จะ “ปล่อยเขาไป” เพราะ “คิดสิคิด” แล้วว่า “ทวิตเตอร์จะช่วยอะไรได้”
อย่างที่ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีปฏิกิริยา
หรือ “ไออะกรี สู้สู้” แบบที่พระภคิณีในรัชกาลที่ ๑๐
ทรงลงข้อความสนทนาไว้บนหน้าอินสตาแกรมของอุ๊งอิ๊ง ชินวัตร ก็ตามที
ทวี้ตของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่โคว้ทวาทะของมองเตสกิเออ
นักปรัชญารัฐศาสตร์ศตวรรษที่ ๑๗ ผู้เป็นต้นตำรับหลักการแบ่งแยกอำนาจการปกครองในทางประชาธิปไตย
ว่า “ไม่มีความเลวร้ายใดที่จะยิ่งไปกว่า ความเลวร้ายที่ได้กระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย หรือในนามของกระบวนการยุติธรรม”
นั้นมีความหมายสูงส่งยิ่งยงเหนือกว่าหลายเท่านัก ต่อคำวิพากษ์ถากถางของ
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม พลพรรค ปชป. ที่รีบฉกฉวยนาฑีทองตอบโต้ว่า “คำกล่าวของมองเตสกิเออ อาจจะตามไม่ทันโลกที่เปลี่ยนเร็วมาก”
หมอวรงค์ยังยกตนเทียบเท่าเจ้าทฤษฎี บิดเบี้ยวเนื้อความในวาทะมองเตสกิเออให้คล้องจองกับความคิดลุ่มหลงของพวกตนว่า
“ไม่มีเผด็จการไหนที่จะป่าเถื่อนไปกว่าเผด็จการทุนสามานย์
ที่อ้างการเลือกตั้ง...”
(https://www.matichonweekly.com/featured/article_51425 และ https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_491930)
ทวี้ตของทักษิณก่อให้เกิดการรับรู้ผลงานในทฤษฎีการเมืองของมองเตสกิเออ
อย่างแพร่หลายในสื่อสังคมไทยขึ้นมาใหม่ โดยเฉพาะเมื่อ ปิยบุตร แสงกนกกุล ด็อกเตอร์อังดรัวท์ทางกฎหมายมหาชนระบุว่า
การวิจารณ์มองเตสกิเออนั้นน่าจะเริ่มมาจากความฝังใจของ ‘กูรู’ วิชาการกฎหมายไทยผู้ทรงอิทธิพลในคณะกรรมการกฤษฎีกา นาม อมร จันทรสมบูรณ์ ที่พร่ำสอนลูกศิษย์ลูกหาว่าทฤษฎี
“มองเตสกิเออล้าสมัย เป็นการแบ่งแยกอำนาจแบบเชยๆ คล้าสสิก”
โดยมี เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ
เข้ามาเสริม “เท่าที่จับทางได้ แกฝันถึงเดอโกลส์ (นายพล -อดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศส)
แบบไทยๆ นะครับ แกต้องการรัฐบุรุษ และยังด่า รธน. ๔๐ เรื่องบังคับ สส.
สังกัดพรรคการเมืองอยู่”
อีกคนที่แจม ธนาพล อิ๋วสกุล บก.ฟ้าเดียวกันแถมว่า “รัฐบุรุษของอมรที่เสนอครั้งก่อน
คือในหลวง ร. ๙ ไม่รู้ตอนนี้แกยังยืนยันเหมือนเดิมไหมครับ”
ไม่มีใครตอบคำถามนั้น หากแต่ ดร.ปิยบุตร เอ่ยถึงไว้ในอีกโพสต์คนละเรื่องเดียวกัน
“ผมคิดว่าคนเหล่านี้ ไม่ได้อ่าน De l'esprit des Lois อย่างถ่องแท้
หรืออาจไม่ได้อ่านด้วยซ้ำ รู้จักแค่ ‘การแบ่งแยกอำนาจ’ เท่านั้น
ในงานชิ้นนี้ Montesquieu เขียนหลายเรื่องมาก
เขาวิจารณ์ระบบการปกครองของหลายๆรัฐในสมัยนั้น วิจารณ์กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างภูมิอากาศ ภูมิศาสตร์ กับการเมืองการปกครอง”
และจากงานเขียนของมองเตสกิเออในปี
ค.ศ.๑๗๔๘ ดังกล่าว
มีอีกโคว้ทหนึ่งที่ต้องกับบริบทในทางการเมืองการปกครองไทยยุคปัจจุบันอย่างยิ่ง
ซึ่งแปลจากภาษาฝรั่งเศสได้ความว่า
“ความผิดอาญาฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่กำหนดไว้อย่างกว้างขวางไร้ขอบเขต
เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้รัฐบาลกลายเป็นเผด็จการผู้กดขี่”
นี่ละมังทำให้หมอวรงค์ข้ามหัวทักษิณไปวิพากษ์มองเตสกิเออ
โดยมิได้รู้ลึกลงไปถึงความเป็นตัวตนของมองเตสกิเออที่ ดร.ปิยบุตรชี้ว่า “ลักษณะอภิชนของตัว
Montesquieu มีอิทธิพลต่อการสร้างทฤษฎีของเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
กรณีที่เขามองว่ามีแต่พวกอภิชน (aristocrat) เท่านั้น ที่มีศักยภาพเพียงพอในการใช้เสรีภาพ
เพื่อต่อต้านการใช้อำนาจโดยมิชอบของกษัตริย์”
เหล่านั้นเป็นภูมิหลังสร้างฉากให้แก่การโต้แย้งที่รายล้อมโคว้ทมองเตสกิเออของทักษิณ
และคอมเม้นต์ “คิดสิคิด” ของประยุทธ์ กับ “ไออะกรี” ของ ‘ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา
สิริวัฒนาพรรณวดี’ ที่ซึ่งผู้แสดงความคิดเห็นเหล่านี้อาจไม่ได้คิดถึง
โดยเฉพาะจากนายกรัฐมนตรีผู้ที่เข้ามาสู่อำนาจด้วยวิธีรัฐประหาร
พูดถึงความหลงระเริงจากการใช้อำนาจปกครองเบ็ดเสร็จของตนจนผิดพลาด
ถูกต่างชาติเรียกร้องความเสียหายหลายหมื่นล้านบาท หรือไม่เช่นนั้นจะถูกฟ้องร้องต่อศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ
ให้เกิดความเสียหายมากขึ้นไปอีก
ว่า “ถ้าพูดเรื่องกฎหมายของตน
ที่ใช้มาตรา ๔๔ ในประเทศนี้ ผมไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น
ผมทำได้หมด...ผมไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะคุ้มครองผม”
นี่เป็นการอ้างอำนาจจากการแย่งชิงยึดครอง ที่อาจล้นพ้นยิ่งกว่าอำนาจกษัตริย์
ในบริบทการเมืองแห่งยุคสมัยของมองเตสกิเออ ก็เป็นได้ ทั้งที่ในยุคนี้ -อันเกี่ยวเนื่องโยงใยกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่
๑๙ หลังสงครามโลก ประชาคมนานาชาติร่วมกันสร้างระเบียบสากลเป็นแบบบทการปฏิบัติอย่างศิวิลัยเอาไว้แล้ว
จึงเป็นเรื่องต้องจับตาอย่างเขม็งต่อไปอีกในระยะไม่ไกล ว่า “ทวิตเตอร์จะช่วยอะไรได้”
แค่ไหน (ยิ่งเสียกว่า’ได้หรือไม่’) เท่าที่ผ่านมาแค่นี้ ลิ่วล้อ คสช. รอส้มหล่นอย่างหมอวรงค์ก็มุดหัวลงโคลนโดยไม่รู้ตัว
ไปแล้วกับการวิจารณ์มองเตสกิเออ
ส่วนอีกคนนั่นเสียดาย
ป่านนี้ยังไม่ได้รับสัญญานไปเยือนทำเนียบขาวเสียที ไม่อย่างนั้นคงได้รู้อะไรดีๆ
เรื่องการใช้ทวิตเตอร์ จาก ‘เดอะดอนัลด์’ มิสเตอรทรั้มพ์