วันจันทร์, พฤษภาคม 28, 2561

Peace News วิเคราะห์ : ดักทางโจทย์อำนาจ“ขอโทษ”






Peace News


วิเคราะห์
.........................................................
ดักทางโจทย์อำนาจ“ขอโทษ”
จับตาสั่นคลอน“ผบ.ตร.-กองปราบ”
พุ่งกดดัน“ประกันตัวพุทธะอิสระ”
.........................................................

คนที่ไม่เห็นด้วยกับจับพุทธะอิสระ ส่วนใหญ่เป็นสาวกนกหวีด ร่วม กปปส.ชุมนุมซัดดาวน์กรุงเทพ ไล่ “ยิ่งลักษณ์-พรรคเพื่อไทย” ปี 2557 คนพวกนี้ก่นด่า "วิธีการ"บุกจับว่า ทำรุนแรงเกินเหตุกับพระอาจารย์แกนนำช่วยชาติ

เสียงก่นด่า กราดเกี้ยวด้วยอารมณ์ทยอยเปิดหน้าโล่งโจ้ง แต่ทุกเสียงกลับข้ามไม่วิจารณ์ "เหตุแห่งพฤติการณ์" ของพุทธะอิสระที่นำมาสู่การจับกุมคากุฏิเรือนนอนเมื่อเช้าตรู่วันที่ 24 พ.ค. ที่ผ่านมา

บรรดาสาวกนกหวีด ฝ่ายสื่อมวลชน ไอ้หนก เลียสด, เจ๊ปอง ของขึ้น รวมทั้ง ยะใส อ้างประชาชน ล้วนกดดันตำรวจหนักขึ้น เรียกร้องให้ "ประยุทธ์ จันทร์โอชา-ประวิตร วงษ์สุวรรณ" ชี้แจ้ง

หลังเกิดเหตุสองวันแรก คือ 24-25 พ.ค. "ประยุทธ์-ประวิตร" เงียบไม่พูดถึงการจับพุทธะอิสระ แต่ 26 พ.ค. ยังไม่ชี้แจ้ง กลับออกมา "ขอโทษ" ประชาชน-ลูกศิษย์พุทธะอิสระอย่างเป็นสาธารณะว่า ตำรวจทำเกิดกว่าเหตุ ถึงขั้นประวิตร ตำหนิแรง “อย่าทำอีก”

แน่ละ...คำตำหนิต่อว่านั้น แปลความได้ว่า เป็นคำชี้แจ้งที่โยนไปให้ตำรวจกองปราบปรามต้องรับผิดชอบ และแม้ “ประยุทธ์-ประวิตร” ยอมขอโทษอย่างจริงใจกับพวกพ้องที่เชียร์ คสช. หรืออาจหวังลดกระแสกดดันลง แต่อาการรุกบุกกดดันจากบรรดาสาวกนกหวีดคงไม่มีแค่นี้...

ดักทางกันไว้ก่อนว่า อีกไม่นาน พฤติกรรมได้คืบเอาศอกจะออกมาให้เห็น โดยเบื้องต้นคงพุ่งเล่นงาน “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” และ “ผู้บังคับการกองปราบปราม” ให้กระเด็นจากตำแหน่ง เพราะคนพวกนี้ทำได้ ไม่หวั่นสะทกอะไรทั้งสิ้น เชื่อขนมกินได้เลย...มุขพลังกราดเกรี้ยวไม่น่าพอใจแค่“คำขอโทษ”ต่อ"วิธีการ"บุกจับพระอาจารย์โดยไม่ให้เกียรติเป็นแน่แท้

สิ่งน่าคิดคือ การเอ่ยปาก "ขอโทษ" ทั้งจากปาก“ประยุทธ์-ประวิตร” มีคำอธิบายทางการเมืองว่าด้วยอำนาจอย่างใดหรือไม่...แน่นอนต้องมี เพราะคำพูด "ขอโทษ" แปลความได้ทั้งเรื่องว่า "ไม่รู้และไม่ได้สั่ง" หรือ “รู้แต่ทัดทานไม่ได้”

ด้านหนึ่ง หากประยุทธ์-ประวิตร ไม่รู้การปฏิบัติภารกิจบุกจับพุทธะอิสระแล้ว คงยากจะฟังขึ้น เพราะประวิตร คุมสั่งการตำรวจ ส่วนประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีควบหัวหน้า คสช. และทั้งสองผู้อำนาจนำนั้นเป็นศูนย์กลางบัญชาการงานด้านความมั่นคง

ยิ่งการบุกจับ "พระอาจารย์" เป็นงานใหญ่ กระเทือนถึงสาวกนกหวีด ต้องรู้เรื่องราวเป็นอย่างดี หากไม่รู้แล้ว ย่อมแสดงถึงอำนาจบังคับบัญชาถูกแทรกแซงและอาจถึงขั้นส่อแววกระเด็นหลุดไป

อีกด้านหนึ่ง ถ้าประยุทธ์-ประวิตร รู้แต่ทัดทานไม่ได้ นั่นแปลความว่า แค่แจ้งเตือนพุทธะอิสระให้ระวังตัว หรือสั่งการให้กองปราบปรามปฏิบัติการอย่างละมุมละม่อน ให้สมเกียรติพระนักสู้เพื่อชาติ พระชี้นำทางจิตวิญญาณผู้มีอำนาจ ก็ยังไม่กล้าทัดทานเลย แล้วนับประสาอะไรจะกล้าสั่งให้ยกเลิกปฏิบัติการได้

ดังนั้น คำสั่งการ "กดปุ่มเขียว" เล่นงานเอาผิดพุทธะอิสระ อดีตพระผู้เจิมหน้าผากเบิกเนตรที่สามของผู้นำอำนาจ คสช. มาจากไหน คนสั่งเป็นใครกัน เชื่อว่า“ประยุทธ์-ประวิตร” รู้อยู่ แต่พูดไม่ได้ อีกทั้งไม่อยากแหงนหน้ามอง ทำเป็นไม่เห็นย่อมดีกว่า

นี่ยังดีนะ...ประยุทธ์-ประวิตร เมื่อถูกสาวกนกหวีดกดดันหนักๆเข้า ไม่โยนเบื้องหลังคำสั่งทั้งหมดไปให้คนเมืองนอก คนหนีคดี พวกรัฐบาลเก่า คนชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" ตามที่ถนัดโบ้ยเอาตัวรอดเมื่อยามจนแต้มกลางกระดาน

ถึงที่สุด ความไม่พอใจของสาวกนกหวีด ส่วนหนึ่งแค่แสดงสัญญาณ"ความเป็นพวก กปปส." ต้องการสะท้อนว่า นกหวีดไม่ทิ้งกัน ยังมีพลังเป่าเสียงดังปรี๊ดๆ เสมอ

แล้ว "ประยุทธ์-ประวิตร" ออกมาขอโทษ อีกส่วนหนึ่งเหมือนแสดงอาการพวกพ้องไปด้วย อาจประเมินว่า เรื่องราวเสียงกดดันคงจบลงแค่นี้ แต่เชื่อเถอะ ไม่จบง่ายๆอย่างนั้นหรอก

แม้การรุกโจมตีกดดันไปที่ "วิธีการ"จับกุมพุทธะอิสระ คงไม่เกิดผลอะไรมากนัก เพราะมันจบแล้ว สิ้นสุดยุทธวิธีเข้าจับกุมตัวกองปราบปรามไปแล้ว แต่จะมีผลสั่นสะเทือนอะไรตามมานั้น ช่างน่าคิด รวมทั้งสิ่งที่เหลืออยู่ คือ "เนื้อหาหรือกรรม" ของพุทธะอิสระ ซึ่งสาวกนกหวีดได้ลดทอนไม่พูดถึง

เนื้อหาล้วนๆของพุทธะอิสระอยู่ที่ความผิดตามข้อหาปล้นทรัพย์ อั้งยี่ซ่องโจร คงต่อสู้ในชั้นศาลและไม่ครณามือ ผู้นำอำนาจจะดูแลความหนักเบาตามกระบวนการยุติธรรม หรือไม่เหลือบ่ากว่าแรงให้ได้ประกันในชั้นศาล

ข้อหาแบบนี้ พุทธะอิสระปฏิเสธอยู่แล้ว รอไปต่อสู้ พิสูจน์ข้อเท็จจริงชั้นศาล แม้มีพฤติกรรมโจ่งแจ้ง ขึ้นเวที กปปส. เป็น"แกนนำกรวย"ปิดกรุงเทพ ยึดสถานที่ราชการตั้งรังบัญชาการต่อสู้ ทำตัวสอบสวนแผ่เมตตาสาธารณะ กระทำรุนแรงต่อเหยื่อหลายต่อหลายคนก็ตามที

แต่ทางกฎหมายแล้ว สิ่งที่เห็นคงไม่ถึงขั้นตัดสินให้ผิด มีโทษตามกฎหมายเสมอไป เพราะยังมีเจตนาและสภาพแวดล้อมของช่วงสถานการณ์มาพิจารณาประกอบด้วย

เพียงข้อหาแอบอ้างปลอมพระปรมาภิไธย นี่ละที่หนัก พุทธะอิสระบังอาจแอบอ้างเบื้องสูง ดึงมาใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากิน เอาประโยชน์เข้ามูลนิธิ

ทนายความนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ บอกว่า พุทธะอิสระรับสารภาพทำผิดจริง ปลอมพระปรมาภิไธยจริง แต่เป็นการปลอมด้วยความรักและเทิดทูนสถาบันเบื้องสูง...โถช่างคิดเป็น!!

ช่างกล้าหาญชาญชัยอะไรเช่นนี้ กล้าอ้าง"ปลอมด้วยรักและเทิดทูน" หากรักจริงด้วยใจแล้ว ก็ไม่น่าใช้วิธีบังอาจปลอมกัน

การปลอมพระปรมาภิไธย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 250 และนำสิ่งปลอมไปใช้ตาม ม.252 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี และ ปรับตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 40,000 บาท จัดเป็นโทษหนักกว่าความผิดตาม ม.112 ที่ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี เสียอีก

เชื่อกันว่า ข้อหาพุทธะอิสระปลอมแปลงและใช้พระปรมาภิไธย โดยอ้างว่า ด้วยรักและเทิดทูน คือ กรรมหลักที่ทำให้ไม่ได้รับการประกันตัว จนถูกจับสึก จีวรปลิว เข้าคุกระหว่างการสอบสวนความผิด

และแล้ว พุทธะอิสระได้แปรสภาพเป็น “อดีตพระ” กลับเข้าสู่ร่าง “นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ” ตามเดิม วิชาอาคมเจิมหน้าผาก เบิกเนตรดวงที่สามให้เครือข่าย 3 ผู้นำอำนาจ คสช. ยังจะขลังหรือเสื่อมตาม ย่อมเป็นไปตามกรรมและมีแรงกระเพื่อมรุนแรงเพียงใด

บัดนี้ แรงกระเพื่อมจากสาวกนกหวีดเกิดขึ้นเล็กๆ แค่เสียงโวยวาย กราดเกรี้ยวยังกดดันให้ “ประยุทธ์-ประวิตร” ออกมาขอโทษได้

ถ้าเสียงกดดันลากลามรุนแรงถึงขั้น “ปล่อยตัว” หรือ “ให้ประกันตัว”พุทธะอิสระแล้ว “ประยุทธ์-ประวิตร” จะสนองตอบอย่างไรกัน

แล้วจะหาทางออกกับ “อำนาจยากจะทัดทาน” ได้อย่างไรกัน โจทย์อำนาจเช่นนี้ ไม่ง่ายเหมือนเขียนกลอน แต่งเพลง “อีกไม่นานความสุขจะคืนมา” เอาเสียเลย

เตรียมตัวหรือยัง...อีกไม่นานสาวกนกหวีดจะนำ “ความทุกข์ตามกรรม” มาเยือน !!!

PEACE NEWS