ดิเอคอนอมิสต์ฟันธงเศรษฐกิจไทยไปไม่รอดแน่
อ้างผลวิจัยวันที่ ๓๑ ก.ค.๖๐ เนื่องจากที่มีรายงานว่ากระแสกิจการอุตสาหกรรมของไทยถดถอยลงไปอีก
นิตยสารวิจัยวิจารณ์เศรษฐกิจการเมืองของทั่วโลกระบุไว้ในรายงานฉบับกระชับที่เรียกว่า
‘เอสเปรสโซ่’ สำหรับผู้อ่านบนเครื่องโทรศัพท์อัจฉริยะว่า
ประเทศที่เคยเป็นเสาหลักทางการเติบโตเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับสองของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
ทำให้นักวิจัยงงงัน หลังจากที่เศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมเลื่อนไหลออกไปจากเส้นทางความเจริญหลายปีติดต่อกัน
รายงานบอกว่าภาคอุตสาหกรรมของไทยเริ่มย่อยสลายอย่างต่อเรื่องตั้งแต่ปี
๒๕๕๓ ซึ่งขณะนั้นอัตราส่วนของการผลิตอุตสาหกรรมต่อการเติบโตของผลิตผลในประเทศ
หรือจีดีพีอยู่ที่ ๓๑ เปอร์เซ็นต์ ครั้นมาถึงปี ๒๕๕๙ ลดลงไปเหลือ ๒๗ เปอร์เซ็นต์
“พวกนายพลที่ครองประเทศอยู่กำลังวางแผนฟื้นฟูการผลิต manufacturing (ที่เรียกว่าไทยแลนด์ ๔.๐) แต่มันก็เป็นไอเดียเหลวไหล
สำหรับธุรกิจในไทยมันง่ายกว่าที่จะทำเงินจากกิจการอสังหาริมทรัพย์หรือว่าเรื่องอาหาร
เนื่องจากมีการแข่งขันน้อย การใช้ความคิดริเริ่มไม่สำคัญเท่าไรนัก
ขณะที่ผลประกอบการสูง”
“ในการที่ต้องแข่งขันกับระบบผลิตด้วยเครื่องจักรกลมากขึ้น
ประเทศไทยจำต้องรักษาราคาต่ำเอาไว้ และเพิ่มพูนแรงงานฝีมือให้มากขึ้น
ทั้งสองอย่างได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นไปไม่ได้” รายงานเอสเปรสโซ่ชี้
“ค่าเงินบาทแข็ง การปกครองโดยทหาร และต่างชาติไม่สนใจไปลงทุน
ทำให้ความพยายาม (ของพวกนายพล) ไม่ได้ผล”
รายงานด่วนของนิตยสารอังกฤษแจ้งด้วยว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
(FDI) ในปี ๒๕๕๙ ตกฮวบไปอยู่ที่ ๑.๖
พันล้านดอลลาร์ เทียบไม่ได้เลยกับเวียตนามที่มูลค่าเอพดีไออยู่ที่ ๑๒.๖
พันล้านดอลลาร์
ดิเอคอนอมิสต์ทำนายไว้ด้วยว่าในอนาคตประเทศไทยจะมีแต่เศรษฐกิจภาคบริการเท่านั้นที่โตได้
รวมไปถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ก็ยังดีที่ “เมื่อปีที่แล้ว กรุงเทพฯ
เป็นจุดหมายปลายทางที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนมากที่สุดบนโลกนี้”