รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐
“มาตรา ๒๗
บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครอง
ตามกฎหมายเท่าเทียมกัน...
การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล...ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม...จะกระทำมิได้”
“มาตรา ๔๕ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมือง
ตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ตามที่กฎหมายบัญญัติ
กฎหมายตามวรรคหนึ่ง อย่างน้อยต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการบริหารพรรคการเมือง
ซึ่งต้องกำหนดให้เป็นไปโดยเปิดเผยและตรวจสอบได้ เปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในการกำหนดนโยบายและการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง
และกำหนดมาตรการให้สามารถดำเนินการโดยอิสระ
ไม่ถูกครอบงำหรือชี้นำโดยบุคคลซึ่งมิได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองนั้น
รวมทั้งมาตรการกำกับดูแลมิให้สมาชิกของพรรคการเมืองกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง”
พลันที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้เสนอร่าง
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ
เข้าสู่สภานิติบัญญัติและได้ผ่านวาระแรกซึ่งเป็นวาระของการรับหลักการไปด้วยเสียงท่วมท้นในสภา
๑๗๕ ต่อ ๐ โดยมีเงื่อนไขที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างอื้ออึง ทั้งจากพรรคการเมืองและนักวิชาการ
ซึ่งเงื่อนไขที่ว่านั้นก็เช่น
ให้คนที่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองต้องจ่ายเงินบำรุงพรรคไม่น้อยกว่า ๑๐๐ บาทต่อปีหรือไม่เกิน
๒,๐๐๐ บาทตลอดชีพ, ผู้ขอยื่นจดทะเบียนตั้งพรรคการเมืองจะต้องจ่ายเงินลงขันตั้งกองทุนประเดิม
๑ ล้านบาท, ต้องหาสมาชิกพรรคไม่ต่ำกว่า ๕,๐๐๐ คนภายใน ๑ ปี, ต้องหาสมาชิกเพิ่มให้เกิน
๑๐,๐๐๐ คน ภายใน ๔ ปี ฯลฯ
ในภาพรวมทั้งฉบับถูกวิจารณ์ว่าเป็นการกีดกันการจัดตั้งพรรคการเมือง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคขนาดเล็กอย่างชัดเจน
หรือแม้แต่พรรคขนาดใหญ่ก็มีความยากลำบากที่จะสามารถปฏิบัติตามได้
จึงเป็นที่สงสัยว่าวัตถุประสงค์ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ส่งเสริมหรือทำลายพรรคการเมืองกันแน่
พรรคการเมืองคืออะไร
พรรคการเมือง (political
party) มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า Par (คำเดียวกันกับที่ใช้ในสนามกอล์ฟนั่นแหล่ะครับ)
ซึ่งแปลว่า ‘ส่วน’
พรรคการเมืองจึงหมายถึงส่วนของประชากรภายในประเทศ
ซึ่งก็คือการที่แยกประชากรออกเป็นส่วนๆ
ตามความคิดเห็นและประโยชน์ได้เสียทางการเมือง
พรรคการเมืองถือว่าเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
เพราะพรรคการเมืองเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยบุคคลจำนวนมาก ที่มีภารกิจไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน
พรรคการเมืองเป็นสื่อกลางที่จะเชื่อมโยงระหว่างประชาชนกับรัฐบาล
ถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะชักนำให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง
พรรคการเมืองจึงเป็นผู้ที่รวบรวมผลประโยชน์ของประชาชนมาเขียนไว้ในนโยบายของพรรคตน
ประชาชนคนใดเห็นพ้องกับนโยบายของพรรคการเมืองใด ก็จะเข้าไปมีส่วนร่วมในพรรคการเมืองนั้น
ทั้งการสมัครเข้าไปเป็นสมาชิกพรรคด้วยตนเอง หรือการเลือกสมาชิกของพรรคการเมืองนั้นเข้าไปทำหน้าที่แทนตนในรัฐสภา
จากหลักการดังกล่าวข้างต้นเมื่อนำมาประกอบเข้ากับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๔๕ ที่บัญญัติว่าบุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมืองตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแล้ว
จะเห็นได้ว่าเนื้อของร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ ฉบับที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญเสนอต่อ
สนช.นี้ ขัดหลักการทางวิชาการและหลักการสำคัญในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน
เพราะเป็นการจำกัดเสรีภาพของบุคคลในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมือง
เนื่องจากเป็นการยากที่จะสามารถรวบรวมเงินค่าสมาชิกจากทุกคนได้ จริงอยู่เงิน ๑๐๐
บาทอาจจะดูไม่มากนัก แต่ค่าใช้จ่ายในการติดตามอาจจะมากกว่ามูลค่า ๑๐๐ บาทด้วยซ้ำไป
และถือได้ว่าเป็นการสร้างอุปสรรคและเลือกปฏิบัติต่อผู้ที่สนใจจะเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองที่ตนเองชื่นชอบ
การที่จะอ้างเหตุผลว่าสมาชิกเสียเงินแล้วจะได้มีความรู้สึกเป็นเจ้าของ
นั้นฟังไม่ขึ้นแต่อย่างใด เพราะความรู้สึกในการเป็นเจ้าของมีได้หลายวิธีไม่จำเพาะเพียงแต่การเสียเงินค่าบำรุงเท่านั้น
และยิ่งไปสร้างข้อจำกัดว่าผู้ขอยื่นจดทะเบียนตั้งพรรคการเมืองจะต้องจ่ายเงินลงขันตั้งกองทุนประเดิม
๑ ล้านบาทนั้น เป็นการกีดกันคนจนอย่างเห็นได้ชัด
มิหนำซ้ำกลับมองเห็นว่า อาจจะเป็นเจตนาที่จะจับผิดหรือทำลายพรรคการเมืองด้วยซ้ำไป
หากสมาชิกชำระเงินที่ไม่ได้เป็นของตนเองซึ่งอาจจะด้วยวิธีการใดก็ตาม เช่น
พรรคออกให้, สมาชิกพรรคคนอื่นออกให้ ฯลฯ โอกาสที่พรรคการเมืองจะถูกลงโทษจึงเป็นไปได้สูง
ที่สำคัญเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๗ ที่ว่าด้วยเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม
อีกเช่นกัน
กรรมการร่างรัฐธรรมนูญเสนอร่าง
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญเองจะขัดรัฐธรรมนูญได้อย่างไร
ดูเผินๆก็น่าจะเป็นเช่นนั้น
แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะตามระบบกฎหมายไทยและรัฐธรรมนูญปัจจุบันองค์กรที่มีอำนาจวินิจฉัยว่ากฎหมายใดในระดับร่าง
พ.ร.บ.หรือ พ.ร.บ.ขึ้นไป จะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ มิใช่อำนาจของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญหรือ
กรธ. นะครับ
ที่สำคัญหากเรายังไม่ลืมตอนที่มีการส่งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหลังการลงประชามติจาก
กรธ.ไปศาลรัฐธรรมนูญ มีการส่งกันกลับไปกลับมาตั้งหลายรอบ จนมีการเปรยๆ ว่าเห็นทีจะมีการเอาคืนกันบ้างเสียแล้วกระมัง
มิหนำซ้ำศาลรัฐธรรมนูญยังมีคำวินิจฉัยที่
๖/๒๕๕๙ ลว.๒๘ ก.ย.๕๙ ให้ กรธ.ปรับแก้บทเฉพาะกาลเพื่อให้สอดคล้องกับคำถามพ่วงประชามติ
ในเรื่องการขอยกเว้นใช้ข้อบังคับในการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีนอกบัญชีที่พรรคการเมืองเสนอ
จากเดิมที่ กรธ.ระบุให้เฉพาะ ส.ส. จำนวนกึ่งหนึ่งเท่านั้นมีสิทธิเป็นผู้เสนอของดใช้ข้อบังคับ
ก็ให้ปรับแก้มาเป็นสมาชิกรัฐสภาทั้งสอง กอปรกับเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้แล้วดูเหมือนว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหลายคนจะขาดคุณสมบัติเอาเสียด้วย
หาก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยศาลรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้
อย่างไรก็ตามด้วยเหตุจำกัดของเวลาที่ สนช.จะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน
๖๐ วัน หากมีการแก้ไขก็จะต้องตั้งกรรมการร่วมระหว่าง สนช. กับ กรธ. หรือหากกฎหมายฉบับนี้ตกไปก็ต้องนับหนึ่งใหม่
ผมจึงคิดว่าน่าจะมีทางออกในเรื่องนี้หากไม่อยากให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ตกไป
ไม่ว่าจะเป็นในชั้นของ สนช.หรือศาลรัฐธรรมนูญ
ผมจึงขอเสนอว่าน่าจะแบ่งประเภทของสมาชิกพรรคเป็นหลายประเภท อาจจะเป็นประเภทที่ต้องเสียค่าบำรุง
หรือเป็นประเภทที่ไม่ต้องเสียค่าบำรุงแต่เป็นสมาชิกด้วยคุณสมบัติอื่น
ซึ่งมีทางออกอีกเยอะแยะ
ส่วนในเรื่องอื่นๆ เอาให้พอดีๆ
ก็แล้วกัน อย่าทำให้ถูกมองว่าเจตนาที่จะ ‘ทำหมัน’
พรรคการเมืองตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดเลยครับ เพราะแทนที่จะได้ภาคภูมิใจว่าเมื่อรัฐธรรมนูญผ่านถือว่าใช้หนี้แผ่นดินแล้ว
จะกลายเป็นติดหนี้แผ่นดินจนไม่อาจชดใช้ได้ ไปเสียน่ะ
----------------
หมายเหตุ ปรับปรุงจากการเผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่
๒๖ เม.ย. ๕๙