"วันที่รู้สึกหน้าใส"
ค่ำคืนอันเงียบสงัด แต่ผิวถนนยังคงมีรถวิ่งเกือบทุกอณู เช่นกันรถฉันก็ยังคงเดินหน้า โดยจุดหมายอยู่ที่ลานกว้างใกล้กับพระที่นั่งสำคัญของเมืองอมรแห่งนี้
ฉันและเพื่อนคุยกันตลอดทางถึงเหตุบ้านการเมืองที่ปริ่มไปด้วยการ "เสรีภาพจำกัดจำเขี่ย"
เขาหยอกเหย้าฉันอย่างขมขื่น "ดูเธอก็มีความสุขดีนะ"
ฉันตอบกลับเขาไปว่า "ก็อย่างที่เห็น โคตรสนุกกับชีวิตการเป็นนักข่าวในช่วงนี้เลย"
เขาคงเห็นแววตาฉันขุ่นมัวที่ผิดจากเมื่อก่อน ที่มีดวงตาแข็งกร้าว แววตามุ่งมั่น
*****
"เธอเชื่อไหมว่า พวกเรารู้จักกันมา 10 ปีแล้ว" ชายหนุ่มจากแดนผู้ดีส่งข้อความมาในกล่องข้อความของเฟซบุ๊ก
"อ้าวเหรอ ฉันจำไม่ได้" เราตอบกลับ
"เรามาเมืองไทย มาเจอกันไหมก่อนเรากลับบ้าน" เขาชักชวน
แน่นอนฉันรู้ว่า สิ่งที่เขาอยากรู้นั้นมีมากมายจากเพื่อนเก่าคนนี้ โดยเฉพาะเรื่องราวอัพเดทในเมืองไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาใคร่ศึกษาในฐานะอาจารย์ผู้สนใจเรื่องราวของดินแดนในอุษาคเนย์
****
ตัดภาพมาที่ลานพระบรมรูปทรงม้า
****
รถคันเล็กจอดนิ่งสนิท เราสองคนก้าวลงจากรถโดยไม่คาดคิดว่า สิ่งที่จะเจอข้างหน้า คือ อะไร
พลันก็มีพี่สาวคนหนึ่งเดินเข้ามาขายดอกไม้ที่เป็นเครื่องศักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบฮาร์ดเซลล์
เราจึงซื้อทั้งกุหลาบสีแดง ธูป และไม่ลืมที่จะซื้อหญ้าหนึ่งกำติดมือมาด้วย
ฉันไม่สามารถจะละทิ้งความเป็นคนชั่งซักถามได้ ฉันจึงชวนพี่สาวคุยอย่างเป็นกันเอง
"พี่คะ พี่รู้ไหมทำไมเขาถึงย้ายหมุด" เป็นคำถามที่ตรงที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตนักข่าว
"ไม่รู้ รู้แต่ว่า วันที่ 5 เมษายน ช่วงเวลาประมาณ 2-3 ทุ่ม มีตำรวจ 191 มาไล่ให้พวกเรากลับบ้าน ตอนแรกก็ไม่รู้ว่า เขาจะทำอะไร ก็ถามไปถามมาเขาก็บอกว่า เขาจะทำความสะอาด" พี่สาวตอบแบบรัวๆ
ยังไม่จบ....ฉันและเพื่อนยังถามพี่สาวอีกหลายคำถาม พร้อมกับพยายามซื้อทุกอย่างให้พี่สาวสบายใจจนได้ความว่า
"ตั้งแต่ขายดอกไม้ที่ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็ไม่เคยทำความสะอาดมาก่อน นี่จึงเป็นครั้งแรกและในค่ำคืนนั้น (วันพุธที่ 5 เม.ย.) ก็เหมือนในค่ำคืนนี้ (วันจันทร์ 24 เม.ย.) ที่ไม่ค่อยมีผู้คนมาลานแห่งนี้มากนัก จึงง่ายต่อการจัดการ"
****
ก่อนที่เท้าจะตรงดิ่งไปยัง "หมุดเจ้าปัญหา" สายตาฉันก็หยุดที่ชายชุดขาวที่ยืนสง่าอยู่อีกมุมของลานแห่งนี้
ฉันบอกให้เพื่อนเข้าไปขอถ่ายรูปกับเขาในฐานะนักท่องเที่ยว เพราะรู้ว่า เขาเป็นใคร
แน่นอนคำตอบที่ได้ คือ "ไม่"
เราเคารพสิทธิของเขา แล้วตรงดิ่งไปหาสิ่งที่เราหมายมุ่ง
ฉันรีบเดินเข้าไปและรีบถ่ายรูป เพราะรู้ดีว่า ไม่น่าจะได้รับอนุญาต ระหว่างนั้นสายตาก็สอดส่ายหาคนที่มาคุ้มครอง "สถานที่ศักดิ์สิทธิ์" อย่างที่เห็นเป็นข่าว แต่พวกเขายังไม่เคลื่อนไหว
ฉันและเพื่อนจึงถ่ายรูปจนพอใจแล้วเดินจากมา แต่ไม่ได้ถ่ายรูปคู่ ซึ่งน่าจะเป็นธรรมเนียม แต่ช่วงเวลานั้นยังไม่มีใครพอที่จะถ่ายให้ได้ เราจึงเดินไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อน
ระหว่างที่เราเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จังหวะนั้นสายตาฉันก็เห็นคนกลุ่มเล็กๆ เดินไปที่ "หมุดเจ้าปัญหา" ฉันรีบปรี่เข้าไปหาพวกเขาทันที
ขณะเดียวกันก็พยายามพูดคุยให้เห็นชุดความคิด แต่พวกเขาก็เป็นเพียงประชาชนทั่วไปที่รู้จักสิ่งนี้ เพราะ "เป็นข่าว"
เราจึงขอให้เขาถ่ายรูปคู่ให้เราสองคนด้วยท่าชี้นิ้วไปยัง "หมุดหน้าใส" แต่ยังไม่ทันที่จะกดปุ่มถ่ายรูปจากโทรศัพท์ พี่ตำรวจ 2 นายก็เดินเข้ามาหาพวกเรา
"ถ่ายรูปไม่ได้นะครับ ถ่ายไม่ได้ ถ้าถ่ายแล้วกรุณาลบออกด้วยครับ" คำพูดคำจาพวกเขาชั่งสุภาพอ่อนหวาน ไม่มีท่าทีกร้าวร้าว
แต่เสียงอันดังก็ทำให้ประชาชนคนธรรมดาอย่างคนที่ถือกล้องโทรศัพท์ให้ฉันถึงกับสะดุ้งโหยง แล้วรีบส่งโทรศัพท์คืน
"ทำไมถึงถ่ายไม่ได้ละคะ หนูก็เห็นใครๆ เขาก็ถ่ายกันเยอะแยะ" ฉันรีบสวนทันควัน
"น้องต้องเข้าใจพวกพี่ พวกพี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกเราได้รับคำสั่งให้มาเตือนไม่ให้คนถ่ายรูป เพราะพอถ่ายไปแล้วเกิดความเข้าใจผิด" พี่ตำรวจตอบอย่างสุภาพ
เราคุยตอบโต้กันอยู่นานจนกลุ่มคนที่สนใจเริ่มมากขึ้นๆ
แต่จากการประเมินของฉันแล้ว คนที่เดินเข้ามาใกล้ไม่น่าจะใช่ประชาชนธรรมดา เพราะเขาบอกฉันว่า ถ้าอยากดูใกล้ๆ ก็ให้ใช้ google earth ดู
ก่อนจากลาผู้สนทนา เราถามสารทุกข์สุขดิบของพี่ๆ ทุกคน ซึ่งทราบว่า พวกเขาจะต้องจัดกำลังคนมาดูแลหมุดแห่งนี้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะช่วงเวลาที่สนทนากับเราอยู่นั้นมีกำลังคนไม่ต่ำกว่า 20
พวกเราต่างอวยพรให้พวกพี่เขารักษาเนื้อรักษาตัวและดูแลสุขภาพ อีกทั้งเข้าใจการทำหน้าที่ของพี่ๆ โดยพี่เขาได้ขอให้เราอธิบายให้เพื่อนชาวต่างชาติฟัง พวกเขาคงไม่รู้ว่า เพื่อนเราสื่อสารภาษาไทยได้ดีทีเดียว
ก่อนจากลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และจากลาถนนสายนี้ฉันจึงได้แต่หวังว่า "หมุดใหม่นี้จะทำให้ประชาชนสุขสันต์หน้าใส" อย่างที่จารึกไว้
26 เมษายน 2560 (ป.ล.ลงพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย.60)
ที่มา เพจ