วันอาทิตย์, พฤษภาคม 27, 2561

‘อนาคตใหม่’ เริ่มแล้ว ท่ามกลางบรรยากาศฟากตรงข้าม “แอบอ้างเบื้องสูง” ที่นักข่าวสาวสายทหารระบุว่า “ใครก็ช่วยไม่ได้”

อนาคตใหม่ เริ่มแล้วเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา (เวลากรุงเทพฯ) หลังจากที่กลุ่มผู้ก่อตั้งและสมาชิกพรรคออกเสียงท่วมท้นกว่า ๔๗๐ คนเห็นชอบชื่อพรรค

จากนั้นมีการเลือกผู้เข้าดำรงตำแหน่งผู้บริหารต่างๆ ได้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นหัวหน้า (คะแนน ๔๗๓ งดออกเสียง ๑) และรองหัวหน้า ๓ คน ได้แก่ กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ (รองคนที่ ๑) ชำนาญ จันทร์เรือง (รองคนที่ ๒) พลโท พงศกร รอดชมพู (รองคนที่ ๓) และ ปิยบุตร แสงกนกกุล ได้รับเลือกเป็นเลขาธิการพรรค
 
แถมด้วยคอมเม้นต์ของ บก.ลายจุด ทางทวิตเตอร์ “คุณช่อ อดีตนักข่าวสาว Voice TV รับตำแหน่งโฆษกพรรคอนาคตใหม่ โอ้ย...บันเทิงมาก นึกถึงตอนต่อปากต่อคำกับมัลลิกา คงฟินเวอร์”

ก่อนหน้านี้เกิน ๒๔ ชั่วโมง มี ข้อเสนอร้อนจากปารีส โดย สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการประวัติศาสตร์ซึ่งลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศฝรั่งเศส เป็นข้อเสนอสองข้อ

ที่มีความต่อเนื่องกัน แต่สามารถแยกออกจากกันได้ในระดับหนึ่ง คือจะเห็นด้วยกับข้อแรกแล้วไม่เอาข้อหลังก็ได้ แต่ถ้าไม่เอาอะไรเลย หรือไม่มีแม้แต่การยกประเด็นที่เสนอนั้นขึ้นมาอภิปรายถกกัน

“ก็ยากจะอ้างได้ว่า เป็นพรรคการเมืองแบบใหม่ ของ คนรุ่นใหม่ ที่ยึดมั่นอุดมการณ์ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และอื่นๆ โดยแท้จริง ตามที่มีการโฆษณากันมาตลอดนับแต่เปิดตัวจดจองชื่อพรรค

ข้อเสนอทั้งสองก็คือ

(1) ผมเสนอว่า สมาชิกผู้ก่อตั้งพรรค หยิบยกเอาปัญหาประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ขึ้นมาอภิปรายถกเถียงในการพิจารณาผ่านนโยบายพรรค

(2) ผมเสนอให้บรรจุลงในนโยบายพรรคว่า พรรคให้การสนับสนุนข้อเสนอของคณะกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยมีศาสตราจารย์ ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน เรื่องการแก้ไขปรับปรุงประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
(เกี่ยวกับข้อเสนอนี้ โปรดดูเพิ่มเติม https://t.co/JnWhXNYkDO)

สศจ.ให้เหตุผลในการที่พรรคอนาคตใหม่ ต้องเข้าไปแตะในประเด็นนี้ เพราะว่าถ้าเป็นพรรคการเมืองแบบเก่า “จะไม่ยอมแตะ ดังเช่นที่เป็นมาในประวัติศาสตร์ยาวนานของพรรคการเมืองไทย

จะเป็นเรื่องเดียวที่สามารถแสดงให้เห็นว่า พรรคอนาคตใหม่ จะเป็นพรรคการเมืองแบบใหม่ ที่ เล่นการเมือง แตกต่างจากพรรคการเมืองแบบเก่า โดยแท้จริงหรือไม่”

อีกทั้งข้อเสนอที่สองของเขา ซึ่งให้เอาข้อเสนอจาก คอป. หรือคณะกรรมการตรวจสอบความจริง ของ ดร.คณิต เรื่องแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาใช้ เนื่องเพราะ

“เมื่อเร็วๆนี้ คุณธนาธรได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Libération ของฝรั่งเศสว่า พรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคฝ่ายซ้ายโดยชัดเจน (clairement à gauche)

ขณะที่ “โดยบรรทัดฐานสากล คนอย่าง คณิต ณ นคร และคณะ คงไม่สามารถจัดว่าเป็นฝ่ายซ้ายแน่ อย่างมากก็เป็นขวากลาง” ดร.สมศักดิ์ลงท้ายว่า

“หากพรรคอนาคตใหม่ไม่มีข้อเสนออะไรเกี่ยวกับ ๑๑๒ โดยเฉพาะถ้าไม่กล้าแม้แต่จะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาอภิปรายในการพิจารณานโยบายพรรคโดยเปรียบเทียบแล้ว

จะจัดว่าเป็นอะไรใน ซ้าย-ขวา ตามเฉดสเปคตรัมอุดมการณ์ทางการเมือง”


ก็พอดี ก่อนหน้านี้สามวัน มีการจับกุมผู้เคยนุ่งห่มเหลืองและใช้นาม พุทธะอิสระซึ่งโด่งดังมาตั้งแต่ครั้งเป็นแกนนำเป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ แห่งเวทีแจ้งวัฒนะอันลื่อเลื่องว่าการ์ดของก๊วนนี้ดุมาก 

หากแต่หนึ่งในข้อหาความผิดเป็นการ “แอบอ้างเบื้องสูง” ที่นักข่าวสาวสายทหารระบุว่า “ใครก็ช่วยไม่ได้”

การจับกุมครั้งนี้ตำรวจกองปราบยกกำลังคอมมานโดบุกเข้าไปยังกุฎีของผู้ต้องหา มีการใช้ฆ้อนหนักทุบสลักประตูเข้าไปถึงมุ้ง เป็นเหตุให้บรรดาศานุศิษย์ทั้งหลายที่เป็นคนดังในทางต่อต้านรัฐบาลชุดก่อนที่มาจากการเลือกตั้ง ออกมาร้องโวยวายกันขนานใหญ่ ว่ากองปราบทำการจับกุมหนักหนาเกินไป
 
ร้อนถึงสองผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศต้องออกมาขอโทษขอโพย ที่ตำรวจทำหักหาญ (ถึงแม้จะอ้างว่ากลัวโดนยิงสวน เพราะกิตติศัพท์ความเหี้ยมของการ์ดชุดนี้แผ่สร้านทั่วบริเวณวัดก็ตาม)

วาสนา นาน่วม รายงานว่าทั้งพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่างให้โฆษกของตน (กลาโหมและสำนักนายกฯ) แถลงขอโทษว่าการบุกจับกุมนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ “รุนแรงไป”

คนใหญ่คนโตทั้งสองยังได้ทำการว่ากล่าวตักเตือนตำรวจไปแล้ว ว่าทีหลังอย่าได้ทำอย่างนี้อีก (ส่วนที่ทำกับอีกฝ่ายทางการเมืองก่อนหน้านี้หลายกรณี ผ่านแล้วเลยไป ไม่ต้องพูดถึง)
 
ทางด้านหัวหน้าฝ่ายตำรวจ (ตัวจริงมั้ง) ที่ระยะหลังๆ นี่ปล่อยให้ตัวรอง (ซึ่งเป็นขาซ้ายของ คสช. มั้ง) พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล เล่นบทพระเอกบ่อยๆ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ถึงคราต้องพูดบ้าง

ต่อ “เสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำเกินกว่าเหตุหรือไม่” นั้น “ยืนยันการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการถูกต้อง เป็นไปตามยุทธวิธี...

แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าพระสงฆ์ก็มีทั้งพระดีและพระไม่ดี การปฏิบัติการของตำรวจก็ต้องระมัดระวังตัวเอง”


อ้าว พูดงี้ได้ไง พระที่ถูกจับถึงมุ้งคนนี้ สาม ป. เขากราบไหว้สะเดาะเคราะห์ ลงรักปิดทองหน้าผากกันมาแล้ว จะไม่ดีได้หรือ ในยุค คสช.นี่นะ