วันจันทร์, กันยายน 03, 2561

ย้ายค่ายทหารออกนอกกรุง ไม่เกี่ยวแต่คล้องจองกับ ลดกำลังพลลงครึ่งหนึ่ง

ในสถานการณ์ย้ายค่ายทหารออกนอกกรุง อันไม่เกี่ยวกับข้อเสนอนโยบายของ (ว่าที่) พรรคอนาคตใหม่ ให้ลดกำลังพลลงเหลือครึ่งเดียว เพื่อประหยัดงบประมาณที่กองทัพใช้ลงหนึ่งในสาม กับการประกาศเขตเลือกตั้งสำหรับ (ว่าที่) ปี ๒๕๖๒

จากการประกาศเขตเลือกตั้งเมื่อ ๓๐ สิงหา ปรากฏว่า จำนวนเขตเลือกตั้งสำหรับการออกเสียงครั้งหน้าที่คาดว่าจะเป็นภายในปลายกุมภาถึงกลางพฤษภา ลดลงเหลือ ๓๕๐ เขต น้อยกว่าปี ๕๔ ถึง ๒๕ เขต

“นั่นหมายความว่าเขตเลือกตั้งจะใหญ่ขึ้น และคะแนนขั้นต่ำเพื่อจะได้ ส.ส.เขต ก็จะสูงขึ้นไปด้วยเช่นกัน” Thanapol Eawsakul คาดคะเน และ “เขตที่มีจำนวน ส.ส ลดลงมากที่สุด คือกรุงเทพมหานคร จากเดิมที่มีส.ส. ๓๓ คน เหลือเพียง ๓๐ คนเท่านั้น”

ทำให้จำเป็นอย่างยิ่ง ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ทั้งคนใหม่จะได้ใช้สิทธิครั้งแรก และคนเก่า (แก่) ที่เฉื่อยชาจ่าเฉยกับการเมืองที่เป็นมาตลอดสี่ปี ดีไม่ดีจะเป็นไปอีกสี่ซ้าห้าปีข้างหน้า จะต้องออกมาใช้สิทธิกันอย่างเต็มที่ เต็มร้อย เมื่อการเลือกตั้งครั้งใหม่มาถึง

อย่าได้เป็นพวก วิตกจริตทางการเมือง ไม่เข้าท่าราว ๕๐๐ คน ที่บอกกับดุสิตโพลว่า ถ้ามีการ ปลดล็อคหรือ คลายล็อคให้พรรคการเมืองหาเสียง แถลงนโยบายได้แล้วจะ “เกิดความขัดแย้ง บ้านเมืองวุ่นวาย” และเกิด “การทะเลาะเบาะแว้ง ใส่ร้าย สาดโคลน”

ทั้งที่ในโพลเดียวกันมีคนราว ๓๕๐ ถึง ๔๖๐ คนหนุนให้มีการคลายล็อคและปลดล็อคให้แก่พรรคการเมืองโดยไว เพื่อ “ช่วยให้บรรยากาศทางการเมืองดีขึ้น พรรคการเมืองมีเวลาในการเตรียมตัวก่อนการเลือกตั้ง” และยัง “ป้องกันไม่ให้บ้านเมืองวุ่นวาย เกิดความขัดแย้ง ยังสามารถควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองได้


ข่าววานนี้ (๒ กันยา) “กองทัพบกเตรียมย้ายที่ตั้งหน่วยทหารออกนอกกรุงเทพฯ” ซึ่ง “ส่วนใหญ่เป็นหน่วยยานเกราะระดับกองพัน กองร้อย” ไปอยู่สระบุรีและลพบุรี แล้วหลังจากนั้นจึงย้ายหน่วยปืนออกไปอยู่ลพบุรีเช่นกันต่อไป

อีกทั้งยังจะมีการ “ยุบเลิกหน่วยงานของทหารราบบางหน่วยในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยให้โอนกำลังพลเฉพาะกำลังรบ รวมทั้งยุทโธปกรณ์ตามประเภทและความต้องการไปยังหน่วยรับโอน”


นอกจากที่มีข่าวเมื่อสองสามวันก่อนว่า หน่วยราบบางหน่วยซึ่งที่ตั้งค่ายอยู่ในใจกลางกรุง ได้เปิดเส้นทางให้การจราจรอันแออัดของนครหลวงสามารถตัดผ่านพื้นที่ได้บ้างแล้ว การย้ายหน่วยกำลังอาวุธหนักออกจากกรุงเทพฯ อาจมีเจตนาให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองฟ้าอมรรัตนโกสินทร์สมชื่อ หรือไม่ก็ตาม
 
ข้อเสนอนโยบายลดกำลังพลลงครึ่งหนึ่ง ยิ่งฟังขึ้นในเมื่อได้ดูเหตุผลที่ Atukkit Sawangsuk เสริมว่า “ทหารที่เป็นกำลังรบจริงๆ มีเท่าไหร่ ผมว่าไม่ถึงครึ่ง...ไม่ถึง ๑.๕ แสนด้วยซ้ำ ที่เหลือเป็นพวกนั่งโต๊ะ ธุรการ เอกสาร ซึ่งมีมากเกินจำเป็น”

ทั้งนี้ พล.ท.พงศกร รอดชมพู ว่าที่รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ระบุว่าไทยมีทหารทั้งหมด ๓.๓ แสนคน มากกว่าเยอรมนี อิสรเอล และฟิลิปปินส์ “ถ้าเราลดปริมาณกองทัพลงครึ่งหนึ่ง จะประหยัดงบที่ให้กับกองทัพได้ ๓๐% เหลือเงินกว่าแสนล้านบาทต่อปี”

ไม่เพียงเท่านั้น “หากยกเลิกการเกณฑ์ทหาร แล้วเปลี่ยนมาใช้ระบบรับสมัคร พลทหารจะได้รับเงินเดือนสองเท่า เพราะกองทัพจะมีเงินเหลือมาก”


ดังตัวอย่างที่อธึกกิตยกมาอธิบาย “กองพลพัฒนา มีไว้ทำไร ยุบได้แล้ว สมมติสร้างถนนจ้างผู้รับเหมา ๑๐๐ ล้าน ให้กองพลพัฒนาทำ ๖๐ ล้าน แต่เงินเดือนเบี้ยเลี้ยงรายจ่ายประจำรวมไปถึงบำเหน็จบำนาญอาจบวกอีก ๑๐๐ ล้าน”

การใช้งบประมาณเกินจำเป็นของกองทัพ รวมไปถึงวงดนตรีทหารไว้เดินสายทำ ปจว. และทหารกิจการพลเรือน “แบบ มทบ.๒๒ ไปแจกของแล้วเพื่อไทยแฉ ผู้สมัครพลังประชารัฐโผล่ไปด้วย” พวกนี้อธึกกิตบอก “เกินจำเป็นโคตร” ปัจจุบันมีถึง ๔๖ ผบ.


ฉะนี้การไปออกเสียงเลือกตั้งกันอย่างท่วมท้น จะเป็นหนทางให้บ้านเมืองไปสู่การพร้อมแรงพร้อมใจพัฒนาประเทศทางเศรษฐกิจให้ก้าวทันโลกได้อย่างจริงจังเสียที ไม่มีลิเกวันศุกร ละครวันเสาร์ และซูเปอร์ลุงตู่การ์ตูนวันอาทิตย์ เหลวไหลเลอะเทอะอีกต่อไป

อย่างน้อยๆ ทำให้มีหวังต่อการจะผ่านพ้นเทร็นด์ ขาลง ของบ้านเมืองได้หลังเลือกตั้ง ในเมื่อแม้กระทั่งในด้านการกีฬา ทีมชาติไทยในเอเซียนเกมส์ที่อินโดนีเซีย ได้เหรียญทองกลับมาแค่ ๑๑ เหรียญ ผิดความคาดหมายไป ๖-๙ เหรียญ
นอกนั้นทีมไทย “ยังได้อันดับที่ ๑๒ ในตารางเหรียญรวม เท่ากับว่าไทยหลุดโผจากท็อปเทน หรือ ๑๐ อันดับแรกของเอเชีย เป็นหนแรกนับตั้งแต่ปี ๑๙๙๔”


ตรงนี้แหละที่พวกจ่าเฉยเพราะยังไม่เคยอดอยากปากแห้ง เริ่มรู้สึกว่าอะไรต่อมิอะไรรอบตัวชักจะเริ่มถดถอย ด้อยลงไปเรื่อยๆ แล้วนะ