ยุคทหารครองเมืองนี่ของเขาวิเศษจริง แม้กระทั่งด้านเศรษฐกิจมหภาค
ประมาณการของรัฐบาลวิ่งสวนทางกับข้อมูลแท้ๆ ก็ยังได้
วันก่อนตัวหัวหน้าคุยโวไว้ในรายการศาสตร์พระราชา ว่าอีก ๒๐
ปี คนไทยรายได้เฉลี่ยต่อหัวถึง ๓ หมื่น ๗ พัน ๕ ร้อยบาท และจีดีพีจะโตถึง ๕
เปอร์เซ็นต์ ถ้าเดินตามยุทธศาสตร์ที่ คสช. กำหนดไว้ให้พวกตนอยู่กันนานๆ
วานนี้ (๒๑ ส.ค.) ทั้ง รมว.คลัง และเลขาฯ สคช.
ออกมาช่วยกันประโคมขนานใหญ่ว่าในไตรมาสสองนี่
เศรษฐกิจขยายตัวยอดเยี่ยมที่ซู้ดในรอบ ๑๗ ไตรมาส จีดีพีขึ้นไปถึง ๓.๗
เปอร์เซ็นต์แน่ะ
แต่จากรายงานสภาพเป็นจริงเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นอย่างที่อ้าง
ในไตรมาสสองเดียวกันนี้ ผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนไม่ว่าจะเล็ก-กลาง-ใหญ่
ยังฟุบไม่ยอมฟื้น
“ข้อมูลล่าสุดจนถึง ๑๖ ส.ค. ๒๕๖๐ พบว่า
ส่วนใหญ่ผลดำเนินงานออกมาน่าผิดหวัง
ซึ่งปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า
โดยเฉพาะพบว่ามีบริษัทที่ผลประกอบการพลิกเป็นติดลบหรือขาดทุนสุทธิแล้ว
จำนวน ๑๖๓ บริษัท
จากที่มีการประกาศผลประกอบการออกมาแล้ว ประมาณ ๕๖๐ บริษัท”
ลองมาดูกันสิว่า ถึงอยากจะเชื่อคำอ้างของประยุทธ์
จันทร์โอชา อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ และปรเมธี วิมลศิริ
ว่าเศรษฐกิจไทยใกล้จะถึงขาขึ้นเต็มทีแล้ว
(อีกยี่สิบปีติดอันดับหนึ่งในสิบของโลกเนี่ยนะ) จะพอเชื่อได้ไหม
นายอภิศักดิ์ รมว.คลัง คุยว่าจากการที่รัฐบาล คสช. ควักเงินจากคลังไปทุ่มลงทุนด้าน ‘infrastructures’
โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
(โดยมีรายการซื้ออาวุธและขึ้นเงินเดือนข้าราชการกับนักปฏิรูปลิ่วล้อ คสช.
ติดปลายนวมเยอะหน่อย) นั้นทำให้
“เศรษฐกิจขยายตัวเต็มศักยภาพ ๔-๕% เริ่มใกล้ความเป็นจริง” เข้ามาแล้ว
ส่วนนายปรเมธี เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
แจงว่า “ด้านการลงทุนภาคเอกชน ไตรมาสนี้ขยายตัว ๓.๒% จากที่ไตรมาสแรก
(ติดลบ) -๑.๑%
เนื่องจาการลงทุนในหมวดเครื่องจักรและหมวดก่อสร้างขยายตัวขึ้น
อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาครัฐกลับ (ติดลบ) -๗%
จากที่ไตรมาสแรกขยายตัว ๙.๗% ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวสูงกว่าไตรมาสก่อนหน้า”
ข้อสำคัญอันน่าชื่นใจ (สำหรับลุงตุ่นนะ)
ด้านการส่งออกที่ลดฮวบต่อเนื่องมาสามปีนับแต่คณะทหารเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลเลือกตั้ง
บัดนี้ “ขยายตัวสูงกว่าคาดการณ์” นั่นแน่
“โดยไตรมาสสอง มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัว ๘% รวมกับการท่องเที่ยวก็ขยายตัวสูง
โดยเป็นการขยายตัวในทุกตลาดสำคัญ ทั้งสหรัฐ ญี่ปุ่น จีน และอาเซียน
แต่ตลาดออสเตรเลียและตะวันออกกลางติดลบ”
ทว่าภาพหรูเหล่านั้นพังครืนลงทันทีเมื่อดูรายงานบทวิเคราะห์ของ
บล.เอเซียพลัส ว่าไตรมาสสองของปีนี้ บริษัทจดทะเบียนจำนวนร้อยละ ๙๙
ของมาร์เก็ตแค้ป มีกำไรสุทธิรวม ๒.๒๑๖ แสนล้านบาท
“ซึ่งลดลง ๑๑%
จากงวดไตรมาส ๒/๒๕๕๙ และลดลงราว ๒๓.๒% จากงวดไตรมาส ๑/๒๕๖๐ ที่ทำกำไรสุทธิรวมกัน
๒.๘๕ แสนล้านบาท”
เช่นเดียวกับรายงานวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวงที่ครอบคลุม
๘๕ เปอร์เซ็นต์ของมาร์เก็ตแค้ป (๑๒๕ บริษัท) “ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าที่คาดไว้”
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการบัวหลวง
เสริมด้วยว่า “ผลประกอบการไตรมาสสอง พบว่าหุ้นทั้งขนาดเล็ก-กลาง-ใหญ่ต่างออกมาแย่กว่าที่คาดค่อนข้างมาก
และคาดว่าจะมีจำนวนบริษัทที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนเพิ่มมากขึ้น...
ในช่วงไตรมาส ๓/๒๕๖๐ คาดว่าจะใกล้เคียงจากไตรมาสสอง เพราะปกติแล้วกำไรบริษัทจดทะเบียนจะพี้คในช่วงไตรมาส
๑ และไตรมาส ๔ ของทุกปี
ซึ่งคาดว่ากำไรโดยรวมปีนี้จะต่ำกว่าที่เดิมคาดการณ์ไว้ระดับ
๑ ล้านล้านบาท”
กระนั้นก็ดี ยังพอมีผลวิเคราะห์ตลาดที่ ‘ไม่แย่’
มากนัก สำหรับภาคบริการที่ “คาดว่าไตรมาส ๓ จะทรง ๆ และไตรมาส ๔ น่าจะดีต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสแรกปีหน้า
เพราะเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวของประเทศไทย”
สรุปว่าที่ลิ่วล้อ คสช.
ฝ่ายคลังออกมาตีปี๊บว่าจีดีพีดีขึ้นแล้ว ในผลกระทบตามจริงที่เกิดกับปากท้องประชาชน
ยังไม่มีอะไรสวยดั่งวาดหวัง ยิ่งคำ ‘คุยโต’ กว่าปากของหัวหน้ารัฐประหาร
ยิ่งหาแก่นสารยึดเหนี่ยวอะไรไม่ได้
กลายเป็นพูดเอาดีเข้าไว้
แถมแฝงนัยให้ประชากรรอดูลุงตู่ดและพวก คสช. กำอำนาจต่อไปจนครบยี่สิบปีนั่นเชียว
มิน่าถึงได้ไปพูดโยนหินถามทางไว้ที่โคราช
ถ้าหากมีเลือกตั้งแล้วประชาชนจะเลือกใคร เพื่อให้ได้คำตอบดั่งหวัง ว่า
“จะเลือกพล.อ.ประยุทธ์” น่ะสิ