ที่จริงก็เบื่อนะ เบื่อจะตาย (ห่) ต้องมาเขียนถึงคำพูดของหัวหน้าผู้ครองเมืองไม่เว้นแต่ละวัน
แต่เพราะการพูดเกือบทุกครั้งของเขาเต็มไปด้วยถ้อยสำนวนอวดอ้าง ยกหางตนเอง
ซ้ำร้ายจะเมินเสียไม่ได้เมื่อรายละเอียดส่วนใหญ่ถ้าไม่ยกเมฆก็ฝันเฟื่องมโน
อย่างซ้ำซากเป็นวาทกรรมสำเร็จรูปเสียจนบอกได้ว่า
มันคือยุทธวิธีหลอกลวงประชาชนแบบด้านๆ ดื้อๆ ไม่ยี่หระว่าจะมีคนจับผิดได้เพียงไหน
อย่างเช่นตอนนี้ที่ยก ครม.ไปสัญจรโคราช อ้างว่า “ให้ความสำคัญกับภาคอีสาน...เพื่อจะแก้ปัญหาให้กับประชาชน
ซึ่งปัญหาหลักคือหนี้สินครัวเรือนที่ตัวเลขมากกกว่าจีดีพีของประเทศ”
นอกเหนือจากออดอ้อนเกิดที่ค่ายสุรนารี “เป็นลูกหลานของอีสาน
พ่อเป็นทหาร แม่เป็นคนชัยภูมิ...ไม่เคยลืมว่าเป็นลูกหลานของที่นี่
และจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น”
สองวันก่อนหน้านี้ได้คุยปูพรมโคมลอยเอาไว้แล้วเกี่ยวกับตัวเลขจีดีพี
“โดยรวมแล้ว GDP ของประเทศในไตรมาส
๑ ของปีนี้เป็นบวก
๓.๓% ซึ่งทางสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะชี้แจงรายละเอียดต่อไป”
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
พูดถึงการใช้ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน จะให้ผลงามหรู ขอให้รอดูกันไป จนครบยุทธศาสตร์ถ่างขาอยู่ยืด ๒๐ ปี
แต่ที่ไหนได้เป็นที่แน่นอนแล้วว่าไตรมาสสุดท้ายปีนี้
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องปรับลดอัตราจีดีพีลงเหลือแค่ ๓ เปอร์เซ็นต์ถ้วนๆ
เท่านั้น
ฉะนั้นราคาคุยของบิ๊กตูบเรื่อง “ผลผลิตภาคเกษตรที่ติดลบ ๕.๓% จะกลับมาเป็นบวก ๒๐.๑% การลงทุนที่ติดลบ ๒.๒% กลับมาเป็นบวก ๑.๗% การส่งออกที่ย่ำแย่แทบไม่เติบโต
กลับฟื้นตัวเป็นบวก ๒.๗%”
จึงล้วนยกเมฆทั้งเพ
ไม่เท่านั้นยังหลอกชาวโคราชต่อไปเรื่องรถไฟความเร็วสูง
ซึ่งจริงๆ มีสมรรถนะแค่ความเร็วปานกลาง ว่า “จะยกระดับรถไฟความเร็วสูงและรถไฟทางคู่ที่ผ่าเมือง...เพื่อแก้ปัญกาการตราจรคิดติดขัดของชาวโคราช”
โดยจะเพิ่มงบประมาณเพื่อการนี้อีก ๒,๖๐๐ ล้านบาท
ก็เนื่องจากวงเงินค่าจ้างผู้รับเหมาจีนบานปลาย
ค่าใช้จ่ายมักจะเพิ่มออกไปเสมอหากไม่มีการล็อคสเปคไว้ให้แน่นอน
อีกทั้งการที่ รมว.พาณิชย์เผยโครงการอัดเงินสดให้แก่คนจน
ใช้บัตรสวัสดิการซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้ากันคนละ ๑๐๐ บาทต่อเดือน จึงเป็นเพียงอ่อยเหยื่อ
หรอกให้ตายใจแค่นั้นเอง
ไม่ต่างจากสิ่งที่ประยุทธ์เก็บไปพูดที่โคราชว่าจะมีการ “ส่งเสริมภาคเศรษฐกิจและสนับสนุนการท่องเที่ยวที่ซบเซา”
และจะ “พยายามผลักดันอย่างเต็มที่เพื่อให้โคราชเป็นศูนย์กลางภูมิภาค
ในการขับเคลื่อนประเทศสู่ความเจริญก้าวหน้า”
ล้วนแต่เป็นสำบัดสำนวนหรูหรา ประกอบการสร้างภาพวิธีทำงานแบบคณะรัฐมนตรีสัญจร
เลียนแบบรัฐบาลในอดีตเพียงเพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลทหารก็ทำเป็น
เสร็จแล้วกับเน้นด้านการจัดฉาก “สนธิกำลังร่วมทหาร
ตำรวจและฝ่ายปกครองทั้งในและนอกเครื่องแบบกว่า ๒ พันนาย กระจายลงในพื้นที่”
มีมาตรการรักษาความปลอดภัยให้แก่คณะของนายกฯ แน่นหนาเสียจนนักธุรกิจท้องถิ่นรายหนึ่งซึ่งมุ่งหมายจะได้เสนอแนวคิดชี้แจงปัญหาต่างๆ
ของท้องถิ่นบ่นว่าไม่สามารถเข้าถึงได้
เสร็จแล้วเรื่องที่บิ๊กตุ่นใส่ใจเน้นกลับเป็นกรณีโพล อ้างถึงนิดหนึ่งต่อรายงานที่ว่าประชาชน
๓๒%
เห็นดีเห็นงามกับการโกง ที่ว่าทำได้ถ้าโกงแล้วเอาไปแบ่งปัน
ว่าไม่ถูกต้องเช่นเดียวกับโพลแห่งหนึ่งที่ดันทะลุกลางปล้องออกมา ว่าคะแนนนิยมประยุทธ์ตกลงต่อเนื่อง
ต่อการที่กรุงเทพฯ โพลรายงานเมื่อวันก่อน (๑๙ ส.ค.) ว่าความพอใจในการบริหารงานในฐานะรัฐบาลของประยุทธ์
ตกจาก ๖.๑๙ (เต็ม ๑๐) เมื่อตอนครบสองปี ไปเป็น ๕.๘๓ ช่วงสองปีหกเดือน และพอครบสามปีมาอยู่ที่
๕.๒๗ เท่านั้น
เป็นเหตุให้ลุงตูบไปสะออดที่โคราชว่า ไม่สน ไม่ใช่ดารา
ถึงจะไม่ได้รับเลือกตั้งเข้ามา ก็เป็น “ชะตากรรมของบ้านเมือง
ซึ่งตนยอมรับ”
วิธีการพูดแบบนี้เป็นโมเดลตายตัวสำหรับหัวหน้า
คสช. ที่ไม่เคยยอมรับผิดใดๆ หากไม่โทษรัฐบาลที่แล้วที่ตนยื้อแย่งอำนาจมา ก็จะโทษภาวะเศรษฐกิจโลกบ้าง
การทุจริตของรัฐบาลก่อนๆ บ้าง ทั้งๆ ที่สภาพความเป็นอยู่ถดถอย การทำมาหากินฝืดเคือง
ล้วนถั่งถมเข้ามาในช่วงสามปีนี้ทั้งนั้น
หากจะมีโพลบังเอิญสะท้อนอาการถดถอยที่เกิดขึ้นในสังคมขณะประยุทธ์และคณะกำอำนาจอยู่
ไม่ใช่เพราะสื่อหรือใครก็ตามมีความเกลียดชังรังงอนต่อตัวประยุทธ์หรอกนะ
ลำพังผู้นำบ้าบอคนเดียวชาวบ้านถือเป็นอารมณ์ขันเสียบ้างก็ได้
ปัญหาอยู่ที่พวกผู้ตามซึ่งคอยพันแข้งเลียขาผู้นำนั่นสิ
พวกนี้เป็นเชื้อร้ายสำคัญกัดกร่อนให้เกิดความเสื่อมทรามของบ้านเมืองเช่นที่เป็นอยู่ขณะนี้
มิควรให้โอกาสคนเหล่านี้ได้เป็นผู้ชี้นำสังคมอีกต่อไป