วันอังคาร, สิงหาคม 22, 2560

ประมาณการเศรษฐกิจรัฐบาลลุงตู่ด วิ่งสวนทางข้อมูลจริง

ยุคทหารครองเมืองนี่ของเขาวิเศษจริง แม้กระทั่งด้านเศรษฐกิจมหภาค ประมาณการของรัฐบาลวิ่งสวนทางกับข้อมูลแท้ๆ ก็ยังได้

วันก่อนตัวหัวหน้าคุยโวไว้ในรายการศาสตร์พระราชา ว่าอีก ๒๐ ปี คนไทยรายได้เฉลี่ยต่อหัวถึง ๓ หมื่น ๗ พัน ๕ ร้อยบาท และจีดีพีจะโตถึง ๕ เปอร์เซ็นต์ ถ้าเดินตามยุทธศาสตร์ที่ คสช. กำหนดไว้ให้พวกตนอยู่กันนานๆ

วานนี้ (๒๑ ส.ค.) ทั้ง รมว.คลัง และเลขาฯ สคช. ออกมาช่วยกันประโคมขนานใหญ่ว่าในไตรมาสสองนี่ เศรษฐกิจขยายตัวยอดเยี่ยมที่ซู้ดในรอบ ๑๗ ไตรมาส จีดีพีขึ้นไปถึง ๓.๗ เปอร์เซ็นต์แน่ะ

แต่จากรายงานสภาพเป็นจริงเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นอย่างที่อ้าง ในไตรมาสสองเดียวกันนี้ ผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนไม่ว่าจะเล็ก-กลาง-ใหญ่ ยังฟุบไม่ยอมฟื้น

“ข้อมูลล่าสุดจนถึง ๑๖ .. ๒๕๖๐ พบว่า ส่วนใหญ่ผลดำเนินงานออกมาน่าผิดหวัง ซึ่งปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า

โดยเฉพาะพบว่ามีบริษัทที่ผลประกอบการพลิกเป็นติดลบหรือขาดทุนสุทธิแล้ว จำนวน ๑๖๓ บริษัท จากที่มีการประกาศผลประกอบการออกมาแล้ว ประมาณ ๕๖๐ บริษัท”


ลองมาดูกันสิว่า ถึงอยากจะเชื่อคำอ้างของประยุทธ์ จันทร์โอชา อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ และปรเมธี วิมลศิริ ว่าเศรษฐกิจไทยใกล้จะถึงขาขึ้นเต็มทีแล้ว (อีกยี่สิบปีติดอันดับหนึ่งในสิบของโลกเนี่ยนะ) จะพอเชื่อได้ไหม

นายอภิศักดิ์ รมว.คลัง คุยว่าจากการที่รัฐบาล คสช. ควักเงินจากคลังไปทุ่มลงทุนด้าน ‘infrastructures’ โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ (โดยมีรายการซื้ออาวุธและขึ้นเงินเดือนข้าราชการกับนักปฏิรูปลิ่วล้อ คสช. ติดปลายนวมเยอะหน่อย) นั้นทำให้

“เศรษฐกิจขยายตัวเต็มศักยภาพ ๔-% เริ่มใกล้ความเป็นจริง” เข้ามาแล้ว
ส่วนนายปรเมธี เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แจงว่า “ด้านการลงทุนภาคเอกชน ไตรมาสนี้ขยายตัว ๓.% จากที่ไตรมาสแรก (ติดลบ) -.%

เนื่องจาการลงทุนในหมวดเครื่องจักรและหมวดก่อสร้างขยายตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาครัฐกลับ (ติดลบ) -% จากที่ไตรมาสแรกขยายตัว ๙.% ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวสูงกว่าไตรมาสก่อนหน้า”

ข้อสำคัญอันน่าชื่นใจ (สำหรับลุงตุ่นนะ) ด้านการส่งออกที่ลดฮวบต่อเนื่องมาสามปีนับแต่คณะทหารเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลเลือกตั้ง บัดนี้ “ขยายตัวสูงกว่าคาดการณ์” นั่นแน่

“โดยไตรมาสสอง มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัว ๘% รวมกับการท่องเที่ยวก็ขยายตัวสูง โดยเป็นการขยายตัวในทุกตลาดสำคัญ ทั้งสหรัฐ ญี่ปุ่น จีน และอาเซียน แต่ตลาดออสเตรเลียและตะวันออกกลางติดลบ”


ทว่าภาพหรูเหล่านั้นพังครืนลงทันทีเมื่อดูรายงานบทวิเคราะห์ของ บล.เอเซียพลัส ว่าไตรมาสสองของปีนี้ บริษัทจดทะเบียนจำนวนร้อยละ ๙๙ ของมาร์เก็ตแค้ป มีกำไรสุทธิรวม ๒.๒๑๖ แสนล้านบาท

ซึ่งลดลง ๑๑% จากงวดไตรมาส ๒/๒๕๕๙ และลดลงราว ๒๓.% จากงวดไตรมาส ๑/๒๕๖๐ ที่ทำกำไรสุทธิรวมกัน ๒.๘๕ แสนล้านบาท”

เช่นเดียวกับรายงานวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวงที่ครอบคลุม ๘๕ เปอร์เซ็นต์ของมาร์เก็ตแค้ป (๑๒๕ บริษัท) “ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าที่คาดไว้”

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการบัวหลวง เสริมด้วยว่า “ผลประกอบการไตรมาสสอง พบว่าหุ้นทั้งขนาดเล็ก-กลาง-ใหญ่ต่างออกมาแย่กว่าที่คาดค่อนข้างมาก และคาดว่าจะมีจำนวนบริษัทที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนเพิ่มมากขึ้น...

ในช่วงไตรมาส ๓/๒๕๖๐ คาดว่าจะใกล้เคียงจากไตรมาสสอง เพราะปกติแล้วกำไรบริษัทจดทะเบียนจะพี้คในช่วงไตรมาส ๑ และไตรมาส ๔ ของทุกปี

ซึ่งคาดว่ากำไรโดยรวมปีนี้จะต่ำกว่าที่เดิมคาดการณ์ไว้ระดับ ๑ ล้านล้านบาท”

กระนั้นก็ดี ยังพอมีผลวิเคราะห์ตลาดที่ ไม่แย่มากนัก สำหรับภาคบริการที่ “คาดว่าไตรมาส ๓ จะทรง ๆ และไตรมาส ๔ น่าจะดีต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสแรกปีหน้า เพราะเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวของประเทศไทย”


สรุปว่าที่ลิ่วล้อ คสช. ฝ่ายคลังออกมาตีปี๊บว่าจีดีพีดีขึ้นแล้ว ในผลกระทบตามจริงที่เกิดกับปากท้องประชาชน ยังไม่มีอะไรสวยดั่งวาดหวัง ยิ่งคำ คุยโตกว่าปากของหัวหน้ารัฐประหาร ยิ่งหาแก่นสารยึดเหนี่ยวอะไรไม่ได้

กลายเป็นพูดเอาดีเข้าไว้ แถมแฝงนัยให้ประชากรรอดูลุงตู่ดและพวก คสช. กำอำนาจต่อไปจนครบยี่สิบปีนั่นเชียว

มิน่าถึงได้ไปพูดโยนหินถามทางไว้ที่โคราช ถ้าหากมีเลือกตั้งแล้วประชาชนจะเลือกใคร เพื่อให้ได้คำตอบดั่งหวัง ว่า “จะเลือกพล.อ.ประยุทธ์” น่ะสิ