‘So far’-ล่าสุด แรงกระเพื่อมจากการบุกจับกุมและจับสึก
อดีตพระสุวิทย์วัดอ้อน้อย มีเห็บกระโดดตัวเดียว
นอกนั้นเป็นหนอนออกมาคลานกันยั๊วเยี๊ยะ
นักข่าวถามถึงรูป (ที่เขาแชร์กันมานานแล้ว
ไม่ใช่เพิ่งโผล่ตอนนี้) ที่มีทีม ๓ ป. ณ คสช. ครบเซ็ท คุกเข่ารับการเจิมหน้าผากจาก
พุทธะอิสระ (ฉายาขณะนั้น)
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รองหัวหน้า คสช.
คนที่สอง ตอบว่า “เหตุการณ์เกิดขึ้นนานมากแล้ว...ไปร่วมงานบุญ เท่านั้น” ทุกคน
รวมทั้งตนก็เสียใจ
ครั้นนักข่าวถามยันอีกว่า ก็ไหนใครๆ พูดกันขรมว่าทั้งสาม
ป. สนิทสนมกันดีกับพระสุวิทย์ล่ะ ทั่นรองฯ ป็อกเด้งทันที “แล้วรัฐบาลไหนจับ” แต่ไม่บอกใครสั่ง
ส่วนพวกศานุศิษย์ทั้งหลายออกมาโอดครวญและแสดงอารมณ์ขึ้งกันระงม
ทั้งไพบูลย์ เนติตะวัน อัญชะลี ไพรีรัก ชัย ราชวัตร เหรียญทอง แน่นหนา ปีย์
มาลากุล ณ อยุธยา และกนก รัตน์วงศ์สกุล
พวกสดุดีก็มีไพบูลย์ เหรียญทอง และชัย
พวกโวยวายทำงี้ได้ไง “พระห่มผ้าเหลืองโดนกระทำมากเกินไป” (ปีย์) “ทำเกินเลย
หยาบคาย เลวทราม ต่ำช้า สถุล กับพระรูปหนึ่ง นายกรัฐมนตรีต้องมีคำตอบ” (อี๊ปอง)
และ “นึกว่า...จู่โจมเข้าจับมหาโจรวายร้ายฆาตกรที่ไหน...ต้องกระโชกโฮกฮากขนาดนี้เลยเหรอ”
(กนกลิ้นทอง)
(รายละเอียดจาก https://www.matichon.co.th/politics/news_970548, https://www.matichon.co.th/local/crime/news_970673 และ https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_1129251)
สำหรับรายกนกนั่นได้รับเกียรติจาก ชูวิทย์
กมลวิศิษฏ์ เขียนตอบเป็นฉากๆ โดยเฉพาะที่กนกตั้งข้อกังขาทำไมจับพระอีกสามรูปไล่เรี่ยกันไม่เห็นโอกฮากแบบนี้
“โถ …
ถามไปได้ พระอีกสามรูปเขาเคยไปนำม็อบ ถือ ว. มีลูกน้องพกปืนเอวตุง
รุมกระทืบตำรวจสันติบาลจนปางตาย ปล้นทรัพย์ ปิดล้อมถนน สร้างความวุ่นวาย
และแอบอ้างสร้างพระ หรือเปล่า” ชูวิทย์ย้อน
“สงสัยเสียเยอะแยะ
ไม่เห็นสงสัยเลยว่าทำไมนายสุวิทย์บวชแล้วทำตัวไม่เหมือนพระ...อ้อ
ผมลืมบอกไป อดีตพระที่ไปติดคุก เรือนจำจะให้เป็นผู้นำสวด
ตอนพระสุวิทย์อยู่ข้างนอกคงไม่ได้สวด กิจของสงฆ์อาจลืมเลือน มัวแต่ไปปั่นหัวญาติโยมเรื่องการเมืองเลยลืมบทสวดไปแล้วก็ได้”
ดูแล้วคดีนี้ไม่ง่ายเหมือนคดี
กปปส. ทั้งหลาย โดยเฉพาะถ้าเป็นไปตามที่ นพเก้า คงสุวรรณ
ผู้สื่อข่าว ‘ข่าวสด’ ทวี้ตไว้
“พุทธะอิสระ อ่วมอีก! เจออีกคดี ม.๑๑๒ แอบอ้างใช้พระปรมาภิไธย
ภปร. และ ส.ก. กรณีสร้างพระเครื่องพระนาคปรก รุ่นหนึ่งในปฐพี —
at ศาลอาญา@รัชดา”
แม้นว่าทนายของสุวิทย์จะแฉไต๋
สุวิทย์เตรียมรับสารภาพในข้อหาปลอมแปลงและใช้พระปรมาภิไธยโดยไม่ได้รับอนุญาต
ทนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อ้างว่า
“ได้อัญเชิญมาใช้จริงแต่ไม่ได้มีเจตนาล่วงละเมิดหรือลบหลู่”
เช่นนั้นน่าจะได้รับโทษครึ่งหนึ่งของระวางการลงทัณฑ์ซึ่งกฎหมายกำหนดสูงสุด ๑๕ ปี เมื่อมีการดำเนินคดีในความผิด
ม.๑๑๒
ทั้งที่ยังไม่รู้จะออกหัวออกก้อย
จะมีพลิกล็อค แกะล็อค หรือว่ากดล็อคกันแน่ เสียงซุบซิบออนไลน์ไปไกลถึง ‘คิว’ สุเทือกเข้าให้แล้วนั่น
ขณะที่เจ้าตัวเต้นฟุตเวิ้ร์คสลับขาสบัดลิ้นล่อหลอกเป็นพัลวัน
หลังจากแถลงไม่รู้ ไม่เกี่ยว ไม่ใช่ตัวตั้งตัวตีจดแจ้งพรรค
กปปส. ก็มีการเคลื่อนไหวฝุ่นคลุ้งจัดตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทยกัน พรรคนี้ได้ก่อรูปเป็นร่างขึ้นมาทันใด
ภายใต้การดำเนินงานของนายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง ทนายความของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
นั่นเอง
ทั้งที่ยืนกรานไม่ใช่ “นอมินีของนายสุเทพ”
ก็ยอมรับว่าได้รับคำปรึกษาจากหัวโจก ‘มวลมหาประชาชน’ ซึ่งจะเชิญมาเป็นสมาชิกพรรค แต่ไม่เป็นผู้บริหารพรรค
ทว่านายสังคิต พิริยะรังสรรค์
อีกหนึ่งกำลังสำคัญของพรรคนี้กลับหลุดปากบอกบีบีซีไทยว่า “นายสุเทพคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลัง
และใช้ฐานมวลชน กปปส. นับล้านคนเป็นฐานเสียง”
เช่นเดียวกับ เอนก เหล่าธรรมทัศน์
ซึ่งเคยเป็นข่าวว่าถูกหมายตัวเป็นหัวหน้าพรรค แต่ไม่ปรากฏชื่อในการแถลงจัดตั้งพรรค
โพสต์ข้อความปฏิเสธมาจากปักกิ่งขณะนำทัวร์ท่องจีนว่า “ยังไม่มีใครตั้ง ไม่มีใครทาบทาม
ผมเป็นหัวหน้าพรรค และผมก็ไม่ได้ตั้งตนเอง”
แต่เอนกก็ยอมรับว่าไปร่วมประชุมวางแผนงานการจัดตั้งพรรคนี้
แต่ก็ “ไม่ได้เริ่มต้นว่าจะเอาใครเป็นนายก ฯ และพรรคนี้จะไม่เริ่มจากประเด็นว่าจะสนับสนุน
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งหรือไม่? นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก”
แต่เอนกก็สาธยายสรรพคุณของพรรครวมพลังประชาชาติไทย
ที่อ้างว่าจะเป็นพรรคแบบทางเลือกที่สาม “ก้าวข้ามความขัดแย้งเรื่องเหลืองกับแดง
ไม่ได้เป็นพวกเป่านกหวีด หรือ พวกต่อต้านนกหวีด”
แข่งกับพรรคอนาคตใหม่ของธนาธร-ปิยบุตร ว่างั้นเถอะ
จาก ‘คิว’ ของสุวิทย์ ‘ติดคุก’ มาถึง ‘ผิดคิว’ ของสุเทือก ‘ตั้งพรรค’
มันเป็นความ ‘ไม่แน่เหมือนแช่แป้ง’ ของ คสช. ในช่วงหัวต่อแห่งการ (พยายาม) อยู่ยาวและสืบทอดอำนาจ
อีกไม่ถึงเดือนจะได้กำหนดศาลฎีกามีหมายนัดฟังคำพิพากษาในคดี
“ที่นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ และกลุ่มพลเมืองโต้กลับรวม ๑๕ คน เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กับพวกรวม ๕ คน
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๓ ฐานเป็นกบฏ”
คดีนี้ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า
“การกระทำใด ๆ ของ คสช.ย่อมถูกต้องตามกฎหมาย” จึงไม่รับฟ้องแล้วนั้น
คำร้องอุทธรณ์แย้งว่า การออกกฎหมายของ คสช. (มาตรา ๔๗ และ ๔๘)
เพื่อแก้ความผิดให้แก่ตนเอง “ขัดต่อหลักประชาธิปไตย”
ศาลฎีกามีพันธะที่จะต้องสร้างความกระจ่างให้เป็นที่สุดเสียที
จะผลักภาระอย่างสองศาลชั้นล่างอีกต่อไปไม่ได้แล้ว
ทั้งที่ความเห็นส่วนใหญ่รายล้อมคดีนี้โน้มไปในทางที่ ศาลสูงสุดของประเทศจะยังคงอุ้มสมรัฐบาลทหารต่อไป