วันพุธ, พฤษภาคม 23, 2561

ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชน UN เรียกร้องให้ปล่อยตัว "คนอยากเลือกตั้ง"





English below

ระหว่างวันที่ 21 ถึง 22 พฤษภาคม สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ของสหประชาชาติ สังเกตการณ์ชุมนุมอย่างสงบที่จัดโดย “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” ซึ่งเป็นกลุ่มนักกิจกรรมทางการเมืองและนักกิจกรรมรุ่นใหม่ที่ได้จัดการชุมนุมอย่างต่อเนื่องเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งปลายปี 2561 ผู้สังเกตการณ์ของสหประชาชาติได้ประสานงานและพูดคุยกับผู้จัดการชุมนุมและเจ้าหน้าที่จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทน “เครือข่ายสังเกตการณ์และการบันทึกการชุมนุมสาธารณะเพื่อสิทธิมนุษยชน” ซึ่งเป็นเครือข่ายภาคประชาสังคมที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ ทำงานร่วมอย่างใกล้ชิดได้ลงพื้นที่สังเกตการณ์เช่นเดียวกัน

การชุมนุมครั้งนี้ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จัดขึ้นเพื่อรำลึกสีปีรัฐประหารวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ในตอนเย็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้นำของกลุ่มฯ และนักกิจกรรมจำนวนสิบเอ็ดคน พวกเขาจะถูกนำตัวไปที่สถานีตำรวจชนะสงคราม แกนนำห้าคนได้ถูกร้องทุกข์โดย คสช. ว่าละเมิดคำสั่งที่ 3/2558 ที่ห้ามการชุมนุมทางการเมืองเกินห้าคน

สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักกิจกรรมเหล่านี้โดยผลัน ทั้งนี้ สำนักงานฯ ได้เรียกร้องรัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่องให้เคารพสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและชุมนุมอย่างสงบในฐานะที่เป็นรัฐภาคีกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางการเมืองและพลเมือง

***

Between 21 to 22 May, the UN Human Rights Office for South-East Asia, together with other UN offices, observed a peaceful assembly organized by “Individuals Who Want Election”, a group of political and young activists that have been holding consecutive assemblies calling for a general election to be held by the end of 2018.

UN observers coordinated and held meetings with both the organisers and officials from the Royal Thai Police. Representatives from the “Public Assembly Monitoring and Human Rights Network”, a recently established civil society network with whom OHCHR has been working closely, were also present.

The demonstration, which took place at Thammasat University in Bangkok, was held to remember the four year anniversary of the 22 May 2014 military coup. In the afternoon, 11 leaders and activists were arrested by police officers. They will be brought to Chanasongkhram Police Station. The NCPO filed a complaint accusing five leaders of violating NCPO order 3/2015 which prohibits the political gathering of more than five people.

The UN Human Rights Office calls for the immediate release of these activists. We have consistently urged the Royal Thai Government, as a party to the International Covenant on Civil and Political Rights, to fully respect the rights to freedom of expression and peaceful assembly.


UN Human Rights - Asia

...



...

แกนนำทำหน้าที่ตัวเองแล้ว จากนี้คือหน้าที่ของมวลชน ...เยี่ยมแกนนำที่ถูกคุมขัง
-------
สะดวกที่ไหนไปที่นั่น
สน. พญาไท
อานนท์ นำภา
โชคชัย ไพบูลย์รัชตะ
เอกชัย หงส์กังวาน
ณัฏฐา มหัทธนา
ชลธิชา แจ้งเร็ว

ชุดสอง
สน. ชนะสงคราม
รังสิมันต์ โรม
สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์
ปิยรัฐ จงเทพ

...

อีกข้อมูล

13 รายชื่อผู้ถูกดำเนินคดีในการชุมนุมกลุ่มอยากเลือกตั้ง ณ ตอนนี้

สน.พญาไท
1.นายเอกชัย​ หงส์กังวาน​
2.นายโชคชัย​ ไพบูลย์รัช​ตะ​
3.นายอานนท์​ นำภา​ ​
4.น.ส.ชลธิชา​ แจ้งเร็ว​
5.น.ส.ณัฏฐา​ มหัทธนา ​

สน.ชนะสงคราม
6.นายรังสิมันต์ โรม​
7.นายปิยะรัฐ​ จงเทพ​ ​
8.นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์​
9.นายนิกร​ วิทยาพันธ์​
10.นายพุทธไธสิงห์​ ทิมจันทร์​
11.นายคีรี​ ขันทอง​
12.ว่าที่ร้อยตรี​ ภัทรพล​ จันทร์โคตร​
13. นายประสงค์​ วางวัน​

แกนนำทั้งหมดปฏิเสธการประกันตัว โดยถูกตั้งข้อหา 1.)พรบ.ชุมนุม 2.)คำสั่ง ม.3/58 3.)ม.116 4.)ม.215

โดยจะถูกคุมตัวไว้ที่ สน.พญาไทและชนะสงครามตามโดยตำรวจจะส่งไปศาลอาญาในวันที่ 23 พฤษภาคม เวลา 10:00 น.

กาณฑ์ขอประกาศให้มิตรสหายทุกคนไปให้กำลังใจผู้กล้าหาญทั้ง13คนนะคะ เจอกันนะคะ ศาลอาญารัชดา เวลา 10:00 น. ค่ะ

#เสรีภาพที่แท้จริงคือเสรีภาพที่ฉันเลือก



Sasiphat Pong

...




แถลงการณ์กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง เนื่องในโอกาสครบรอบ 4 ปี รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557

ประชาชนชาวไทยทุกท่าน

พวกเราซึ่งเป็นหนึ่งในประชาชนชาวไทยเหมือนกับท่านทั้งหลาย ได้รวมตัวกันในนาม “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” เพื่อเป็นเสียงป่าวประกาศแทนประชาชนทั่วประเทศ ว่าไม่ต้องการเห็นเผด็จการ คสช. มีอำนาจครอบงำสังคมไทยอีกต่อไป ลุกขึ้นมาแสดงพลังต่อต้านการเลื่อนการเลือกตั้งและความพยายามสืบทอดอำนาจของ คสช. มาตั้งแต่เมื่อปลายเดือนมกราคม 2561

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เป็นเวลากว่า 4 เดือน พวกเราจัดกิจกรรมแสดงพลังมาแล้ว 6 ครั้ง

ในทุกครั้งพวกเราได้ส่งเสียงนำเสนอข้อเรียกร้องต่างๆ ที่จะนำไปสู่การจัดการเลือกตั้งและคืนอำนาจกลับสู่ประชาชนอย่างแท้จริง แต่ทว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่ คสช. และบรรดาบริวารทั้งหลายรับฟังและนำไปปฏิบัติ มิใช่เพราะข้อเสนอของพวกเราเป็นสิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้ แต่เป็นเพราะหูของพวกเขาได้ยินแต่คำเย้ายวนจากปีศาจแห่งความกระหายอำนาจที่อยู่ภายในจิตใจของตนเองอยู่ตลอดเวลา

ในวันนี้ ซึ่งเป็นวันครบรอบ 4 ปีของการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 เราสามารถสรุปได้อย่างหนึ่งว่าตลอด 4 ปีที่ผ่านมาคือ 4 ปีแห่งการบ่อนทำลายชาติโดยรัฐบาล คสช. อันประกอบไปด้วยการบ่อนทำลายหลักนิติรัฐนิติธรรมและสิทธิมนุษยชน บ่อนทำลายเศรษฐกิจ และบ่อนทำลายอนาคต

ในด้านหลักนิติรัฐนิติธรรมและสิทธิมนุษยชนนั้น รัฐบาล คสช. ได้สร้างกลไกในรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดโอกาสให้ตนใช้อำนาจได้ตามอำเภอใจ โดยมีมาตรา 44 ที่สถาปนาอำนาจเบ็ดเสร็จให้หัวหน้า คสช. ในการออกคำสั่งใดๆ ก็ได้ เพื่อให้ประชาชนปฏิบัติตาม ซึ่งอำนาจเหล่านี้ รัฐธรรมนูญที่พวกพ้องของ คสช. ร่างขึ้น ได้รับรองเอาไว้ในมาตรา 279 มากไปกว่านั้น มาตราดังกล่าวยังได้รับรองการกระทำใดๆ ที่เกิดขึ้นก่อนรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันประกาศใช้ ซึ่งหมายความว่า ความเลวร้ายใดๆ ที่ควรถูกถือกันว่าเป็นเรื่องที่ไม่ปรกติ ได้ถูกแปรสภาพให้เป็นเสมือนเป็นสิ่งปรกติ อันรวมถึงการนิรโทษกรรมตัวเอง โดยไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ต่อผลกรรมที่เคยก่อขึ้น

นอกจากนี้บทบัญญัติดังกล่าวยังได้ส่งผลกระทบที่ทำให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบมีอำนาจในการออกคำสั่งใดๆ เพื่อเป็นการละเมิดสิทธิประชาชน เพื่อให้พรรคการเมืองอ่อนแอโยกย้ายข้าราชการเพื่อสนับสนุนการใช้อำนาจตามอำเภอใจ และส่งเสริมกลไกในการสืบทอดอำนาจ มีการใช้องค์กรอิสระเพื่อส่งเสริมความมั่นคงของอำนาจของตัวเอง ดังตัวอย่างการอนุมัติให้กรรมการ ป.ป.ช. ที่ขาดคุณสมบัติยังคงดำรงตำแหน่งต่อไป เพื่อทำให้การตรวจสอบการทุจริตคอรัปชั่นของพวกพ้องในรัฐบาล คสช. ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ไม่สามารถเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องได้ ดังที่ปรากฎในกรณีนาฬิกา 25 เรือนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

ขณะเดียวกัน ประชาชนและสื่อมวลชนก็ได้สูญเสียเสรีภาพในการแสดงออก เพราะการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลได้ถูกตีความว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ มีการเรียกรายงานตัว ปรับทัศนคติ ข่มขู่คุกคามและติดตามกว่า 1,000 ราย ปิดกั้นและแทรกแซงการจัดกิจกรรมซึ่งรวมถึงกิจกรรมทางวิชาการกว่า 300 ครั้ง ประชาชนถูกดำเนินคดีข้อหาชุมนุมทางการเมืองเกือบ 400 ราย ถูกดำเนินคดีข้อหาตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะและข้อหายุยงปลุกปั่นรวมกว่า 300 คน พลเรือนถูกดำเนินคดีในศาลทหารกว่า 2,000 คน ฯลฯ ซึ่งถือเป็นสถิติที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย

ในด้านเศรษฐกิจ รัฐบาล คสช. ได้ใช้วิธีการหว่านงบประมาณในลักษณะแจกจ่ายเพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่การดำเนินการโดยที่ขาดสติปัญญาดังกล่าวได้ก่อให้เกิดรายจ่ายเกินรายได้และทำให้เกิดการขาดดุลงบประมาณมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 6 แสนล้านบาทในที่สุด ซ้ำร้ายยังมีการจัดสรรงบประมาณโดยให้ความสำคัญกับกองทัพเป็นอันดับหนึ่ง จึงได้เห็นการเพิ่มงบประมาณให้กับกองทัพ การใช้งบมหาศาลในการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ หรือแม้แต่การเกณฑ์ทหารซึ่งควรถูกยกเลิกไปตามบริบทที่เปลี่ยนไปของสงครามทั่วโลกแล้ว ยังไม่นับรวมถึงการทุ่มงบประมาณหลายแสนล้านลงไปกับโครงการไทยนิยมยั่งยืน ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้นายกรัฐมนตรีได้เดินสายหาเสียง เพื่อปูทางสู่การสืบทอดอำนาจเป็นนายกรัฐมนตรีนอกครรลองประชาธิปไตยผ่านงบประมาณภาษีของประชาชนต่อไป

นอกจากนั้นรัฐบาลเผด็จการยังบ่อนทำลายอนาคต นี่คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่ คสช. ได้มอบให้ไว้ต่อประชาชน รัฐธรรมนูญอันเป็นมรดกของ คสช. นั้นได้มีการวางสารพัดกับดักเพื่อทำให้มั่นใจได้ว่าภาคการเมืองและภาคประชาชนจะอ่อนแอ จนไม่สามารถเป็นปฏิปักษ์กับอำนาจเผด็จการได้ กล่าวคือ ได้มีวางกับดักที่เปรียบเสมือนการยึดอนาคตของประเทศชาติด้วยการร่างแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วม โดยมี ส.ว. จำนวน 250 คนที่เป็นสมัครพรรคพวกของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีอำนาจในการกำกับดูแล หมายความว่ากลไกเหล่านี้ก็จะคอยปกป้องคุ้มครองระบอบ คสช. ในดำรงอยู่สืบทอดอำนาจต่อไปอีกแสนนาน

ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงขอสู้อีกครั้ง ด้วยการเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาล สถานที่ซึ่ง คสช. ได้ยึดครองและใช้เป็นฐานในการวางไข่เผด็จการมากว่า 4 ปี เข้าไปให้ใกล้พวกเขามากที่สุดด้วยหวังที่จะให้ได้ยินเสียงของประชาชนเสียที แม้ในวันนี้พวกเราจะไปไม่ถึงจุดหมายที่ตั้งไว้ แต่พวกเราจะยังขอตะโกนบอกย้ำกับพวกเขาอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังที่สุดเท่าที่จะเปล่งออกมาได้ ถึงจุดยืนของพวกเราว่า

1. การเลือกตั้งจะต้องเกิดขึ้นภายในเดือนพฤศจิกายน 2561 ตามที่ คสช. เคยให้คำมั่นไว้

2. คสช. จะต้องยุติความพยายามใดๆ ที่จะสืบทอดอำนาจหรือเข้ามามีบทบาทในทางการเมืองต่อไปภายหลังการเลือกตั้ง

3. จะต้องปลดอาวุธ คสช. โดยการยกเลิกประกาศและคำสั่งต่างๆ ของ คสช. ที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งรวมถึงประกาศหรือคำสั่งที่ขัดขวางการดำเนินการต่างๆ ของพรรคการเมืองเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งโดยทันที

4. คสช. จะต้องยุติการดำรงอยู่ของตัวเอง และเปลี่ยนสถานะของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นรัฐบาลรักษาการโดยทันที เพื่อสร้างหลักประกันในการจัดการเลือกตั้งที่เสรี เป็นธรรม โปร่งใส และปราศจากการแทรกแซงจาก คสช.

5. กองทัพจะต้องยุติการสนับสนุน คสช. ในทุกประการโดยทันที เพื่อไม่ให้ คสช. มีขุมกำลังในการสืบทอดอำนาจเผด็จการได้อีก

ขอประชาชนชาวไทยทุกคนจงเป็นพยาน ว่าพวกเราได้พยายามทุกวิถีทางแล้วในการเรียกร้องให้ คสช. หยุดความพยายามในการเลื่อนการเลือกตั้งและสืบทอดอำนาจแต่โดยดี หาก คสช. ยังคงดันทุรังที่จะสานต่อความทะเยอทะยานของตนต่อไป พวกเราก็จะเดินหน้าต่อไปเพื่อโค่นล้มมันให้จงได้เช่นกัน

เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ

กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง

แถลง ณ หน้าอาคารสหประชาชาติ ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ จุดที่ใกล้ทำเนียบรัฐบาลมากที่สุดเท่าที่พวกเราไปถึง

22 พฤษภาคม 2561



กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย Democracy Restoration Group - DRG

...