วันอังคาร, สิงหาคม 08, 2560

'บิ๊กตุ่นสอนน้อง' ว่าใครหนอใครลิขิต "เสียดายที่เรียนมาแล้วไม่จำ เอาแต่จะเล่นลิเก"

อันนี้เข้าคล้าส 'บิ๊กตุ่นสอนน้อง' ได้มั้ง เอาอย่างเฮียตือ “มันเป็นลิขิต ที่ผมมายืนตรงนี้...” ทั่นไม่ต้องแหล่ (สระแอนะไม่ใช่เอ) “โอ้ชีวิตคิดไฉน ว่าใครหนอใครลิขิต...” สไตล์ ‘ดาวลูกไก่’ ของ พร ภิรมย์ ก็ได้

แค่ด้น “อะไรจะเกิดต่อไป จะเป็นลิขิตของประเทศไทยว่าจะเจริญหรือ...จะล่มสลาย” บิ๊กตุ่นกินขาด ขนาดโดนแบล็คลิสต์ “ไม่ให้ผมเดินทางไปเยือนเพียงคนเดียว เพราะผมเป็นหัวหน้าคณะ คสช.

แต่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเดินทางไปเยือนต่างประเทศได้หมด...คิดถึงจิตใจผมบ้าง แต่ผมก็ไม่ได้เดือดร้อน

เพราะถ้าใคร “บอกว่าจะลดโน่นลดนี่ ลดโครงการ ๓๐ บาท หรือบัตรทอง...พามาหาผมหน่อย ต้องพูดคุย ปรับทัศนคติกันนิดหน่อย” นั่นไงลุงตุ่นมีไม้เด็ด เลยไม่ค่อยเดือดร้อนอะไร

ถึงได้ยืนยันจะอยู่ยาว “จะอยู่ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ผมว่ามันเป็นลิขิต


นอกจากลิขิตที่เอื้อน้องชาย น้องสะใภ้ และหลานแล้ว ยังมีลิขิตในเครือข่าย ดังตัวอย่างเมื่อไม่นานมานี้ เช่นกรณีพลตรีหญิงและลูกชาย กับเมียและลูกชายของอดีตเจ้ากรมการขนส่งทางบก ร่วมกันทำธุรกิจบริษัทรับซ่อมเฮลิค้อปเตอร์ของกองทัพบก มูลค่า ๑๔๖.๕ ล้านบาท

เมื่อ ๒๐ เม.ย. ๒๕๕๙ ต่อมาถูกบอกเลิกสัญญาเนื่องจากผิดเงื่อนไข ตามข้อมูลก่อนหน้านี้” รายละเอียดยิบต้องดูที่ https://www.isranews.org/isranews-scoop/58568-report00-58568.html

ก่อนหน้านั้นอีกหน่อย คงยังจำกันได้ตอนกลางเดือนมิถุนานี้เอง “ได้เฮกันรัวๆ สำหรับกองทัพไทย โดยล่าสุดเป็นกองทัพบกที่ได้ยุทโธปกรณ์ใหม่ เป็นรถเกราะจากประเทศจีน
 
โดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการจัดซื้อดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้ว โดยจะมีการจัดซื้อรถเกราะจากประเทศจีนทั้งหมด ๓๔ คัน วงเงิน ,๓๐๐ ล้านบาท


ธุรกิจของกองทัพทั้งนั้น ยังมีมากกว่านี้อีกหลายรายการ ภายใต้การครองเมืองของ คสช. ที่บิ๊กตุ่นอยากให้ประชาชน “คิดถึงจิตใจผมบ้าง” ที่อยากนั่งอยู่ตรงนี้ “นั่งบริหารในประเทศแล้วเอาคนอื่นไปทำ...ไปค้าขายทุกประเทศ” นั่นละ

เสร็จแล้วผลเป็นไง เอาตัวอย่างหนึ่งที่พึ่งโผล่ “สำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า ภาวะการว่างงานในเดือน ก.ค.๖๐...เพิ่มขึ้น ๘๕,๐๐๐ คน” ถ้าเทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน

แต่เมื่อเปรียบกับเดือนที่แล้ว จำนวนคนว่างงานเพิ่มถึง ๖๑,๐๐๐ คน คงจำกันได้อีกเช่นกันว่าช่วงเดือนที่แล้วไทยเกิดวิกฤตแรงงานไหลออก เพราะ คสช. ออกกฎหมาย สตูปิด(หาคำแปลกันเอง) นึกว่าเก๋ที่จะได้เล่นงานพวกแรงงานนอกระบบจากประเทศเพื่อนบ้าน

ที่ไหนได้กลายเป็นผลร้าย ‘backlash’ การผลิตอุตสาหกรรมและการประมงเกิดชะงักชักกระตุก แทนที่จะมีการจ้างงานในระบบเข้าไปทดแทน ไม่มีทาง เพราะคนไทยหัวสูง

สถิติแห่งชาติบอกว่าจำนวนคนตกงานมากที่สุด อัตรา ๓ เปอร์เซ็นต์อยู่ในหมู่ความรู้สูง อุดมศึกษา พวกที่ชอบจัดพิธีก้มกราบหรือคุกเข่าถวายสัตย์ให้น้องใหม่นี่เอง


ครั้นมีใครเขาตักเตือนโดยเฉพาะเรื่องนโยบายปากท้องประชาชน มีการเรียกไปคุยกำหราบไม่หยุดหย่อน ล่าสุด ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยพิชัย นริพทะพันธุ์ ต้องไปรายงานตัวเมื่อปลายอาทิตย์ที่แล้ว

พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา ผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาตรา ๑๔() () () โดยพันเอกบุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ ผู้รับมอบอำนาจจาก คสช. เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ” เนื่องจากตอนปลายเดือนกรกฎานายพิชัยเขียนเฟชบุ๊ควิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจของ คสช. ซึ่งมี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นหัวหน้า

นายพิชัยบอกว่าเอาข้อมูลเศรษฐกิจทฤษฎี กบต้มมาจากนักเศรษฐศาสตร์ มธ. เตือนรัฐบาลให้เร่งแก้ไข เป็นข้อมูลจากทางการตามความจริงทุกอย่าง ก็ยังถูกกล่าวโทษ ท้าว่าถ้าเห็นว่าไม่จริงให้ ดร.สมคิดมาโต้กันไหมล่ะ


อีกคนโดนข้อหา พรบ.คอมพิวเตอร์เช่นกัน ประวิทย์ โรจนพฤกษ์ บรรณาธิการข่าวของหนังสือพิมพ์ ข่าวสดอิงลิช จะต้องไปรายงานตัวต่อตำรวจวันนี้ (๘ สิงหา) จากการที่เขาได้โพสต์เฟชบุ๊ค ๕ ชิ้น

ซึ่งองค์กร ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน Reporters sans frontières ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลทหารไทย “ยุติการดำเนินคดีต่อเขาในทันที” เนื่องจาก

“ผู้สื่อข่าวที่เที่ยงตรงคนนี้ถูกข่มเหงครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อการที่เขาแสดงความคิดเห็นของตนและปกป้องเสรีภาพในการให้ข่าวสาร...

ถึงเวลาแล้วที่ผู้มีอำนาจ (ของไทย) จักต้องตระหนักว่าการแสดงความเห็นโดยอิสระและเสรีภาพในการสื่อสาร เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ไม่อาจถูกฟาดฟันด้วยวิธีการเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่างปราศจากการรับผิด”


อีกคนที่โดน คสช. กดคออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เขาก็ยังแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะทั้งตำหนิติติงและชี้แนะให้เห็นถึงความผิดพลาดพร้อมทั้งข้อเสียต่างๆ ที่ คสช. ก่อให้เกิดแก่ประเทศชาติและประชาชน คือนายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้ถูก คสช. ยึดอำนาจเมื่อปี ๒๕๕๗

เขาเพิ่งโดนคนของ คสช. ฟ้องอีกคดี (ท่ามกลางข้อหาต่างๆ ที่ยังคงอยู่อีกหลายกรณี) ในความผิดตามมาตรา ๑๑๖ เกี่ยวกับการยุยงให้เกิดความปั่นป่วน ซึ่ง คสช. มักใช้สำหรับสยบเสียงแย้ง ความเห็นต่าง และผู้ที่แจกแจงความผิดพลาดของ คสช. เรื่อยมา โดยควบกับกฎหมายกดขี่อีกสองสามฉบับ ดังเช่นคำสั่งหัวหน้า คสช. อาญา ๑๑๒ และ พรบ.คอมพิวเตอร์

อย่างไรก็ดีครั้งนี้นายวัฒนาก็ยังยืนกรานว่าการวิพากษ์วิจารณ์ คสช. ของเขาเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ที่จะหยุดไม่ได้ การที่ศาลถึงกับออกหมายจับเขาในคราวนี้ เป็นเพียง “เครื่องมือทางการเมืองเพื่อจำกัดเสรีภาพผม” ขัดต่อหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทยเองด้วยซ้ำไป

แม้นว่าสองในสามรายจากตัวอย่างที่ยกมา เป็นผู้ถูกกระทำโดยรัฐ คสช. ซึ่งมาจากพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม (เพราะถูก คสช. ยึดอำนาจ) เป็นธรรมชาติในสังคมอารยะที่คนเหล่านี้จักต้องวิพากษ์ ติเตือน และต่อต้าน

หากจะให้พวกเขาสยบยอมศิโรราบก็เท่ากับเป็นเพียงลิ่วล้อหรือพวกพลอยพยักเท่านั้น ประวัติศาสตร์โลกสอนให้มวลมนุษย์รับรู้ว่าการกดขี่บังคับคนคิดต่างผู้เห็นแย้ง รังแต่จะสร้างแรงดันกลับสั่งสมเป็นพลังยิ่งใหญ่ไม่ช้าก็เร็ว

ทางที่ถูกต้องของการปกครองให้ราบรื่นนั้นอยู่ที่ฟังเสียงโต้แย้งดูก่อนว่าสมเหตุผล เป็นประโยชน์กับหมู่ชนที่ถูกตนปกครองดีไหม ถ้าปรับไปตามนั้นได้แรงต้านทานก็จะลดลง นี่เป็นทฤษฎีการปกครองเบื้องต้นที่ ร.ร.นายร้อย จปร. ก็น่าจะได้สั่งสอนกันไว้ 

เสียดายที่เรียนมาแล้วไม่จำ เอาแต่จะเล่นลิเก