วันพุธ, พฤษภาคม 16, 2561

เหตุเกิดในภาคใต้ วัวขายไม่ออก มะพร้าวราคาตก กุ้งราคาต่ำ ทำไงได้รัฐบาลลุงตูบเองยังหนี้ท่วมหัว


วานนี้สิชลก็บ่นเหมือนกัน Thanyasak Nanakhon ไปเจอลูกความหน้าที่ทำการอำเภอ “น้าเขาบ่นว่าเศรษฐกิจแย่ลงจริงๆ”

เมื่อก่อนวัวตัวละ ๔-๕ หมื่น แย่งกันซื้อ ตอนนี้ไม่เห็นมีพ่อค้ามาถามซื้อกันนักเลย แต่ราคาเนื้อวัวสดในตลาดยังกิโลละ ๒๓๐-๒๕๐ อย่างเดิม

“กำลังซื้อหดหาย ขายยางขายปาล์ม ได้โลละไม่กี่บาท กินผักกินแกงไตปลาไปก่อนเถอะ ลูกความผมบ่นว่า เขาปฏิรูปกันนานจัง”

วันเดียวกัน ที่หน้าศาลากลางจังหวัดชุมพร ชาวสวนมะพร้าวและตัวแทนชาวสวนกว่าสิบคน ไปยกป้ายแผ่นโต ขอให้นายกฯ ดาวตลกช่วย “เนื่องจากมีราคาตกต่ำอย่างมาก”

ชาวสวนกลุ่มนี้มีข้อเรียกร้อง ๒ เรื่อง ล้วนเกี่ยวกับมะพร้าวทะลักมาจากต่างประเทศ ทำให้ราคาหล่นวูบ นอกจาก “ขอให้รัฐบาลควบคุมปริมาณการนำเข้ามะพร้าวจากต่างประเทศ” แล้วยังต้อง “ให้หน่วยงานเกี่ยวข้อง ตรวจเข้มและจับกุมผู้ลักลอบนำเข้ามะพร้าวอย่างผิดกฎหมาย” ด้วย
นายสมเกียรติ เหล่านาค นายกสมาคมชาวสวนมะพร้าว จ.ชุมพร ร้องว่าการนำเข้ามะพร้าวจากอินโดนีเซีย และเวียตนาม ทำให้ “ส่งผลกระทบต่อชาวสวนมะพร้าวอย่างรุนแรง (จากเดิมราคาลูกละ ๒๐ บาท) ปัจจุบันเหลือราคาลูกละ ๔-๕ บาทเท่านั้น และมีแนวโน้มจะลดลงอีก”

แกนนำชาวสวนขู่ด้วยว่า “หากข้อเรียกร้องไม่ได้รับความสนใจพวกเราชาวสวนมะพร้าวจากทั่วประเทศก็จะเดินหน้าเรียกร้องต่อไปจนกว่าจะได้รับการช่วยเหลือ”


จากสิชล เมืองคอน มาชุมพร แล้วย้อนไปสงขลา เหตุเกิดในภาคใต้ฐานเสียงนายหัว ชวนซึ่งบ่นนักบ่นหนา ว่าทั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์และทักษิณกลั่นแกล้ง ไม่ปล่อยงบฯ ลงไปพัฒนา

อาทิตย์ที่แล้ว เครือข่ายผู้เลี้ยงกุ้งภาคใต้นัดไปชุมนุมกันบริเวณสวนประวัติศาสตร์พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เพื่อยื่นหนังสือถึงประยุทธ์ จันทร์โอชา ขอให้แก้ปัญหาราคากุ้งตกต่ำมาก ด้วยการแทรกแซงราคา “โดยวิธีการรับจำนำ หรืออนุมัติให้เปิดโครงการรักษาเสถียรภาพราคาเหมือนครั้งก่อนๆ”
ชาวนากุ้งสงขลาขอให้พระเดชพระคุณ คสช. ใช้เวลาอย่างน้อย ๓ เดือน แก้ปัญหาราคากุ้งตกต่ำ ตามรายการราคาและขนาดที่พวกเขาเสนอแนะ ตั้งแต่ขนาดเล็ก ๑๐๐ ตัวต่อกิโล ขอ ๑๓๐ บาท ขนาด ๖๐ ตัวต่อกิโล ราคา ๑๘๐ บาท และขนาดยักษ์ ๓๐ ตัวต่อกิโล เคาะที่ ๒๓๐ บาทได้ไหม

เขายื่นข้อเรียกร้องไปตั้งแต่วันที่ ๑๐ พ.ค. ป่านนี้ยังไม่ได้ยินคำตอบจากรัฐบาลลุงตูบ และไม่ปรากฏว่าราคากุ้งได้รับการแก้ไขแต่อย่างใด จึงต้องยื่นคำขาด ขอคำตอบจากรัฐบาลในวันที่ ๑๗ พ.ค.นี้ ถ้าหากยังเงียบกันอยู่อีก คงต้องยกระดับการประท้วงไปถึงขั้นสุดท้าย

“คือปิดสะพานติณสูลานนท์ทันที เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๕”


เรื่องปากท้องร้องกันเยอะเพราะหัวหน้าใหญ่ไม่รู้จะทำไง ขนาดรัฐบาลเองยังทำหนี้เพิ่มเป็นล้านล้าน รอพวกลิ่วล้อ “ไปจัดการมาซิ” จะสี่ปียังไม่ได้ บอกแต่ว่า “จวนแล้ว จวนแล้ว” อีกสักปีสองปี

ตอนนี้ขอคิดเรื่องการเมืองก่อน กำลังจะเปลี่ยนอาชีพไปเป็นนักการเมืองถาวร เจอทางสามแพร่งคิดไม่ตกจะไปทางไหนดี นายกฯ คนนอก หรือคนใน ซ้ำมีช้อยซ์ คนกลาง มาแทรกก็เลยยุ่งหน่อย