การใช้อำนาจบาตรใหญ่โดยคนในเครื่องแบบของรัฐบาล คสช.
มันลุกลามเข้าไปในชีวิตประจำวันของประชาชนต่อไปไม่หยุดยั้ง
เสรีภาพต่างๆ ในดินแดนที่เป็นดั่ง ‘กะลาครอบ’
แห่งนี้ล้วนถูกจำกัดจำเขี่ยไปเสียทั้งนั้น
ดังกรณีที่เพิ่งเกิดที่ชลบุรีวานนี้ (๒๖ เมษา)
ร้านอาหารแห่งหนึ่งในเขตอำเภอเมืองถูกสถานีตำรวจภูธรท้องที่
“โทรศัพท์สั่ง” ปิดร้าน ๗ วัน เพราะนักร้องประจำร้านพูดไม่เข้าหูตำรวจที่ไปนั่งกินอาหาร
แถมแค้สเชียร์ยังไม่ยอมลดราคาให้
ข่าวแจ้งว่าเจ้าของร้าน ‘ฮังเลย์’ ในท้องที่ดอนหัวฬ่อ ติดประกาศเซ้งกิจการเนื่องจากพยายามอ้อนวอนให้ผ่อนปรนเหลือเพียงปิด
๓ วัน แล้วก็ยังไม่ได้
น.ส.เกศิญาภรณ์ ปัจจะเรือง
จึงได้ไปร้องเรียนต่อผู้บังคับการกองอำนวยการตำรวจภูธรภาค ๒ ขอความเป็นธรรม เนื่องจาก
“ทำให้พนักงานประมาณ
๒๐ คนตกงาน ไม่มีเงินใช้
สร้างปัญหาให้กับครอบครัวของพนักงาน”
และที่จำเป็นต้องเซ้งร้าน “เนื่องจากในฐานะประชาชนไม่มีเส้นไม่มีสาย
ไม่รู้จะสู้กับตำรวจได้อย่างไร”
แสดงว่าการที่องค์กร ‘นักข่าวไร้พรมแดน’
จัดลำดับประเทศไทยภายใต้ คสช. นี้ไว้ในดัชนีประจำปี ๒๕๖๐ ด้านเสรีภาพในการให้ข่าวสารไว้ลำดับที่
๑๔๒ จากทั้งสิ้น ๑๘๐ ประเทศนั้น เป็นเพียงปลายแหลมของภูเขาน้ำแข็ง ในความห่วยแตกเรื่องเสรีภาพเกือบทุกชนิด
“หน่วยงานสื่อ (#RSF) ตั้งฉายา #ประยุทธ์ ว่า ‘freedom
predator’ ‘นักล่าเสรีภาพ’
ชอบจับนักข่าวและนักข่าวพลเมืองมา ‘อบรม’ #ปรับทัศนคติ ควบคุมตัวโดยพลการ และยังแก้ไข พรบ.คอมฯ ให้มันเลวร้าย
บ้าอำนาจมากขึ้นไปอีก สอดแนมข้อมูล และฟ้องหมิ่นประมาททางอาญากับสื่อ”
นั่นเป็นคำบรรยายสรรพคุณของผู้นำรัฐไทยจาก ‘Reporters sans
frontières’ จากการถ่ายทอดของ Pipob Udomittipong ต่อการที่เสรีภาพสื่อในประเทศไทยต่ำกว่าพม่า
(อันดับ ๑๓๑) กัมพูชา (๑๓๒) และ ศรีลังกา (๑๔๑)
มิหนำซ้ำปีนี้ไทยเจริญลง ตกกะไดลงไปจากเดิม ๖ ขั้น เมื่อปีที่แล้วอยู่ในอันดับ
๑๓๖
ดั้มพลอยเข้าไปอีกขณะนี้ที่ สปท. หรือกลุ่มทหารที่คณะรัฐประหาร
คสช. ตั้งให้เป็นสภาปฏิรูป กำลังพยายามออกกฎหมายกำกับสื่อด้วยการบังคับให้ตีตราลงทะเบียน
ที่เรียกว่า ‘ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ’ แบบเดียวกับ “นวดแผนโบราณ”
พล.ต.ต.พิสิษฐ์
เปาอินทร์ รองประธานกรรมาธิการขับเคลื่อนด้านสื่อสารมวลชน ว่าอย่างนั้น “ทำไมใบอนุญาตอาชีพอื่นต้องมี
สื่อต่างจากอาชีพอื่นตรงไหน” เอากะทั่นสิ
“หากนักข่าวไม่มีใบอนุญาต
ตามเวลาที่กำหนดจะมีความผิด จำคุกไม่เกิน ๒ ปี ปรับไม่เกิน ๖ หมื่นบาท
รวมถึงองค์กรสื่อที่รับนักข่าวที่ไม่มีใบอนุญาตมาทำงานก็จะมีความผิดจำคุกและปรับเช่นเดียวกัน”
ก็มีบางคนเขาตอบไว้บนทวีตภพ “ถามกลับนะครับ สปท.ใครอนุญาตให้คุณเป็น
ประชาชนอนุญาตคุณตอนไหน ใบอนุญาตสปท.มาจากไหน ทำหน้าที่ปฏิรูป แต่ที่มามาจากไหน
ตอบประชาชนก่อน”
ผู้ใช้นาม peerawat @peerawat_KPP เหลืออด “กำลังรับใช้ใคร รับใช้ประชาชน
หรือรับใช้คนที่ตั้งคุณมา พล.ต.ต.พิสิษฐ์คงต้องตอบให้ชัด
เพราะคุณไม่เคยได้รับฉันทานุมัติจากประชาชน #จำไว้ด้วย”
อีกอย่างเรื่องสิ่งแวดล้อม เมื่อเรือจีนล่องลงแม่น้ำโขง
เริ่มเก็บหินก้อนใหญ่ๆ จำนวนมากกลับไปวิจัยเตรียมการระเบิดเกาะแก่งตลอดลำน้ำทะลวงเส้นทางเปิดให้เรือใหญ่แล่นสะดวก
ตามที่รัฐบาล คสช. ได้ให้การยินยอมไว้ตั้งแต่เดือนธันวา ๕๙
กลุ่ม ‘รักษ์เชียงของ’ จึงประกาศออกเรือประท้วง
ที่จุดคอนผีหลงและแก่งผาได ก็ถูกทหาร มทบ. ๓๗ เรียกตัวไป ‘คุย’
อ้างว่ากลัวจะก่อความรุนแรง
นายนิวัฒน์
ร้อยแก้ว หรือ ‘ครูตี๋’ ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของจึงต้องชี้แจงว่า
“การเคลื่อนไหวของกลุ่มเป็นการแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยอย่างสงบ” และ
“การจัดทำโครงการในขณะนี้
ไม่มีขั้นตอนการศึกษาถึงผลกระทบและผลเสียต่อประเทศอย่างรอบด้าน
ข้อมูลการสำรวจผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมยังไม่ชัดเจน
และขาดการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน”
ชาวบ้านอ้างเหตุสมผลขนาดนั้น
ทหารยังดึงดันเอาแต่ได้ตามอำเภอใจ เหมือนเช่นการซื้อเรือดำน้ำจากจีน
ทั้งที่ทั่วบ้านทั่วเมืองชี้ข้อเท็จจริงว่าไม่มีความจำเป็น แถมของที่ซื้อนั้นคุณภาพด้อยกว่าใครๆ
พวกทหารตัวใหญ่ๆ ดาหน้ากันออกมาตอบ ‘ยัน’ (ล่าสุด ผบ.สส.) อ้างความลับราชการบอกไม่ได้ทำไมต้องซื้อ
ร้ายยิ่งไปกว่านั้น เมื่อซื้อจากจีนเกือบจะครบหมดทุกรายการแล้ว
“การซื้ออาวุธคงไม่จบแค่ที่เรือดำน้ำ
เพราะทหารยังเดินสายดูอาวุธกันอยู่เรื่อยๆ” Thuethan Prasobchoke ตั้งข้อสังเกตุจากภาพโพสต์ของวาสนา
นาน่วม
“พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร รมช.กห.เดินทางไปประชุมและดูงานที่รัสเชีย
เลยถือโอกาสไปดูอาวุธที่รัฐวิสาหกิจรัสเซียนำมาสาธิต
ไม่รู้คิวต่อไปเราจะได้อาวุธอะไรมาอีก”
เป็นคำถามน่าขบ (ขัน) พอๆ กับคำตอบที่ว่า “ไว้ให้เด็กดูตอนวันเด็กปีหน้า”