วันจันทร์, พฤษภาคม 07, 2561

ธงฟ้าประชารัฐทำท่าจะเจ๊ง จะว่ายุคนี้กาลีก็ไม่กล้า สงสัยว่าประชาชนนั่นแหละที่ดวงซวย


๔ ใน ๕ ข้อที่ประยุทธ์สั่งโฆษกห่านอูประกาศว่าจะทำให้เสร็จก่อนวันเลือกตั้งภายใน ๘ เดือนนั้นน่ะ เขาทำสำเร็จกันมาก่อนพวกบูรพาพยัคฆ์ยึดอำนาจครั้งแรกเมื่อกันยา ๔๙ มิใช่หรือ

ยึดไปแล้วเอาไม่อยู่ เสียของ เพราะชาวบ้านชอบเจ้าเก่าเลือกกลับเข้าไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงต้องยึดอีกครั้งเมื่อพฤษภา ๕๗ ซึ่งคราวนี้กำอำนาจเด็ดขาดมาได้สี่ปีไม่เสียของ แต่เสียหะมาบรรลัยไปเลย

เสียหนักกว่าใครก็ ธงฟ้าประชารัฐ นี่ละ เห็นว่า เจ๊งแล้วหรือไม่ก็ใกล้พับฐานเต็มทน จากข่าวสั้นระบุว่าบริษัทประชารัฐรักสามัคคี หรือ วิสาหกิจเพื่อสังคม หลายจังหวัด
 
“ขณะนี้กำลังอยู่ในสภาพขาดการขับเคลื่อน บางจังหวัดเพียงรอจ่ายเงินให้หมดแล้วยุติกิจกรรม บางจังหวัดกว่า ๘๐% ได้ทำเรื่องถึงผู้ลงทุน เพื่อคืนเงินหุ้นแล้วยุติกิจการ”

เมื่อสองสามวันก่อน (๔ พฤษภา) กระทรวงการคลังเจ้าของโครงการยอมรับว่า มีปัญหาเหตุเกิดจากผู้ประกอบการหลายรายเอาเปรียบผู้ถือบัตรสวัสดิการ โดยพยายามเก็บค่าภาษีมูลค่าเพิ่มบวกเข้าไปกับราคาสินค้า

การนี้รองอธิบดีกรมสรรพากรชี้แจงว่า ผู้ประกอบการที่มีรายได้ต่อปี ๑.๘ ล้านบาทเท่านั้นจึงต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และสามารถเรียกเก็บค่าภาษีเพิ่มเติมจากราคาของได้ อีกทั้งผู้ถือบัตรสวัสดิการที่ซื้อของจากร้านธงฟ้า ส่วนใหญ่มักเป็นอาหาร เช่นข้าวสาร ไข่ไก่ ซึ่งอยู่ในหมวดไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

ด้านอธิบดีกรมการค้าภายในเปิดเผยว่ากำลังอยู่ในระหว่างตรวจสอบ เรื่องที่มีเสียงร้องเรียนว่าร้านธงฟ้าบางแห่งเรียกเก็บค่าบริการรูดบัตรคนจน ที่รัฐบาล คสช. ไม่ใช้ประชานิยม แต่ใช้ ไทยนิยมออกให้คนจนเดือนละ ๓๐๐-๕๐๐ บาท ถึงขนาดติดป้ายว่าผู้ใช้บัตรต้องจ่ายเพิ่ม ๑๕-๒๕ บาท บ้างอ้างว่าเป็นค่า แว้ท


ก็แว้ทนี่แหละที่เป็นรายได้หลักเข้ารัฐ ซึ่งประชากรไทยทุกชั้นชนมีส่วนจ่ายเพื่อชาติกันถ้วนหน้า ไม่ได้แบ่งคนรวย-คนจน คนเป็นคุณนายจ่ายมากกว่าแม่บ้าน (คนใช้) หรือผู้พิพากษาจ่ายมากกว่ากรรมกร อย่างที่พวกสลิ่มชอบอ้าง

และบังเอิ๊นบังเอิญ ตลอดยุค คสช. เป็นรัฐบาล มีตัวเลขออกมาเมื่อปีที่แล้วว่าไม่สามารถจัดเก็บได้ตามเป้า “เมื่อปี ๒๕๕๖ เริ่มต่ำกว่าเป้า ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา ๕ ปีแล้ว” (รายงานเมื่อสิงหา ๖๐)

“ในช่วง ๙ เดือนแรกของปีงบประมาณ ๒๕๖๐ นี้ ต่ำกว่าเป้าหมาย ๓๓,๔๙๙ ล้านบาท หรือคิดเป็น ๕.% แต่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (๒๕๕๙) ๒.% เนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บในประเทศเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ”


นี่กลางปี ๖๑ ยังไม่เห็นตัวเลขเกี่ยวกับการหมุนเวียนของเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศ อันจะเป็นที่มาของรายได้จากแว้ท อาจเป็นได้ว่ายังต่ำกว่าประมาณการอยู่ เลยไม่อยากพูดถึง แต่เท่าที่ฟังเสียงชาวบ้าน ไม่มีอะไรดีขึ้นกว่าตลอดสามปีกว่าที่ผ่านมา

คิดดูแล้วกัน ขนาดโครงการจากความคิดของทั่นผู้นัมพ์เองแท้ๆ ยังเจ๊งไปเมื่อปลายปีที่แล้ว จากคอลัมน์ในไทยรัฐเมื่อกลางเดือนธันวาที่ว่า “สรรพสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป”
 
เมื่อ “ตลาดคลองผดุง ซึ่งนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้ริเริ่มและสร้างมากับมือตัวเอง ด้วยการเปิดพื้นที่ข้างทำเนียบรัฐบาลจัดให้เป็นตลาดต้นแบบวิถีไทย เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและยกระดับเศรษฐกิจชุมชนต่อเนื่องกันมาแล้ว ๓ ปี จะต้องปิดฉากเลิกตลาดอย่างถาวรตั้งแต่วันที่ ๒๗ ธันวาคม”


จะว่ารัฐบาลประยุทธ์นี่ กาลีทำอะไรไม่ขึ้น ก็ไม่กล้าพูดเพราะโหรวารินทร์เค้าบอกโท่งๆ ว่าประยุทธ์กำลังรุ่งเรือง จะต้องครองเมืองต่อไปอีกสี่ซ้าห้าปี สงสัยเป็นที่ประชาชนนั่นแหละที่ ดวงซวย เอง พอเขาหาเงินไม่ได้ก็พยายามชักโน่นชักนี่

เมื่อวานนี้เอง (๖ พ.ค.) นายกสภาคนพิการต้องโวย  เพราะคลังกำลังจะโอนเงินช่วยเหลือคนพิการกลับคืนถึง ๒ พันล้านบาท โดยแยกเป็น ๓ ช่วง พฤษภานี้ ๕๐๐ ล้าน งวดต่อไปพันล้าน ปิดท้ายอีก ๕๐๐ อ้างว่าเป็นเงินสภาพคล่องส่วนที่เกินความจำเป็น

แต่นายสุชาติ โอวาทวรรณสกุล นายกสภาฯ บอกว่าไม่จริง “เงินกองทุนคนพิการไม่ได้มีเงินที่เกินความจำเป็น แต่มีแนวโน้มที่จะลดลงด้วยซ้ำ เนื่องจากมีคนพิการจดทะเบียนเพิ่มมากขึ้นทุกปี...หากมีการใช้อำนาจบังคับให้กองทุนต้องส่งเงินเข้าคลัง จะทำให้เกิดความเสียหายต่อกองทุนและคนพิการทุกประเภททั่วประเทศ”


นั่นยังไม่นับปัญหาคอรัปชั่น ที่ คสช.ปล่อยหมักหมม (นอกเหนือจากพวกกันเองและลิ่วล้อ สวาปามกันปากเปรอะ) จนบัดนี้บานปลายกว่า ๖๐ จังหวัด ก็คือการทุจริตเงินช่วยเหลือคนยากจนและคนพิการ ที่นักศึกษาฝึกงานเป็นผู้พบแล้วปูดที่จังหวัดขอนแก่น

มาวันนี้โผล่เพิ่มอีกรายการ โครงการแจกผ้าห่มกันหนาวให้ชาวชนบทห่างไกล มีผู้สงสัยแจกกันได้ทุกปีเป็นผ้าห่มแบบใช้แล้วทิ้งหรือไร ก็ปรากฏว่าประมาณนั้น มีการค้นพบที่สิงห์บุรีว่าเกิดการทุทริตยักยอกและเอาเปรียบคนจนกันบานตะไท
 
นสพ.บางกอกโพสต์รายงานว่าโครงการซื้อผ้าห่มสำหรับแจกชาวบ้านเป็นเงิน ๒ แสนบาท เท่ากับผืนละ ๔๐๐ บาท ซึ่งสูงมากกว่าราคาปกติเกือบเท่าตัว ในเมื่อราคาตลาดแค่ผืนละ ๒๔๐ บาท มิหนำซ้าขนาดและคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานกำหนดเยอะ

“ผ้าห่มควรจะต้องมีขนาดกว้าง ๑๔๕ ซ.ม. ยาว ๑๙๕ ซ.ม. และหนัก ๑.๑ กิโล...ผ้าห่มส่วนหนึ่งที่ศูนย์สิงห์บุรีแจกนั้นขนาดเล็กกว่าและหนักไม่ถึงกิโลด้วยซ้ำ”


อ้อ แล้วก็ ๔ ใน ๕ ข้อที่ คสช. นั่นเองเป็นคนระงับความเจริญ แล้วเพิ่งจะมาคิดทำใหม่ เร่งด่วนก่อนถึงเลือกตั้งนั่น (รายละเอียดจาก https://mgronline.com/politics/detail/9610000044331)

ได้แก่เรื่องข้าราชการอำนวยความสะดวกประชาชน อันนี้เห็นชัดว่ายุคทักษิณต่างกับยุค คสช. เพียงใด ยุคนี้ ทหารกร่างมีให้เห็นเกลื่อน กับเรื่องปากท้องประชาชนคงจำกันได้ว่าก่อนรัฐประหาร ๔๙ ชาวบ้านกินดีอยู่ดีแค่ไหน

ส่วนด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน ดูเอาแล้วกันไม่ใช่เพราะเมื่อก่อนเปิดกว้างหรอกหรือ กปปส. ถึงได้ใช้สิทธิเต็มที่ จนทำให้ คสช. มีวันนี้ กับสุดท้ายเรื่องลดความเหลื่อมล้ำ ไปถามตุลาการภาค ๕ ดูก็ได้ว่าทหารช่วยยกหางให้แค่ไหน