สงสัยว่าไอ้การทวงถาม แจ้งความให้ตามหาหมุดคณะราษฎร ที่ถูกมือดีใจร้ายขุดออกหายไปแล้วเอาหมุดใหม่สำหรับ
‘ไพร่ฟ้าหน้าใส’ มาฝังแทน นั้นมันจะไปขัดขวางปรองดองได้อย่างไรกัน
พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
(คสช.) กล่าวถึงกรณีมีกลุ่มคนยังคงเคลื่อนไหวทวงคืนหมุดคณะราษฎร ว่า
“บรรยากาศของบ้านเมืองตอนนี้กำลังก้าวหน้า
และมีการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว สิ่งใดที่จะทำให้เกิดความไม่เรียบร้อยเราก็ต้องขอความร่วมมือ
ความร่วมแรงร่วมใจเพื่อนำพาประเทศไปสู่ความปรองดอง”
ความเรียบร้อยบ้านเมืองแบบทหารนี่รวมถึง ห้ามจัดกิจกรรมเสวนา
“วิพากษ์การให้เช่าที่ดิน ๙๙
ปี ผลประโยชน์ของไทย
หรือผลประโยชน์ของใคร?” วันที่ ๒๓
เมษายน ด้วยสิ
มูลนิธิสืบ
นาคะเสถียร จึง “ต้องเลื่อนการเสวนาไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด”
นายภานุเดช
เกิดมะลิ เลขามูลนิธิ เล่าว่า “ไม่แน่ใจว่าทหารไปโยงกับหมุดคณะราษฎรหรือไม่
เพราะมีนักวิชาการบางคนโพสในเฟชบุ๊กเกี่ยวข้องกับหมุดคณะราษฎรดังกล่าว
จึงไม่อยากให้ผู้ที่เห็นต่างกับรัฐบาลจัดเสวนานี้ขึ้น”
ส่วนเรื่องการเช่าที่ดิน ๙๙ ปีนั้น “ทหารให้เหตุผลกับเราว่า...ตามนโยบายของรัฐบาลในการผลักดันการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก
(อีอีซี) เป็นเพียงการร่าง พ.ร.บ.เท่านั้น
ยังไม่ได้ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติและยังไม่มีการประกาศใช้ใดๆ
ทั้งสิ้น ซึ่งอาจมีเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงได้จึงไม่อยากให้เราวิตกกังวลไปก่อน”
ถึงกระนั้นก็ฟังไม่ขึ้น
เพราะถ้าไม่มีการวิจารณ์กันก่อน ถึงเวลา สนช. ผ่านสามวาระรวดโดยไม่แก้ไขล่ะ ก็เท่ากับปล่อยไปตามที่เขาต้องการนั่นซี
พูดแบบนี้เอาแต่ได้
เรื่องนี้ รมว. อุตสาหกรรมก็ออกมาแถหน้าใสๆ เหมือนกัน
นายอุตตม สาวนายน ชี้แจงว่า “การเปิดให้สิทธิถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์
ของคนต่างด้าวผู้ประกอบกิจการและอาศัยภายในพื้นที่
ที่สามารถทำสัญญาเช่าได้ถึง
๕๐ ปี และสามารถต่อสัญญาได้อีกไม่เกิน ๔๙ ปี (รวมเป็น ๙๙ ปี) นั้นไม่ใช่ประเด็นใหม่”
เขาอ้าง พรบ.อสังหาฯ พ.ศ. ๒๕๔๒ เปิดโอกาสให้ผู้เช่าระยะยาว ๓๐-๕๐ ปี
สามารถตตกลงกับผู้ให้เช่า ต่อสัญญาได้อีกไม่เกิน ๕๐ ปีอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่า สิ่งที่มูลนิธิสืบฯ เขาต้องการเสวนาวิพากษ์
มันรวมถึง “ข้อกังวลเป็นห่วง
เนื่องจากในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษในบางพื้นที่อยู่ในแนวเขตป่า เช่น
ป่าสงวนที่ยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่
ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสัตว์ป่า
ชุมชน ความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐศาสตร์ ซึ่งหากเกิดปล่อยให้มีการเช่าที่ดิน ๙๙ ปี จะเกิดผลอย่างไรบ้าง”
ด้วยต่างหาก
อีกทั้งมีกลุ่ม ‘Land Watch Thai’
ออกมาชี้แนะว่าแม้กระทั่งประเทดลาวก็ยังไม่เอาด้วยกับการให้เช่ายาว
๙๙ ปี “โดยข่าวจาก http://transbordernews.in.th/home/?p=16565 ระบุว่า
ตอนนี้รัฐบาลลาวได้ผ่านกฎหมายส่งเสริมการลงทุนฉบับใหม่
โดยแก้ไขเนื้อหาการให้เช่าที่ดินในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ จาก ๙๙ ปี เป็น ๕๐ ปี
เนื่องจากเห็นว่า
การให้เช่าที่ดิน ๙๙ ปี นั้น ส่งผลให้รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย
ในขณะที่ระยะเวลา ๕๐ ปี เป็นระยะเวลาที่เหมาะสมและยังเป็นระยะเวลาที่ใช้กันทั่วไป”
นี่ก็แสดงแล้วว่าการทำงานของรัฐบาล
คสช. ไม่ว่าพวกทหารหรือพลเรือนลิ่วล้อ เจอบ่อยไปเรื่องสุกเอาเผากิน
หรือไม่ก็ตอแหลบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อจะทำตามที่ต้องการสถานเดียว
ตัวอย่างเรื่องที่สำนักนายกฯ
แถลงว่าทั่นหัวหน้าใหญ่เป็นปลื้มเหลือหลายที่ “เครือข่ายการแก้ปัญหาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ
(UNSDSN) ได้ประกาศผลการจัดอันดับประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก
ประจำปี ๒๐๑๗
โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดอันดับ
๒ ของอาเซียน อันดับ ๓ ของเอเชีย และอันดับที่ ๓๒ ของโลก”
แต่แท้ที่จริงนั่นเป็นการจัดทำ
ดัชนีแห่งอาการระเหี่ย ทุกข์ทรมานใจ ‘misery’ ต่างหาก
ทั้งที่โดน ThaiPublica ท้วงเอาว่า
ไทยถูกจัดอยู่ในอันดับ ๖๕ น้อยสุดของประเทศที่ประชากรมีความทุกข์ทรมานใจ ก็เลยตีความกลับหัวกลับหางเป็นว่า
‘มีความสุขที่สุด’ เป็นต้น
เท่านั้นไม่พอ ทั้งที่ยอมรับว่าการจะฟื้นเศรษฐกิจของประเทศจะต้องเรียกนักท่องเที่ยวให้กลับคืนมาประเทศไทย
พอนิตยสารต่างประเทศชมว่า ‘street foods’ หาบเร่
รถเข็น อาหารริมทางของไทยเป็นที่ตื่นตาตื่นใจที่สุดในโลก กทม. ลิ่วล้อ คสช. ดันจัดระเบียบทางเท้าขนานใหญ่เสียนี่
นายวัลลภ สุวรรณดี
ประธานที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) พูดถึงนโยบายการจัดระเบียบทางเท้ารามคำแหง
ราชประสงค์ สยามสแควร์ ที่ทำไปแล้ว กับย่านบางลำภู (และถนนข้าวสาร
อันทำให้ฝรั่งหดหาย) นั้น
“ที่ผ่านมาประชาชนเห็นด้วย” (http://www.komchadluek.net/news/regional/272114)
แล้วยังมีส่วนที่ประชาชนไม่เห็นด้วย ตรงที่ Jamies Moller (shared
a link to the group: Moon Red Shinawatra) ว่า
“ขึ้นเงินเดือนตัวเอง แต่ปรับแอร์ช่วยชาติ ไอ้สัส
กรูขรรม์ชิพหาย” ตามข่าวว้อยซ์ทีวี “วาระแห่งชาติ! สปท.มีมติปรับอุณหภูมิแอร์เป็น
๒๔ องศาช่วยชาติประหยัดไฟ”
ข่าวอธิบายว่าตามปกติรัฐสภาจะเปิดแอร์เย็นเฉียบ ๒๐
องศาเซลเซียส ให้สมาชิกใส่สูทไปทำงานกัน ขณะที่เงินเดือนของสมาชิก สปท. ลดหลั่นจากประธานลงมาถึงสมาชิกธรรมดาไม่หนีแสนบาทกว่าต่อเดือนทั้งนั้น
ตอนนี้ยิ่งหนักเข้าไปอีก คณะกรรมการพลังงาน (ชื่อย่อ กกพ.)
ผุดมติถอนขนลูกเจี๊ยบ (ไม่ยักถอนห่านหรือไก่อู) ปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ
(หรือเอฟที) ในงวดเดือนพฤษภาถึงสิงหา ๖๐ อีกหน่วยละ ๑๒.๕๒ สตางค์
“จะมีผลทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภทอยู่ที่
๓.๕๐๗๙ บาท/หน่วย ซึ่งไม่นับรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม”
ตกลงโร้ดแม็พรัฐบาล คสช. ตอนนี้ยุครัฐธรรมนูญใหม่ ไม่มีหมุดหมายประชาธิปไตย
ตามหาก็คงยากเพราะตอนเกิดเหตุพอดีไม่มีกล้องวงจรปิดจับภาพ
บังเอิญถูกถอดออกไประหว่างปรับปรุงสัญญานไฟ