สัญญานบอกชัด บ้านนี้เมืองนี้น่าจะไม่มีสงบสุข
ตลอดยุทธศาสตร์ชาติ ๕-๒๐ ปี (หรือว่าจะถึง ๕๐ ปี ๑๐๐ ปี อย่างที่ อ.เจษฎา
เด่นดวงบริพันธ์ เพิ่งบ่น ก็เป็นได้)
ที่มา ก็นี่ ‘บลูสกาย’ ที่ไป ต้องโน่น
‘ทีนิวส์’
อันเนื่องมาแต่ อ.ป็อก นิติราษฎร์
ไปรอรับภรรยาบินจากสิงคโปร์ (ใช้เวลาชั่วโมงครึ่ง) มาลงที่ดอนเมือง
แต่ต้องรอตรวจคนเข้าเมืองแออัดร่วมกับผู้โดยสารขาเข้า ที่ไม่ใช้พ้าสปอร์ตไทยราว ๓
พันคน เป็นเวลา ๔ ชั่วโมงครึ่ง
ระหว่างช่วงเวลาของความอัดอั้นนั้น ดร.ปิยะบุตร แสงกนกกุล
ใช้โซเชียลมีเดียสื่อกับโลกกว้างในแวดวงของเขา (https://www.facebook.com/piyabutr2475?hc_ref=ARQUmMT34tWBay8-OHdu63UU8pfXQRTUFsIWV_n_Y87QH383XYwRb3MZ6pTANE4P1sk&fref=nf)
“ผมร้องเรียนไปที่เจ้าหน้าที่สนามบินแล้ว พึ่งรู้เรื่อง
บอกกำลังจะแก้ปัญหาให้ แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ ตม. พอ”
สองชั่วโมงผ่านไป “ภริยาผมส่งภาพล่าสุดมาให้...การรอคิวที่ ตม.
ของคนต่างชาติยังเป็นแบบเดิม แน่นจนขยับตัวไม่ได้ ขาดอากาศ หิวน้ำ
ผมดูตารางเครื่องลง เดี๋ยวจะตามมาอีกหลายเที่ยวบิน แล้วมันก็จะอัดแน่นเข้ามาอีกเป็นคอขวด
จนตอนนี้ยังไม่มีการแก้ไขใดๆ ทั้งสิ้น นี่คือประเทศที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก
อวดอ้างโฆษณาชวนคนต่างชาติให้มาเที่ยว สุดยอดจริงๆครับ”
ชั่วโมงที่สาม “สื่อมวลชนช่วยทำข่าวหน่อยได้มั้ยครับ...ยังแน่นเหมือนเดิม
แถวไม่ขยับ คนเริ่มขาดอากาศ หิวน้ำ เป็นลม”
แม้นมีคำชี้แจงจาก ตม. “บอกผมว่า
ปัญหาเกิดจากเครื่องบินลงพร้อมกันหลายเที่ยว ทางสนามบินไม่ประสานเรื่องช่องต่างๆ ไว้
ยิ่งมีทัวร์จีนมาเป็นร้อยๆ คน ก็ยิ่งอัดแน่น เธอบอกว่าเจ้าหน้าที่ ตม.
พยายามทำดีที่สุดแล้ว”
อีกตอน “ดูแววแล้วอาจได้รอจนถึงตี ๕ ถ้ายังไม่แก้ปัญหา...สถิติโลกแน่ๆ
รอผ่าน ตม. จากเที่ยงคืนยันเช้า ใช้เวลานานกว่าเดินทาง”
มิตรสหายสาย ปชต. ท่านหนึ่ง Watana Muangsook ได้ช่องคอมเม้นต์
“ประเทศเฮงซวยเพราะผู้บริหารห่วยครับ” แถมด้วย “ให้กำลังใจครับ มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทุกอย่างจะดีขึ้นครับ”
ฮั่นแน่ พีอาร์ซะไม่มี
อ.ปิยะบุตรคงจะเห็นด้วย สะท้อนไว้ในอีกโพสต์ภายหลัง “ถึงบ้านเรียบร้อย...รวมเวลาที่ผมออกจากบ้านจนกลับมาถึงบ้าน
๕ ชั่วโมง ๔๐ นาที...
นักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนยืนยันว่า
นี่คือประสบการณ์ที่เลวร้ายที่สุด บางคนพึ่งมาเมืองไทยครั้งแรก เจอแบบนี้เข้าไปก็คงเข็ดขยาด...
ถ้าเป็นระบอบประชาธิปไตย เจ้าหน้าที่จะต้องปรับวิธีคิด
และไม่กล้าทำแบบนี้ เจ้าหน้าที่มีความสุขกับการใช้อำนาจ
ในการเดินตระเวนไล่คนที่พยายามจะมาใช้ช่องอีกสองช่องที่เปิดโล่ง โดยบอกว่านี่คือช่อง
Priority
ภริยาผมไปเรียกร้องให้ระบายคนออกไปช่องโล่งๆ คำตอบคือ
โดนด่ากลับมา”
มันจึงไปลงที่ “กลับมาจากฝรั่งเศสได้ไม่นาน
ผมอยากกลับไปฝรั่งเศสอีกแล้ว หรือขอไปอยู่ที่อื่นก็ได้ เดนมาร์กก็ได้
สิงคโปร์ก็ได้ ภริยาผมบอกว่า เธอไม่อยากอยู่ประเทศนี้แล้วจริงๆ”
นั่นถือเป็นประเด็นส่วนตัว แต่ว่าก็ยังกระทบไปถึง ‘ส่วนรวม’ ได้ เมื่อ อ.ปิยะบุตรเขียนต่อ “การเมืองส่งผลต่อการพัฒนาประเทศ
ความเจริญของประเทศ จริงๆ ระยะยาว ผมไม่เห็นเลยว่าประเทศนี้จะไปต่อได้อย่างไร
จะดีขึ้นได้อย่างไร...
เหลือแต่การท่องเที่ยว กินบุญเก่าไป ซึ่งคงใช้ได้อีกไม่นาน บางครั้งผมก็อิจฉาคนอายุ
๖๐-๗๐ ซึ่งทนอีกแปบเดียวก็สบายแล้ว ผมสงสารเยาวชนคนรุ่นใหม่ต้องมารับผลนี้
และต้องอยู่แบบนี้ไปอีกนาน”
ตรงจุดนี้แหละที่ ‘บลูสกาย’ (ชื่อเดิมเมื่อวันเก่า)
แหล่งโฆษณาชวนเชื่อของ ปชป. ได้จังหวะสอดแทรก ตีไข่ใส่สี โจมตีสร้างความเกลียดชังให้แก่ฟากตรงข้าม
ตอกย้ำความแตกแยก เพื่อยกตนให้เด่นขึ้นมาแทนฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำ
ตามวัฒนธรรมองค์กรของตน
ดังโพสต์ท้ายสุดของ Piyabutr
Saengkanokkul พูดถึง “รายการ
‘ฟ้าวันใหม่’ สถานีโทรทัศน์ที่ใกล้ชิดกับพรรคประชาธิปัตย์ ดำเนินรายการโดย
คุณบุญยอด สุขถิ่นไทย และคุณอัญชลี ไพรีรักษ์ รายงานข่าว...
โดยนำที่ผมโพสไปขยายความ...(ว่า) คือแผนการและขบวนการล้มล้างทำลายรัฐบาล
คสช.
สืบเนื่องสอดรับกับกรณีเนติวิทย์เมื่อวันก่อน
แถมท้ายด้วยว่า
ไปอยู่ที่ไหนมา ไม่รู้หรือว่าทักษิณโกงกรณีสนามบินสุวรรณภูมิ (เอ่อ
อันนี้เกี่ยวอะไรไม่ทราบ ผมพูดถึงกรณีดอนเมือง)...เซอร์เรียล
เหลือเชื่อกว่าจริงๆ ครับ”
เหลือเชื่ออย่างไร ต้องไปดูคอมเม้นต์ของเหล่าผู้ติดตามฟ้าวันหน้า
ที่มีคนแค้ปมาเสริม (ดูเหมือนจะฝีมือ Somsak Jeamteerasakul) จากนี่ https://m.facebook.com/story.php... (Drama-addict)
“เฮงซวย แล้วเมียมึงกลับมาทำกรวยอะไร แล้วมึงอยู่ทำไม
ไอ้อาจมสัส...” อีกโพสต์เสริม “...รีบหน่อยก็ดีนะครับ
ประเทศไทยจะได้มีพื้นที่ว่างเพิ่มขึ้น...”
(ผู้ติดตามโพสต์ปิยะบุตรจะพบว่า
เธอกลับมาเพื่อฉลองแต่งงานครบ ๑ ปี กับสามีในกรุงเทพฯ)
อีกคนก็ไม่เบา “ง่ายๆ นะจารย์ ผูกคอตายซะ จะได้ไม่ต้องถึง
๗๐-๘๐ ให้เหนื่อยและหนักแผ่นดินคนอื่นเขา...จะด่านักการเมืองด่าไป
ด่าการบริหารประเทศด่าไป...หรือไม่ใช่ศัตรูไทยกลับชาติมาเกิด...”
รายหลังนี่อ่านที่ อ.ปิยะบุตรเขียนไม่ครบกระบวนความ หรืออ่านหนังสือไม่แตกก็ไม่รู้ได้
เท่าที่เห็น อ.แกก็ด่าการบริหารประเทศน่ะนะ
ส่วนกรณี “สืบเนื่องสอดรับกับ...เนติวิทย์” ซึ่งบลูสกายพาดพิง
นั้นก็ ‘เซอร์เรียล’ ไม่เบาเหมือนกัน
อันมีเหตุจากงานถวายสัตย์นิสิตใหม่จุฬาฯ ที่มีอาจารณ์นกหวีดคนหนึ่งของขึ้น
ปราดเข้าไปล็อคคอรองประธานสภานิสิตฯ ทีมงานของเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ฐานพากันเดินไปยืนคำนับพระรูปสองรัชกาลตอนที่จบรายการ
เป็นสัญญลักษณ์ทักท้วงต่อการที่มหาวิทยาลัยให้นักศึกษานั่งคุกเข่ากับพื้นถวายบังคม
ทั้งที่ฝนเริ่มโปรยลงมา
งานนี้มีดราม่ากันต่อ เมื่อ ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์
นักวิชาการของจุฬาฯ ระดับเซเล็บ โพสต์แสดงความเห็นว่าเนติวิทย์ (กับพวก)
เตรียมการกันมาป่วนแน่นอน ถือเป็นความผิดควรที่จะมีการดำเนินการถอดถอน ‘เนเน่’
ออกจากตำแหน่งประธานสภานิสิตไปเสีย
ท่ามกลางกระแส ‘อัด’ เจษฎา ร้อนถึงอีกเซเล็บ
นักวิชาการเกียวโต ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ผสมโรงว่า “การที่จะบอกว่าเนติวิทย์ตั้งใจป่วน
ผมว่าคุณมโนและอคติเกินไป ผมฟังคำอธิบายของเนติวิทย์และจากผู้เห็นเหตุการณ์ก็รายงานตรงกัน
ผมเชื่อว่าคนอย่างเนเน่มันมี
integrity พอ เพราะสิ่งที่มันทำมาทั้งหมดจนถึงวันนี้ มันก็ทำบนหลักการทั้งนั้น
ในหลายๆ ครั้งไม่ใช่ผู้ใหญ่ถูกเสมอไป มันก็มีผิด มีตอแหล มีมโน มีอคติ เผลอๆ
มีมากกว่าเด็กด้วยซ้ำ”
เลยต้องมีโพสต์จากเจษฎาอีกครั้ง “วันที่ออกมาปกป้องเนเน่ สังคมก็ด่าว่าเป็นควายแดง วันที่ออกมาอบรมเนเน่
สังคมก็ด่าว่าเป็นสลิ่มเหลือง
อีก ๕๐ ปี ๑๐๐ ปี
สังคมไทยก็คงไม่พ้นวิธีคิดแบบ ‘ไม่เห็นด้วยกับกู
ก็ต้องเป็นพวกศัตรูกู’ ต่อไปแน่ๆ”
เลยได้ สมบัติ บุญงามอนงค์ มาเสริม “เป็นปกติสำหรับพวกไม่เหลืองไม่แดง
ต้องโดนถล่มจาก ๒
ฝ่ายครับ
อ.ผ่านบททดสอบแล้ว”
จึงมาถึงข้อสรุปของ เกรียงไกร สุขเสงี่ยม ที่ว่า “สังคมยังเป็นแบบนี้อยู่
เลือกตั้งคราวหน้าก็ยังคงเป็นแบบเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน แบ่งข้างกันฝังลึกมาก”
นี่ไง เข้าทาง คสช. ทันที อ้างได้ไม่รู้จบสิ้น
เลือกตั้งเมื่อไหร่ก็กัดกันอีกเมื่อนั้น และมันไม่จบแค่นี้แน่นอน เมื่อ ‘ทีนิวส์’
นักปั่นจิ้งหรีดเจ้าเดิมเล่นแร่ลูกสปิน (spins)
ตีพิมพ์ข้อเขียนของใครคนหนึ่ง อ้างว่า
“ปัจจุบันไม่ใช่การเมืองสองฝ่าย...แต่คือการต่อสู้ระหว่างสังคมไทย
กับกลุ่ม #ลัทธิชังชาติ ที่หนุนนำโดยนักวิชาการและกลุ่มทุน”
ซ้ำปรักปรำว่า “มีการจัดตั้งเป็นขบวนการอย่างดี...เพื่อค่อยๆ
บั่นทอนโครงสร้างของสังคมเดิมลง...โดยอาศัย ‘เยาวชนรุ่นใหม่’ ซึ่งเป็นวัยที่ขาดประสบการณ์และมีธรรมชาติในการต่อต้านสังคมเป็นทุนเดิม”
มิใยที่ Nithinand Yorsaengrat
แสดงความอิดหนาระอาใจ “จะมีวันที่สลิ่มฉลาด
รู้จักคิด รู้จักใช้เหตุผลที่สมเหตุสมผลในการคิดไหมนะ” หากแต่บรรยากาศของการแบ่งสี
แยกค่ายและท้าทายกันระหว่างขั้ว มันกลับมาอีกแล้ว
ส่วนจะยืดเยื้อหรือร้อนแรงทัดเทียมหรือยิ่งกว่าของเดิมไหม
ลอง ‘อยู่ทน’ ดูความจำเริญของพวกคนดีภายใต้ยุทธศาสตร์
คสช. อีกสี่ห้าถึง ๒๐ ปี ได้เห็นแน่ ถ้าไม่ใช่ฝ่ายใดฝั่งเดียวบรรลัยไป ก็ต้อง ‘มิคสัญญี’