วันพุธ, พฤษภาคม 09, 2561

การใช้เงินภาษีของประชาชน อำนาจ อิทธิพล และกลไกของรัฐในฐานะที่ตัวเองเป็นรัฐบาล ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไปหาเสียง โดยที่คนอื่นทำไม่ได้ คือ การหาเสียงที่น่าเกลียดที่สุด





การใช้เงินภาษีของประชาชนไปหาเสียง คือ การหาเสียงที่น่าเกลียดที่สุดครับ การใช้อำนาจ อิทธิพล และกลไกของรัฐในฐานะที่ตัวเองเป็นรัฐบาล (ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง) ในการ “ดูด” ฐานเสียง ดูดนักการเมืองที่เป็นแมวสกปรกในแต่ละพื้นที่ไปร่วมกับพวกท่าน ในการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปเรื่อยๆ จนกว่าพวกท่านจะมั่นใจว่าพวกท่านจะชนะการเลือกตั้ง และครองอำนาจต่อไปได้หลังจากมีการเลือกตั้ง ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ผมยอมรับไม่ได้ และผมก็คิดว่าประชาชนคนไทยอีกหลายคนก็ยอมไม่ได้เช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากรัฐบาลทหารจะใช้เงินภาษีของประชาชนในการหาเสียงแล้ว ยังสั่งห้ามไม่ให้พรรคการเมืองอื่นๆ หาเสียง ห้ามประชุมพรรค ซึ่งเป็นการใช้อำนาจของตนเองเอาเปรียบคู่แข่งคนอื่นเป็นอย่างมาก นี่ไม่ใช่การแข่งขันในวิถีประชาธิปไตยครับ (นอกจากจะห้ามพรรคการเมืองแล้ว รัฐบาลทหารยังห้ามประชาชนใช้สิทธิของพวกเขาในการชุมนุม ใครออกมาชุมนุม รัฐบาลทหารก็ใช้คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 จัดการพวกเขา รัฐบาลทหารได้กดขี่สิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมืองตั้งแต่พรรคการเมืองเมืองยันประชาชน)

อยากหาเสียงมากนักก็ใช้เงินตัวเองสิครับ จะมาใช้เงินภาษีของประชาชนทำไม ไปตัดลดสวัสดิการของพวกเขา ยกเลิกรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี เรียนฟรี ม.ปลาย แล้วเอาเงินภาษีมาใช้หาเสียงให้กับตัวเองแบบนี้มันเลวร้ายกว่านักการเมืองที่พวกท่านก่นด่าตอนยึดอำนาจเข้ามาเสียอีกนะครับ


...

การที่เนวินเกณฑ์ชาวบ้าน 30,000 คน มาต้อนรับประยุทธ์เมื่อวานนี้ เพื่องบประมาณหมื่นล้านบาท แล้วถ้าเกิดประยุทธ์ให้จริงๆ เงินภาษีของประชาชนจำนวนหลักหมื่นล้านบาทจะถูกรัฐบาลทหารใช้จ่ายไปเพื่อหาเสียงให้กับตนเองในการเลือกตั้งครั้งต่อไป


และหากคิดเป็นตัวเลขต่อหัวแล้ว เราต้องเอาเงินภาษีมาจ่ายให้การหาเสียงของประยุทธ์ในครั้งนี้ ตกหัวละ 333,333.33 บาท เพื่อให้รัฐบาลทหารใช้ในการดูดเนวินมาเข้าร่วมกับฝ่ายตนเอง (และครั้งนี้จะเป็นการใช้เงินของรัฐ ในการหาเสียงให้กับตัวเองครั้งใหญ่ที่สุด กับเงินจำนวน 3 แสนบาทต่อการเกณฑ์คนมาต้อนรับ 1 คน)

นี่ไม่ใช่การให้งบประมาณเพื่อพัฒนาท้องถิ่นตามแรงจูงใจปกติ แต่มันมีแรงจูงใจพิเศษ คือ เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองและเพื่อหาเสียงกับชาวบ้านในพื้นที่ โดยเอาเรื่องของการพัฒนาท้องถิ่นมาเป็นตัวประกันและใช้อ้างบังหน้า แล้วการทำแบบนี้มันยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำในการกระจายงบประมาณไปยังท้องถิ่นที่ไม่มีเจ้าพ่อทางการเมืองที่รัฐบาลทหารจ้องจะดูดเป็นฐานกำลังในพื้นที่

คำถาม คือ มันจะมี event แบบนี้เกิดขึ้นต่อไปอีกหรือไม่ครับ ? ยิ่งรัฐบาลทหารกำลังเดินเกมดูดเจ้าพ่อในหลายๆ พื้นที่มาร่วมผลประโยชน์ด้วยแบบนี้ มันคงไม่จบที่ตัวเลขนี้แน่ๆ และมีแนวโน้มว่าภาษีของเราจะถูกรัฐบาลทหารนำไปใช้หาเสียงให้กับตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ประชาชนยอมไม่ได้ครับ

อันที่จริงปัญหานี้ ที่ท้องถิ่นต้องคอยรองบจากส่วนกลางหรือต้องคอยเลียรัฐบาลในสมัยนั้นๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งงบประมาณจะไม่เกิดขึ้นเลย (ยิ่งภูมิใจไทยไม่ได้เป็นรัฐบาลมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 หรือกว่า 7 ปีแล้ว ยิ่งอดอยากปากแห้งกันไปใหญ่) หากประเทศของเรามีการกระจายอำนาจให้กับท้องถิ่นอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอำนาจในการบริหารจัดการเงินภาษีอย่างเต็มรูปแบบ ให้ท้องถิ่นมีอำนาจในการตัดสินใจกำหนดอนาคตท้องถิ่นของพวกเขาเองอย่างแท้จริง ไม่ใช่การกระจายอำนาจแบบปาหี่ที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ ที่กระจายอำนาจไปแล้วก็ดึงกลับเข้าสู่ส่วนกลางเหมือนเดิม

มันเลยทำให้ส่วนกลางมีอำนาจเหนือกว่าท้องถิ่น และใช้อิทธิพลนี้แทรกแซงท้องถิ่นอย่างสนุกมือเหมือนอย่างทุกวันนี้



ภาพจาก อินเตอร์เน็ท


สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลทหาร ที่ผมได้รวบรวมข้อมูลมาครับ ซึ่งสามารถสรุปปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ดังนี้

- สังคมรวยกระจุกจนกระจาย
- คนจนมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น
- ค่าแรงที่แท้จริงของแรงงานแทบจะไม่ได้เพิ่มขึ้น
- ช็อปช่วยชาติ ผลประโยชน์ตกอยู่กับคนรวยเป็นหลัก
- บัตรคนจนซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำ
- ความเหลื่อมล้ำในระบบรัฐสวัสดิการ

นี่คือความล้มเหลวหนึ่งที่เกิดขึ้นภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลทหารครับ

ที่มา FB

Tanawat Wongchai