มีคนเอาบทความเก่าของ อจ.กานดา นาคน้อย ตั้งแต่ต้นปี (๒๗ มกรา)
มาแชร์กัน มันช่างเข้ากับสถานการณ์วันนี้เหมาะเหม็ง ทั้งที่ผ่านมาหลายเดือนจะเข้าไตรมาสที่สี่ของปี
๖๐ นี่แล้ว
บทความชื่อ “เชือดไผ่ให้ลิงดู” ได้เห็นผลกันแล้ว
แม้ไม่ถึงขนาดหัวขาดก็เลือดตกทั้งนอกและในไปอีกนาน
ขณะที่แก่นความสำคัญของข้อเขียน เปรียบภาวะกดดันจิตใจของขบวนการนักศึกษาอเมริกันในยุคสงครามเวียดนามว่า
“โกรธจนลืมกลัว” ทำให้พากันออกไปประท้วงนั้น
ไม่มีทางเกิดขึ้นในสังคมไทย
เพราะแม้แต่ว่าภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มข้าวยากหมากแพง (ขนาดปลากระป๋องยังยอดขายตก) ในเวลานี้ก็ยังไม่เพียงพอทำให้โกรธขนาดลืมตัวได้
เนื่องจากชนชั้นกลางและค่อนข้างสูง ยังไม่รู้สึกรู้สากันเลย
อีกทั้ง “ไม่ได้หมายความว่าถ้าเกิดวิกฤตการคลังระดับสาหัสแล้ว จะเกิดภาวะโกรธจนลืมกลัวในวงกว้างแน่นอน” ด้วย เพราะว่า
“คนไทยอาจมีความอดทนเป็นเลิศ และสังคมไทยอาจต้องจ่ายค่าเสียเวลาต่อไปอีกหลายทศวรรษ” อจ.กานดาเธอเขียนไว้อย่างนั้น
เสร็จแล้วเมื่อวานซืนนี้ (๑๗ สิงหา) พนักงานสอบสวน อ.พล
จ.ขอนแก่น ได้เรียกตัวผู้ต้องหาในคดีเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติ ๘ คน ที่ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นไปสอบปากคำเพิ่มเติม
หลังจากที่พวกเขาได้รับการปล่อยตัวเมื่อ ๑๐ ก.ค. จากการถูกควบคุมไว้ ๔๘ วันแล้ว
อัยการยังไม่สามารถทำสำนวนส่งฟ้องได้
การปรากฏว่าเมื่อผู้ต้องหาไปถึงศาล
กลับถูกแจ้งข้อหาเพิ่มเติมจากคดีที่มีโทษจำคุกต่ำกว่า ๑๐ ปี เป็นข้อหาร่วมกันหมิ่นสถาบันกษัตริย์
ซึ่งมีโทษจำคุกคนละ ๑๕ ปีต่อกระทง และอัยการได้ส่งฟ้องทันที โดยศาลสั่งขังคนทั้งแปดระหว่างการพิจารณาคดี
ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ และศาลไม่ได้แจ้งให้ผู้ต้องหา
ซึ่ง ๖ คนอายุเพียง ๑๘-๒๐ ปี มีผู้ใหญ่เพียงสองคน คนหนึ่งอายุ ๒๕ อีกคนอายุ ๕๐
ได้ทราบมาก่อนเลยว่าพวกตนจะโดนข้อหาอาญา ๑๑๒
แม้แต่มารดาของผู้ต้องหาวัยรุ่นคนหนึ่งเผยว่าตำรวจไปรับตัวเขาถึงบ้าน
บอกแต่เพียงจะนำไปสอบข้อมูลเพิ่มเติมเท่านั้น
กรณีที่เกิดล่าสุดนี่มันช่างต่างกับภาพลักษณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา พยายามวาดให้เห็นว่า “เป็นสัญญานที่ดี
นำไปสู่การปฏิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” (คำของ Thanapol Eawsakul)
ธนาพลอ้างอิงข่าวมติชนออนไลน์เรื่อง
“นายกฯ เผยสถาบันทรงเมตตา ไม่อยากลงโทษประชาชน คดีหมิ่นฯ” (https://www.matichon.co.th/news/630662)
“ผมคิดว่าอย่างน้อยตอนนี้
ชนชั้นนำทุกกลุ่มตระหนักดีแล้วว่าการใช้มาตรา ๑๑๒ หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
นั้นสร้างปัญหาให้กับสถาบันเป็นอย่างมาก
(ถ้าใครยังจำได้
ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ก็ได้พูดประเด็นนี้ไว้เช่นกัน) โดยเฉพาะการรายงานข่าวของสื่อต่างประเทศ
ผมคิดว่านี่อาจจะเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่นำไปสู่การปฏิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”
ธนาพลอาจจะคิดผิดถนัด
เพราะรูปการณ์ยังไม่ได้ไปทางนั้นเลยสักนิด (อันนี้ถือว่าไม่เกี่ยวกับกรณีพันโทกฤษณพล
โภชนดา อดีต ผบ.ป. พัน ๑๒ รอ. “ที่เสียชีวิตด้วยหัวใจล้มเหลว ระหว่างการฝึก”
-ตามที่ Wassana Nanuam ผู้สื่อข่าวกองทัพโพสต์ไว้เมื่อ
๑๕ สิงหา*)
ไม่ว่าจะเป็นประเด็นบรรยากาศผ่อนคลายในทางปฏิรูป
หรือในอีกทาง ความกดดันและการลำเอียงยังไม่พอก่อให้เกิดอาการโกรธจนลืมตัวแบบ “รวมหมู่”
หรือไม่ ดูเหมือนตอนนี้อยู่ในสภาวะก้ำกึ่งครึ่งๆ กลางๆ ฝรั่งเรียก ‘anxiety’ กระเส่า ไม่ดีไม่ร้าย แต่ก็ไม่สบายแน่นอน
โดยเฉพาะจากการที่ชาวบ้านเสื้อแดงต้องการไปให้กำลังใจอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงที่พวกเขารักและชื่นชอบ
ในการพิพากษาคดีจำนำข้าว วันที่ ๒๕ สิงหาคมนี้ ถูกทางการรัฐบาล คสช. กีดกัน สกัดกั้น
(ดังหนังสือด่วนที่สุดจากผู้ว่าฯ อุดรธานี ถึงผู้กำกับตำรวจในท้องที่ให้ทำการยับยั้ง)
และอย่าง ‘ตลก’ ที่สุด ‘ข่มขู่’ ทุกหนทาง ดังที่มีการส่งกำลังทหารสามคันรถอาวุธครบเครื่องเข้าไปในหมู่บ้านในจังหวัดลำพูน
อ้างว่าฝึกลาดตระเวณสำหรับปฏิบัติการในสามจังหวัดภาคใต้
แต่ชาวบ้านกลับเห็นว่านั่นเป็นการข่มขู่ไม่ให้จัดขบวนไปให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์
ชินวัตร เสียละมากกว่า
ซ้ำมีพยานบุคคล (นายจำรัส ลุมมา
ประธานสมาพันธ์เกษตรกรเชียงใหม่-ลำพูน) และลายลักษณ์อักษร (เอกสารลายมือเขียน) ยืนยันว่า
ทหารไปบังคับให้เขียนคำมั่นสัญญาต่อเจ้าหน้าที่ความมั่นคง “จะไม่นำมวลชนไปให้กำลังใจ
น.ส.ยิ่งลักษณ์”
อีกทั้งรอง
ผบ.ตร. แถลงว่าจะใช้แผน ‘กรกฎ
๕๒’ ในการควบคุมมวลชนในวันนั้น ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนมากกว่า ๓
พันคน
“พร้อมทั้งกำชับว่าให้เดินทางมาให้กำลังใจได้
แต่อย่าเกณฑ์กันมาร่วมชุมนุม ฉะนั้นถือว่าทำผิด” นอกจากนั้นยังย้ำว่า “หากการพิพากษาเสร็จสิ้นให้ประชาชนเดินทางกลับทันที
มิฉะนั้นจะถือว่ามาร่วมชุมนุมทางการเมืองอีกด้วย”
เลยทำให้มีคนทักว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล พูดอย่างนี้เหมือนกับจะรู้ผลการตัดสินล่วงหน้าว่าจะออกมาอย่างไร
รวมทั้งต่อการที่ระบุ “ได้สืบทราบว่า
มีการโพสต์เฟซบุ๊กเชิญชวนให้ประชาชนมาชุมนุมแล้ว ๒๔ ราย” ทางตำรวจจึงได้ “จัดกองร้อยควบคุมฝูงชน
จำนวน ๒๔ กองร้อย” หนึ่งกองร้อยต่อหนึ่งราย ประมาณนั้น
ลักษณะเช่นนั้นเป็นการกดดันรวมหมู่แน่ๆ
แต่จะหนักมากพอให้เกิดการโกรธจนลืมตัวหรือไม่ ต้องคอยดูฝีมือตำรวจ ๒๔
กองร้อยนั้นละ