ไม่ใช่แค่ “มันตลกงัย” อย่างที่คณบดีนิเทศฯ ม.หอการค้าว่าไว้เท่านั้น
อธิบดีประชาสัมพันธ์ ‘ห่านอู’ พูดเอาแต่ได้
ดื้อๆ ด้านๆ
“ผมไม่ได้บังคับ ผมให้เลือกตามใจชอบเลย
แต่ต้องไม่ซ้ำกันในแต่ละช่อง” นี่ละ ‘บังคับ’
ให้พวกเขาต้องเลือก มีอย่างที่ไหนในโลกนี้ ภพนี้
สื่อทุกช่องต้องตามเกาะทำข่าวรัฐมนตรีสัญจรแห่งละคน
“สรุปแล้วว่าผมจะขอให้ท่านเป็นกำลังของผม
โดยที่่่ท่านไม่ต้องเขิน ท่านสามารถใช้ไมโครโฟนของท่านได้เลย จะเป็นตราสัญลักษณ์ของช่อง...หรืออะไรก็ได้
ท่านรายงานเข้ามาเลย โดยเราจะกำหนดเป็นคิว”
มันชัดแจ้งตรงนั้นแล้วว่าจิกหัวใช้
ตั้งแต่วันที่กรมประชาสัมพันธ์เรียกบรรณาธิการสื่อทุกแขนงไปประชุม เรื่องรัฐบาล
คสช. ลงพื้นที่ตรวจงานและประชุม ครม. นอกกรุง ที่โคราช ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒
สิงหานี้
คำพูดอาจจะดูดี แต่กิริยาที่ใช้งานที่ว่า “สื่อที่ตามลงไปทำข่าว
ก็ต้องทำข่าวของท่านอยู่แล้ว เพียงแต่ขอว่าให้ส่งสิ่งที่ท่านทำให้กับเราด้วย
เพื่อที่จะได้ออกอากาศทางช่องเอ็นบีที” พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด
ปฏิเสธที่ถูกวิจารณ์ว่า ‘จัดระเบียบสื่อ’
“ก่อนจะไปถึงแบ่งว่าใครทำอะไร ตรงไหนอย่างไร ผมเอาแบบทหารแล้วกัน”
วันนี้ถึงได้มีรายการออกมาเป็นตับ ช่องไหนให้ประกบรัฐมนตรีคนไหน “ด้วยวิธีการแบบนี้
ติดขัดไหมครับ ไม่มีนะ ถ้าไม่ติดขัดก็ถือว่าที่ประชุมเห็นด้วยกับแนวทาง”
ก็นี่ละ ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถึงได้ว่าตลก “ทำไมไม่ไปซื้อโฆษณาหรือเวลาของทีวีช่องอื่นๆ
จะมาขอความร่วมมือทำไม
เรื่องนี้สะท้อนกรอบความคิดของผู้เกี่ยวข้องว่าความเข้าใจการทำงานของสื่อว่ามีมากน้อยแค่ไหนเข้าใจเรื่องเสรีภาพสื่อมากน้อยแค่ไหน”
(http://www.komchadluek.net/news/politic/292288 กับ https://prachatai.com/journal/2017/08/72859 และ https://www.matichon.co.th/news/631757)
ปฏิกิริยาของพวกนักข่าวบางราย
ถึงได้บ่นว่า “นี่เราอยู่ยุคไหนกัน” เป็นคำถามไม่ต้องการคำตอบเพราะรู้กันแล้วว่าเราอยู่ในยุค
‘ทหารครองเมือง’ อะไรต่ออะไรถึงได้
‘จั๊ดเง่า’ อย่างนี้
ดูที่เขาขนตะหานสามคันรถอาวุธครบเครื่องจากค่ายกาวิละ
เชียงใหม่ ไปฝึกเตรียมความพร้อมสำหรับปฏิบัติการในพื้นที่ก่อการร้ายภาคใต้
แต่ดันไปใช้ท้องที่หมู่บ้านภาคเหนือ ป่าซาง ลำพูน นั่นสิ
มีการออกหนังสือแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร
ขอใช้พื้นที่ในเขต ๓ วัด ป่าตาล-ม่วงน้อย-บ้านไร่ ตั้งแต่วันที่ ๑๓ ถึง ๒๕ สิงหา
ทำเอาพระสงฆ์องค์เจ้า ชาวบ้านร้านถิ่นขวัญกระเจิง เมื่อเห็นทหารชุดพรางถือเอ็ม ๑๖
เดินท่าลาดตระเวน มีเหลียว มีก้ม มีย่อจ่อปืนประทับบ่า วะ เหมือนหนังสมรภูมิ
เพจ October Free Thai กลับเห็นว่า “มีแต่ไปเดินใส่เครื่องแบบเต็มยศ
พร้อมอาวุธ กร่างในเมืองเฉยๆ” หนักไปกว่านั้น
ชาวบ้านวิจารณ์กันแซดว่าแท้จริงเป็นการส่งกำลังทหารไปข่ม
ไม่ให้ชาวบ้านขยับตัวแห่กันไปให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกฯ ฟังคำตัดสินศาลในคดีจำนำข้าว
วันที่ ๒๕ สิงหาคมนี้ต่างหาก
เขาอ้างหลักฐานยืนยันว่า “มีการบังคับให้ผู้นำชุมชนทำหนังสือไว้เป็นหลักฐาน
ความว่า
ข้าพเจ้า........ขอสัญญาว่า
ในวันที่ 24-25 สิงหาคม
2560 จะไม่มีการนำกลุ่มชาวบ้านเดินทางไปกรุงเทพฯ
เพื่อให้กำลังใจอดีตนายกยิ่งลักษณ์ จึงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ลงชื่อ.........”
แล้วลงท้าย
“นี่เค้ากลัวจะมีคนไปให้กำลังใจท่านอดีตนายกปู กันขนาดนี้เลยเหรอ?”
(เพจได้ลงภาพข้อความ ‘สัญญา’ ดังกล่าวเป็นลายมือเขียน
ซึ่งมีคนเข้าไปท้วงว่าไม่ใช่เป็นเอกสารพิมพ์แบบหนังสือราชการ บ้างก็เลยบริภาษณ์เอาว่า
“เพจแดงแต่งเรื่อง...”)
ถึงอย่างนั้นก็ตามที วิธีการนำทหารติดอาวุธไปฝึกซ้อมลาดตระเวน
ในพื้นที่ผู้สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงเช่นนี้ เป็นอะไรที่ไม่น้อยไปกว่าคอมเม้นต์ของ
Thanapol Eawsakul ที่ว่า “สิ้นคิด ถ้าไม่โง่มาก ก็หลอกตัวเอง”
ไปเลยได้
แง่คิดของ บก.ฟ้าเดียวกัน ชี้ว่า “นับเป็นเรื่องสิ้นคิดเป็นอันมาก
ที่รัฐบาลคณะรัฐประหารได้เอากองทัพทั้งกองทัพ มาเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมือง
หลังจากนี้ กองทัพก็จะกลายเป็นคู่ขัดแย้งของประชาชนโดยตรง
การเอาปัญหาภาคใต้มาเป็นข้ออ้างแล้ว ก็ยิ่งน่าสังเวชใจเป็นยิ่งขึ้น
เพราะปัจจุบันสถานการณ์กองทัพในภาคใต้นั้น นับวันจะกลายเป็น ‘รัฐที่ล้มเหลว’ เข้าไปทุกที
เข้าไปทุกที เพราะกองทัพไร้น้ำยาในการจัดการปัญหานั่นเอง
คำถามง่ายๆ ก็คือว่า หลังจากนี้ถ้ามีข่าวทหารไปตายในภาคใต้
คุณคิดหรือว่าคนที่ถูกคุกคามโดยทหาร จะมาเศร้าเสียใจกับคุณไปด้วย สิ้นคิดแท้ ๆ”
นั่นสิ จะเอาอะไรกับพวกที่รู้จักแต่การเอาชนะด้วยกำลัง (อาวุธ)
กับผู้ที่ไม่มีอาวุธ และไม่เคยเอาชนะได้กับพวกที่ใช้อาวุธสู้