ป่าแหว่ง :
การใช้สิทธิชุมชน
ชำนาญ จันทร์เรือง
จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
การที่ประชาชนชาวเชียงใหม่ได้ออกมารณรงค์ให้มีการ 'รื้อ เต ตุ๊บ'
บ้านพักของตุลาการแถบเชิงดอยสุเทพจนเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วประเทศและทั่วโลก (ที่มีคนไทยอยู่)
นั้น คือการใช้ “สิทธิชุมชน”
ซึ่งผมอยากจะนำเรื่องสิทธิชุมชนนี้มาเสนอเพื่อเป็นตัวอย่างของการใช้สิทธิชุมชน
โดยขอไม่กล่าวถึงรายละเอียดของผลการเจรจา เพราะมีรายละเอียดปรากฏตามข่าวเยอะแล้ว
การออกมาใช้
“สิทธิชุมชน”ของคนเชียงใหม่นั้นไม่ใช่ของใหม่ ที่ผ่านมากลุ่มชนต่างๆ ในสังคมไทย
ต่างออกมาเรียกร้องสิทธิกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องสิทธิในที่ดิน น้ำ ป่า หรือสิทธิในการทำประมงชายฝั่ง
จึงเกิดมีคำถามตามขึ้นมาเสมอๆ ว่า
ทำไมชาวบ้านถึงคิดว่าตนเองมีสิทธิในทรัพยากรเหล่านั้น ในขณะที่ภาคราชการกลับคิดว่าชาวบ้านไม่มีสิทธิ
อย่างเช่นในกรณีของสิทธิที่ชาวบ้านออกมาเรียกร้องค่าชดเชยจากการสูญเสียอาชีพประมงในแม่น้ำมูล
ซึ่งเกิดจากการสร้างเขื่อนปากมูล หรือการที่ชาวบ้านลุกขึ้นปกป้องสิทธิของตนด้วยการคัดค้านการสร้างเขื่อน
การสร้างโรงไฟฟ้าพลังถ่านหิน หรือการสร้างท่อก๊าซ รวมทั้งล่าสุดในกรณี ‘ป่าแหว่ง’
กรณีต่างๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นความขัดแย้งในการตีความหมายของ
‘สิทธิ’
หรือการเข้าใจความหมายของสิทธิแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความหมายของสิทธิชุมชน
เช่น สิทธิของชาวนา สิทธิชาวบ้าน และสิทธิของท้องถิ่น ทั้งๆ ที่เป็นความคิดที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี
2540 มาแล้ว
ล่าสุดคือรัฐธรรมนูญฯ ปี 60 ก็บัญญัติไว้ให้ชุมชนย่อมมีสิทธิ
“จัดการ บำรุงรักษา
และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ อย่างสมดุลและยั่งยืนตามวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ”
การบัญญัติเรื่องสิทธิชุมชนไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดก็เพื่อให้ความสำคัญกับสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร
แต่เนื่องด้วยความหมายที่ยังไม่คุ้นเคย จึงมีการตีความที่ไม่ตรงกัน
สิทธิชุมชนคืออะไร ได้มีผู้ให้คำนิยามหรือความหมาย ‘สิทธิชุมชน’ ไว้เยอะมาก
นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ กล่าวว่า “แนวความคิดเรื่องสิทธิชุมชน สำหรับสังคมไทยอาจดูเป็นเรื่องใหม่
แต่อย่างน้อยที่สุดขณะนี้เราก็สามารถปลูกฝังสิ่งนี้ลงไปในสังคม
โดยผ่านกระบวนการนอกระบบการศึกษา จนในที่สุดมันซึมเข้าไปในระบบการศึกษา กลายเป็นสิ่งที่ชาวบ้านใช้ในการต่อสู้หลายต่อหลายเรื่อง
สิ่งสำคัญคือทำอย่างไร
ที่จะทำให้แนวคิดเรื่อง ‘สิทธิ’ ซึ่งในความเข้าใจของคนทั่วไปนั้นยังเป็นความหมายเพียงแค่ขอบเขตของปัจเจกบุคคล
ได้ขยายความหมายของคำๆ นี้ออกไปตามแนวคิดของโครงสร้างสังคมสมัยใหม่ได้
เราไม่ควรไปติดกับชุมชนที่มีความหมายแค่เพียงพื้นที่อย่างเดียว
เพราะในเมืองไทยมีสำนึกเกี่ยวกับชุมชนที่ไม่ได้เป็นพื้นที่อย่างเดียวมากมาย เช่น
กรณีคนพิการขอให้มีบันไดเลื่อน ถึงแม้จะต่างคนต่างอยู่แต่เป็นประโยชน์ร่วมของเขา
จากการที่เขานับตัวเองเป็นคนหนึ่งของผู้พิการ
ดังนั้น เรื่องของชุมชนกับเรื่องของอัตลักษณ์เป็นเรื่องเดียวกัน
หมายความว่า ตัวเองมีผลประโยชน์ร่วมกับคนอื่นอย่างไร
หรือควรจะมีทรัพยากรของตัวเองร่วมกับคนอื่นอย่างไร เหล่านี้เองคือความเป็นชุมชน
และการที่คนเหล่านั้นมีจินตนาการว่าตัวตนของตัวเองส่วนหนึ่งร่วมอยู่กับส่วนอื่นเพราะเหตุผลอย่างนั้น
นี่คือสิทธิชุมชน”
เสน่ห์ จามริก, ยศ สันตสมบัติ และอานันท์
กาญจนาพันธุ์ ใน“ป่าชุมชนในประเทศไทย
แนวทางการพัฒนาเล่มที่ 1 ป่าฝนเขตร้อนกับภาพรวมของป่าชุมชนในประเทศไทย” เมื่อ 2536 ชี้ว่า สภาวะของสิทธิชุมชนเกิดขึ้นในสถานการณ์ความขัดแย้ง
ที่รัฐและทุนดำเนินการแย่งชิงทรัพยากรที่ชุมชนพึ่งอาศัย เป็นกระบวนการต่อสู้เพื่อพิทักษ์ทรัพยากร
เช่น การต่อสู้ ต่อต้าน การสัมปทานไม้ การกันแนวเขตป่าชุมชน
สิทธิชุมชนจึงเสมือนเป็นประดิษฐ์กรรมทางสังคมของชุมชนและขบวนการภาคประชาชน
ที่สร้างขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจจากภายนอกที่เข้ามาส่งผลกระทบต่อชุมชน
ที่ชัดเจนที่สุดก็คือความเห็นของเย็นจิตร
ถิ่นขาม ที่สรุปว่า ‘สิทธิชุมชน’ คือ ข้อตกลง กฎเกณฑ์ทางสังคม
หรืออาจพัฒนาสู่ความเป็นสถาบันร่วมกันของกลุ่มคนเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากร
การจัดการทางเศรษฐกิจ สังคม และอื่น ๆ
กลุ่มคนดังกล่าวมีความสัมพันธ์ทางสังคมร่วมกัน
หรือเป็น ‘ชุมชน’
ลักษณะชุมชนนั้นมิได้ยึดติดกับชุมชนหมู่บ้าน
อันเป็นรูปแบบการปกครองของรัฐ
แต่เป็นเครือข่ายทางสังคมของผู้คนที่มีวัฒนธรรมร่วมกัน อยู่ในระบบนิเวศเดียวกัน
มีการใช้ทรัพยากรร่วมกัน หรือมีแบบแผนการผลิต ระบบเศรษฐกิจเกี่ยวข้องกัน
ซึ่งอาจจะมีขอบเขตชุมชนใดชุมชนหนึ่ง
หรือหลายชุมชน หลายกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่ได้จำกัดแค่ชุมชนชนบท
แต่ขยายครอบคลุมถึงเมือง เป็นเครือข่ายท้องถิ่น หรืออาจจะเป็นชุมชนในจินตนาการที่ผู้คนสัมพันธ์ผ่านสื่อ
หรือนิยามว่าเราเป็นพวกเดียวกัน มีความสัมพันธ์ผ่านสิทธิร่วมกัน
สิทธิชุมชนในฐานะของอุดมการณ์ขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชน
ประภาส ปิ่นตบแต่ง
ชี้ให้เห็นว่าสิทธิชุมชนในฐานะของอุดมการณ์ ขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชนได้เปิดพื้นที่ทางสังคมและการเมืองอย่างกว้างใหญ่ไพศาล
อันเป็นห้วงเวลาที่พื้นที่ทางการเมืองทั้งในระดับท้องถิ่นและในระดับนโยบายเปิดช่องทางในการรวมตัว
การแสดงความคิดเห็น การมีส่วนร่วมในทางการเมือง สิทธิเสรีภาพของประชาชน
เป็นหลักการสำคัญในการพัฒนาประชาธิปไตย
งานศึกษาดังกล่าวได้ขยายไปสู่สถานภาพความรู้ของขบวนการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน
ในการลุกขึ้นมาปกป้องการเคลื่อนไหวของขบวนการภาคประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากทิศทางในการพัฒนาของรัฐ
จากกรณีป่าแหว่งที่เชียงใหม่ ได้มีการพยายามอธิบายหรือป้ายสีการเคลื่อนไหวนี้ออกไปในหลายรูปแบบ
บ้างดิสเครดิตว่าเป็น “ขบวนการเขียวหางแดง” (ริบบิ้นสีเขียว+เสื้อแดง) บ้างก็บอกว่าเป็นขบวนการพยายามทำลายความน่าเชื่อถือของตุลาการ
แต่บางส่วนว่าเป็นความเคลื่อนไหวของภาคประชาชนแท้ๆ
ไม่ใช่ความเคลื่อนไหวทางการเมือง และพยายามกีดกันนักการเมืองออกไปจากความเคลื่อนไหวนี้
ซึ่งในความเห็นที่ว่าไม่ใช่ความเคลื่อนไหวทางการเมืองนี้
ผมในฐานะนักรัฐศาสตร์ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นัก เพราะหากพิจารณาตามความหมายของคำว่า
“การเมืองคืออะไร” ของฮาโรลด์ ลาสเวล (Harold
D. Lasswell) ปรมาจารย์ด้านรัฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ที่กล่าวว่า
“การเมืองคือการได้มาซึ่งอำนาจ
เพื่อที่จะตัดสินว่าใครจะได้อะไร เมื่อใด และอย่างไร (Politics
is who gets ‘What’, ‘When’, and ‘How’)
แล้ว
กรณีป่าแหว่งนี้ก็คือการเมืองอย่างหนึ่ง
แต่เป็นการเมืองภาคประชาชนด้วยการใช้ ‘สิทธิชุมชน’
ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั่นเอง
-------------
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 16
พฤษภาคม 2561