ต้องขอบใจนายฯ ตูบ ที่ทำให้นักวิชาการลิเบอร์ร่านกลับมาเห็นพ้องกันได้อีกหน
หลังจากเถียงเป็นวรรคเป็นเวรเรื่องบอยคอตซ้อสพริกบิ๊กต๊อดเบียร์สิงห์เสียจนเว็บจะถล่มทลาย
Nikorn_PPTV @Korn_PPTV 8
hours ago :“นายกฯ ชี้ออกกฎหมายห้ามมีกิ๊กแค่พูดตลก
ไม่ให้ปชช.เบื่อระหว่างลงพื้นที่ แต่สื่อเอาไปตีความเป็นจริงเป็นจัง #PPTVHD36”
จะพูดเล่นเป็นตลก
หรือพูดเพลินลืมคิด ประยุทธ์ก็พูดออกมาจริงๆ “อย่ามัวแต่สนใจข่าวดาราจะรักจะเลิกกัน
ไม่ได้เกี่ยวกันเลย อยากให้เขากลับมาคืนดีกัน แต่ตัวเองผัวยังทิ้งอยู่เลย
ใครผัวทิ้งมาบอกผม
เรื่องนี้ผิดกฎหมายไม่ได้ กฎหมายให้มีเมียเดียว จะมีกิ๊กก็ไม่ได้ กฎหมายกำลังออก”
กระทั่งทั่นรองฯ ฝ่ายกฎหมายยัง ‘งง’ พูดงี้ได้งัย “ชี้ ไร้สาระ” ซะด้วย
ข่าวคมชัดลึกเล่นเรื่องนี้ไว้
“ไม่ได้มีสาระอะไรเลย
ผมไม่รู้ว่าใครพูด ผมไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ยิน ผมไม่ได้ไปด้วย” นายวิษณุ เครืองาม ให้สัมภาษณ์หลังจากการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ที่
ม.เทคนิคสุรนารี นครราชสีมา
ไล่เรี่ยกับปวินไม่นาน Somsak
Jeamteerasakul (4 hrs) โพสต์บ้างอย่างละเอียด
“กรณีกฎหมายห้ามมีกิ๊ก” ว่า “ตัวกฎหมายน่ะ จะมีออกจริง...
มันเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายคุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัวของกระทรวงพัฒนาสังคมฯ
...(ดูตัวร่างเต็มกฎหมายจริง
ที่นี่ https://goo.gl/vyvKNX กฎหมายได้รับการอนุมัติจาก
ครม. เมื่อเดือนมกราคม ดูข่าวที่นี่ https://goo.gl/QNqnbQ - ขอบคุณ ‘มิตรสหายสองท่าน’ ที่ช่วยค้นข้อมูลมา)
แต่ถ้าดูจากคำให้สัมภาษณ์ของโฆษกกระทรวงฯ
กฎหมายนี้ที่ร่างแบบนี้ ตั้งใจจะให้ครอบคลุมเรื่องกิ๊กนั่นแหละ
ตามกฎหมายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ห้ามจดทะเบียนสมรสซ้อน ตามพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 หรือร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัว
พ.ศ. ...
#การมีกิ๊กอาจจะก่อให้เกิดผลกระทบกระเทือนทางจิตใจ และเป็นเหตุให้เกิดปัญหาการทะเลาะเบาะแว้ง เข้าข่ายความรุนแรงในครอบครัว
โดยถือว่าการกระทำใด ๆ
ของบุคคลในครอบครัวโดยมุ่งประสงค์ให้เกิดอันตรายหรือน่าจะเกิดอันตรายแก่จิตใจ
ดังนั้น ร่างพ.ร.บ. จึงกำหนดให้มีการคุ้มครองเยียวยาผู้ถูกกระทำซ้ำจนได้รับผลกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง
จนกลายเป็นผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวเสียเอง โดยใช้หลักภาวะของผู้หญิงที่ถูกคู่ของตนทำร้าย
(Battered Woman Syndrome) หรือ ภาวะของภริยาที่ถูกคู่ของตนทำร้าย (Battered Wife Syndrome)”
“ซึ่งการที่กฎหมายจะมีออกจริงในลักษณะนี้ ด้วยความตั้งใจเรื่องห้ามกิ๊กจริงๆ อย่างที่โฆษกกระทรวงฯ
(นายณรงค์ คงคำ โฆษกกระทรวงพัฒนาการฯ) พูด และที่ประยุทธ์โจ๊กเมื่อวาน
แต่ประยุทธ์ต้องออกมาแก้ตัววันนี้ ยิ่งสนับสนุนความเป็นไปได้ว่า
พอพูดออกไป มันไปกระทบถึงบางคนเข้า โดยไม่ทันคิด เลยต้องพยายามมาแก้ตัว”
นั่นละที่ทำให้ทั้ง สศจ.และปวินเห็นพ้องต้องกันว่าบิ๊กตุ่น
“แก้ข่าวว่าพูดเล่น” เรื่องออกกฎหมายห้ามมีกิ๊ก คงเพราะกลัวว่าจะมีใครกริ้ว
ก่อนหน้านี้สองนักวิชาการลี้ไทย
(คนหนึ่งอยู่ปารีส อีกคนอยู่เกียวโต) ตั้งวงเถียงกันสนั่นเฟชบุ๊คเรื่องควรบอยคอตทายาทหมื่นล้านเบียสิงห์
‘ต๊อด’ ปิติ ภิรมย์ภักดี ที่ทำซ้อสพริกขาย ดีไหม
ต้นเหตุเริ่มมาแต่ เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ นักวิชาการระดับเซเล็บ
แห่งคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ หลังจากที่เขาเสนอความเห็นเมื่อเร็วๆ นี้ให้ประชาคมจุฬาโหวตปลด
เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ออกจากตำแหน่งประธานสภานิสิตฯ จากการที่เนติวิทย์และเพื่อนพากันไปยืนคำนับ
(แทนที่จะคุกเข่าบังคม) แสดงการประท้วงพิธีถวายสัตย์สองรัชกาล ว่านั่นเป็นการ ‘ป่วน’ งาน
จนมาเมื่อสองสามวันก่อน อจ.เจษฎา
โพสต์แสดงการชื่นชมซ้อสพริกของต๊อด ว่าได้รับตัวอย่างมาชิมแล้วอร่อย
เลยถูกตีความว่าเขาให้ท้ายต๊อดที่เคยโพสต์ในเชิงข่มขู่จะทำร้ายเนติวิทย์ ลำเลิกจ้วงจาบบิดามารดาของ
‘เนเน่’
จนถูกวิจารณ์หนักจำต้องออกมารับผิดและลบโพสต์นั้นไป
ปฏิกิริยาต่อท่าทีของเจษฎาที่เป็นตัวจุดไฟอีเว้นท์
‘เถียงออนไลน์’
น่าจะมาจากคำวิจารณ์ของ ปิยบุตร แสงกนกกุล นักกฎหมายมหาชนแห่งคณะนิติราษฎร์
มธ. ในทำนองว่าเจษฎารับงานโปรโมชั่นซ้อสให้กับสิงห์ เป็นผลให้เจษฎาโพสต์ตอบว่า
อจ.ปิยบุตรติด ‘กับดัก’ ของตนจน ‘หัวร้อน’
เจษฎายัง ปล.แถม ยืดประเด็นออกไปเป็น “ตรรกะของการผลักดันคนที่เห็นต่าง
ให้ต้องด่าทอว่าเป็นศัตรู
เป็นฝ่ายตรงข้าม...สังคมไทยมันไม่ค่อยมีความหวังเท่าไหร่หรอก ที่คนจะมาพูดคุยกันดีๆ
ใช้เหตุผล คิดวิเคราะห์แยกแยะ...”
นั่นเอง พายุหมุนวิวาทะจึงได้เริ่มกระหน่ำ
เมื่อสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เข้าร่วมวงถกเถียงซึ่งตอนนั้นก็เริ่มร้อนระอุแล้ว ๑๙
สิงหา เขาโพสต์เรื่อง ‘ตรรกะซ้อสพริก’ โดยยกตัวอย่างสินจัย (เปล่งพานิช)
และพงษ์พัฒน์ (วชิรบรรจง) สองดารา-นักร้องที่สนับสนุนพันธมิตรฯ และ กปปส.
สศจ. บอกว่าถ้าสองคนนี้เล่นหนังดีมากๆ แล้วจะให้เขาต้อง
‘บอยคอตแบบเหมาเข่ง’
ละก็ “นับผมออกได้เลยครับ ไม่เอาด้วย
ผมยังอยากจะชมดาราที่เล่นหนังได้ดีอยู่”
พร้อมทั้งสาวความยืดต่อไปว่า
“เรื่องขี้หมูขี้หมาอย่างซ้อสพริก มันเป็น ‘อาการ’ ของปัญหา...degeneration
หรือการ ‘เสื่อม’
ของความขัดแย้งในขณะนี้ ที่ฝ่ายประชาธิปไตย แม้แต่คนที่ควรมีการยับยั้งชั่งใจก็ตกอยู่ในวังวนของมัน”
นั่นทำให้ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ โดดเข้าข้างปิยบุตรอย่างหักโหม “ถ้าคิดแบบนี้
ไม่อยากสร้างศัตรู ก็ไม่ต้องวิจารณ์ อยู่กันไปอย่างนี้ เกรงใจกัน
ใครทำผิดห่าเหวอะไร ได้รับภูมิคุ้มกันจากวาทกรรมอย่าสร้างศัตรู
นี่มันเป็นแง่คิดที่ naive มากๆ...
ในทุกสังคม
มันมีการต่อสู้ทางความคิดมาตลอด ในบางสังคม การต่อสู้เผ็ดร้อน
ตราบใดที่มันไม่กลายมาเป็นความรุนแรง เป็นศัตรูทางความคิดจึงเป็นเรื่องโอเค” ปวินย้อน
ต่อเรื่องสินจัยและพงษ์พัฒน์ที่
สศจ. ยกมาอ้าง ปวินเห็นว่า “อยู่ได้เพราะเงินจากคนดู
(คนดูที่ตัวเองด่า) พออยู่ได้ ก็ใช้สถานะเซเลปในสังคม กดคนเสื้อแดงโง่ๆ ต่อไป
วนไปเป็นลูป”
ส่วนการแบนซ้อส
‘Todd’ นั้น “เราแยกการเมืองออกจากธุรกิจได้ไหม
ผมคิดว่าไม่ได้ ต๊อดขู่ทำร้ายเนติวิทย์ ควรได้รับการลงโทษจากสังคมไหม ผมเห็นว่าควร
ถ้าเรียกตำรวจจัดการเค้าไม่ได้ คงต้องคว่ำบาตร จะสำเร็จแค่ไหน ไม่รู้
แต่มันคือยุทธวิธี ฝรั่งก็ทำกัน”
อานนท์ นำภา ขึ้นเวทีอีกคน ชี้ว่า “ความรุนแรง ต๊อด และซ้อสพริก
คือเรื่องเดียวกันครับ” เพราะ “การแบนเป็นยุทธวิธี” ในเมื่อ “ต๊อดโพสต์ยั่วให้คนทำร้ายเนติวิทย์ เราใช้มาตรการแบนเป็นการตอบโต้
อั้ม (นพ.อิราวัต
อารีกิจ) จงใจเชียร์ให้เลิกแบนต๊อด ผมด่าอั้มว่าทำไม่ถูก...เพราะอั้มกำลังทำลายมาตรการแบนของเราครับ
มันไม่ใช่การโพสต์ลอยๆ”
สำหรับประเด็นที่
สศจ. ปรามาสว่าการแบนซ้อสต๊อด สินจัยและพงษ์พัฒน์ “ห่างจากความเป็นไปได้แบบนั้นหลายปีแสง” ก็บังเกิดข้อคิดน่าสนใจจากผู้ร่วมวงรายหนึ่งที่ใช้นามว่า
Ning Nattamon บอก “การบอยคอตมันทำได้นะคะ
อย่างมาม่า...
เชื่อว่านับสิบปีมานี่เสื้อแดงเกือบทุกคนเลี่ยงทานมาม่าจนติดเป็นนิสัยถาวร
ทุกอย่างทำได้โดยเริ่มจากตัวเอง แค่ก่อนคุณจะเอาเงินออกจากกระเป๋า
คุณแค่คิดว่าอยากให้มันไปอยู่ในกระเป๋าใคร...
อย่างดารา กปปส.
ถ้าเป็น presenter สินค้าตัวไหน เราก็ไม่ซื้อจนกว่าจะเปลี่ยนตัว presenter
จึงกลับมาซื้อ เพื่อแสดงให้เห็นว่าดาราคนนี้ทำยอดตก
ต่อไปบริษัทก็อาจจะคิดมากก่อนจ้างดาราพวกนี้”