิ่มสูงขึ้นจาก COVID-19 และวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำให้ลงมาให้ได้
โดย ‘หัวใจ’ ที่จะทำได้ทันทีภายใต้เงื่อนไขรัฐบาลปัจจุบันและระบอบการเมืองปัจจุบันเท่าที่สติปัญญาของผมจะเสนอได้ โดยประยุกต์ปรับจากสิ่งที่รัฐบาลนี้เคยคิดจะทำอยู่แล้ว ก็คือ...
การจัดตั้ง ‘กลไก’ เพื่อกำหนดทิศทางและกระบวนการทำงานของหน่วยงานรัฐในระยะกลางถึงระยะยาวในระดับคิดใหม่ทำใหม่ ปฏิรูปใหญ่ หรือ reset ตลอด 5 ปีจากนี้ไป
กลไกแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำนี้จะต้องเป็นช่องทางพิเศษและเร่งด่วน
อันที่จริงก่อน COVID-19 ประเด็นนี้ก็มีระบุอยู่แล้วในแผนปฏิรูปประเทศ 2 ด้าน คือ ด้านกฎหมาย และด้านเศรษฐกิจ ที่เห็นตรงกันว่าให้จัดตั้งเป็นกลไกพิเศษขึ้นโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำโดยตรง เฉพาะแผนปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายนั้นระบุให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ โดย ณ นาทีนี้ย่อมหมายถึงเป็นพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 ที่ต้องพิจารณาในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา
แต่คณะรัฐมนตรีชุดที่แล้วมีเห็นว่าเป็นระดับเพียง ‘ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี...’ ก็พอ โดยข้อดีประการหนึ่งคือออกได้เร็ว ไม่ต้องผ่านสภา จึงได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2561 อนุมัติหลักการ ‘ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบูรณาการเพื่อลดควาามเหลื่อมล้ำและแก้ไขปัญหาความยากจน พ.ศ. ...’ ที่สภาพัฒน์ยกร่างเสนอขึ้นมา
นายกรัฐมนตรีได้นำเรื่องนี้มากล่าวรายงานประชาชนในรายการศาสตร์พระราชาในอีกสองสามวันถัดมา สร้างความยินดีให้กับประชาชนทั่วประเทศ
แต่จนบัดนี้เวลาผ่านไป 1 ปี 5 เดือนยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ยังไม่มีคณะกรรมการบูรณาการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและแก้ไขปัญหหาความยากจนเกิดขึ้น ไม่ว่าจะในรูปแบบใดทั้งสิ้น
แม้แต่ ‘ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบูรณาการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและแก้ไขปัญหาความยากจน พ.ศ. ....’ ก็ยังไม่เบ็ดเสร็จสมบูรณ์ เพราะเมื่อคณะรัฐมนตรีรับหลักการแล้วตามกระบวนการก็ส่งต่อไปให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี (คกอ.) สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นผู้ตรวจร่างฯ แม้จะตรวจและปรับแก้เสร็จแล้ว แต่ก็เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมา เมื่อคกอ.แก้ไขแตกต่างไปจากร่างเดิมมาก จนแทบจะกล่าวได้ว่าเสียเจตนารมณ์เดิมไปในสาระสำคัญ
มาถึงวันนี้ COVID-19 และวิกฤตเศรษฐกิจร่วมกันกดปุ่ม ff- fast forward ปัญหาความยากจนของประเทศไทยไปไกลในอัตราคูณ 2 คูณ 3
ฟันธงฉับด้วยความเคารพ - ปรับมติคณะรัฐมนตรี 18 ธันวาคม 2561 เสียใหม่เถอะครับ !
ยกระดับกลไกในการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำขึ้นเป็นกฎหมายระดับ ‘พระราชบัญญัติ’ ไม่ใช่แค่ระดับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี โดยเร่งตั้งคณะกรรมการยกร่างร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการนี้ขึ้นมาชุดหนึ่งประด้วยกรรมการกฤษฎีกาครึ่งหนึ่ง ผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกอีกครึ่งหนึ่ง แล้วใช้ตัวร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่สภาพัฒน์ยกร่างเป็นสารตั้งต้น ให้แล้วเสร็จภายในไม่เกิน 3 เดือน เพื่อส่งร่างพระราชบัญญัติต่อรัฐสภาให้ทันพิจารณาภายในสมัยประชุมหน้า
ด้วยเหตุผลดังนี้
(1) จะเป็นการแสดงเจตจำนงทางการเมืองต่อประชาชนอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลเอาจริงกับการแก้ปัญหาความยากจนของคนกลุ่ม 40 % ล่าง และลดความเหลื่อมล้ำทุกด้านในสังคม
(2) กลไกที่จะสามารถนำทุกหน่วยราชการในการกำหนดทิศทางการแก้ไขปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ ควรจะต้องเป็นกลไกที่มีกฎหมายพิเศษในระดับพระราชบัญญัติรองรับ เพราะในกระบวนการทำงานตามช่องทางพิเศษจะต้องมีข้อยกเว้นให้หน่วยราชการไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนปกติของกฎหมายระดับพระราชบัญญัติฉบับอื่น ๆ ของหน่วยงานนั้น ๆ
ทำนองเดียวกับพระราชบัญญัติเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญหนึ่งการปฏิรูปใหญ่ด้านเศรษฐกิจมหภาค หรือเศรษฐกิจด้านทุน หรือเศรษฐกิจเพื่อ GDP ที่รัฐบาลชุดที่แล้วทำ และกลไกเริ่มขับเคลื่อนแล้ว ประมูลโครงการกันแล้ว
หรือทำนองเดียวกับพระราชกำหนดการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563 ให้ธนาคารชาติตั้งกองทุนรับซื้อหุ้นกู้ภาคเอกชน ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วก็เสมือนเป็นข้อยกเว้นหรือให้อำนาจเพิ่มเติมแก่ธนาคารชาติให้ชัดเจนนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยและพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
เมื่อประเทศเรามีการปฏิรูปด้านการลงทุนหรือด้าน GDP และแก้ปัญหาวิกฤตให้ภาคธุรกิจใหญ่ ก็จำเป็นที่จะต้องมีการปฏิรูปและแก้ปัญหาวิกฤตในด้านการกระจายหรือด้านแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำควบคู่กันไปอย่างสมดุลกัน
(2) การเป็นร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศที่พิจารณาในที่ประชุมร่วมของรัฐสภาจะเป็นการระดมความคิดเห็นของทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายประชาสังคม ผ่านเวทีกรรมาธิการที่มีตัวแทนของทุกฝ่าย เป็นการสร้างบรรยากาศทางปัญญาในการแสวงหาหนทางแก้ไขปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำขึ้นในสังคม ทำให้กระแสปฏิรูปประเทศใหญ่ในระดับที่รัฐบาลเองเคยเรียกว่า big rock ถูกจุดขึ้นให้เห็นเป็นรูปธรรม
(3) จะเป็นจังหวะก้าวทางการเมืองที่สร้างสรรค์ และสร้าง ‘ประเด็นทางการเมืองใหม่’ หลังยุค COVID-19 ที่เป็นรูปธรรมในแนวทางการแก้ปัญหาขึ้นมาคู่ขนานกับประเด็นทางการเมืองเดิม ๆ
และหากรัฐบาลนำร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติฉบับใหม่ และร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ เข้าสู่การพิจารณาโดยที่ประชุมร่วมของรัฐสภาในเวลาไล่เลี่ยกันด้วย ก็จะยิ่งขับเน้น ‘ประเด็นทางการเมืองใหม่’ หลัง COVID-19 ให้เด่นชัดขึ้นและตีคู่ขึ้นมาจนอาจจะครอบงำประเด็นทางการเมืองเดิม ๆ ได้
(4) นอกจากนั้น ‘ประเด็นทางการเมืองใหม่’ หลัง COVID-19 ที่เกิดขึ้น ยังจะเป็นการดึงคนรุ่นใหม่หรือคนทุกรุ่นที่เริ่มเบื่อประเด็นทางการเมืองเดิม ๆ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการหาแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำผ่านรูปแบบกระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติและการรับฟังความคิดเห็น
อาทิ เนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติอาจกำหนดให้นิสิตนักศึกษาที่จบปริญญาตรีแล้วยังหางานไม่ได้ เข้ามาเป็นอาสามัครลงพื้นที่เพื่อสำรวจและแก้ปัญหาความยากจนเฉพาะพื้นที่เฉพาะกรณี หรือการสร้างงานอื่น ๆ ที่มีลักษณะเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการแก้ปัญหาความยากจน
หรือแม้กระทั่งการกำหนดให้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปฏิรูประบบการเงิน ระบบภาษี ระบบส่งเสริมการลงทุน หรือแม้กระทั่งระบบพลังงาน ทั้งไฟฟ้าและปิโตรเลียม เป็นขั้นตอนตามระยะเวลาที่กำหนดไว้
แน่นอนว่าเพื่อให้เกิดผลตามที่กล่าวมาครบถ้วน เนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวนอกจากจะยึดสารัตถะเดิมของร่างระเบียบฯที่ไปจากสภาพัฒน์แล้ว สมควรให้ในกลไกและกระบวนการมีภาคประชาสังคมหรือองค์กึ่งรัฐกึ่งประชาสังคมที่มีอยู่เข้ามามีส่วนสำคัญในองค์กรนำด้วย ต้องไม่ให้เป็นเรื่องของสภาพัฒน์หรือรัฐราชการฝ่ายเดียว
ขอย้ำว่าในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา เรามีกฎหมายพิเศษเพื่อสร้างความเติบโตให้เศรษฐกิจด้านทุนหรือด้านเพิ่ม GDP มาหลายฉบับ หลังสถานการณ์ COVID-19 ที่เปลี่ยนวิถีโลกวิถีประเทศ จำเป็นที่จะต้องสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นโดยมีกฎหมายพิเศษเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้านการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำควบคู่กันไปด้วย
จะติดยึดแต่ทฤษฎี Trickle down effect ที่เป็น Normal เดิม ๆ ของทุกรัฐบาลที่ผ่านมาหาได้ไม่
เริ่มต้นสร้าง New normal ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้เกิดในบัดดลเถิด
เร่งดึงฟืนออกจากกองไฟแห่งความขัดแย้งแบบแตกหักและการเปลี่ยนแปลงใหญ่โดยพลัน
คำนูณ สิทธิสมาน
สมาชิกวุฒิสภา
29 เมษายน 2563

https://www.facebook.com/kamnoon/posts/2928176187226316


"ฉันหิว!" "หยุดพูดเรื่องการเมืองได้แล้ว!" - Thailand's real political battle is not between Thanathorn and Prayut, democracy vs authoritarianism... it is between the haves and have-nots.


..
Opinion: Stop getting distracted, Thailand’s real political battle is between the haves and have-nots




By Cod Satrusayang
April 29, 2020
Thai Enquirer

Forget Thaksin vs Abhisit. Most people already have. Forget Thanathorn vs Prayut. Soon people will as well. Forget democracy vs theocracy, or if you like democracy vs authoritarianism, these arguments are irrelevant at best and a distraction at worst.

The real political battleground that Thailand will face in the not-too-distant future is the one between those who have and those who have-not.

The coronavirus pandemic is proving to be an accurate barometer of where we are as a society and our biggest woes. And for those that have been following the news, it is quite clear that the divide between the rich and poor has never been greater.

While the rich complain about the alcohol ban and worry about the monotony of isolation, the poor have been literally killing themselves over the lack of security, food, and opportunity.

To put it into perspective, let me quote some dead white people.

A broken contract

Writing in the 18th century, the Swiss philosopher Jean Jacques Rousseau noted the importance of clearly defining the relationship between the citizen and the state.

In his magnum opus, The Social Contract, Rousseau said, “man is born free, and everywhere he is in chains.” This may not be the cry for freedom that one may think but merely an observation upon the nature of governments.

According to Rousseau, governments and citizens have a two-way relationship, a social contract. In return for their taxes, obedience, and promise not to overthrow the rulers, citizens are provided by their government, peace, security, and the ability to pursue property.

When this social contract is broken, there is revolution and chaos.

The social contract in Thailand has been broken for some time regardless of the ruler and regardless of the system of government. The poor have always been left behind, it only took us a pandemic to see how far behind they are.

The evils of the middle class

The Thai middle class encapsulates everything that Freidrich Engels hated about the middle class. They are disdainful of the working class below them and jealous of the upper class above them. They gladly trade liberty for security, if only to protect their assets.

Engels once said of the middle class:

“The middle classes have a truly extraordinary conception of society. They really believe that human beings . . . have real existence only if they make money or help to make it.”

I have heard more than once in social settings middle-class Thais complain openly about government programs to help the poor or the universal healthcare law and why they were being taxed so heavily to provide for those who were lazy or incompetent.

The lack of empathy among them is startling.

Ten years ago when red-shirt protesters descended onto Bangkok, more than one middle-class Thai cheered on the Democrat Party and the army as they crushed the protests with bullets and tanks.

Half a decade ago, many of them took to the streets with whistles and flags to usher in a coup, so certain were they that they were protecting the country.

When the junta finally allowed elections, many voted for the coup-leaders to remain.

Now as the coronavirus lockdown guts their businesses and closes their stores and restaurants it is hard to feel any empathy. That this incompetent government, full of crooks and generals (or are they one and the same?), is responsible for their destruction makes the irony all the sweeter.

Democracy is no cure

On democracy, Karl Marx once wrote that:

“The oppressed are allowed once every few years to decide which particular representatives of the oppressing class are to represent and repress them.”

He is not wrong. Despite our hopes for Future Forward and the promise of the social revolution they would bring, there is still a serious crisis of representation among our leaders.

Khun Thanathorn, Piyabutr, Pannika and Kulthida and their western-influenced liberal education have been banned, replaced by Khun Pita with his degrees from Harvard and MIT.

No amount of empathy, no survey trip, no campaigning in the rural areas could ever sufficiently educate them on the plight of the poorest people in our country.

While I do not doubt the good intentions of Khun Thanathorn and his billions, Khun Pita and his millions and the middle-class goodwill of Khun Piyabutr, Pannika, and Kulthida, their rhetoric since coming into power has been as a fight against liberal democracy and against the forces of fascist oligarchies and authoritarianism.

That seems misguided.

For those that live day-to-day in this country, and there is far too many, the real fight is for food, for shelter, for daily survival.

You can argue all you want that a true democracy stands a better chance at helping these people than the fools we have in government right now, you may even be right.

But not by much.

Until Future Forward or Pheu Thai or any member of the opposition can field candidates that are truly representative of the poor, their understanding of the problem can only extend so far.

20 billionaires
The average annual salary in Thailand is around 160,000 baht per year. The average Thai can spend his entire adult life working and never make 32 million baht or 1 million US dollars.

The government thought it wise to ask 20 Thai billionaires for their advice in how to manage the coronavirus crisis, how best to help the poor.

Voltaire once wrote that he only had one wish of God, to make his enemies ridiculous.

Well, that wish has been granted to us here in Thailand. The rich and the generals are truly ridiculous.

General Prayut, if you truly want to help the poor. You should start finding legal ways to redistribute the wealth of those you have been seeking advice from.

(Photo credit: Dominic Chakrabongse)

รัฐบาลไทย จงดูเป็นตัวอย่าง... ชาวเลบานอนเดือดร้อนอย่างหนักออกไปชุมนุมประท้วงรัฐบาล “ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาคงจะตายด้วยไวรัสโคโรนาหรือไม่ก็ความหิวโหย”




https://www.facebook.com/watch/?v=696804407813266
...

ช่วงสายวันนี้ (29 เม.ย.) ประชาชนราว 20 คน เดินทางมาร้องเรียนที่กระทรวงการคลังหลังระบบออนไลน์ “เราไม่ทิ้งกัน” แจ้งไม่มีสิทธิ์รับเงินเยียวยา 5,000 บาท แม้ยื่นอุทธรณ์ไปแล้วแต่ยังไม่มีความคืบหน้า จึงร้อนใจขอมาคุยกับเจ้าหน้าที่อีกครั้ง
.
นายด่วน โสสาร วัย 44 ปี อาชีพขับรถแท็กซี่ บอกว่า เขาพิการตั้งแต่กำเนิด และที่ต้องมาที่กระทรวงการคลังถึง 4 ครั้ง เพราะได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตอนนี้ได้รับเบี้ยยังชีพคนพิการเพียงเดือนละ 800 บาท ใช้ประทังชีวิต บางวันต้องรอฟังจากวิทยุว่ามีแจกข้าวที่ไหนก็ไปต่อคิวรับข้าว อีกทั้งมีภาระค่าใช้จ่ายต้องผ่อนรถแท็กซี่เดือนละ 21,000 บาท แต่กลับหาเงินได้ไม่ถึง 200 บาท ต่อวัน บางครั้งยังต้องวางบัตรประชาชนไว้ที่ปั๊ม เพราะว่าเงินไม่พอเติมแก๊ส การต่ออายุเคอร์ฟิวอีก 1 เดือน ทำให้มีเวลาในการวิ่งรถรับผู้โดยสารน้อยลง
.
"เงินเยียวยา 5,000 บาท ถือว่ามีความสำคัญกับผมมาก"
.
เมื่อวานนี้ (28 เม.ย.) คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบตามประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
- ขยายเวลา พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน คงระยะเวลาเคอร์ฟิวช่วง 22.00-04.00 น. และขยายปิดน่านฟ้าต่ออีก 1 เดือน
- เพิ่มจำนวนประชาชนที่จะได้รับเงินช่วยเหลือเดือนละ 5,000 บาท ระยะเวลา 3 เดือน จากเดิม 14 ล้านคนเป็น 16 ล้านคน
- ช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 จำนวนไม่เกิน 10 ล้านคน
- ช่วยเหลือผู้พิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ จำนวน 2 ล้านกว่าคน ให้ได้รับเงินเยียวยารายละ 1,000 บาท หนึ่งครั้งในเดือนเมษายน เพิ่มเติมจากเบี้ยผู้พิการรายเดือน
- ปรับสวัสดิการเบี้ยความพิการให้แก่ผู้ถือบัตรประจำตัวผู้พิการที่อายุไม่เกิน 18 ปี จำนวน 1.2 แสนคน จากเดือนละ 800 บาท เป็น 1,000 บาท โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2563 เป็นต้นไป


หากประเทศคือธง นี่คือสภาพของประเทศที่ประยุทธ์ ปล้นมาบริหาร...




https://www.facebook.com/talearm/posts/10158543698813243
...


...



ดูหนังฟรีเข้ากับเหตุการณ์ "SEED: The Untold Story เรื่องลับเร้นของเมล็ดพันธุ์" ถึง3 พ.ค. ทางเพจ Documentary Club




"SEED: The Untold Story เรื่องลับเร้นของเมล็ดพันธุ์"
(ดูฟรีถึง 3 พ.ค. ทางเพจ Documentary Club)
ดูจบแล้วว้าวซ่า เปิดประสบการณ์มากๆ!

นี่เป็นสารคดีที่จะพาเราไปทำความรู้จักกับเมล็ดพันธุ์ในมุมที่เราเชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนน

(มาสายสารคดีอีกแล้ว คนที่ไม่ใช่แนวนี้ อาจจะมีการง่วงเหงาหาวนอนได้ 55555555)

แต่มันสนุกนะทุกคน! เรารู้สึกว้าวซ่าในหลายๆจุดมาก
มันเป็นเรื่องใกล้ตัว(ที่โคตรจะใกล้ เพราะเรากินอาหารทุกวัน)

สารคดีเล่าถึง เมล็ดพันธุ์ในมุมมองต่างๆของกลุ่มคนที่รณรงค์ให้มีการสนับสนุนเก็บรักษาความหลากหลายทางเมล็ดพันธุ์

ยกตัวอย่างเช่น ฟักทองที่เราทานกันทุกวันเนี่ย จริงๆมันมีหลากหลายสายพันธุ์ใช่มะ การที่เราเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ที่หลากหลาย ไม่ผูกขาดแค่เฉพาะเจ้าใดเจ้าหนึ่ง ก็จะทำให้เรามีเมล็ดพันธุ์ที่รองรับกับสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น เมล็ดพันธุ์ที่ทนกับภัยแล้ง เมล็ดพันธุ์ที่ทนภัยน้ำท่วม ซึ่งเจ้าความหลากหลายนี่ ยังช่วยลดวิกฤตการณ์ขาดแคลนอาหารของโลกด้วยนะ แค่นี้ก็แบบ เหยสุดปังละปะ

มิติในเรื่องการเมือง และระบบทุนนิยมอันนี้ว้าวซ่าแบบ 200% เพราะประเทศแถวๆนี้ อักษรย่อ ประเทศไทย กำลังประสบสถานการณ์คล้ายๆนี้อยู่ ในสารคดีมีการยกตัวอย่างกลุ่มนายทุน ที่พัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชผสม(GMO) และทำการจดทะเบียนพืช เป็นของตัวเอง นั่นส่งผลร้ายแรงมากๆ เป็นการใช้ข้อกฎหมายมาบีบบังคับกลุ่มเกษตรกร ก่อให้เกิดการผูกขาดทางเมล็ดพันธุ์

“แทนที่เมล็ดพันธุ์จะเป็นของเกษตรกร โดยเกษตรกร เพื่อเกษตรกรและพลเมืองทุกคน กลับกลายเป็น เมล็ดพันธุ์เพื่อบริษัท โดยบริษัท ของบริษัทแทน”

โอ้โอ้ ตาตื่นกันเลยทีเดียว นอกจากประเด็นเหล่านี้ ยังมีเรื่องผลกระทบจากการใช้สารพิษในการปลูกเมล็ดพันธุ์ ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อหลายสิ่งมากๆ! ทั้งคน สัตว์ สิ่งแวดล้อม เช่น กบและปลามีสภาวะเป็นเพศเมียมากขึ้น , การเกิดโรคมะเร็งเต้านม,การแท้งบุตร,ความผิดปกติแต่กำเนิด สิ่งเหล่านี้มันส่งผลกระทบต่อชีวิตมากๆ

โอ้โห อาจจะดูซีเรียส แต่จริงๆแล้วก็ซีเรียส55555555555 ดูจบแล้วแบบ อ่อก กูจะตายอะ กูจะตายแน่ๆ555555 แต่พวกเราห้ามตายนะ!

ในตอนท้ายสารคดีก็ได้นำเสนอมุมมองที่จุดประกายความหวังมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์ร่วมเก็บรักษาความหลากหลายของเมล็ดพันธุ์,การเก็บและแลกเปลี่ยนเมล็ดพันธ์ุ,ไม่ใช้เมล็ดพันธุ์ GMO,การทำห้องสมุดเมล็ดพันธุ์,การสนับสนุนธนาคารเมล็ดพันธุ์,สนับสนุนการห้ามใช้สารพิษกำจัดพืช,กินอาหารอินทรีย์ในท้องถิ่นและเข้าร่วมกับองค์กรที่สนับสนุนอิสรภาพของเมล็ดพันธุ์
สุดปัง เต็ม10ไม่หักเลยคุณพี่

เป็นสารคดีที่สนุกมากๆแนะนำเล่ยยสำหรับหลายคนที่สนใจในประเด็นนี้
สามารถรับชมได้ฟรีทางเพจ Documentary Club โลดด...
https://www.facebook.com/DocumentaryClubTH/posts/2735712346539907



ฟอร์ดบอกไอบิวรีวิวหนังซะที
·
https://www.facebook.com/FordToldBewToReviewMovie/photos/a.101409121561427/103689358000070/?type=3&theater

อัฟเดท เรื่องของหญิงสาวที่วาดภาพนายกฯ พร้อมข้อความตัดพ้อ และต่อมาเธอตัดสินใจจบชีวิต




เป็นโพสต์ที่ได้รับการแชร์บนโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นเรื่องราวของหญิงสาวรายหนึ่ง ซึ่งวาดภาพนายกฯ พร้อมข้อความตัดพ้อ ถึงรัฐบาล..

โดยต่อมาพบว่า เธอตัดสินใจจบชีวิต โดยมีเพื่อนโพสต์ไว้อาลัย อย่างไรก็ตาม พบว่า สาวรายดังกล่าวเป็นคนฉะเชิงเทรา และจะมีการนำศพไปตั้งที่บ้านเกิด

โดยโพสต์ที่เธอวาดภาพนายกฯ ระบุว่า "เป็นภาพวาดที่วาดแล้วรู้สึกไม่อยากวาดต่อ เป็นภาพที่รู้สึกว่า วาดบนกระดาษแผ่นไหนก็ได้อ่ะ ตั้งแต่เรียนมา ไม่เคยมองรูปวาดไหนต่ำเท่ารูปนี้เลย วาดด้วยอารมณ์ที่ ไม่มีเงิน ตังซื้อนมให้ลูกไม่พอ ค่านู่นค่านี่แพงไปหมด วาดด้วยอารมณ์ที่ ทำงาน 12 ชม. ต่อวัน แล้วแม่งไม่เหลือไรเลย

วาดด้วยน้ำตาอ่ะ มึงรู้ปะ ว่าตั้งแต่เรียนประวัติศาสตร์มาอ่ะ ยุคนี้แม่งคือยุคที่กุรู้สึกว่ารัฐบาลแม่งโคตรใจร้าย ห่วยแตกมาก บ้าชิบหาย มึงเห็นคนที่เค้าต้องตายเพราะไม่มีทางไปต่อป่ะ ฆ่าตัวตายเพราะไม่เหลืออะไรเลย ตายเพราะรัฐบาลนี้อ่ะ มึงรู้ป่ะ กูวาดกูเขียนทั้งน้ำตาเลย มันเสียใจร้องไห้ที่กุไม่เหลือเงินให้ลูกกูซื้อนมกินอ่ะ มึงมีจิตใจบ้างป้ะ ทำคนดีๆ เค้าสติแตกอ่ะ มึงฆ่าเค้ากันทั้งเป็นอ่ะ ขนาดกูมีงานทำนะ กูยังไม่มีเหลือเลย แม่งทั้งเหนื่อยทั้งท้อเลยรู้ป่ะ ทำไมใจดำเหลือเกิน ทำไมไม่สงสารคนที่เค้าไม่มีบ้างอ่ะ ท้อสุดใจเลย #ประโยคบอกเล่าด้วยความท้อใจของกู

"คนจนยิ่งจน ยากจนเพราะ คนร่ำรวย ร่ำรวยเพราะ คนยากจนสร้างให้รวย คนดีต้องตาย เพราะเหล่าร้าย พวกเหล่าร้าย เขียนกฎหมาย ให้คนร้ายเป็นคนดี หลายสิ่งที่เป็น แต่ที่เห็น เป็นภาพลวง เป็นภาพหลอน เฉกเช่นหนอนกลายเป็นเกลือ"
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1164912240529911&id=100010334381616


...


รองเลขาธิการพรรคเสรีรวมไทย ลงพื้นที่เยียวยาครอบครัว 'ปลายฝน' เตรียมถามรัฐบาลหลังคนไทยก่อเหตุสลดหลายคดี จี้ควรล้อมคอกก่อนวัวหาย

น.ส.นภาพร เพ็ชร์จินดา ส.ส.บัญชีรายชื่อเเละรองเลขาธิการพรรคเสรีรวมไทยกล่าวว่ากรณีในวันนี้สังคมออนไลน์เเละสื่อมวลชนเเชร์เเละเผยเเพร่ข่าวการผูกคอตายของ น.ส.ปลายฝน อ่ำสาริกา อาชีพ รปภ. โดย น.ส.ปลายฝน วาดภาพพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมข้อความตัดพ้อถึงรัฐบาล เพราะเครียด โดยระบุว่าไม่มีเงินซื้อนมให้ลูกกินเเละทราบว่ารายได้ลดลง รวมทั้งทางบ้านไม่ได้รับสิทธิเงินเยียวยา 5,000 บาท จากรัฐบาล

น.ส.นภาพร กล่าวว่า เมื่อตนทราบข่าวนี้ได้ลงพื้นที่ทันที เเละได้พบมารดาเเละญาติผู้เสียชีวิตที่วัดแสนภูดาษ อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา โดยมอบเงินสดจำนวนหนึ่งเเละนมไว้ให้บุตรของผู้เสียชีวิต

ทั้งนี้ ทราบข้อมูลจากญาติว่าก่อนที่ น.ส.ปลายฝนจะเสียชีวิต ได้ติดต่อทางบ้านเป็นระยะ เเละไม่พบมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุครั้งนี้ ส่วนบุตรของ น.ส.ปลายฝนยังเป็นเด็กเล็กมาก โดยตนเองตั้งกองทุนการศึกษาเพื่อขอรับเงินบริจาคผ่านทางเฟซบุ๊กของพรรค จากสมาชิกพรรคเเละประชาชนทั่วไป เพื่อมอบให้กับครอบครัวนี้ไว้ดูเเลบุตรของ น.ส.ปลายฝน

รองเลขาธิการพรรคเสรีรวมไทย กล่าวอีกว่า ในฐานะ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง เงินเดือนของตนมาจากภาษีของประชาชน ตนพร้อมที่จะช่วยเหลือในกรณีนี้ เเละจะนำกรณีนี้บวกกับกรณีอื่นๆ ของประชาชนที่เดือดร้อนที่เกิดในช่วงไวรัสโควิด-19 ไปหารือในการประชุมสภาผู้เเทนราษฎรในเดือน พ.ค. เพราะหลายมาตรการการช่วยเหลือประชาชนของรัฐบาลมีช่องโหว่มาก ที่หลายคนซึ่งเดือดร้อนจริงไม่ได้รับการเยียวยา

ทั้งนี้ ตนไม่ได้ใช้กรณีนี้เปิดประเด็นการเมือง เเต่ตนต้องสอบถามรัฐบาลเพราะตนมาทำงานเเทนประชาชน เงินเดือนก็มาจากภาษีของประชาชน เมื่อประชาชนเดือดร้อน ตนต้องทำหน้าที่ทั้งในฐานะ ส.ส.เเละคนไทยด้วยกัน ตนพิจารณาเเล้วว่า การวางมาตรการเยียวยาประชาชนของรัฐบาลมีความสับสนเเละมีช่องโหว่ ดังนั้น รัฐบาลควรเปิดใจรับฟังข้อเสนอเเนะจากทุกฝ่าย เพราะเชื่อว่าทุกคนในประเทศไม่อยากให้เรื่องราวเเบบนี้เกิดขึ้นอีก เราควรจะล้อมคอกก่อนวัวจะหาย ไม่ใช่ปล่อยให้เรื่องราวเเบบนี้เกิดอีก
..
https://www.thairath.co.th/news/society/1833266

พบ สามีเก่าของสาววัย 19 วาดรูปบิ๊กตู่ก่อนผูกคอดับ นั่งร้องไห้บนสะพานลอย
https://www.thairath.co.th/news/society/1833591


เศร้ากับคำแถลงของอธิบดีกรมสุขภาพจิต กรณีประชาชนฆ่าตัวตาย... ทำไมไม่ได้ยินเสียงเศร้าจากความทุกข์ยากของประชาชน...




ถ้าใจของคุณขาดซึ่ง Empathy แล้ว คุณก็ไม่ใช่จิตแพทย์อีกต่อไป

ผมอ่านคำแถลงของอธิบดีกรมสุขภาพจิตในกรณีที่นักวิชาการกลุ่มหนึ่งนำเสนอว่า “ประชาชนฆ่าตัวตายมากขึ้นแสดงถึงความล้มเหลวในการแก้ปัญหา COVID-19 ของรัฐบาล” ด้วยความรู้สึกอึ้ง ผิดหวังและเศร้าใจแทนประชาชน

เพราะแทนที่กรมสุขภาพจิตจะรับฟังเสียงสะท้อนที่ดังมาจากบรรดาอาจารย์และนักวิชาการเหล่านี้

กรมสุขภาพจิตกลับเลือกใช้ระเบียบวิธีวิจัยทำให้เสียงนี้ด้อยค่าไป(Devalue)

ทั้ง ๆ ที่ในเวลาเช่นนี้กรมสุขภาพจิตจะต้องฟังเสียงทุกเสียง ไม่ว่าเสียงนั้นจะมาจากใคร ผ่านการกลั่นกรองมาดีหรือไม่ เพราะมันคือเสียงของประชาชนที่กำลังเดือดร้อน การตอบสนองต่อเสียงของประชาชนด้วยการทำให้เสียงนั้นด้อยค่าลง ย่อมไม่เป็นผลดีกับกรมสุขภาพจิตอย่างแน่นอน ยิ่งในสถานการณ์นี้ กรมสุขภาพจิตยิ่งต้องทำหน้าที่เป็นหัวหอกในการสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้น การฟังเสียงประชาชนด้วย Empathy ไม่ตัดสิน ไม่ตำหนิ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด และมันจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้กรมสุขภาพจิตสามารถมีบทบาทนำในการแก้ปัญหาสุขภาพจิตของประชาชน น่าเสียดายที่อธิบดีกรมสุขภาพจิตกลับเลือกทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม

เหตุการณ์นี้ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 กว่าปีมาแล้วในกรมสุขภาพจิตนี่แหละ อธิบดีกรมสุขภาพจิตในขณะนั้นมีแนวคิดในการพัฒนาคนรุ่นใหม่ที่จะเติบโตเป็นผู้บริหารกรมในอนาคต โดยเน้นการพัฒนาวิธีคิดและการมองปัญหา

อธิบดีท่านนี้ได้เชิญอาจารย์แพทย์ท่านหนึ่งมาเป็นวิทยากรฝึกอบรม และอาจารย์ก็ได้ใช้ “หลักสูตรฝึกอบรมการวิจัยเชิงคุณภาพ” เป็นอุบายในการฝึกอบรม(เพื่อพัฒนาวิธีคิดและการมองปัญหาให้คนที่จะเติบโตเป็นผู้บริหารรุ่นต่อ ๆ ไปของกรมสุขภาพจิต)

ครั้งหนึ่งภายใต้การอบรมหลักสูตรนี้ เราไปอบรมกันที่โคราชและมีการไปเก็บข้อมูลที่โรงพยาบาลพิมาย ระหว่างที่เรากำลังเดินสำรวจและเก็บข้อมูลกันอยู่นั้น มีรถพยาบาลคันหนึ่งวิ่งเข้ามาในโรงพยาบาลและมีเจ้าหน้าที่เข็นผู้ป่วยลงจากรถเข้าไปในห้องฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็มีผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวแบบชาวบ้านทั่ว ๆ ไปลงจากรถและวิ่งตามรถเข็นผู้ป่วยเข้าไปในห้องฉุกเฉินพร้อมกับร้องไห้เสียงดังไปตลอดทาง สักพักเธอก็ออกจากห้องฉุกเฉินมานั่งร้องไห้รำพึงรำพันคนเดียวอยู่ที่ม้านั่งหน้าห้องฉุกเฉิน หลังจากนั้นสักครู่ใหญ่ผู้ป่วยรายนี้ก็ถูกเข็นออกจากห้องฉุกเฉินมาขึ้นรถพยาบาลอีกครั้งและวิ่งออกจากโรงพยาบาลไป

ในห้องฝึกอบรมที่โรงแรม วิทยากรได้ถามว่าเราได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง พวกเราตอบอย่างฉาดฉานว่าผู้ป่วยถูกยิงอาการสาหัส โรงพยาบาลแห่งหนึ่งกำลังนำส่งผู้ป่วยไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา แต่สัญญาณชีพผู้ป่วยไม่ค่อยดีนักและออกซิเจนในถังอาจไม่พอที่จะส่งผู้ป่วยถึงโรงพยาบาล จึงแวะโรงพยาบาลพิมายเพื่อแก้ไขสัญญาณชีพและเปลี่ยนถังออกซิเจน

วิทยากรถามต่ออีกว่า แล้วผู้หญิงคนที่มาด้วยและร้องไห้คร่ำครวญตลอดนั้นเป็นใคร คำตอบที่เราตอบวิทยากรคือ “คงเป็นญาติผู้ป่วย” (เพราะไม่มีใครได้คุยกับผู้หญิงคนนี้เลย)

คำพูดของวิทยากรในวันนั้นผมจำจนทุกวันนี้ “พวกคุณเป็นจิตแพทย์เป็นนักจิตวิทยากันทั้งนั้น แต่ไม่มีใครได้ยินเสียงของผู้หญิงคนนี้เลย เธอกำลังมีความทุกข์อย่างแสนสาหัส ต้องมีคนดูแลเธอ แต่ผมก็ไม่เห็นพวกคุณเข้าไปคุยกับเธอเลย เธอเป็นลูกสาวของผู้ป่วยครับ” มันเป็นคำพูดที่กระตุกให้ผมนึกถึงคำว่า “Empathy” ของตัวเองอย่างรุนแรง

พี่น้องชาวสุขภาพจิตทุกท่านครับ ท่านสำรวจความเข้มแข็งของ “Empathy” ในตัวท่านครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ และในวันนี้ถ้าท่านยังไม่ได้ยินเสียงของบรรดาอาจารย์และนักวิชาการที่นำเสนอปัญหาการฆ่าตัวตายของประชาชนในสถานการณ์ COVID 19 ผมว่าท่านจะต้องทบทวนสิ่งที่เรียกว่า “Empathy” ในตัวของท่านใหม่แล้วล่ะ

สถานการณ์แบบที่เรากำลังเผชิญอยู่กับ COVID 19 ในขณะนี้นี่แหละคือสถานการณ์ที่จะนำไปสู่ปัญหาโรคซึมเศร้าและการฆ่าตัวตายของประชาชนอย่างขนานใหญ่ และผมมองว่ามันจะรุนแรงกว่าเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจของเราในปี 2540 อีกด้วย

คนจำนวนมากตกงาน ไม่มีกิน ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ไม่มีความหวังในชีวิต กลายเป็นคนไร้ค่า ทั้งหมดคือความสูญเสียที่รุนแรงทั้งสิ้น และเมื่อใดก็ตามที่คนคนหนึ่งเกิดความรู้สึกไม่มีความหวังในชีวิต(Hopeless) ไร้ค่า(Worthless) มองไม่เห็นใครที่จะช่วยได้เลย(Helpless)ขึ้นมาพร้อม ๆ กัน ความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายก็จะสูงขึ้นมาทันที

ท่านต้องใช้ “Empathy” ท่านจึงจะมองเห็นสิ่งเหล่านี้ การเอาระเบียบวิธีวิจัยมาใช้เป็นเครื่องมือในการรับฟังเสียงของประชาชนคือการ Devalue เสียงของประชาชน และกีดขวางการทำงานของ “Empathy” ในตัวท่าน แล้วท่านจะช่วยเหลือประชาชนได้อย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้

ประชาชนต้องการท่าน เขาต้องการให้ท่านรับฟังเสียงของพวก เขาจึงได้ส่งเสียงมา จริงอยู่เสียงของพวกเขาอาจไม่เพราะ อาจดูดุดันก้าวร้าว แต่ถ้าใจของท่านยังมี Empathy อยู่ ท่านจะได้ยินเสียงเหล่านี้อย่างชัดเจน ปัญหาที่พวกเขาอยากให้ช่วยเหลือท่านอาจจะไม่สามารถช่วยได้ทั้งหมด แต่เพียงแค่ “ท่านรับฟังเสียงของพวกเขาด้วยความรู้สึก “Empathy” เท่านั้น” ท่านก็ช่วยพวกเขาได้เยอะแล้วครับ

ผมจึงเรียกร้องให้ท่าน “ฟังเสียงประชาชน ด้วยใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วย Empathy” ไม่ว่าประชาชนคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม เพราะด้วยวิธีนี้เท่านั้น ท่านจึงจะสามารถเข้าถึงความทุกข์ของประชาชนและช่วยประชาชนได้


Udom Pejarasangharn

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=2618230165083592&id=100006899029309

วันพุธ, เมษายน 29, 2563

สื่อนอกขุดคุ้ย 'วิษณุ' - THAI JUDGES FIXED 3 BILLION BAHT COURT CASE – ‘ON DEPUTY PRIME MINISTER’S ORDERS’

เมืองไทยเดี๋ยวนี้ยิ่งดังหนักในสายตาฝรั่งที่ได้รู้เห็น เรื่องราวที่คนไทยอาจรู้แต่ไม่เห็น หรือเห็นแล้วก็ไม่รู้ นอกจากที่เกี่ยวกับองค์พระประมุขซึ่งทรงประทับในเยอรมนีเกือบถาวรแล้ว ยังมีเบื้องลึกและลับๆ เกี่ยวกับเสนาบดีอีกด้วย

แอนดรูว์ ดรัมมอนด์ นักหนังสือพิมพ์อิสระที่เคยอยู่เมืองไทย ๒๖ ปี ในฐานะผู้สื่อข่าว ดิอ็อฟเซิ้ร์ฟเวอร์ อีฟเวนิ่งสแตนดาร์ด และไทมส์ เขียนบทความจากอังกฤษเมื่อวานนี้ ถึงการเสียชีวิตของทนายความชาวอังกฤษ อดีต เอ็กซ์แพท’ ในไทยอีกคน

เขาระบุว่าเกี่ยวโยงกับคดีความที่รองนายกฯ วิษณุ เครืองาม แทรกแซงโดยโทรศัพท์ถึงหัวหน้าคณะผู้พิพากษาภาค ๘ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษา จนจำเลยที่เป็นนักการเมืองและนักธุรกิจใหญ่ในท้องที่สองคน ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหาย ๓ พันล้านบาท
สตีเว็น แกรนวิลล์ บาดเจ็บสาหัสมีแผลเหวอะที่หัว นอนไร้สติอยู่ข้างทางเปลี่ยวบนเกาะภูเก็ตเมื่อ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๖ ผู้พบเห็นแจ้งตำรวจนำส่งโรงพยาบาลป่าตองและวชิระ หลังจากนั้นอาการไม่ดีขึ้นเลยจึงต้องเดินทางกลับไปเสียชีวิตที่อังกฤษ

ตำรวจไทยอ้างว่าแกรนวิลล์บาดเจ็บเพราะรถจักรยานยนต์ที่เขาขี่เกิดอุบัติเหตุ แต่โรงพยาบาลสองแห่งแจ้งตรงกันว่าอาการของเขาไม่ได้เกิดจากรถคว่ำแน่นอน ก่อนเกิดเหตุแกรนวิลล์เซ็นสัญญาร่วมงานโครงการก่อสร้างรีสอร์ทขนาดใหญ่กับนักการเมืองไทยสองคน

ประพล มิลินทร์จินดา ที่ปรึกษาของวิษณุ เครืองาม กับสองพี่น้องตระกูลศรีรุ่งสุขพินิจ ณัฏฐชัย (อ๊อด) และพีรศักดิ์ (ปุ๋ย) เป็นผู้ร่วมทุนสร้างโรงแรมหรูขนาดใหญ่ ปุระวนา’ ซึ่งกลับเกิดปัญหาเกี่ยวกับเงินทุนก่อสร้าง ถึงขั้นเป็นคดีในศาล

คำพิพากษาที่ไม่ได้มีการอ่านในศาลถูกแก้ไขให้จำเลยหลุดคดีไม่ต้องมีการชดใช้ ซึ่งดรัมมอนด์แฉว่าเป็นเพราะรองฯ วิษณุโทรศัพท์ถึงสมศักดิ์ ขวัญแก้ง อธิบดีผู้พิพากษาภาค ๘ ดรัมมอนด์ยังอ้างถึงการที่ พล.ต.อ.เสรี เตมียาเวส เตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจวิษณุ

วิษณุเคยถูกชี้ว่าพัวพันคดี หุ้นมรณะ ๓๐๐ ล้าน จากการเป็นหุ้นส่วนก่อตั้งบริษัทรักษาความปลอดภัย เออีซี’ ด้วย หากแต่การอภิปรายถูกตัดตอนยุติเสียก่อนจะถึงคิวของเสรีพิศุทธ์ นอกจากนั้นดรัมมอนด์ ยังอ้างถึงการทำเรื่องสืบสวนของเพื่อนเอ็กซ์แพทอีกคน
 
วินเซ้นต์ แม็คกาววัน ทำสกู๊ปเรื่องการตายของแกรนวิลล์โดยชี้หลักฐานซึ่งโรงพยาบาลป่าตองและวชิระระบุตรงกันว่า บาดแผลที่ศีรษะของแกรนวิลล์ไม่มีทางเกิดจากอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ และแกรนวิลล์บอกกับเขาสองวันก่อนเจออุบัติเหตุ

ว่า “ผมจะต้องออกไปจากประเทศนี้เสียแล้ว ไม่งั้นผมคงต้องตายอยู่ที่นี่” ดรัมมอนด์ยังให้รายละเอียดทั้งเรื่องการตายของแกรนวิลล์ และคดีโครงการสร้างรีสอร์ทปุระวนา ไว้อย่างละเอียดมากมาย อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.andrew-drummond.news/judges-fixed-three-billion-baht-court-case-on-deputy-prime-ministers-orders/



Update :บทความของ แอนดรูว์ ดรัมมอนด์ ภาคภาษาไทยบนเว็บไซ้ท์ของเขา ที่ https://www.andrew-drummond.com/2020/04/30/NBHKczmQWdA4

ผู้พิพากษาแก้ไขผลของคดีความ มูลค่า 3,000 ล้านบาท – ‘ตาม คำสั่งของ รองนายกรัฐมนตรี’

พิพากษากลับคำตัดสินของศาล “เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า” เพื่อ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และ กรรมาธิการธรรมาภิบาล

และสิ่งเหล่านี้ ก็ได้นำความตายมาสู่ เนติบัณฑิตชาวอังกฤษ

รองนายกรัฐมนตรีและผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายของประเทศไทย คือบุคคลที่สั่งให้มีการ เปลี่ยนแปลงผลของคดีความที่มีความเสียหายมูลค่า 3 พันล้านบาท (74ล้านปอนด์) เกี่ยวพันกับนักการเมืองที่ทุจริต

นาย วิษณุ เครืองาม – ชายผู้ซึ่งช่วยให้ทหารเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ เป็นรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เพื่อทำให้ประชาธิปไตยของประเทศที่กำลังเปราะบางให้อ่อนแอลงอีก – เพียงแค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วสั่งการให้หัวหน้าผู้พิพากษาศาลภาค 8 ทางภาคใต้ของประเทศไทย กลับคำตัดสินคดีของศาลจังหวัดภูเก็ต

อีกทั้งนักการเมือง หนึ่งในปรึกษาของ นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา และอีกหนึ่งเป็นผู้สนับสนุนของรัฐบาลทหารกึ่งประชาธิปไตย ได้รับการอนุมัติให้เข้าทำการยึดพื้นดินที่มีอาณาบริเวณขนาดใหญ่บนเกาะ ซึ่งกำลังพัฒนาให้เป็นรีสอร์ทระดับโลก เพื่อการพักผ่อนในวันหยุด ที่ใช้ชื่อว่า ปุระวนา รีสอร์ท โดยไม่มีการเสียเงินแม้แต่สลึงเดียว.
ปุระวนา รีสอร์ท หรือที่รู้จักกันในนาม ‘เดอะซัมเมอร์พาเลส’ หรือ ‘อาณาจักรที่สาบสูญ’- มันจะเป็นเช่นไร Puravan
แกรนวิลล์ เฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ในจังหวัดภูเก็ต
ลาภลอยที่ได้มาจากความสูญเสีย หลังจากการตายของผู้ริเริ่มโครงการซึ่งเป็นเนติบัณฑิตชาวอังกฤษ ที่มีชื่อว่า นายสตีเว่น เจมส์ แกรนวิลล์ , โดยร่างของเขาถูก พบอยู่ริมถนนในจังหวัดภูเก็ต มีลักษณะเหมือนถูกตีที่ท้ายทอย 4 จุดด้วยกัน ,หลังจากที่เขาได้ลงนามในสัญญากับนักการเมือง การสืบสวนของตํารวจที่ เป็นไปอย่างล่าช้า ครอบครัวแกรนวิลล์ได้กล่าวว่า เป็นการกระทำเพื่อ ปิดบังอำพรางให้กับผู้กระทำความผิด
ลักษณะการเกิดอุบัติเหตุ
นายแกรนวิลล์ ได้รับการรักษาครั้งแรกในป่าตองและโรงพยาบาลวชิระในจังหวัด ภูเก็ต ก่อนที่จะถูกนำตัวกลับไปรักษาตัวที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งภายหลังเขาได้เสียชีวิตลง จากอาการที่ได้รับบาดเจ็บทางสมอง เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ของโรงพยาบาลทั้งสองแห่ง ต่างมีความเห็นว่า นายแกรนวิลล์มีอาการบาดเจ็บที่ ‘ไม่สอดคล้อง’ กับอุบัติเหตุ อันเกิดจาก รถจักรยานยนต์.
พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส
ข้อสรุปจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยซึ่งรวมถึงอดีตข้าราชการตำรวจสองคนและนักการเมืองฝ่ายค้าน – ตามข้อมูลที่รวบรวมได้ในภาคใต้ของประเทศไทย – ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงคำตัดสินเป็นการสมคบคิดกันเพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองในฝากฝั่งของรัฐบาล ทั้งการโทรศัพท์ของนายวิษณุฯ ก็เป็นการสร้างหลักฐานสำคัญที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
เมื่อครั้งที่ นายวิษณุฯ ถูกตั้งคำถามในครั้งแรก เมื่อกว่า 1 ปีที่ผ่านมา เกี่ยวกับเรื่องนี้ เค้าให้ความเห็นว่า มันเป็นแค่ ‘ประเด็นทางการเมือง’ที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยว แต่ ‘หลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้’ ซี่งเป็นหลักฐานของการทุจริตในศาล ที่มันจะย้อนกลับเข้าไปหาตัวเค้าเอง
สำหรับผู้พิพากษาที่ได้ทำเอกสารผิดพลาดในขณะที่เร่งรีบเพื่อเปลี่ยนคำพิพากษาในนาทีสุดท้าย ในการฟ้องร้องดำเนินคดีทางแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหาย 3 พันล้านบาทกับเจ้าหน้าที่ทางการ เป็นหนี่งในการช่วยเหลือเพื่อนำไปสู่การทุจริตคอรัปชั่นอย่างที่สุด และเป็นการแสดงออกที่น่าตกใจ ถึงการขาดความแยกแยะระหว่างระบบยุติธรรมกับรัฐ
หลังจากที่หน่วยงานของรัฐ – ซึ่งได้แก่ สำนักนายกรัฐมนตรี กองปราบปราม และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพิกเฉยที่จะทำการสอบสวนในเรื่องดังกล่าว,พลตำรวจ เอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าปราบ กำนันเป๊าะ เจ้าพ่อภาคตะวันออก) รวมทั้ง พลตำรวจตรีวิษณุ ม่วงแพรสี ได้ยื่นเรื่อง ร้องเรียนอย่างเป็นทางการผ่านทางพรรคเสรีรวมไทยไปยังรัฐบาลปัจจุบัน
สิ่งนี้ทำให้รองนายกรัฐมนตรีวิษณุถูกขนานนามในที่ประชุมพรรคว่าเป็นผู้สร้างความอยุติธรรมของศาล ซึ่งเขาถูกซักถามและยอมรับออกม
หัวข้อนี้ เป็นญัตติหนึ่งของฝ่ายพรรคฝ่ายค้าน ได้ถูกส่งไปยังรัฐบาลเพื่อใช้ในการ ประชุมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ แต่รัฐบาลไม่ได้ถูก ซักถามในญัตตินี้ หลังจาก ฝ่ายรัฐบาลได้ตัดการอภิปรายไม่ไว้วางใจให้สั้นลง ทำให้ เกิดการประท้วง โดยการเดินออกจากที่ประชุม เพิ่มเติมเหตุแห่งการคว่ำบาตรซึ่งมีอยู่มากแต่ก่อนแล้ว ดังนั้นเรื่องอื้อฉาวนี้ก็ ยังคงไม่ได้รับการเปิดเผยต่อไป
นอกนั้นแล้ว ก็ยังได้มีการยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ ประธานศาลฎีกา นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ กล่าวถึงการกระทำที่ไม่สุจริตผิดกฎหมายและไม่เป็นธรรม ใน กระบวนการยุติธรรม แต่เรื่องราวก็ยังคงเงียบอยู่
เมื่อไม่นานมานี้ก็ได้มีการกล่าวถึงและถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในประเทศไทย เกี่ยวกับการเปลี่ยนคำพิพากษา นับตั้งแต่ผู้พิพากษา นายคณากร เพียรชนะ หยิบปืน ขึ้นมายิงเพื่อสังหารตัวเอง หลังจากถูกสั่งให้เปลี่ยนคำพิพากษาตัดสิน ในคดีที่เขา เชื่อว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์
นายคณากร เพียรชนะ : ไทยพีบีเอส judge shooting
ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ข้าราชการเกษียณอายุ พลตำรวจเอก ก่อเกียรติ์ วงศ์วรชาติ อดีตรองผู้บัญชาการการตำรวจแห่งชาติ ณ กรุงเทพมหานคร และอดีตผู้บัญชาการ ตำรวจภูธรภาค 8 ซึ่งได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับคดีนี้มากว่าหกปีและได้พูดคุยกับ พยานที่สำคัญรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ของโรงพยาบาล ที่ นายสตีเว่น เจมส์ แกรนวิลล์ เข้าทำการรักษา ซึ่งเขายอมรับว่าหัวหน้าตำรวจท้องถิ่นรับว่าตนได้ทำ “ผิดพลาดครั้งใหญ่” ในการทำคดีอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ของนายสดีเวนฯ เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์กล่าวว่า บาดแผลจากการบาดเจ็บของ นายสตีเว่นฯ ไม่สอดคล้องกับอุบัติเหตทาง รถจักรยานยนต์
พลตำรวจเอกก่อเกียรติ ผู้ซึ่งติดต่อโดยตรงกับครอบครัวของนายสตีเว่นฯ ที่ประเทศ อังกฤษ ได้บอกกับชาวต่างชาติที่เป็นเหยื่อ ว่า

“ดูเหมือนว่าในขณะนี้ มีเพียงรัฐมนตรีในรัฐบาลของคุณเท่านั้นที่จะช่วยได้”

พลตำรวจเอกก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ “รัฐบาลต่างประเทศเท่านั้นที่จะช่วยได้”

นายธรรมนัส พรหมเผ่า ถูกเนรเทศออกจากประเทศออสเตรเลียหลังจากถูกจำคุก ในคดีการค้าเฮโรอีน
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยได้ปฏิเสธที่จะถอดถอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายธรรมนัส พรหมเผ่า หลังจากได้ถูก เปิดเผยว่าเป็นผู้ลักลอบค้าเฮโรอีน และถูกศาลในประเทศออสเตรเลียพิพากษาตัดสิน ให้จำคุก ได้ถูกส่งตัวกลับ หลังจากจำคุกอยู่ในเรือนจำ 4 ปี ของโทษจำคุกทั้งหมด หกปี ขณะที่ชาวต่างชาติหากถูกจับดำเนินคดี ในประเทศไทยด้วยข้อหาลักษณะที่ คล้ายกัน คือ 3.2 กิโลกรัม – จะได้รับการพิพากษาลงโทษถึงจำคุกตลอดชีวิต
และความจริงที่ว่า นายวิษณุ เครืองาม ปกป้องชื่อเสียงรัฐมนตรีช่วยว่าการ พรรค พวกของเขา อย่างน่าจดจำ: ‘คุณสมบัติของ นายธรรมนัส ไม่มีปัญหาสำหรับที่นั่งใน คณะรัฐมนตรี เพราะเขาไม่ได้ถูกดำเนินคดีโดยศาลแห่งประเทศไทย ‘ แสดงให้เห็น ว่าเรื่องนี้ก็ยังดำเนินต่อไป
ถึงแม้ว่า รัฐบาลประเทศอังกฤษ ได้เข้ามาสนใจในเรื่องราวของครอบครัวแกรนวิลล์ ได้มีการหารือถึงระดับรัฐมนตรี แต่ก็ไม่แสดงความสนใจ ว่าจะเข้าไปก้าวก่าย กระบวนการพิจารณาคดีของประเทศอื่น .
แม่ของนายสตีเว่นฯ กล่าวว่าเจ้าหน้าที่ ได้แสดงออกถึงความ ‘ไม่เต็มใจที่จะ ยอมรับความจริง’ และ ‘เพิกเฉยโดยไม่ทำอะไรเลย’


นักการเมือง

ณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ
นักการเมืองที่ได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ ก็คือ ณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษาคนหนึ่งของ สำนักนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีพี่ชายคือ ‘ปุย’ พีระศักดิ์ ศรีรุ่งสุข จินดาอนุกรรมาธิการ ในคณะอนุกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการกระทำการ ทุจริตและประพฤติมิชอบ และนายประพล มิลินทจินดาผู้เคยเป็นที่ปรึกษาของรอง นายกรัฐมนตรีวิษณุ เครืองาม อีกทั้งยังเป็นหุ้นส่วนในบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ร่วมกันอีกด้วย
ทีมในฝัน เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ นายสตีเว่นฯ ในขณะเขาที่กำลัง ประสบปัญหาอย่าง ร้ายแรงหลังจากนักลงทุนรายใหญ่ชาวสเปนใน บริษัท ปุระวนา จำกัด ได้ถอนตัว ออกมา
ปุ๋ย พีระศักดิ์ ในนามของ อนุกรรมาธิการ คณะอนุกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบฯ
โครงการหยุดชะงักลง ผู้ร่วมลงทุนคนอื่นๆ ต่างก็บอกว่า ‘ฉ้อโกง’ เงินกู้จากธนาคาร จำนวน 400 ล้านบาท และการขายผลประโยชน์ของเขาใน โรงแรมภูเก็ตยอชต์คลับ ให้แก่ Conde Nast ซึ่งเป็นหนึ่งใน ‘โรงแรมรีสอร์ทที่ดีที่สุดในโลก’ ก็ไม่เพียงพอที่จะ ช่วยให้เค้าหลุดพ้นจากปัญหาไปได้
สตีเว่นฯ ได้รับการติดต่อโดยตรงจากประพล ผู้ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของสองพี่น้อง ปุ๋ย และอ๊อด และจากนั้นบันทึกความเข้าใจ (MOU) ก็ได้ถูกร่างขึ้น สองพี่น้องจะทำ การลงทุนในโครงการเพื่อก่อสร้างรีสอร์ท โดยจะทำการนำเงินมาลงทุนทั้งหมดที่ทำ ให้โครงการแล้วเสร็จได้ และนายสตีเว่นฯ จะได้รับการปันส่วนสำหรับกำไร และ เงินเดือนในอัตราเดือนละ 250,000 บาท เนติบัณฑิตชาวอังกฤษ จะต้องโอนหุ้น จำนวน 580,000 หุ้น แต่มีการยืนยันข้อตกลงที่ว่า หากสองพี่น้องไม่ทำการลงทุนตาม กรอบเวลาที่กำหนด จะต้องโอนหุ้นจำนวนดังกล่าวคืนให้กับนายสตีเว่นฯ หุ้น จำนวนดังกล่าวได้โอนให้กับนายประพล และสองพี่น้องได้ให้ พนักงานผู้หญิงอีก สองคน ถือหุ้นแทน
ตอนนี้อ้อยเข้าปากช้างแล้ว หากหากนายสตีเว่น ระมัดระวัง ละเอียดรอบคอบ และ ตรวจสอบเพื่อนนักธุรกิจใหม่ของเขา ให้มากกว่านี้ เขาคงไม่จรดปลายปากกาลงบน กระดาษ
เมื่อถึงกำหนดเส้นตายในการลงทุนกำลังจะเกิดขึ้น เค้าก็เริ่มที่จะกังวล แม่ของเขา นางซาแมนต้า ซิมมอนดส์ อายุ 76 ปี และอาศัยอยู่ที่ นอร์ท คอร์นเวล ได้อธิบายถึง ลักษณะถึงความรู้สึกของเขาที่เกิดขึ้น “ผมได้ทำสัญญากับกลุ่มผู้มีอิทธิพลไปแล้ว” เขาได้บอกกับเธอ




นายวินเซ้น แมคโอเว่น ได้ร้องเรียนต่อ กองปราบปรามเมื่อ ปีที่แล้ว ให้สอบสวนกรณีการฆาตกรรมนายสตีเว่นฯ ในรูปขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือของเขา แสดงให้เห็นถึง อาการอัมพาตของนายสตีเว่นฯ และไม่สามารถที่จะพูดตอบโต้ได้ ต่อมาก็ได้เสียชีวิตลง ณ โรงพยาบาลใน เมือง เดวอน

สองวัน ก่อนที่เขาจะถูกพบอยู่ข้างถนนในจังหวัดภูเก็ต ในวันที่ 23 มีนาคม 2556 เขาได้บอกหัวหน้าฝ่ายการตลาดของเขา นายวินเซ้น แมคโอเว่น อายุ 51 ปี ชาวอังกฤษ จากเมืองบอร์นมัทท์ ว่า “ผมจะออกจากประเทศนี้ หรือไม่งั้นผมจะจบลงด้วยการตาย”
ครอบครัวของเขาเชื่อว่าความจริงแล้วไม่มีการลงทุนที่จะเกิดขึ้นตามสัญญา ในคืนวันที่เกิดอุบัติเหตุ ช่วงกลางดึกเขาได้พบกับหัวหน้าของ ไวเปอร์ กรุ๊ป ผู้ซึ่งได้รับการว่าจ้างให้เป็นผู้รักษาความปลอดภัยของ ปุระวนา และยังเป็นผู้ซึ่งคอยดูแล รายงานเหตุการณ์ในท้องถิ่นให้กับปุ๋ย
นายวินเซ้น แมคโอเว่น เล่าว่า ได้รับของมูลต่างๆ มาจากโทรศัพท์มือถือของนายสตีเว่นฯ ซึ่งต่อมาโรงพยาบาลได้ส่งมอบคืนให้กับแฟนสาวชาวไทยของเขา

นายประพล มิลินทจินดา


นายประพล มิลินทจินดา
หากนายสตีเว่นฯ ได้ศึกษาค้นคว้าความเป็นมาของเพื่อนนักธุรกิจคนใหม่ของเขา เขาจะทราบว่าไม่เพียงแต่นายประพล จะเคยเป็นที่ปรึกษา นายวิษณุ ตั้งแต่ครั้ง นายวิษณุเป็น รองนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตร เขาก็ยังเป็นหุ้นส่วนร่วมกับนายวิษณุ ในบริษัท เงินทุนหลักทรัพย์ เออีซี ที่มีเรื่องอื้อฉาวในกรณี การสังหารเพื่อหวังผลประโยชน์ เสี่ยชูวงษ์ แซ่ตั๊ง นักธุรกิจเศรษฐีชาวไทย อีกด้วย
(พาดหัวในไทย

ในกรณีดังกล่าว อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบรรยิน ตั้งภากรณ์ มีส่วนเกี่ยวข้องในการฉ้อโกงและสังหาร เสี่ยชูวงศ์ แซ่ตั๊ง ในอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี 2558 เสี่ยชูวงศ์ แซ่ตั๊ง ถูกตีจนตายแล้วนำศพไปไว้ในรถ ซึ่งวิ่งออกนอกถนนไปชนกับต้นไม้
หลังจากนั้น นายบรรยิน ก็ถูกกล่าวหาว่าโอนหุ้นมูลค่า 300 ล้านบาทให้กับหญิงสาวคนหนึ่ง ที่มีส่วนเชื่อมโยงกับ บริษัท เออีซี บริษัทที่ซึ่งเคยใช้เป็นช่องทางในการหาผลประโยชน์ของนักการเมือง และที่ซึ่ง นายวิษณุ เป็นประธานบริษัท และกรรมการผู้จัดการ ก็คือนายประพล


“รับเงินมาโดยไม่มีสาเหตุ และได้หญิงสาวสวยๆ มาแบบฟรีๆ” … Dire Straits

ณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ – อ๊อด

ณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ – อ๊อด
ณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ โดยกรณีเช่นเดียวกันกับ นักค้าเฮโลอิน ชาวไทย นายธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีคำสั่งห้ามเข้าประเทศออสเตรเลีย เว้นเสียแต่ นายณัฏฐชัยจะกลับมาพร้อมกับเงินจำนวนมหาศาล
ณัฏฐชัย “อ๊อด” ศรีรุ่งสุขพินิจ อยู่ในชุดข้าราชการ ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์

ในเดือนสิงหาคม 2555 มีคำพิพากษาตัดสิน ศาลฎีกา ของรัฐนิวเซาท์เวลส์ในกรณี การสั่งจ่ายเช็คเด้ง ที่ สตาร์คาสิโน ในเมืองซิดนีย์ เป็นจำนวนเงิน 4.98 ล้านเหรียญ ออสเตรเลีย
นี่มันเป็นสั่งจ่ายเช็คที่มีจำนวนมากที่สุด และเป็นส่วนหนึ่งของเงินจำนวน 22.9 ล้านเหรียญออสเตรเลีย กลุ่มของเขาเป็นกลุ่มของนักพนันชาวไทย จีน ที่รู้จักกันดีในนาม “ปลาวาฬ” ได้จ่ายเช็ดเด้งในการแพ้พนัน รายชื่อดังต่อไปนี้ ก๊อก วา ที , ณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ , สมบูรณ์ ศรีสมบัติธนกิจ ,ภัทสิตา กิรติพัฒนานันท์ , ไกรฤกษ์ คช , กัว ลาน , ชิน เมง ปัน , วิษณุ เวียงนาค , พิมชนา วัฒนากุลโยธิน และ เลียง ชง ยับ

พีระศักดิ์ ศรีรุ่งสุขจินดา –ปุ๋ย


เป็นเรื่องที่น่าขำ – พี่ชายของอ๊อด คือ นายพีระศักด์ ศรีรุ่งสุขจินดา เป็นสมาชิก ของ
คณะอนุกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการกระทำการทุจริตและประพฤติมิ ชอบ
มันเป็นเรื่องที่น่าขำ ก็เพราะไม่เพียงแต่เขาจะเป็นผู้ดูแลเรื่องตำแหน่งต่างๆของ ตำรวจทางภาคใต้ของไทยแล้ว ยังเล่นการพนัน เที่ยวผู้หญิง ในช่วงของการพักผ่อน ในวันหยุด และหนึ่งในบริษัทของเขา คือ “แอบโซลูท พาวเวอร์ เวิล์ด” ก็ยังกระทำ ผิดกฎหมายในเรื่องการนำเข้าขยะมีพิษ จากประเทศจีน ซึ่งเป็นการทำลายประเทศ บ้านเกิดอย่างชัดเจน





หลักฐานในการกระทำความผิดที่เพิ่งเกิดขึ้น .

หากคดีในประเทศไทยจะถูกแทรกแซง ผู้กระทำความผิดควรจะทำการแทรกแซงก่อนที่คดีจะ เริ่ม หรือควรกระทำในช่วงแรกของคดี เนื่องจากไม่ได้มีการบันทึกคำเบิกความในกระบวนพิจารณาของศาล มีเพียงการบันทึกสรุปคำเบิกความลงในเครื่องบันทึกเสียง ซึ่งกระทำได้โดยผู้พิพากษาในศาล ชั้นต้น หรือแม้แต่ข้ามหลักฐานอันสำคัญในคดี หาก ทนายความไม่ได้คัดค้าน หรือแจ้งเตือน ในการตัดสินของศาลนั้นผู้พิพากษาจะต้อง อ้างถึงหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ศาลได้พิมพ์ออกมา โดยถอดมาจากเครื่องบันทึกเสียง
แต่มีการรีบเร่งให้กลับคำพิพากษา ในคดีแพ่งดำที่ 1367/2559 ซึ่งผู้พิพากษาในศาล จังหวัดภูเก็ตขณะนั้นคือ , นายโสธร เจริญพานิช และนางสาววัชรา จันทรวรา ผู้ซึ่ง ได้รับคำสั่งให้ตัดสินในวันนั้น ทำให้นายสตีเว่น และครอบครัวของเขา ต้องตกอยู่ใน สภาวะที่ลำบาก
ดูเหมือนว่าไม่มีเวลาที่จะเขียนคำพิพากษา ซึ่งมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 20 หน้า หากต้อง อ่านในศาล คงต้องใช้เวลาอ่านอย่างต่ำ 1 ชั่วโมง

ในความเป็นจริง คำสั่งศาลในวันที่ 29 ตุลาคม เมื่อปีที่แล้ว ออกมาช้ามาก ทั้งที่ได้มีการพิมพ์ “รายงานกระบวนพิจารณาของศาล” เตรียมไว้แล้ว เป็นการตัดสินใจที่ขัดแย้งกัน – มีการตรวจสอบก่อนว่า ในวันดังกล่าวมีโจทก์ จำเลย ทนายความ ฝ่ายใดมาอยู่ในศาลบ้าง
ในบันทึกของพวกเขา ประพล ได้ให้ทนายความมาแทน แต่ในส่วนของ จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ซึ่งได้อ้างว่าเป็นตัวแทนของ “อ๊อด” และ “นาท” ไม่ได้มาด้วยตนเอง อีกทั้งไม่มีแม้ตัวแทนมาศาล
แทนที่จะเขียนรายงานกระบวนพิจารณาขึ้นมาใหม่ แต่ผู้พิพากษากลับใช้วิธีการขีดฆ่าข้อความเดิมในรายงานกระบวนพิจารณา (ดูด้านล่าง) เพื่อกลับคำตัดสิน – จากนั้นบอกแก่โจทก์ว่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ โดยผู้พิพากษากลับปล่อยให้ทนายโจทก์เห็นรายงานกระบวนพิจารณาด้วยความผิดผลาดหรือจงใจ
บนบรรทัดที่โดนขีดฆ่ามีใจความว่า ให้จำเลยที่ 1 และ จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน
หลักฐานในที่มีการแก้ไข
พวกเขาไม่สามารถอ่านคำพิพากษาฉบับสมบูรณ์ตามกระบวนพิจารณาที่เหมาะสม เช่นเดียวกันกับรายงานกระบวนพิจารณาคดีได้ เป็นเพราะมีเพียงคำพิพากษาฉบับสมบูรณ์เท่านั้น ที่ระบุเหตุผลที่สมบูรณ์ และชอบด้วยกฎหมายว่าทำไมฝ่ายนักการเมืองแพ้คดีนี้
ผู้พิพากษาโสธร ได้พูดแบบไม่เต็มเสียงว่าไม่สมควรนำคดีนี้มาสู่ศาล (แม้ว่าจะได้การประทับรับฟ้องเป็นคดีความในศาลแล้วเป็นเวลาถึง 2 ปี) จากนั้นก็ได้ติดตามความเห็นของเขาจากรายการกระบวนพิจารณาคดี ที่ได้มีการแก้ไขข้อความสำคัญ
ในขณะนั้น ผู้พิพากษาวัชรา จันทรวรา ได้ลุกขึ้นและเดินออกไปจากศาล ซึ่งในการโยกย้ายประจำปีที่เกิดขึ้นเมื่อต้นเดือน ผู้พิพากษาวัชราได้ขอย้ายไปยังกรุงเทพฯและผู้พิพากษาโสธรขอย้ายไปที่สุราษฎร์ธานี
สภาพในปัจจุบันของโครงการปุระวนา รีสอร์ท หรืออีกชื่อหนึ่ง ว่า “อาณาจักรที่สาบสูญ” ที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ มีที่ตั้งอยู่บนดินแดนแห่งการ พักผ่อนในวันหยุด ของเมืองไทย เกาะภูเก็ต – ปัจจุบันนี้กลายสภาพเป็นป่าดงดิบ
การสอบสวนของตำรวจ
ตำรวจไทยได้เขียนรายงานถึงสาเหตุการเสียชีวิตของนายสตีเว่นฯ ว่ามาจากอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์ นายสตีเว่นไม่มีโอกาสได้บอกกล่าว และหลังจากที่ได้รับการรักษาฉุกเฉินเบื้องต้นจากโรงพยาบาลวชิระ เขาก็ถูกนำตัวกลับไปรักษายังประเทศอังกฤษ ซึ่งได้ทำการผ่าตัดบริเวณกระโหลกหลายต่อหลายครั้งก่อนที่เค้าจะเสียชีวิตลง อุบัติเหตุรถจักรยานยนต์เป็นสาเหตุสำคัญอันดับต้น ๆ ของการเสียชีวิตที่ผิดธรรมชาติของชาวต่างชาติในประเทศไทยและสำหรับตำรวจแล้วมันก็เป็นเพียงงานเอกสารที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ไม่มีแม้กระทั่งผู้กระทำความผิดหรือผู้เสียหาย
ในทางกลับกันหลักฐานเพียงอย่างเดียวที่สนับสนุนว่าได้มีการเกิดอุบัติเหตุ ก็คือร่างของนายสตีเว่น และรถจักรยานยนต์ในที่เกิดเหตุ สภาพของนายสตีเว่น ไม่มีบาดแผล และการแตกหักของกระดูกตามร่างกายในส่วนอื่นๆ มีเพียงแต่บาดแผลตรงด้านหลังของศรีษะเท่านั้น ความเสียหายของเสื้อผ้าแทบจะไม่ปรากฏให้เห็น แม้ร่องรอยของบาดแผล หรือ สิ่งสกปรกใดๆ ก็ไม่ปรากฏอยู่บนร่างของชายผิวขาวด้วยซ้ำไป
และเจ้าหน้าที่ของทั้งโรงพยาบาลป่าตอง สถานที่ซึ่งทำการรักษาเขาในครั้งแรก โดยรถพยาบาลของมูลนิธิได้นำตัวเขามาส่งด้วยข้อมูลเบื้องต้นว่า เป็นผู้ได้รับการบาดเจ็บจากการเกิดอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์ รวมถึงโรงพยาบาลวชิระ ที่เขาถูกย้ายตัวมารักษา ได้กล่าวว่า สิ่งที่มากระทบที่ศรีษะของนายสตีเว่นฯ มันไม่สอดคล้องกับสาเหตุจากการที่เขา “รถจักรยานล้ม” – ซึ่งเป็นสาเหตุที่อยู่ในรายงานของตำรวจ
นายวินเซ้น กำลังร่วมประชุมวางแผนกับ ศปอส. ตร. (ศูนย์ ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ)
มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น จนกระทั่งปี 2562 ที่ตำรวจไทยในนามของ ศปอส. ตร. (ศูนย์ ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ) ได้ทำการสอบสวน ขั้นสูงสุด หลังจากได้มีการรายงานข่าว เกี่ยวกับการร้องเรียนของนายวินเซ้น ในสื่อสารมวลชนของประเทศไทย
แต่การสอบสวนก็ถูกส่งกลับไปยังตำรวจในท้องที่ นำนายวินเซ้นไปยังสถานที่เกิดเหตุ – บนถนนที่ทอดยาวทางด้านใต้ของตำบลกะรน ในจังหวัดภูเก็ต
นายวินเซ้น แมคโอเว่น พร้อมกับพนักงานสอบสวน ณ สถานที่เกิดเหตุ , สถาพร (ด้านซ้าย นายวินเซ้น แมคโอเว่น พร้อมกับพนักงานสอบสวน ณ สถานที่เกิดเหตุ
ทางครอบครัว เชื่อว่านายสตีเว่นฯ ถูกทำร้ายมาจากที่อื่น และนำทั้งร่างของเขาและจักรยานยนต์ มาทิ้งไว้ ณ จุดเกิดเหตุ แต่ในปี 2559 ก็ไม่สามารถดำเนินการทางนิติเวชใดๆได้ ผู้ประสบอุบัติเหตุก็ได้เสียชีวิตลง และสิ่งต่างๆในบริเวณจุดเกิดเหตุก็ได้สูญหายไป จากการผ่านฤดูฝนมาถึง 5 ปี
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้ไปที่โรงพยาบาลวชิระ เพื่อพูดคุยซักถามกับ นางพยาบาลเมธาวี มณีศรี ซึ่งเป็นหัวหน้าพยาบาล และทีมบุคลากรทางการแพทย์ พวกเขาไม่ได้ติดต่อกับอดีตแฟนสาวของนายสตีเว่นฯ ซึ่งเธอเก็บโทรศัพท์มือถือของนายสตีเว่น ที่บันทึกการติดต่อของเค้าในช่วงเวลากลางดึกไว้ได้ อีกทั้งยังไม่สามารถค้นเจอเครื่องคอมพิวเตอร์ของเขาอีกด้วย
นายวินเซ้น กล่าวว่า, นางพยาบาลเมธาวี ผู้ซึ่งทำงานในฝ่ายบริหารของโรงพยาบาล ได้บันทึกอ้างถึงวันที่เกิดอุบัติเหตุ เพราะว่าไม่เพียงแต่แพทย์ สรุปว่าอาการบาดเจ็บของนายสตีเว่น ไม่สอดคล้องกับการเกิดอุบัติเหตุทางถนน แต่มันมีการแทรกแซงอย่างมากตั้งแต่เช้าตรู่จากกลุ่มของผู้มีอิทธิพล
เมธาวี กล่าวว่า, “ปุ๋ย” ได้กลับมาขอรายงานทางการแพทย์ของนายสตีเว่น โดยให้เหตุผลว่าเค้าจะเป็นผู้ชำระค่ารักษาพยาบาลเอง ซึ่งทางโรงพยาบาลก็ได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลจำนวน 74,000 บาท จากบัตรเครดิตของเขา แต่ก็ปฏิเสธที่จะคัดถ่ายเอกสารรายงานการแพทย์ใดๆให้ แต่เขาก็ยังคงพยายาม
และจากนั้น”อ๊อด”ก็ได้โทรศัพท์ไปยังโรงพยาบาล เพื่อขอรายงานทางการแพทย์อีกครั้งหนึ่ง โดยอ้างว่า “ปุ๋ย” พี่ชายของเขาเป็นบุคคลที่สำคัญมากในรัฐบาล
เมธาวีกล่าวว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด 28 ปี ในเรื่องที่เกี่ยวกับอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์ และรถยนต์ ตัวเธอเองไม่เคยเห็นอาการบาดเจ็บแบบนี้มาก่อนเลย และเห็นด้วยความความเห็นของคณะแพทย์ จากนั้นนายวินเซ้น ได้ให้เธอติดต่อไปยังนายตำรวจที่มีชื่อว่า สถาพร เป็นบุคคลที่ซึ่งเธอได้เคยติดต่อในขณะที่เกิดอุบัติเหตุ เขาได้โยกย้ายไปยังจังหวัดอุดรธานีเสียแล้ว แต่ก็ยังจดจำกรณีนี้ได้ดี ได้มีการพูดคุยถึงชื่อของ “ปุ๋ย” และ “อ๊อด”ในหลายครั้ง ว่าได้เข้าไปถือครองที่ดินของนายสตีเว่น แกรนวิลล์ ดูเหมือนว่าจะเป็นโครงการที่ใหญ่มากในจังหวัดภูเก็ต
สถาพรอ้างว่า เข้าไม่ใช่ผู้ดูแลในเรื่องนี้ เป็นเพียงแค่เจ้าหน้าที่เวรของสถานีตำรวจภูธรกะรน ในวันที่เกิดอุบัติเหตุ ได้ลงบันทึกประจำวัน ส่วนที่ปรากฎชื่อของเขาอยู่ในรายงานบันทึกประจำวัน ก็เพราะเขาเป็นผู้ที่กรอกรายละเอียดในบันทึกประจำวันนั่นเอง หลังจากนั้นเขาได้ถูกสั่งให้ไปพบแพทย์ ณ โรงพยาบาลป่าตอง เพื่อให้แพทย์กรอกข้อมูลในส่วนของรายงานของแทพย์ลงบนแบบฟอร์มอุบัติเหตุ
สถาพร อ้างว่า แพทย์ปฏิเสธที่จะลงความเห็นว่าเกิดจากอุบัติเหตุลงในรายงานทางการแพทย์ ซึ่งเขาก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน แต่มันก็เป็นระเบียบของทางราชการตำรวจ และของทางโรงพยาบาล เขาจึงได้เขียนความเห็นแย้งของเขา ว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ บันทึกลงบนด้านหลังของรายงานดังกล่าว และเพิ่มความเห็นว่าสมควรที่จะมีการสอบสวนเพิ่มเติมต่อไป จากนั้นเมธาวี ก็ได้ส่งบันทึกของเธอและสำเนารายงานของตำรวจ ซึ่งสถาพรได้ส่งมาให้เธอ นั้นให้กับผม ในบันทึก ปรากฏอย่างชัดเจนว่า มีลายเซ็นของสถาพร พร้อมทั้งลายเซ้นของตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนอื่นของสถานีตำรวจภูธรกะรนอยู่ด้วย แต่ตรงด้านหลังบันทึกของเมธาวีนั้นว่างเปล่า ไม่ได้มีการถ่ายเอกสารบันทึกทางการแพทย์ทางด้านหลังติดมาด้วย
-นายวินเซ้น แมคโอเว่น –
เมธาวี กล่าวว่า
“ฉันไม่สามารถที่จะให้ความเห็นต่อนักข่าวได้ แต่หากตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ติดต่อมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันก็สามารถให้ความร่วมมือ ทั้งหมดนี้ฉันบอกได้เลยว่า รายงานทางการแพทย์ที่พวกเราได้มอบให้แก่ตำรวจไปแล้วนั้น มันไม่สามารถที่จะแก้ไขได้”
สถานทูตอังกฤษ ประจำ กรุงเทพมหานคร และสำนักงานต่างประเทศและสหราชอาณาจักร ประจำกรุงลอนดอน มีรายงานของตำรวจราว 50 หน้า และจดหมายร้องเรียนจำนวนหลายฉบับ จาก ซาแมนต้า ซิมมอนส์ด, เทรเวอร์ ผู้เป็นสามีของเธอ และวินเซ้น แมคโอเว่น เพื่อผลักดันกรณีของนายสตีเว่น ในประเทศไทย

แต่มันก็ไม่มีคำรับสารภาพ และหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ หรือพยานหลักฐานใดๆ ในที่เกิดเหตุ ที่ชัดเจนจนสามารถนำมาฟ้องร้องดำเนินคดีได้ต่อไป
ในขณะนี้ นายวินเซ้น แมคโอเว่น ต้องปฏิบัติตามนโยบายจำกัดบริเวณจากสถานการณ์ไวรัสโควิด อยู่ที่หัวหิน หนังสือเดินทางของเขาถูกยึดไว้โดยศาลจังหวัดภูเก็ต เนื่องจากนายประพละกำลังเฟ้องกลับนายวินเซ้น
ทนายของนายประพล บอกกับทนายของผมว่า ผมจะไม่ได้รับหนังสือเดินทางคืน นอกเสียจากว่า จะไม่ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของศาล และศาลได้แจ้งมายังทนายของผมว่า จะต้องนำเงินจำนวน กว่า 3 ล้านบาท มาวางเพื่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไป ตอนนี้ผมมีเงินติดตัวอยู่เพียง 4,800 บาท แต่ผมจะชนะในท้ายที่สุด