วันพฤหัสบดี, เมษายน 27, 2560

ลำดับเสรีภาพสื่อล่วงสุดกู่ "เป็นเพียงปลายแหลมของภูเขาน้ำแข็ง ในความห่วยแตกเรื่องเสรีภาพเกือบทุกชนิด"

การใช้อำนาจบาตรใหญ่โดยคนในเครื่องแบบของรัฐบาล คสช. มันลุกลามเข้าไปในชีวิตประจำวันของประชาชนต่อไปไม่หยุดยั้ง

เสรีภาพต่างๆ ในดินแดนที่เป็นดั่ง กะลาครอบแห่งนี้ล้วนถูกจำกัดจำเขี่ยไปเสียทั้งนั้น ดังกรณีที่เพิ่งเกิดที่ชลบุรีวานนี้ (๒๖ เมษา)

ร้านอาหารแห่งหนึ่งในเขตอำเภอเมืองถูกสถานีตำรวจภูธรท้องที่ “โทรศัพท์สั่ง” ปิดร้าน ๗ วัน เพราะนักร้องประจำร้านพูดไม่เข้าหูตำรวจที่ไปนั่งกินอาหาร แถมแค้สเชียร์ยังไม่ยอมลดราคาให้

ข่าวแจ้งว่าเจ้าของร้าน ฮังเลย์ ในท้องที่ดอนหัวฬ่อ ติดประกาศเซ้งกิจการเนื่องจากพยายามอ้อนวอนให้ผ่อนปรนเหลือเพียงปิด ๓ วัน แล้วก็ยังไม่ได้

น.ส.เกศิญาภรณ์ ปัจจะเรือง จึงได้ไปร้องเรียนต่อผู้บังคับการกองอำนวยการตำรวจภูธรภาค ๒ ขอความเป็นธรรม เนื่องจาก “ทำให้พนักงานประมาณ ๒๐ คนตกงาน ไม่มีเงินใช้ สร้างปัญหาให้กับครอบครัวของพนักงาน

และที่จำเป็นต้องเซ้งร้าน “เนื่องจากในฐานะประชาชนไม่มีเส้นไม่มีสาย ไม่รู้จะสู้กับตำรวจได้อย่างไร


แสดงว่าการที่องค์กร นักข่าวไร้พรมแดน จัดลำดับประเทศไทยภายใต้ คสช. นี้ไว้ในดัชนีประจำปี ๒๕๖๐ ด้านเสรีภาพในการให้ข่าวสารไว้ลำดับที่ ๑๔๒ จากทั้งสิ้น ๑๘๐ ประเทศนั้น เป็นเพียงปลายแหลมของภูเขาน้ำแข็ง ในความห่วยแตกเรื่องเสรีภาพเกือบทุกชนิด

หน่วยงานสื่อ (#RSF) ตั้งฉายา #ประยุทธ์ ว่า ‘freedom predator’ ‘นักล่าเสรีภาพ ชอบจับนักข่าวและนักข่าวพลเมืองมา อบรม’ #ปรับทัศนคติ ควบคุมตัวโดยพลการ และยังแก้ไข พรบ.คอมฯ ให้มันเลวร้าย บ้าอำนาจมากขึ้นไปอีก สอดแนมข้อมูล และฟ้องหมิ่นประมาททางอาญากับสื่อ”

นั่นเป็นคำบรรยายสรรพคุณของผู้นำรัฐไทยจาก Reporters sans frontièresจากการถ่ายทอดของ Pipob Udomittipong ต่อการที่เสรีภาพสื่อในประเทศไทยต่ำกว่าพม่า (อันดับ ๑๓๑) กัมพูชา (๑๓๒) และ ศรีลังกา (๑๔๑)

มิหนำซ้ำปีนี้ไทยเจริญลง ตกกะไดลงไปจากเดิม ๖ ขั้น เมื่อปีที่แล้วอยู่ในอันดับ ๑๓๖


ดั้มพลอยเข้าไปอีกขณะนี้ที่ สปท. หรือกลุ่มทหารที่คณะรัฐประหาร คสช. ตั้งให้เป็นสภาปฏิรูป กำลังพยายามออกกฎหมายกำกับสื่อด้วยการบังคับให้ตีตราลงทะเบียน ที่เรียกว่า ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแบบเดียวกับ “นวดแผนโบราณ”

พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ รองประธานกรรมาธิการขับเคลื่อนด้านสื่อสารมวลชน ว่าอย่างนั้น “ทำไมใบอนุญาตอาชีพอื่นต้องมี สื่อต่างจากอาชีพอื่นตรงไหน” เอากะทั่นสิ

หากนักข่าวไม่มีใบอนุญาต ตามเวลาที่กำหนดจะมีความผิด จำคุกไม่เกิน ปี ปรับไม่เกิน หมื่นบาท รวมถึงองค์กรสื่อที่รับนักข่าวที่ไม่มีใบอนุญาตมาทำงานก็จะมีความผิดจำคุกและปรับเช่นเดียวกัน


ก็มีบางคนเขาตอบไว้บนทวีตภพ “ถามกลับนะครับ สปท.ใครอนุญาตให้คุณเป็น ประชาชนอนุญาตคุณตอนไหน ใบอนุญาตสปท.มาจากไหน ทำหน้าที่ปฏิรูป แต่ที่มามาจากไหน ตอบประชาชนก่อน

ผู้ใช้นาม peerawat @peerawat_KPP เหลืออด “กำลังรับใช้ใคร รับใช้ประชาชน หรือรับใช้คนที่ตั้งคุณมา พล.ต.ต.พิสิษฐ์คงต้องตอบให้ชัด เพราะคุณไม่เคยได้รับฉันทานุมัติจากประชาชน #จำไว้ด้วย

อีกอย่างเรื่องสิ่งแวดล้อม เมื่อเรือจีนล่องลงแม่น้ำโขง เริ่มเก็บหินก้อนใหญ่ๆ จำนวนมากกลับไปวิจัยเตรียมการระเบิดเกาะแก่งตลอดลำน้ำทะลวงเส้นทางเปิดให้เรือใหญ่แล่นสะดวก ตามที่รัฐบาล คสช. ได้ให้การยินยอมไว้ตั้งแต่เดือนธันวา ๕๙

กลุ่ม รักษ์เชียงของจึงประกาศออกเรือประท้วง ที่จุดคอนผีหลงและแก่งผาได ก็ถูกทหาร มทบ. ๓๗ เรียกตัวไป คุยอ้างว่ากลัวจะก่อความรุนแรง

นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว หรือ ครูตี๋ ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของจึงต้องชี้แจงว่า “การเคลื่อนไหวของกลุ่มเป็นการแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยอย่างสงบ” และ

“การจัดทำโครงการในขณะนี้ ไม่มีขั้นตอนการศึกษาถึงผลกระทบและผลเสียต่อประเทศอย่างรอบด้าน ข้อมูลการสำรวจผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมยังไม่ชัดเจน และขาดการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน


ชาวบ้านอ้างเหตุสมผลขนาดนั้น ทหารยังดึงดันเอาแต่ได้ตามอำเภอใจ เหมือนเช่นการซื้อเรือดำน้ำจากจีน ทั้งที่ทั่วบ้านทั่วเมืองชี้ข้อเท็จจริงว่าไม่มีความจำเป็น แถมของที่ซื้อนั้นคุณภาพด้อยกว่าใครๆ พวกทหารตัวใหญ่ๆ ดาหน้ากันออกมาตอบ ยัน(ล่าสุด ผบ.สส.) อ้างความลับราชการบอกไม่ได้ทำไมต้องซื้อ

ร้ายยิ่งไปกว่านั้น เมื่อซื้อจากจีนเกือบจะครบหมดทุกรายการแล้ว “การซื้ออาวุธคงไม่จบแค่ที่เรือดำน้ำ เพราะทหารยังเดินสายดูอาวุธกันอยู่เรื่อยๆ” Thuethan Prasobchoke ตั้งข้อสังเกตุจากภาพโพสต์ของวาสนา นาน่วม

พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร รมช.กห.เดินทางไปประชุมและดูงานที่รัสเชีย เลยถือโอกาสไปดูอาวุธที่รัฐวิสาหกิจรัสเซียนำมาสาธิต

ไม่รู้คิวต่อไปเราจะได้อาวุธอะไรมาอีก” เป็นคำถามน่าขบ (ขัน) พอๆ กับคำตอบที่ว่า “ไว้ให้เด็กดูตอนวันเด็กปีหน้า”