วันพุธ, พฤษภาคม 09, 2561

สืบพยานคดี 112 ประเวศมาในชุดนักโทษ ใส่กุญแจข้อเท้า มีผ้าปิดปาก ลุกขึ้นยืนกล่าวด้วยเสียงแหบจากอาการหวัดกับศาลว่า ศาลไม่มีความชอบธรรมที่จะพิจารณาคดีนี้... ช่างกล้าหาญและสง่างาม... ชวนอ่านบทสนทนาโดยสรุป





สืบพยานคดี 112 ประเวศแย้งศาลหนัก สุดท้ายยอมไม่ขวาง ศาลยันจะเป็นธรรมที่สุด สถานการณ์คลี่คลายแล้ว
------

ที่ศาลอาญา รัชดา 9.45 น. ผู้พิพากษา 4 คนขึ้นบัลลังก์พิจารณาคดี ห้อง 707 ในนัดสืบพยานโจทก์ปากแรก (พลตรี วิจารณ์ จดแตง) คดี 112 ที่ประเวศ ประภานุกูลเป็นจำเลย

จำเลยและผู้พิพากษาสนทนาโต้แย้งกันนานประมาณ 30 นาทีก่อนทุกคนถูกสั่งให้ออกจากห้องเนื่องจากศาลสั่งพิจารณาคดีลับ

ต่อไปนี้เป็นบทสนทนาโดยสรุป

ประเวศมาในชุดนักโทษ ใส่กุญแจข้อเท้า มีผ้าปิดปาก ลุกขึ้นยืนกล่าวด้วยเสียงแหบจากอาการหวัดกับศาลว่า ศาลไม่มีความชอบธรรมที่จะพิจารณาคดีนี้ 

ผู้พิพากษาหญิงซึ่งเป็นผู้สนทนากับจำเลยเป็นหลักตอบว่า ศาลต้องพิจารณา เพราะฟ้องมาแล้ว 

จำเลยกล่าวว่า เช่นนั้นก็พิจารณาลับหลังตนไป แต่ตนมีสิทธิต่อต้าน 

ผู้พิพากษาหญิงกล่าวว่า ศาลจะให้ความเป็นธรรมอย่างดีที่สุด 

จำเลยกล่าวว่า สภาพตนแบบนี้ ศาลให้ความเป็นธรรมแล้วหรือ 

ผู้พิพากษาชายกล่าวว่า สภาพก็สมบูรณ์ดี ไม่ได้ทุพพลภาพ การถูกคุมตัวเพราะเป็นผู้ต้องหานั้นใช้หลักเกณฑ์เดียวเช่นคนอื่นๆ 

ผู้พิพากษาหญิงกล่าวว่า ขอให้เชื่อว่าศาลจะให้ความเป็นธรรมอย่างที่สุด 

จำเลยกล่าวว่า ตนไม่เชื่อ 

ผู้พิพากษาหญิงกล่าวว่า จำเลยอย่าคิดแบบนั้น ยังไงคดีก็ต้องพิพากษาอยากให้จำเลยสู้ให้เต็มที่ และไม่อยากให้จำเลยคิดแบบนั้น 

จำเลยกล่าวว่า สภาพแบบนี้ตนจะสู้ยังไง แถลงการณ์ฉบับ 5-7 ส่งให้ศาล ศาลก็ไม่ได้ จะถือเอกสารออกมาจากเรือนจำเรือนจำก็ไม่อนุญาต 

ผู้พิพากษาหญิงกล่าวว่า มีอยู่ในสำนวนแล้วศาลไม่รู้ฉบับไหนแต่ศาลอ่านหมดทุกอย่าง หากจำเลยต้องการจะยื่นใหม่เขียนวันนี้เลยก็ได้ 

จำเลยกล่าวว่า ยังไงตนยืนยันไม่ยอมให้สืบพยานต่อหน้าตน 

ผู้พิพากษาหญิงกล่าวว่า ก็ไม่ต้องสนใจ แต่จำเลยไม่มีทนาย จึงไม่อนุญาตให้พิจารณาลับหลังจำเลย 

จำเลยกล่าวว่า ศาลสั่งไม่ให้ประกันตัวให้เหตุผลราวกับพิพากษาคดีล่วงหน้าแล้ว 

ผู้พิพากษาหญิงกล่าวว่า ศาลยังไม่ได้ตัดสินคดีเลย เจ้าของสำนวนกำลังจะพิจารณาอยู่นี่ ขอให้จำเลยไปนั่งที่ (เพราะจำเลยเดินเข้าไปพูดใกล้กับบัลลังก์พิจารณาคดี) 

จำเลยกล่าวว่า ก็สืบพยานข้างเดียวแล้วลงโทษตน 50 ปีไป 

ผู้พิพากษาหญิงกล่าวว่า รู้ไดัยังไง ศาลยังไม่ได้พิพากษา ทำไมคิดว่าศาลจะลงโทษ 50 ปี ศาลบอกได้เลย ถ้าไม่ผิดคือไม่ผิด ไม่ว่าข้อหาอะไร ไม่มีใครครอบงำศาล เมื่อสำนวนเป็นของศาลแล้วศาลจะให้ความเป็นธรรม ไม่ว่ากี่กระทง ถ้าไม่ผิดศาลจะยกฟ้อง ศาลได้อ่านทุกอย่างในสำนวน รู้ถึงความคับข้องใจของจำเลย 

ผู้พิพากษาชายกล่าวว่า จำเลยใจเย็นๆ ฟังศาลหน่อย อะไรๆ มันจะคลี่คลายลงแล้ว เราจะตัดสินให้ดีที่สุด เชื่อศาลเถอะ สถานการณ์มันเริ่มคลี่คลายแล้ว 

จำเลยกล่าวว่า เอาเป็นว่าตนไม่ขัดขวางแต่ยืนยันว่าไม่ยอมรับกระบวนการ 

ผู้พิพากษาหญิงกล่าวว่า ศาลยืนยันว่าศาลมีความปรารถนาดีกับจำเลย ศาลจะให้ความเป็นธรรมอย่างที่สุด และหากจำเลยจะเปลี่ยนใจสืบพยานก็ทำได้

จากนั้นอัยการและศาลหารือร่วมกันก่อนศาลจะสั่งพิจารณาคดีลับ ทุกคนออกจากห้อง 

เจ้าหน้าที่จากสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แจ้งศาลว่าได้ทำหนังสือขอสังเกตการณ์คดีมาแล้วล่วงหน้าแต่ศาลยืนยันไม่อนุญาตใหัใครอยู่ในห้อง ยกเว้นจำเลยและคู่ความ

กฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความที่ประเวศถอนออกไปก่อนหน้านี้ และมีสถานะเป็นเพียงที่ปรึกษากฎหมายของจำเลยออกจากห้องคนหลังสุด และกล่าวว่า ประเวศได้ขอศาลให้เขาอยู่ด้วย ศาลระบุว่าเช่นนั้นต้องแต่งตั้งเป็นทนาย และต้องลงลายมือชื่อรับรองกระบวนการพิจารณาคดีตามปกติ แต่ประเวศไม่ต้องการให้เซ็นต์รับรอง และหากเขาไม่รับรองก็จะถูกร้องเรียนสภาทนายความเพราะทำผิดข้องบังคับของสภาทนายความ ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจออกจากห้อง

กฤษฎางค์กล่าวด้วยว่า อันที่จริงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 178 ว่าด้วยการพิจารณาลับของศาลนั้นกำหนดให้ผู้มีส่วนได้เสียที่ศาลอนุญาตสามารถร่วมฟังการพิจารณาคดีได้ กรณีคดี 112 ของไผ่ ดาวดิน ศาลขอนแก่นสั่งพิจารณาคดีลับเช่นกัน แต่พ่อแม่และทนายของไผ่ก็ยังร่วมฟังการพิจารณาคดีในห้องได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้มีการสืบพยาน 2 ปาก คือพลตรีวิจารณ์ จดแตง ผู้แจ้งความและตำรวจที่ตรวจสอบหลักฐาน ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง พยานที่เหลือจะมีการพิจารณาในวันพรุ่งนี้

ที่มา FB

ประชาไท Prachatai.com

...

Arinchai Aob Viteetammasakdi ใครที่เป็นผู้พิพากษา หรือ ทำงานในกระบวนการยุติธรรม แล้วผ่านเข้ามาอ่านข้อความนี้ คุณอ่านข้อความผมเอาไว้นะ

“ถ้าผมเดินอยู่กับลูกๆแล้วเจอคุณ ผมจะให้ลูกๆของผมวิ่งหนีคุณให้ไกลที่สุด” วิ่งแบบไม่ต้องคิดชีวิต

จะมีอะไรน่ากลัวไปกว่าคนที่ตัดสินกักขังคนเป็น10ปีเพียงเพราะการพูด ความเห็นต่างได้

เมื่อใดก็ตามที่คนอันเป็นที่รักของเราเข้าใกล้สิ่งที่น่ากลัว เย็นชา ก็ เป็นธรรมดาที่เราต้องให้เขาวิ่งหนีเพื่อความปลอดภัย เพื่อรักษาจิตใจ รักษาความเป็นคน ถูกมั้ย?