(NANCHANOK WONGSAMUTH/BBC THAI) |
ว่าเธอได้หนีออกนอกประเทศไปแล้ว ตั้งแต่คืนวันที่ ๒๓ สิงหาคม หลังจากทำบุญไหว้พระที่วัดระฆังฯ (หรือไม่ก็ตอนเช้าตรู่ของวันที่ ๒๔) โดย ‘ช่องทางธรรมชาติ’ ผ่านชายแดนไทย-กัมพูชา สู่สนามบินโปเชนตงเพื่อขึ้นเครื่องบินไปสิงคโปร์
โดยมีอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร
พี่ชายรอรับพาขึ้นเครื่องบินส่วนตัวต่อไปยังนครดูไบ ทั้งนี้โดยให้ทนายแจ้งต่อศาลว่าป่วย
วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ จากอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน
ศาลไม่รับฟังเนื่องจากไม่มีใบรับรองแพทย์ไปยืนยัน
จึงสั่งออกหมายจับ และยึดเงินประกัน ๓๐ ล้านบาท
พร้อมทั้งเลื่อนกำหนดวันอ่านคำพิพากษาไปเป็นวันที่ ๒๗ กันยายน (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_486502)
ท่ามกลางอาการ ‘นึกไม่ถึง’ หรือแม้กระทั่งบางคน ‘มึนงง’ ว่านายกฯ
หญิงขวัญใจจะเลือกทางออกนี้ในห้วงสุดท้าย แต่ก็มีบางรายหวนไปเห็นประโยคที่เหมือนกับเธอ
บอกใบ้ ไว้ในโพสต์เฟชบุ๊ควันที่ ๒๔ ที่ขอให้ผู้สนับสนุนอยู่กับบ้าน
ไม่ต้องไปให้กำลังใจเธอหน้าศาล
“ครั้งนี้เราจะไม่ได้พบปะ เห็นหน้า หรือสื่อความรู้สึกถึงกันได้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา”
ตลอด ๒๔ ชั่วโมงหลังจากนายชีพ จุลมนต์
ผู้พิพากษาเจ้าของคดีแจ้งว่าจำเลยไม่ไปศาล
มีการวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์อันคาดไม่ถึงนี้กันอย่างล้นหลาม ทั้งต่ำทรามหยาบช้าโดยฝ่ายเกลียดยิ่งลักษณ์-ทักษิณ
อย่างเช่นโพสต์ของ ไพฑูรย์ ธัญญา (รศ.ดร.ธัญญา
สังขพันธานนท์) ศิลปินแห่งชาติบอกว่า “มาคิดดู หูไม่ดีนี่เสียหาย” และพุทธะอิสระ
วัดอ้อน้อย ก็ไม่ด้อยกว่ากัน “วันนี้ดันเปลี่ยนมาขี่วรนุชเสียเล่า”
ไปถึงรายที่ไม่ค่อยเชียร์ แต่ก็ยังให้กำลังใจ อย่าง ธนาพล อิ๋วสกุล ชี้ว่า “ไม่มาศาล
ยังไม่ได้แปลว่าหนีศาล...ต่อให้ตอนนี้อยู่ที่สิงคโปร์
กัมพูชา หรือที่อื่น ๆ นอกประเทศ อะไรนั่นก็ไมได้แปลว่าหนีนะครับ
เว้นแต่ ยิ่งลักษณ์จะออกแถลงการณ์ไม่รับคำวินิจฉัยศาลรัฐประหาร
เท่านั้น (ถ้าทำจริงสำหรับผมก็ไม่คิดว่าหนีด้วยซ้ำ)”
กระทั่งการวิเคราะห์วิจารณ์อย่างนักกฎหมายมหาชน เช่น ดร.ปิยบุตร
แสงกนกกุล ซึ่งพูดถึงทฤษฎี ‘Judicialization of Politics’ ว่าศาลไทยดำเนินคดีจำนำข้าวด้วยเหตุทางการเมือง
และการตัดสินให้ บุญทรง เตริยาภิรมย์ และ ภูมิ สาระผล มีผิดในคดีขายข้าว
‘จีทูจี’ ของกระทรวงพาณิชย์ โทษจำคุก ๔๒ ปี และ ๓๖ ปี ตามลำดับ มีเป้าหมายแต่ต้นเพื่อ
‘ซิ่ง’ ไปถึงยิ่งลักษณ์
“ขนาดนี้
ก็น่าคิดว่าคุณยิ่งลักษณ์จะโดนจำคุกหรือไม่ กี่ปี”
(มีคนคอมเม้นต์บนโพสต์แห่งหนึ่งบนเฟชบุ๊คว่า เผลอๆ อาจจะโดนถึง ๑๑๒ ปี)
อย่างไรก็ดี ประเด็นสำคัญในข้อเขียนของ อ.ปิยบุตร อยู่ที่ว่า
“หากคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกจากแผ่นดินนี้ไปจริง
ผมคิดว่าก็มีข้อดีอยู่” ถ้าเธอไม่คิดสู้อีกต่อไป
“อยู่อย่างเงียบๆ รีไทร์ทางการเมือง
ก็ยิ่งดีเสียอีก เพราะนั่นหมายความว่า ‘การเมืองไทย’ เดินหน้าเข้าสู่เฟสใหม่เสียที”
ไม่ติดยึดกับการสร้าง ‘ผีชินวัตร’ ที่ฝ่ายตรงข้ามใช้เป็นเงื่อนไขเล่นงานครอบครัวชินวัตร
(และเครือข่าย) “เพื่อทำให้พวกเขาครองอำนาจไปได้เรื่อยๆ”
ดร.ปิยบุตรตั้งความหวังให้คนรุ่นใหม่ รุ่นถัด ถัดไป “ต้องลงมาทำ ช่วยกันทำ ถึงเวลาแล้วที่ต้องลงมือ พวกเขาเหล่านี้แหละ
จะเป็นพลังสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลง...เดินหน้าเพื่ออนาคต”
หากแต่ แม้จะเป็นที่วิเคราะห์คาดหมายกันไว้แล้ว
ว่าคณะรัฐประหารและรัฐบาล คสช. มุ่งมาดกดดันให้ยิ่งลักษณ์ ‘หนี’
แต่แรกๆ เปิดทางแก่พวกตน ‘ครองเมือง’
กันโดยสะดวก เนื่องเพราะมวลชนที่ยังสนับสนุนเธอแน่นหนา
ทว่าเธอได้ปักหลักสู้
ยอมเข้าสู่กระบวนการอำนาจศาลที่คล้อยตามพลัง ‘ภิวัฒน์’ ซึ่งมุ่งหมาย
‘กำจัด’ กลุ่มการเมืองระบอบทักษิณ และพวกตรงข้ามพรรคที่เป็นอนุรักษ์นิยมแบบ
‘ประชาธิปัตย์’
ผลจึงปรากฏว่าข้อต่อสู้หลักๆ
ในทางตัวบทกฎหมาย ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกตีตก
ดังกรณีการร้องขอให้ส่งคดีศาลรัฐธรรมนูญตีความ ตามมาตรา ๒๑๕
โดยศาลอ้างว่าจำเลยประวิงเวลามามากพอแล้ว
จนท้ายที่สุดการใช้กำลังอำนาจของรัฐบาลทหารสกัดกั้นและกดดันอย่างหนัก
ต่อมวลชนซึ่งสนับสนุนยิ่งลักษณ์ เป็นสัญญานชัดเจนว่าเธอจะต้องถูกพิพากษามีความผิด
และนำตัวไปคุมขังทันทีหลังอ่านคำพิพากษา จนกว่าจะสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ในอีก ๑ เดือนตามที่รัฐธรรมนูญใหม่กำหนด
การตัดสินใจ ‘หนี’
ในวันสุดท้ายของยิ่งลักษณ์ ก่อให้เกิดอาการ ‘อกหัก’ ของนักประชาธิปไตยและฝ่ายสนับสนุนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะ จอม เพชรประดับ
สื่อมวลชนต้านรัฐประหารที่ลี้ภัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ถึงกับเขียนแสดงความเสียใจทางเฟชบุ๊ค
“ผมผิดหวังมากๆ
ครับ รู้สึกเหมือนตัวเองถูกหลอก ผมรู้สึกเช่นนี้จริง ๆ
ถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกเช่นนี้” นี่เป็นโพสต์ประเด็นเดียวกัน ครั้งที่สอง
ซึ่งเขาได้ปรับความร้อนแรงแห่งอารมณ์ให้อ่อนลงไปแล้ว
“คุณยิ่งลักษณ์-พรรคเพื่อไทย...เป็นเพียงความหวังเดียวของผม
ที่หวังจะให้เป็นธงนำ เรียกร้องต่อสู้เพื่อความเป็นประชาธิปไตยและนำความถูกต้องเป็นธรรมสู่สังคมไทย...
คำตัดสินคุณบุญทรง เตริยาภิรมย์ และพวก
ที่รุนแรงพอๆ ไม่ต่างกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ทั้งที่เป็นกระบวนการยุติธรรมที่มีข้อกังขากันทั้งโลก ทำให้เข้าใจการตัดสินใจของคุณยิ่งลักษณ์
ชินวัตร เป็นอย่างดีครับ ว่าทำไมเธอถึงเลือกที่จะหนี...
ใช่ครับ ผมก็..หนี แต่เงื่อนไขการหนีของผม
ไม่ได้อยู่บนความคาดหวังของใคร...ถามว่า นับจากนี้จะสู้กันต่อไปกันอย่างไร
ยังมีความหวังที่จะสู้อยู่ต่อไปอีกหรือไม่”
โพสต์ของจอมก่อเกิดทั้งปฏิกิริยาและอารมณ์ร่วมมากมาย
สะท้อนบรรยากาศแห่งสภาวะ ‘ให้หลัง’ (post-) ยิ่งลักษณ์
ในกระบวนมวลชนข้างประชาธิปไตย อย่างเอ่อล้น
แม้แต่ในบางคนที่ไม่เชียร์ (แต่แอบชม)
และคาดหวังบางอย่างจากเธอ เช่น Jessada Denduangboripant ว่า “ผมก็มีความหวังในมุมของผมเหมือนกันกับกรณีคุณยิ่งลักษณ์ขึ้นศาลเนี่ย
(ว่าจะสร้างบรรทัดฐานใหม่ทางการเมือง) และก็เฟลนิดๆ ที่ไม่เป็นไปตามที่คาด”
หนีไม่พ้นคนโต้ Wanchana Srisuk :สู้ในกติกาที่ไม่ชนะมันจะสร้างบรรทัดฐานอะไรครับ
ถ้าจะสร้างโน่นกดดันให้มันตัดสินคดีพันธมิตรให้ติดคุกจริงให้ดูหน่อย
“บรรทัดฐานใหม่ทางการเมืองคืออะไรคะ อจ.” Suda
Rangkupan ร่วมแย้ง “บรรทัดฐานทางการเมืองใหม่จริงๆ คือ เอาทหารออกจากการเมืองไทยค่ะ
นั่นหละ จะใหม่จริง”
อีกคน Sirirat Nonchasiri :ประเทศนี้คนดีไม่มีที่ยืนจริงๆค่ะ...เราจะสู้ได้ดีต้องมีที่ยืนอย่างมั่นคง
ถ้าสู้แบบถูกปิดตาแล้วมัดมือชกจะสู้ได้ไหม?
ท่านยิ่งลักษณ์ได้ใช้กระบวนการทางศาลสู้อย่างที่สุดแล้ว
และพิสูจน์ได้แล้วว่ามันช่างอยุติธรรมจริงๆ...ท่านไม่จำเป็นต้องเสี่ยงส่งตัวของท่านเองเข้าไปอยู่ในคุกเพื่อความสะใจของใครๆ
หรอก...ถอยออกมาหาเวที ร่วมกันสู้ใหม่จะดีกว่า...
บอกตามตรงว่าดีใจที่ท่านหลุดพ้นบ่วงกรรมนั้นออกมาได้เหมือนๆ
กับพี่น้องคนอื่นๆ ที่มีที่ยืนของตนเอง ถึงจะไม่สบายกายแต่ก็คงไม่อึดอัดใจ...ถ้าต้องยืนดูท่านเดินเข้าคุกคงเจ็บปวดใจตายแน่ๆ
Bow Nuttaa Mahattana เข้ามาเสริม
“คนเราถ้าจะหลอกใครได้ เราต้องควบคุมสถานการณ์ได้จึงจะหลอกคนอื่นได้ค่ะ
คุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้อยู่ในสถานะแบบนั้น
เธอเป็นเหยื่อเช่นเดียวกับเหยื่อทางการเมืองคนอื่นๆ
โบว์พูดเสมอว่าเรายืนเคียงข้างเธอในฐานะเหยื่อ
ไม่ใช่ในฐานะผู้นำการต่อสู้ค่ะ
เรายืนเคียงข้างเพื่อต่อกรกับความอยุติธรรมไปด้วยกัน และเธอได้เดินจนสุดทางแล้วภายใต้อำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จ
วันนี้เราไม่มีผู้นำการต่อสู้ ในขณะเดียวกัน
เราทุกคนเป็นผู้นำการต่อสู้ได้ คือเรานำในบทบาทของเรา...เท่านั้นเองที่เราต้องการ
มันคือ #พลังมด ค่ะ”
Fon Siriwan :เมื่อคนหนึ่งโดนฟาดฟันจนไม่เหลือที่ให้ยืนอีกต่อไป
ก็จำต้องสลัดตัวเองให้หลุดออกจากวงจรที่เป็นอยู่เพื่อรักษาอิสรภาพนั้น
การยอมจำนนแล้วเดินเข้าคุกแต่โดยดีคือการยอมรับว่าตนผิดจริงพร้อมน้อมรับโทษ แปลว่าสิ่งที่เธอยืนยันความบริสุทธิ์ของเธอมาตลอดไม่มีค่าอะไรเลย
แล้วการเข้าไปอยู่ในคุกของเธอมันสามารถทำให้ประเทศเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้เชียวหรือ แล้วมีใครบ้างที่จะสามารถรับรองความปลอดภัยต่อชีวิตของเธอเมื่ออยู่ในเรือนจำ อันนี้คิดว่าต้องถามหมอหยอง
การยอมจำนนแล้วเดินเข้าคุกแต่โดยดีคือการยอมรับว่าตนผิดจริงพร้อมน้อมรับโทษ แปลว่าสิ่งที่เธอยืนยันความบริสุทธิ์ของเธอมาตลอดไม่มีค่าอะไรเลย
แล้วการเข้าไปอยู่ในคุกของเธอมันสามารถทำให้ประเทศเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้เชียวหรือ แล้วมีใครบ้างที่จะสามารถรับรองความปลอดภัยต่อชีวิตของเธอเมื่ออยู่ในเรือนจำ อันนี้คิดว่าต้องถามหมอหยอง
อีกรายที่ไม่หงอย ไม่ยอมหดหู่ Phatthai Lovelyka “ไม่ผิดหวังเลย
ตลอดเวลา ๓ ปีกว่าที่ยิ่งลักษณ์ยืนต่อสู้ มันเปิดหูเปิดตาคนได้เยอะ เยอะมาก คุณจอม
เกมนี้มันแค่เริ่มต้น ก้าวต่อไปสิมันน่าดูกว่ากันเยอะ ไม่มีอะไรเป็นกำแพงกันชน
ระหว่างประชาชนกับเผด็จการ”
กับ Ola Schachinger ผู้ยังตั้งหวัง
“เรียกว่ายิ่งลักษณ์คงจะหมดแรงคะ แต่เชี่อเถอะคะว่ายิ่งลักษณ์ต้องกลับมาแน่นอน”
คงจะมีการสนทนาและถกเถียงกันต่อไปอีกหลายวัน
หรือจนกระทั่งได้ฟังจากเจ้าตัวเองว่าเป็นมา และจะเป็นไปอย่างไร
ระหว่างนี้ลองดูที่ท่าน ไพรวัลย์ วรรณบุตร
จุดเทียนธรรมไว้ ไปพลางๆ ก่อน
“ถึงคนจะหาย หรือใครจะพ่ายแพ้
แต่อุดมการณ์ยังต้องอยู่ต่อไปนะโยม ขอให้ยึดมั่นในข้อนี้ อย่าได้ท้อถอย
อย่าละทิ้งอุดมการณ์
พระพุทธเจ้าบอกว่า มนุษย์ต้องเริ่มต้นด้วยการทำตัวเองให้เป็นเกาะ
เป็นที่พึ่งของตนเองให้ได้ นี่คือวิธีการเปลี่ยนแปลงที่ดีที่สุด มั่นคงที่สุด
การจะชื่นชมหรือศรัทธา จะให้ความหวังหรือยืดมั่นในตัวของใครไม่ใช่เรื่องผิด
แต่ในเวลาเดียวกันเราก็ต้องไม่ลืมที่จะศรัทธาในพลังเล็กเล็กซึ่งมีอยู่ในตัวของเราด้วย
นี่สำคัญมาก เราต้องเชื่อมั่นว่าทุกคนล้วนเป็นความหวัง เป็นแสงสว่างของสังคมได้
เท่าเท่ากัน
เห็นเทียนไหม ถ้ามันจุดอยู่เล่มเดียวมันก็สว่างน้อย
มีพลังน้อย แต่ถ้าเอามาจุดรวมกันหลายเล่มเข้ามันก็สว่างมาก มีพลังมากได้เหมือนกัน
ก้าวย่างกันต่อไปเถอะ โลกมันไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้
มันกำลังหมุนเปลี่ยนอยู่ทุกวัน”