วันศุกร์, พฤษภาคม 25, 2561

“จะไปรู้ได้อย่างไร” ใช้ได้กับทั้งใครปั้นข่าวน้ำมันแพง และคำสั่ง คสช.ใหญ่กว่า รธน.ไหม

“จะไปรู้ได้อย่างไร” คำตอบนี้สุดคล้าสสิคหาใดเทียบ เมื่อเฮียตือดิ้นสุดฤทธิ์แก้ตัวในสถานการณ์ไล่เบี้ย คสช. ไม่ว่าเรื่องน้ำมันแพง หรือเรื่องโพลลิ่วล้อเกิดโอละพ่อ (ง)

แหม นักข่าวก็ช่างเซ้าซี้ ถามได้ถามดี ที่มีข่าวไม่ยืนยัน (นัยว่า faked news) “บิ๊กตู่ฟิวขาด ด่ากราดประชาชน ไล่ให้ไปเติมน้ำเปล่าแทนดีเซล” เมื่อพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ บอกว่าติดตามตัวคนที่บิดเบือนอยู่ ดันถามย้ำอีก “บุคคลที่ตามอยู่ในไทยหรือต่างประเทศ” ฮ่า ฮ่า

น้ำมันขึ้นราคา ตอนนี้ดีเซลเกินราคาที่ประวิตรอ้างว่าควบคุมอยู่ ๓๐ บาทต่อลิตรนะ นายกสมาคมขนส่งสินค้าภาคอีสานเขาออกมาร้องโอดโอยว่าน้ำมันขึ้นราคากันไม่มีปี่มีขลุ่ย จึงต้อง “ขอปรับราคาขึ้นค่าขนส่งสินค้า ๕ เปอร์เซ็นต์”

แทนที่จะหาทางออกอย่างสุขุมคัมภีรภาพ เฮียตือกลับสะบัดใส่ เวลาที่น้ำมันลงไม่เห็นพูดกันมั่ง “ราคาก็ขึ้นทั้งโลก เวลาน้ำมันไม่ขึ้น ๔ ปี ไม่เห็นว่าอะไร มีกำไรทำไมไม่ร้องเลย ก็ต้องเสียสละบ้าง” ทั่นรองฯ ตอกหน้าประชาชี กะไม่ให้เย็บ

 
ที่ไหนได้ คสช. เองนั่นละจะต้องเย็บ จากแถลงของนายพีระพล บุญชิณ เรื่องน้ำมันดีเซลราคาทะลุ ๓๐ บาทต่อลิตร “ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบมาก เพราะต้นทุนสูง

น้ำมันขึ้นราคาทุกอย่างต้องปรับขึ้นราคาตามเป็นลูกโซ่ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่ต้องเดือดร้อนไปหมดทุกหย่อมหญ้า”

อ้างว่าปรึกษากันแล้วในหมู่สมาชิกสหพันธ์ขนส่งฯ รถบรรทุกกว่า ๑ แสนคัน เห้นพ้องกันว่าขอปรับขึ้นราคาแค่ ๕ เปอร์เซ้นต์ ทั้งที่ “ข้อเท็จจริงปัจจุบันต้องปรับไปถึง ๑๐ เปอร์เซ็นต์”

สหพันธ์อ้างด้วยว่า ก่อนหน้านี้ได้ยื่นหนังสือข้อเรียกร้องให้กับ รมว.คมนาคมไปแล้ว และอีก ๑๕ วันนับจากนี้ จะมีการยื่นใหม่เข้าไปอีกเป็นรอบที่สอง “ถ้าไม่เห็นผลอย่างไร ประมาณหลังวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๑” เอาแน่

“มาตรการกดดันจะดีเดย์พร้อมกันทั่วประเทศ...และเมื่อหยุดวิ่งรถแล้วผลกระทบข้าวของสินค้าต้องขาดตลาดอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอาหารสด อาหารแช่แข็ง นม เครื่องดื่ม เครื่องอุปโภค บริโภค สินค้าเกษตร สินค่าส่งออก ข้าว พืชผลทางการเกษตร และผลไม้สด เป็นต้น”

มิใยผลโพลของเพจลิ่วล้อ คสช. เอง ออกมาเหยียด ๙๐ เปอร์เซ็นต์ (ของผู้ที่เข้าไปตอบ ๕ แสนราย) ไม่เอาแล้ว พอกันที ที่จะให้ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีก แม้นว่า ห่านอูโฆษกทำเนียบฯ ปากแข็ง “นายกฯรับทราบแล้ว และไม่รู้สึกหวั่นไหวต่อข้อมูลดังกล่าว”

อ้าง “ที่ผ่านมามีผลโพลออกมาจากหลายสำนัก หลายประเภท ซึ่งมีทั้งที่สนับสนุนและไม่สนับสนุน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ โดยยืนยันว่าจะทำหน้าที่ทุกอย่างให้ที่ดีสุดจนกว่าจะมีการเลือกตั้ง จากนั้นประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเอง”


ถ้าอย่างนั้นไฉนไม่ปูทางวางถนนไปสู่การเลือกตั้งเสียเลยตั้งแต่วันนี้ล่ะ นี่ปลายพฤษภาจะครึ่งปีเข้าไปแล้ว พรรคการเมืองยังทำอะไรกันไม่ค่อยจะได้ รออะไรนักหนา

ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือนเห็นว่าจะรอ ดูด ให้เสร็จ กลับปรากฏว่าดูดไม่ค่อยจะขึ้น บางอาจมทำท่าจะแข็งตัวกลายเป็นดินปุ๋ยไปแล้ว (ดูจากที่อนุทิน ชาญวีรกุล เคยโพสต์เฟชบุ๊คปฏิเสธเป็นนั่งร้านพรรคทหาร)

ฉะนั้น สิ่งที่กลุ่มคนอยากเลือกตั้งทำเพื่อให้มั่นใจว่า คสช.จะไม่เลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีก จึงได้ใจของผู้คนจำนวนข้างมาก ว่าพวกเขากล้าหาญออกมายืนยันสิทธิพลเมืองและเสรีภาพประชาชนทุกคน กระทั่งสำนักข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ ยังต้องออกแถลงการณ์ย้ำสองครั้งสองคราให้ทางการไทยปล่อยตัวคนอยากเลือกตั้งที่ถูกตำรวจควบคุมตัวโดยพลัน

แน่ละท้ายที่สุด ๑๔ ผู้ถูกตำรวจลูกไล่ คสช. กลั่นแกล้งถ่วงเวลาทำสำนวนยื่นฟ้องคดีเพื่อคุมขังไว้สามวัน ได้รับการปล่อยตัวหลังจากนักวิชาการมากหลายของนานามหาวิทยาลัยไปแสดงตัวยื่นประกัน คดีความของพวกเขาก็ยังผิดผีผิดไข้ไปจากกระบวนยุติธรรมตามหลักสากล

ความเห็นจาก ดร.สุรพศ ทวีศักดิ์ นักวิชาการด้านศาสนา ตอบโต้ถ้อยความของนางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ที่อ้างว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติตามหลักสากลแล้วนั้น

ว่าการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมและจับกุมแกนนำคนอยากเลือกตั้ง โดยอ้างคำสั่ง คสช. ถือเป็นการปฏิบัติตามหลักสากลได้อย่างไร

“ใช่ครับการใช้สิทธิเสรีภาพต้องอยู่ในขอบเขตกฎหมาย แต่ต้องเป็นกฎหมายที่สอดคล้องกับหลักนิติรัฐหรือ rule of law

คือเป็นกฎหมายที่บัญญัติผ่านกระบวนการรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตย มีเนื้อหาไม่ละเมิดหลักสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน และกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย หรือกระบวนการยุติธรรมต้องเป็นอิสระและเป็นกลางใช่หรือไม่”


คำถามทำนองนี้มีผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส ถามต่อนายตำรวจคนหนึ่งระหว่างทำการควบคุมตัวส่วนหนึ่งของแกนนำคนอยากเลือกตั้งไปยังโรงพักชนะสงคราม ว่าผู้ถูกควบคุมตัวละเมิดกฎหมายอะไร

นายตำรวจตอบว่า “ละเมิดคำสั่ง คสช.ฉบับที่ ๓/๒๕๕๘ ไง ผิดเต็มๆ” หทัยรัตน์ พหลทัพ ผู้สื่อข่าวถามย้อนอีกว่า “แล้วกฎหมายฉบับนี้ใหญ่กว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญเหรอคะ...ความเงียบคือคำตอบ” มิหนำซ้ำตำรวจนายนั้นหันไปจ้องหน้าเธอ “รับรู้ได้ถึงความไม่สบอารมณ์”

คิดอีกที ไม่แน่ว่าตำรวจนายนั้นอาจพึมพำในใจ เหมือนเจ้านายคนรองบอกนักข่าวหรือเปล่าว่า “จะไปรู้ได้อย่างไร”