๔ ใน ๕ ข้อที่ประยุทธ์สั่งโฆษกห่านอูประกาศว่าจะทำให้เสร็จก่อนวันเลือกตั้งภายใน
๘ เดือนนั้นน่ะ เขาทำสำเร็จกันมาก่อนพวกบูรพาพยัคฆ์ยึดอำนาจครั้งแรกเมื่อกันยา ๔๙
มิใช่หรือ
ยึดไปแล้วเอาไม่อยู่ ‘เสียของ’
เพราะชาวบ้านชอบเจ้าเก่าเลือกกลับเข้าไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จึงต้องยึดอีกครั้งเมื่อพฤษภา ๕๗ ซึ่งคราวนี้กำอำนาจเด็ดขาดมาได้สี่ปีไม่เสียของ
แต่เสียหะมาบรรลัยไปเลย
เสียหนักกว่าใครก็ ‘ธงฟ้าประชารัฐ’ นี่ละ เห็นว่า ‘เจ๊งแล้ว’ หรือไม่ก็ใกล้พับฐานเต็มทน
จากข่าวสั้นระบุว่าบริษัทประชารัฐรักสามัคคี หรือ ‘วิสาหกิจเพื่อสังคม’ หลายจังหวัด
“ขณะนี้กำลังอยู่ในสภาพขาดการขับเคลื่อน
บางจังหวัดเพียงรอจ่ายเงินให้หมดแล้วยุติกิจกรรม บางจังหวัดกว่า ๘๐%
ได้ทำเรื่องถึงผู้ลงทุน เพื่อคืนเงินหุ้นแล้วยุติกิจการ”
เมื่อสองสามวันก่อน (๔ พฤษภา)
กระทรวงการคลังเจ้าของโครงการยอมรับว่า ‘มีปัญหา’
เหตุเกิดจากผู้ประกอบการหลายรายเอาเปรียบผู้ถือบัตรสวัสดิการ
โดยพยายามเก็บค่าภาษีมูลค่าเพิ่มบวกเข้าไปกับราคาสินค้า
การนี้รองอธิบดีกรมสรรพากรชี้แจงว่า
ผู้ประกอบการที่มีรายได้ต่อปี ๑.๘ ล้านบาทเท่านั้นจึงต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
และสามารถเรียกเก็บค่าภาษีเพิ่มเติมจากราคาของได้
อีกทั้งผู้ถือบัตรสวัสดิการที่ซื้อของจากร้านธงฟ้า ส่วนใหญ่มักเป็นอาหาร
เช่นข้าวสาร ไข่ไก่ ซึ่งอยู่ในหมวดไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ด้านอธิบดีกรมการค้าภายในเปิดเผยว่ากำลังอยู่ในระหว่างตรวจสอบ
เรื่องที่มีเสียงร้องเรียนว่าร้านธงฟ้าบางแห่งเรียกเก็บค่าบริการรูดบัตรคนจน
ที่รัฐบาล คสช. ไม่ใช้ประชานิยม แต่ใช้ ‘ไทยนิยม’
ออกให้คนจนเดือนละ ๓๐๐-๕๐๐ บาท ถึงขนาดติดป้ายว่าผู้ใช้บัตรต้องจ่ายเพิ่ม
๑๕-๒๕ บาท บ้างอ้างว่าเป็นค่า ‘แว้ท’
ก็แว้ทนี่แหละที่เป็นรายได้หลักเข้ารัฐ ซึ่งประชากรไทยทุกชั้นชนมีส่วนจ่ายเพื่อชาติกันถ้วนหน้า
ไม่ได้แบ่งคนรวย-คนจน คนเป็นคุณนายจ่ายมากกว่าแม่บ้าน (คนใช้) หรือผู้พิพากษาจ่ายมากกว่ากรรมกร
อย่างที่พวกสลิ่มชอบอ้าง
และบังเอิ๊นบังเอิญ ตลอดยุค คสช. เป็นรัฐบาล
มีตัวเลขออกมาเมื่อปีที่แล้วว่าไม่สามารถจัดเก็บได้ตามเป้า “เมื่อปี ๒๕๕๖ เริ่มต่ำกว่าเป้า
ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา ๕ ปีแล้ว” (รายงานเมื่อสิงหา ๖๐)
“ในช่วง ๙ เดือนแรกของปีงบประมาณ ๒๕๖๐ นี้
ต่ำกว่าเป้าหมาย ๓๓,๔๙๙ ล้านบาท หรือคิดเป็น ๕.๗% แต่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (๒๕๕๙) ๒.๕% เนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บในประเทศเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ”
นี่กลางปี ๖๑
ยังไม่เห็นตัวเลขเกี่ยวกับการหมุนเวียนของเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศ
อันจะเป็นที่มาของรายได้จากแว้ท อาจเป็นได้ว่ายังต่ำกว่าประมาณการอยู่
เลยไม่อยากพูดถึง แต่เท่าที่ฟังเสียงชาวบ้าน ไม่มีอะไรดีขึ้นกว่าตลอดสามปีกว่าที่ผ่านมา
คิดดูแล้วกัน
ขนาดโครงการจากความคิดของทั่นผู้นัมพ์เองแท้ๆ ยังเจ๊งไปเมื่อปลายปีที่แล้ว จากคอลัมน์ในไทยรัฐเมื่อกลางเดือนธันวาที่ว่า
“สรรพสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป”
เมื่อ “ตลาดคลองผดุง ซึ่งนายกฯ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้ริเริ่มและสร้างมากับมือตัวเอง ด้วยการเปิดพื้นที่ข้างทำเนียบรัฐบาลจัดให้เป็นตลาดต้นแบบวิถีไทย
เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและยกระดับเศรษฐกิจชุมชนต่อเนื่องกันมาแล้ว ๓ ปี จะต้องปิดฉากเลิกตลาดอย่างถาวรตั้งแต่วันที่
๒๗ ธันวาคม”
จะว่ารัฐบาลประยุทธ์นี่ ‘กาลี’ ทำอะไรไม่ขึ้น
ก็ไม่กล้าพูดเพราะโหรวารินทร์เค้าบอกโท่งๆ ว่าประยุทธ์กำลังรุ่งเรือง จะต้องครองเมืองต่อไปอีกสี่ซ้าห้าปี
สงสัยเป็นที่ประชาชนนั่นแหละที่ ‘ดวงซวย’ เอง พอเขาหาเงินไม่ได้ก็พยายามชักโน่นชักนี่
เมื่อวานนี้เอง (๖ พ.ค.) นายกสภาคนพิการต้องโวย
เพราะคลังกำลังจะโอนเงินช่วยเหลือคนพิการกลับคืนถึง ๒ พันล้านบาท โดยแยกเป็น
๓ ช่วง พฤษภานี้ ๕๐๐ ล้าน งวดต่อไปพันล้าน ปิดท้ายอีก ๕๐๐ อ้างว่าเป็นเงินสภาพคล่องส่วนที่เกินความจำเป็น
แต่นายสุชาติ โอวาทวรรณสกุล นายกสภาฯ
บอกว่าไม่จริง “เงินกองทุนคนพิการไม่ได้มีเงินที่เกินความจำเป็น
แต่มีแนวโน้มที่จะลดลงด้วยซ้ำ เนื่องจากมีคนพิการจดทะเบียนเพิ่มมากขึ้นทุกปี...หากมีการใช้อำนาจบังคับให้กองทุนต้องส่งเงินเข้าคลัง
จะทำให้เกิดความเสียหายต่อกองทุนและคนพิการทุกประเภททั่วประเทศ”
นั่นยังไม่นับปัญหาคอรัปชั่น ที่
คสช.ปล่อยหมักหมม (นอกเหนือจากพวกกันเองและลิ่วล้อ สวาปามกันปากเปรอะ)
จนบัดนี้บานปลายกว่า ๖๐ จังหวัด ก็คือการทุจริตเงินช่วยเหลือคนยากจนและคนพิการ
ที่นักศึกษาฝึกงานเป็นผู้พบแล้วปูดที่จังหวัดขอนแก่น
มาวันนี้โผล่เพิ่มอีกรายการ
โครงการแจกผ้าห่มกันหนาวให้ชาวชนบทห่างไกล มีผู้สงสัยแจกกันได้ทุกปีเป็นผ้าห่มแบบใช้แล้วทิ้งหรือไร
ก็ปรากฏว่าประมาณนั้น มีการค้นพบที่สิงห์บุรีว่าเกิดการทุทริตยักยอกและเอาเปรียบคนจนกันบานตะไท
นสพ.บางกอกโพสต์รายงานว่าโครงการซื้อผ้าห่มสำหรับแจกชาวบ้านเป็นเงิน
๒ แสนบาท เท่ากับผืนละ ๔๐๐ บาท ซึ่งสูงมากกว่าราคาปกติเกือบเท่าตัว
ในเมื่อราคาตลาดแค่ผืนละ ๒๔๐ บาท มิหนำซ้าขนาดและคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานกำหนดเยอะ
“ผ้าห่มควรจะต้องมีขนาดกว้าง ๑๔๕ ซ.ม. ยาว
๑๙๕ ซ.ม. และหนัก ๑.๑ กิโล...ผ้าห่มส่วนหนึ่งที่ศูนย์สิงห์บุรีแจกนั้นขนาดเล็กกว่าและหนักไม่ถึงกิโลด้วยซ้ำ”
อ้อ แล้วก็ ๔ ใน ๕ ข้อที่ คสช. นั่นเองเป็นคนระงับความเจริญ
แล้วเพิ่งจะมาคิดทำใหม่ ‘เร่งด่วน’
ก่อนถึงเลือกตั้งนั่น (รายละเอียดจาก https://mgronline.com/politics/detail/9610000044331)
ได้แก่เรื่องข้าราชการอำนวยความสะดวกประชาชน
อันนี้เห็นชัดว่ายุคทักษิณต่างกับยุค คสช. เพียงใด ยุคนี้
ทหารกร่างมีให้เห็นเกลื่อน กับเรื่องปากท้องประชาชนคงจำกันได้ว่าก่อนรัฐประหาร ๔๙
ชาวบ้านกินดีอยู่ดีแค่ไหน
ส่วนด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน
ดูเอาแล้วกันไม่ใช่เพราะเมื่อก่อนเปิดกว้างหรอกหรือ กปปส. ถึงได้ใช้สิทธิเต็มที่ จนทำให้
คสช. มีวันนี้ กับสุดท้ายเรื่องลดความเหลื่อมล้ำ ไปถามตุลาการภาค ๕ ดูก็ได้ว่าทหารช่วยยกหางให้แค่ไหน