วันเสาร์, สิงหาคม 19, 2560

การกดดันรวมหมู่ สกัดกั้นชาวบ้านไปให้กำลังใจยิ่งลักษณ์ จะหนักมากพอให้เกิดการโกรธจนลืมตัวหรือไม่ ต้องคอยดูฝีมือตำรวจ ๒๔ กองร้อยนั้นละ

มีคนเอาบทความเก่าของ อจ.กานดา นาคน้อย ตั้งแต่ต้นปี (๒๗ มกรา) มาแชร์กัน มันช่างเข้ากับสถานการณ์วันนี้เหมาะเหม็ง ทั้งที่ผ่านมาหลายเดือนจะเข้าไตรมาสที่สี่ของปี ๖๐ นี่แล้ว

บทความชื่อ “เชือดไผ่ให้ลิงดู” ได้เห็นผลกันแล้ว แม้ไม่ถึงขนาดหัวขาดก็เลือดตกทั้งนอกและในไปอีกนาน

ขณะที่แก่นความสำคัญของข้อเขียน เปรียบภาวะกดดันจิตใจของขบวนการนักศึกษาอเมริกันในยุคสงครามเวียดนามว่า “โกรธจนลืมกลัว” ทำให้พากันออกไปประท้วงนั้น

ไม่มีทางเกิดขึ้นในสังคมไทย เพราะแม้แต่ว่าภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มข้าวยากหมากแพง (ขนาดปลากระป๋องยังยอดขายตก) ในเวลานี้ก็ยังไม่เพียงพอทำให้โกรธขนาดลืมตัวได้ เนื่องจากชนชั้นกลางและค่อนข้างสูง ยังไม่รู้สึกรู้สากันเลย

อีกทั้ง “ไม่ได้หมายความว่าถ้าเกิดวิกฤตการคลังระดับสาหัสแล้ว จะเกิดภาวะโกรธจนลืมกลัวในวงกว้างแน่นอน” ด้วย เพราะว่า

คนไทยอาจมีความอดทนเป็นเลิศ และสังคมไทยอาจต้องจ่ายค่าเสียเวลาต่อไปอีกหลายทศวรรษ” อจ.กานดาเธอเขียนไว้อย่างนั้น


เสร็จแล้วเมื่อวานซืนนี้ (๑๗ สิงหา) พนักงานสอบสวน อ.พล จ.ขอนแก่น ได้เรียกตัวผู้ต้องหาในคดีเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติ ๘ คน ที่ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นไปสอบปากคำเพิ่มเติม หลังจากที่พวกเขาได้รับการปล่อยตัวเมื่อ ๑๐ ก.ค. จากการถูกควบคุมไว้ ๔๘ วันแล้ว อัยการยังไม่สามารถทำสำนวนส่งฟ้องได้

การปรากฏว่าเมื่อผู้ต้องหาไปถึงศาล กลับถูกแจ้งข้อหาเพิ่มเติมจากคดีที่มีโทษจำคุกต่ำกว่า ๑๐ ปี เป็นข้อหาร่วมกันหมิ่นสถาบันกษัตริย์ ซึ่งมีโทษจำคุกคนละ ๑๕ ปีต่อกระทง และอัยการได้ส่งฟ้องทันที โดยศาลสั่งขังคนทั้งแปดระหว่างการพิจารณาคดี

ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ และศาลไม่ได้แจ้งให้ผู้ต้องหา ซึ่ง ๖ คนอายุเพียง ๑๘-๒๐ ปี มีผู้ใหญ่เพียงสองคน คนหนึ่งอายุ ๒๕ อีกคนอายุ ๕๐ ได้ทราบมาก่อนเลยว่าพวกตนจะโดนข้อหาอาญา ๑๑๒

แม้แต่มารดาของผู้ต้องหาวัยรุ่นคนหนึ่งเผยว่าตำรวจไปรับตัวเขาถึงบ้าน บอกแต่เพียงจะนำไปสอบข้อมูลเพิ่มเติมเท่านั้น


กรณีที่เกิดล่าสุดนี่มันช่างต่างกับภาพลักษณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พยายามวาดให้เห็นว่า “เป็นสัญญานที่ดี นำไปสู่การปฏิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” (คำของ Thanapol Eawsakul)

ธนาพลอ้างอิงข่าวมติชนออนไลน์เรื่อง “นายกฯ เผยสถาบันทรงเมตตา ไม่อยากลงโทษประชาชน คดีหมิ่นฯ” (https://www.matichon.co.th/news/630662)

ผมคิดว่าอย่างน้อยตอนนี้ ชนชั้นนำทุกกลุ่มตระหนักดีแล้วว่าการใช้มาตรา ๑๑๒ หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นั้นสร้างปัญหาให้กับสถาบันเป็นอย่างมาก

(ถ้าใครยังจำได้ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ก็ได้พูดประเด็นนี้ไว้เช่นกัน) โดยเฉพาะการรายงานข่าวของสื่อต่างประเทศ ผมคิดว่านี่อาจจะเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่นำไปสู่การปฏิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”

ธนาพลอาจจะคิดผิดถนัด เพราะรูปการณ์ยังไม่ได้ไปทางนั้นเลยสักนิด (อันนี้ถือว่าไม่เกี่ยวกับกรณีพันโทกฤษณพล โภชนดา อดีต ผบ.ป. พัน ๑๒ รอ. “ที่เสียชีวิตด้วยหัวใจล้มเหลว ระหว่างการฝึก” -ตามที่ Wassana Nanuam ผู้สื่อข่าวกองทัพโพสต์ไว้เมื่อ ๑๕ สิงหา*)

ไม่ว่าจะเป็นประเด็นบรรยากาศผ่อนคลายในทางปฏิรูป หรือในอีกทาง ความกดดันและการลำเอียงยังไม่พอก่อให้เกิดอาการโกรธจนลืมตัวแบบ “รวมหมู่” หรือไม่ ดูเหมือนตอนนี้อยู่ในสภาวะก้ำกึ่งครึ่งๆ กลางๆ ฝรั่งเรียก ‘anxiety’ กระเส่า ไม่ดีไม่ร้าย แต่ก็ไม่สบายแน่นอน

โดยเฉพาะจากการที่ชาวบ้านเสื้อแดงต้องการไปให้กำลังใจอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงที่พวกเขารักและชื่นชอบ ในการพิพากษาคดีจำนำข้าว วันที่ ๒๕ สิงหาคมนี้ ถูกทางการรัฐบาล คสช. กีดกัน สกัดกั้น (ดังหนังสือด่วนที่สุดจากผู้ว่าฯ อุดรธานี ถึงผู้กำกับตำรวจในท้องที่ให้ทำการยับยั้ง)
 
และอย่าง ตลกที่สุด ข่มขู่ ทุกหนทาง ดังที่มีการส่งกำลังทหารสามคันรถอาวุธครบเครื่องเข้าไปในหมู่บ้านในจังหวัดลำพูน อ้างว่าฝึกลาดตระเวณสำหรับปฏิบัติการในสามจังหวัดภาคใต้ แต่ชาวบ้านกลับเห็นว่านั่นเป็นการข่มขู่ไม่ให้จัดขบวนไปให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เสียละมากกว่า

ซ้ำมีพยานบุคคล (นายจำรัส ลุมมา ประธานสมาพันธ์เกษตรกรเชียงใหม่-ลำพูน) และลายลักษณ์อักษร (เอกสารลายมือเขียน) ยืนยันว่า ทหารไปบังคับให้เขียนคำมั่นสัญญาต่อเจ้าหน้าที่ความมั่นคง “จะไม่นำมวลชนไปให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์”

อีกทั้งรอง ผบ.ตร. แถลงว่าจะใช้แผน กรกฎ ๕๒ในการควบคุมมวลชนในวันนั้น ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนมากกว่า ๓ พันคน

“พร้อมทั้งกำชับว่าให้เดินทางมาให้กำลังใจได้ แต่อย่าเกณฑ์กันมาร่วมชุมนุม ฉะนั้นถือว่าทำผิด” นอกจากนั้นยังย้ำว่า “หากการพิพากษาเสร็จสิ้นให้ประชาชนเดินทางกลับทันที มิฉะนั้นจะถือว่ามาร่วมชุมนุมทางการเมืองอีกด้วย”


เลยทำให้มีคนทักว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล พูดอย่างนี้เหมือนกับจะรู้ผลการตัดสินล่วงหน้าว่าจะออกมาอย่างไร

รวมทั้งต่อการที่ระบุ “ได้สืบทราบว่า มีการโพสต์เฟซบุ๊กเชิญชวนให้ประชาชนมาชุมนุมแล้ว ๒๔ ราย” ทางตำรวจจึงได้ “จัดกองร้อยควบคุมฝูงชน จำนวน ๒๔ กองร้อย” หนึ่งกองร้อยต่อหนึ่งราย ประมาณนั้น

ลักษณะเช่นนั้นเป็นการกดดันรวมหมู่แน่ๆ แต่จะหนักมากพอให้เกิดการโกรธจนลืมตัวหรือไม่ ต้องคอยดูฝีมือตำรวจ ๒๔ กองร้อยนั้นละ

(*หมายเหตุ พ.ท.กฤษณพล เป็นบุตรของ พล.อ.กำพล โภชนดา มีชื่อเสียงขึ้นมาจากการนำกำลังไปปิดล้อมวัดธรรมกาย แล้วมีเณรนำขนมไปยื่นให้ จากนั้นมาตกเป็นข่าวว่าเป็นผู้บังคับบัญชาของทหารสองคนที่มีเรื่องกับแท็กซี่ มีคลิปแชร์กันลั่นเน็ต เขาจึงถูก ซ่อมอยู่ที่วังทวีวัฒนาและถูกสั่งให้เข้าร่วมฝึกกับทหารใหม่ วิ่ง ๒ ก.ม. ในวันที่ ๑๓ ก.ค. แล้วล้มลงหัวใจวายเสียชีวิต Andrew MacGregor Marshall และ Somsak Jeamteerasakul ถกกันในเรื่องนี้บนหน้าเฟชบุ๊คของเขาทั้งสอง)